วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Interstellar ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"ถึงแม้ว่า Interstellar จะเป็นภาพยนตร์ที่มีเทคนิคทางด้านภาพและความสนุกตื่นเต้นที่น่าประทับใจ แต่หัวใจหลักที่แท้จริงของมันอย่างตัวละครกับแก่นเรื่องก็กลับถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย"


          ถ้าหากจะพูดว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่มีคนทั่วโลกตั้งตารอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ก็คงจะไม่ดูเป็นการพูดเหนือจริงไปซักเท่าไรนักเลย
เพราะหนึ่งในสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นตัวผู้กำกับมากฝีมืออย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน เจ้าของผลงานในดวงใจหลายๆคนอย่าง The Dark Knight , Inception หรือ Memento เขาเป็นผู้กำกับท่านหนึ่งในฮอลลีวูดที่ค่อนข้างจะใส่ใจในรายละเอียดมากกว่าผู้กำกับทั่วๆไป และเทคนิคต่างๆของเขาก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับเก่งกาจเลยทีเดียว


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ Interstellar ในตอนแรกควรจะไปอยู่ในมือการกำกับของพ่อมดฮอลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์กแทนที่จะเป็นตัวโนแลนซึ่งตัวสปีลเบิร์กก็ได้ตัดสินใจถอนตัวไปในภายหลัง และเนื่องจากความที่ว่าผู้เขียนบทภาพยนตร์เป็นน้องชายของคริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งก็คือโจนาธาน โนแลน เขาก็เลยได้ทาบทามให้พี่ชายมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี 2012  เราก็จึงได้เห็นคริสโตเฟอร์ โนแลนมานั่งแท่นเป็นผู้กำกับเต็มตัวแทนที่จะเป็นตัวสปีลเบิร์ก


Interstellar ว่าด้วยเรื่องราวของโลกมนุษย์ในอนาคตที่กำลังตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนักและกำลังจะสูญพันธ์ในไม่ช้า กลุ่มนักสำรวจกลุ่มหนึ่งจึงต้องออกไปสู่อวกาศเพื่อตามหาดาวดวงใหม่ที่สามารถจะเป็นที่อยู่ใหม่ของมนุษย์ให้ได้


ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีภาพอวกาศอันสวยงามมากเรื่องหนึ่ง ด้วยบรรยากาศของอวกาศอันกว้างขวางไร้ที่สิ้นสุดหรือภาพดาวดวงต่างๆที่เรียกได้ว่าน่าทึ่งไม่ใช่น้อย ยิ่งผนวกกับเพลงประกอบภาพยนตร์ของฮันส์ ซิมเมอร์ซึ่งเป็นนักแต่งเพลงขาประจำของโนแลนก็ยิ่งทำให้ฉากต่างๆในภาพยนตร์รู้สึกตื่นเต้นและน่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา


และแน่นอนว่าเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ตกมาอยู่ในมือของคริสโตเฟอร์ โนแลน ตัวภาพยนตร์ก็มักจะใส่ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ต่างๆมามากมายเพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของอวกาศ แรงโน้มถ่วง หรือหลุมดำ ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว


นอกจากนั้นแล้ว Interstellar ยังเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะสนุกและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป มันเป็นภาพยนตร์ที่มักจะกระแทกผู้ชมด้วยฉากอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างตัวละคร ปมปัญหาของตัวละคร หรือ ตัวละครที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งตัวโนแลนก็จับผู้ชมได้อยู่หมัดพอสมควร ถึงแม้ว่าในหลายๆครั้งมันอาจจะฟูมฟายมากไปหน่อยก็ตาม


แต่ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะเต็มไปด้วยการสอดแทรกทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆที่ค่อนข้างจะลึกมากมายซักเท่าไรก็ตาม
ตัวมันเองก็กลับลืมจุดที่สำคัญที่สุดของตัวมันอย่าง ตัวละคร กับ แก่นเรื่องหลักที่มันต้องการจะพูดจริงๆไปอย่างน่าเสียดาย ในขณะที่ตัวมันเองเสียเวลาไปกับการพูดถึงและตั้งข้อสมมุติฐานทฤษฎีต่างๆมากมาย ตัวละครในภาพยนตร์ก็กลับถูกปูออกมาอย่างลวกๆ แบน ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร โดยเฉพาะตัวละครหญิงซึ่งถูกบรรยายออกมาในลักษณะของเพศซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์และไร้เหตุผล 


การที่ตัวภาพยนตร์เปลี่ยนตัวผู้กำกับจากสตีเวน สปีลเบิร์กมาเป็นคริสโตเฟอร์ โนแลน ในภายหลังก็ได้สร้างปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะในด้านที่พูดถึงครอบครัว ผลประโยชน์ส่วนรวมกับส่วนตัวซึ่งคือแก่นเรื่องที่แท้จริงของตัวภาพยนตร์และเป็นจุดเด่นของสปีลเบิร์ก แต่พอสลับมือมาเป็นโนแลน ตัวเขาก็ยัดเนื้อหาทฤษฎีวิทยาศาสตร์อันหนักแน่นเข้าไปมากจนกลายเป็นว่ามันตบตีแถมยังเบียดพื้นที่กันเอง และการยัดทฤษฎีต่างๆเข้ามาในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวแก่นเรื่องหนักแน่นหรือน่าจดจำมากกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่พูดถึงประเด็นเดียวกันซักเท่าไรเลย แตกต่างจากในผลงานเรื่องก่อนของเขาอย่าง Inception ที่นำเรื่องของโลกความฝันมาอธิบายสภาวะทางจิตใจของตัวละครซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ Interstellar ไม่มีอย่างน่าเสียดาย 


ในท้ายที่สุด Interstellar ก็เป็นภาพยนตร์ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีภาพอวกาศอันสวยงาม ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อันน่าค้นหา สนุกและตื่นเต้น แต่ตัวมันเองก็กลับหลงลืมจุดที่เป็นหัวใจหลักอย่างตัวละครและแก่นเรื่องที่ไม่ได้ก้าวหน้าตามทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่มันเอ่ยถึงไปด้วยเลย จึงทำให้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับการนั่งเครื่องบินจากจตุจักรไปสยามพารากอนแทนที่จะนั่งรถไฟฟ้า ถึงเป้าหมายเหมือนกันแต่แค่เปลี่ยนมุมมองก็เท่านั้น

Final Score : [ B + ] 


สามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจกันได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ

https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น