Movie Review
สงครามจบ คนไม่จบ
The Railway Man เป็นภาพยนตร์ของประเทศอังกฤษ / ออสเตรเลีย ซึ่งเรียกได้ว่า ในด้านของนักแสดงนำนั้น แต่ละคนมีชื่อเสียงโด่งดัง และได้รับรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 2 คน นั้นก็คือ โคลิน เฟิร์ธ แห่ง The King's Speech และ นิโคล คิดแมน จาก The Hours ซึ่งเรียกได้ว่าสองคนนี้นั้นแทบจะการันตีความสามารถได้เลยทีเดียว แต่ยังไม่พอเท่านั้น ยังมี เจเรมี่ เออร์วีน , ฮิโรยูกิ ซานาดะ และ สเตลแลน สคาร์การ์ด มาร่วมวงอีกด้วย
The Railway Man เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวของ อีริก โลแมกซ์ ซึ่งถูกจับเป็นไปทาสในการสร้างทางรถไฟสายมรณะโดยคนญี่ปุ่น ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งสายทางรถไฟนี้ ก็อยู่ในประเทศไทยนี้เอง ซึ่งสัญลักษณ์ของทางรถไฟนี้ก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควนั้นเอง หลังจากสงครามจบลง เขาพบว่าตัวเขาเองนั้นตกอยู่ในภาวะเสียสติไปทุกขณะ ความแค้นที่สั่งสมมาของเขานั้น ทำให้เขาจะต้องตามหาคนที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้จงได้
จริงๆแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องพูดเลยว่ามีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เพรียบพร้อมเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่น่าสนใจ และน่าติดตาม โดยพูดถึงเรื่องราวของมนุษย์ในสภาวะหลังสงคราม ความแค้น และแน่นอนเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ต่อต้านสงครามอย่างชัดเจน
หรือ นักแสดงนำทุกคนที่เรียกได้ว่าถ่ายทอดพลังออกมาได้อย่างน่าทึ่ง และสร้างมิติให้กับตัวละครเหล่านี้เสียจริง ไม่ว่าจะเป็น โคลิน เฟิร์ธ ที่แสดงตัวละครที่ "ย่อยยับ เละเทะ" ได้อย่างน่าสนใจ , นิโคล คิดแมน ทีแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย และเป็นตัวแทนของเพศหญิงในการพยายามช่วยเหลือเพศชายในสภาวะหลังสงครามได้อย่างยอดเยี่ยม แม้กระทั่ง เจเรมี่ เออร์วีน ที่แสดงเป็น อีริค ในช่วงที่ถูกจับไปเป็นทาส ก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆเช่นกัน ซึ่งนักแสดงทุกคนเหล่านี้ เรียกได้ว่าทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจ และมีลวดลายขึ้นมาอย่างมาก
นอกจากนั้นแล้วต้องขอชมผู้กำกับภาพ แกรรี่ ฟิลิปส์ จริงๆที่ทำให้ The Railway Man เป็นภาพยนตร์ที่ช่างสวยงามเหลือเกิน โดยเฉพาะฉากภาพทางรถไฟสายมรณะที่กำลังแล่นผ่านทางคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามหน้าผาที่สวยงาม ตระการตา และแน่นอน ฉากสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่สวยงาม น่าจดจำเป็นที่สุดของเรื่อง
แต่.... ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีปัญหาอยู่จุดหนึ่งที่หนักพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งปัญหานั้นก็คือ ความน่าเชื่อถือของภาพยนตร์ ที่ตัวผู้กำกับ โจนาธาน เทพลิสกี้ ไม่สามารถที่จะทำให้เราเชื่อในหลายๆประเด็นได้เลย เพราะเรื่องราวต่างๆในภาพยนตร์ พยายามจะเล่าหลายด้านมากจนเกินไป ในขณะที่ตัวผู้กำกับเองก็แบ่งเวลาในเรื่องราวส่วนต่างๆได้อย่างย่ำแย่ ผลก็คือทุกๆอย่างมันพันกันมั่วซั่วไปหมด จนเล่าเรื่องออกมาได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่าง อีริค กับ แพทริเซีย ที่ใช้เวลาในการปูน้อยมาก และทุกอย่างมันดูเร่งรีบไปจนหมด ซึ่งยังดีที่ในจุดนี้ถูกแก้ด้วยนักแสดงที่มีความสามารถอย่างมากทั้งสองคน ถ้าหากเป็นนักแสดงคนอื่น เราอาจจะไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ ว่าสองคนนี้จะรักกันได้
อย่างต่อมาก็คือเรื่องราวความทรมาณของ อีริค ในยุคปัจจุบันของหนัง (ซึ่งก็คือ 1980) ซึ่งตัวหนังก็ให้เวลาปูน้อยอีกเช่นกัน อยู่ดีๆมันก็โผล่มาอย่างหน้าตาเฉยในกลางเรื่อง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีให้เห็นในด้านนี้น้อยมาก ซึ่งมันทำให้ความน่าเชื่อถือของหนังลดลงอย่างมาก
หรือจะเป็นเรื่องราวของ กลุ่มตัวละครเพื่อนของ อีริค ที่มีการพูดถึงน้อยมากๆ และการปูตัวละครเหล่านี้ แทบจะเป็น 0 ทั้งๆที่มันส่งผลกับบทสรุป และการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์อย่างมาก เพราะมันทำให้การกระทำของตัวละครต่างๆ มันช่างดูไร้เหตุผล และไม่น่าเชื่อถือไปเสียหมด มีแต่เพียงลมปากที่ตัวละครพูดออกมาก็เท่านั้น ซึ่งมันไม่เพียงพออย่างแน่นอน
อีกสิ่งหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยถูกใจซักเท่าไรนัก ก็คือความไม่เป็นกลางของมัน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้ เพราะเป็นภาพยนตร์ของประเทศอังกฤษ การเล่าเรื่อง การกำกับ ตัวละคร และบทภาพยนตร์ต่างๆ จึงอวยประเทศอังกฤษและโทษประเทศญี่ปุ่นแบบเต็มประตู โดยเฉพาะฉากที่ให้ตัวละครญี่ปุ่นโค้งคำนับ ตัวเอกจากประเทศอังกฤษ สร้างความสับสน และความรู้สึกแปลกประหลาดให้กับผู้เขียนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าในตอนท้าย ตัวผู้กำกับ และตัวภาพยนตร์จะพยายามสร้างมิติให้กับตัวละครญี่ปุ่นไม่ดูเลวร้ายมากจนเกินไปนักซักเท่าไรก็ตาม แต่ในเมื่อ 80-90% ของทั้งเรื่อง คุณได้เสมือนพูดว่า "ญี่ปุ่นมันเลว" ไปเรียบร้อยแล้ว การแก้ตัวเหล่านั้น มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป
สุดท้ายแล้ว ผู้เขียนรู้สึกเสียดายความเป็นไปได้ของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่บ้าง ทั้งๆที่มันมีเรื่องราวที่ช่างน่าสนใจ และไปลึกได้มากกว่านี้ เช่น ตัวละคร หรือ ในด้านมุมมองใหม่ๆ ที่มันสามารถไปไกลได้มากกว่านี้ ทั้งตัวภาพยนตร์ยังได้นักแสดงที่ยอดเยี่ยม และผู้กำกับภาพที่ยอดเยี่ยม เพรียบพร้อมรออยู่แล้วแท้ๆ ในท้ายที่สุดแล้วกลับไปไม่ถึงไหน ถึงจะไม่อยากโทษแต่ก็ต้องพูดจริงๆ ว่าถ้าหาก The Railway Man ได้ผู้กำกับที่ดีกว่านี้ มีความสามารถในการเล่าเรื่องมากกว่านี้ ตัวภาพยนตร์จะไปได้ไกลกว่านี้มากเลยทีเดียว
Final Score : [ B - ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น