วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

The Theory of Everything ( 2014 ) Movie Review

The Theory of Everything ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"คำตอบทฤษฏีของทุกสิ่งคือ... "


  ต้องสารภาพเลย ว่าผู้เขียนส่วนตัวก็ไม่ค่อยจะรู้จักประวัติและผลงานของ สตีเฟน ฮอว์คิง มากนัก จริงๆแล้วจะเรียกว่าไม่รู้จักเลยก็ว่าได้ จะมีก็เพียงเคยได้ยินชื่อหลายต่อหลายครั้งมากก็เท่านั้น

ซึ่งนั้นก็ทำให้ประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์ The Theory of Everything ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติของ สตีเฟน ฮอว์คิง ออกมาให้ความรู้สึกที่ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลย


ซึ่งความรู้สึกอันน่าประหลาดใจนี้ ก็มาจากการที่ ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะแทบไม่รู้จักตัว สตีเฟน ฮอว์คิง เลย แต่กลับรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครของเขาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาทีในภาพยนตร์ เสมือนเป็นคนที่รู้จักเขาดีแล้วระดับหนึ่ง



The Theory of Everything ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตของ สตีเฟน ฮอว์คิง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผ่านชีวิต ความรัก และเส้นทางการพิสูจน์ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ของเขา ซึ่งนำมาสู่การเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก


และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็มาจากความน่าทึ่งของแต่ละองค์ประกอบต่างๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่แทบจะไม่ด้านไหนน้อยหน้าไปกว่ากันเลย


ตั้งแต่ นักแสดงผู้รับบทเป็น สตีเฟน ฮอว์คิง อย่าง เอดดี เรดเมย์น ที่นำแสดงบทบาทได้อย่างน่าจดจำ และน่าทึ่งเป็นที่สุด ยิ่งคิดว่าการต้องแสดงเป็นบุคคลที่ประสบปัญหาทางด้านร่างกายให้น่าเชื่อถือ มันยากเพียงใด ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความน่าทึ่งในการแสดงของเขาจริงๆ 
นอกจากนั้นแล้ว การแสดงของ เฟลิซิตี้ โจนส์ ผู้รับบทเป็นภรรยาของ สตีเฟน ฮอว์คิง ก็สามารถที่จะถ่ายทอดความยากลำบากในการใช้ชีวิตคู่ของเธอได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน


หรือจะเป็นการกำกับของผู้กำกับ เจมส์ มาร์ช ที่สามารถจะเล่าเรื่องราวของสองตัวละครหลักอย่าง สตีเฟน ฮอว์คิง กับ ภรรยาของเขา ซึ่งเผชิญปัญหาต่างๆในชีวิตมากมายได้อย่างน่าสนใจ 
ส่วนใหญ่ๆก็ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมเขียนบทที่เขียนตัวละครออกมาได้อย่างน่าทึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องขอชม เจมส์ มาร์ช ที่นอกจากจะถ่ายทอดตัวละครออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เสมือนมนุษย์จริงๆแล้ว การเล่าเรื่องของเขายังไม่บีบคั้นอารมณ์และพยายามบีบน้ำตาจากผู้ชมมากเกินไปจนน่ารำคาญอีกด้วย



และแม้กระทั่งการถ่ายภาพในภาพยนตร์ ก็จัดวางมุมกล้อง และการเคลื่อนไหวของกล้องได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถที่จะถ่ายทอดฉากต่างๆออกมาได้อย่างสวยงาม น่าทึ่ง โดยเฉพาะฉากโรแมนติกในภาพยนตร์ ที่เมื่อนำไปผสมผสานกับเพลงประกอบอันไพเราะชวนเคลิ้ม ก็พาเอาเราถูกดึงดูดเข้าไปอยู่ในจักรวาลต้องมนต์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าไปอีก


เมื่อนำส่วนผสมองค์ประกอบทุกด้านมารวมกัน ก็ทำให้ The Theory of Everything กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ดราม่าที่ดีที่สุด น่าติดตามที่สุด และน่าทึ่งที่สุดในปี 2014 อย่างไม่ต้องสงสัย


แต่ถ้าหากจะมีข้อติซักข้อหนึ่งสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องสิ่งที่มันต้องการจะบอกกับผู้ชม เนื่องจากตัวภาพยนตร์ค่อนข้างจะทะเยอทะยานเอามากๆ ตั้งแต่การจับเรื่องทฤษฏีวิทยาศาสตร์ต่างๆ ปัญหาชีวิตคู่ การตั้งคำถามต่อศีลธรรม คุณค่าของเวลา และอื่นๆอีกมากมาย มาพูดถึงรวมกันในเรื่องเดียว


จึงเป็นเหตุทำให้หลายๆเรื่องมันไปชนกันเองในตอนท้ายสุด เสมือนการจราจรบนถนนที่ติดขัดและขาดซึ่งไฟนำทางที่ดี กลายเป็นว่าพาเอาเราไม่แน่ใจว่าตัวภาพยนตร์ต้องการจะพูดอะไรกันแน่จนภาพยนตร์ต้องพูดออกมาเองตรงๆซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่ใช่น้อย



ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าภาพยนตร์เรื่อง The Theory of Everything จะเต็มไปด้วยทฤษฏีวิทยาศาสตร์อันยุ่งยากต่างๆมากมาย หรือการพูดถึงปัญหาชีวิตคู่อันซับซ้อนมากเท่าใด สุดท้ายแล้วสิ่งที่มันให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือคุณค่าของชีวิต ที่ไม่ว่าภายภาคหน้าจะมีปัญหาอันยากเกินจะแก้มากเท่าใด ตราบใดที่เรามีสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตอยู่ เราก็ยังคงมีความหวังที่จะก้าวข้ามปัญหาเหล่านั้นไปหลงเหลืออยู่เสมอ 


Final Score : [ 8.5 / 10 ] 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น