วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Mission Impossible : Rogue Nation ( 2015 ) Movie Review



Mission Impossible : Rogue Nation ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz 



"อร่อยไม่เคยเปลี่ยน"


       ในโลกของภาพยนตร์ไม่ว่าจะในช่วงอดีตหรือปัจจุบันนั้น มีภาพยนตร์ซีรีส์หลากหลายชุดเกิดขึ้นมามากมาย เช่น Terminator  ,Transformers , X-Men , Die Hard หรือ James Bond  แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่ซีรีส์เท่านั้นที่ยังคงรักษาระดับคุณภาพและเอกลักษณ์ของตนเองไว้ได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดยอดสายลับที่มีอายุยาวนานถึงเกือบ 20 ปี อย่าง Mission Impossible 


Mission Impossible: Rogue Nation ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มสายลับมือฉกาจ ไอเอ็มเอฟ  ที่กำลังถูกตามล่าตัวโดยกลุ่มลึกลับกลุ่มใหม่ที่ได้ชื่อว่า ซินดิเคท ทำให้สมาชิกกลุ่ม ไอเอ็มเอฟ จึงต้องหาทางเอาชีวิตรอดท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูจะเป็นไปไม่ได้




ถึงแม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ ว่า Rogue Nation ยังคงเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ Mission Impossible ที่ยังคงรักษาระดับคุณภาพของตนเองได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางภาพยนตร์ซีรีส์ใหม่ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และภาพยนตร์ซีรีส์เก่าๆที่ต่างล้มหายตายจากและคุณภาพลดลงเข้าทุกวัน เช่น Terminator หรือกรณีหนักสุดอย่าง Die Hard 



Rogue Nation ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นไล่ล่าอันลุ้นระทึก ตื่นเต้น และมีการออกแบบฉากแอ็คชั่นและลำดับฉากต่างๆได้เป็นอย่างดี ซ้ำฉากเหล่านี้ยังถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แทบไม่มีเวลาให้หยุดพัก จนทำให้แทบจะไม่มีช่วงใดที่รู้สึกเบื่อเลย จะว่าไปแล้ว ความคิดที่ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์ที่สนุก ตื่นเต้นและน่าติดตามมากที่สุดในปีนี้ ณ เวลานี้ ก็พุ่งเข้ามาในสมองระหว่างชมอยู่หลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว




ในด้านของตัวละครต่างๆ เหล่าสายลับไอเอ็มเอฟเจ้าเก่าก็ยังคงเป็นตัวละครที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ยังคงสนุกสนาน น่าคอยเอาใจช่วยไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะน่าเสียดายที่ตัวละครส่วนใหญ่ที่เราจะได้เห็นในภาคนี้ ดูจะเป็นตัว อีธาน ฮันท์ ซึ่งรับบทโดย ทอม ครูซ กับตัวละครใหม่อย่าง อิลซ่า ซะเกินครึ่งเรื่อง แต่จริงๆนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว เพราะตัวละคร อิลซ่า ซึ่งรับบทโดย รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน ก็โดดเด่นน่าสนใจ แอบแฝงเรื่องราวมุมมองของตัวละครที่น่าติดตามอยู่มากเลยทีเดียว ซ้ำการแสดงอันน่าทึ่ง และความเซ็กซี่ของเธอก็ยิ่งทำให้ตัวภาพยนตร์น่าดูชมเข้าไปอีก


น่าเสียดายที่ตัวละครร้ายหลักของเรื่องอย่าง โซโลมอน เลน ซึ่งรับบทโดย ฌอน แฮร์ริส ค่อนข้างจะจืดชืด แบนราบ และถูกบดบังรัศมีโดย อิลซ่า อยู่มาก ซึ่งจริงๆส่วนหนึ่งก็ต้องโทษเวลาบนจอหนังที่ให้กับตัวละครนี้น้อยมากๆจนแทบจะไม่มีโอกาสสร้างมิติหรือปูเรื่องราวให้กับตัวละครเท่าไรนัก ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดาย




อีกสิ่งที่น่าผิดหวังอยู่บ้าง ก็คือบทภาพยนตร์อันสุดแสนจะธรรมดา ค่อนข้างจะจืดชืดและเดาทางง่ายอยู่มากของตัวภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าจะพยายามพลิกไปมา ใส่จุดหักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่ค่อยจะได้ผลซักเท่าไรนัก จะมีก็เพียงฉากเปิดตัว ซินดิเคท และ โซโลมอน เลน ในช่วงต้นเรื่องด้วยวิธีที่คาดไม่ถึงแต่โคตรเท่ห์เท่านั้น ที่พอจะสร้างความน่าตื่นเต้นให้ได้บ้าง


นี่ยังไม่นับถึงตรรกะอันหลุดโลกของตัวภาพยนตร์ที่ดูจะออกนอกแกแล็คซี่เข้าไปทุกวินาที จนแทบจะปราศจากซึ่งเหตุผลหรือข้ออ้างใดๆ ได้แต่แถไปเรื่อยเปื่อย แต่นี้ดูจะเป็นสิ่งที่คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเอาเข้าจริงก็คงจะพอให้อภัยได้ในบางโอกาส สำหรับภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อว่า Mission "Impossible"




แต่สิ่งที่น่าประทับใจและน่านำไปครุ่นคิดมากที่สุดของ Rogue Nation อย่างแท้จริงเลย ไม่ใช่ฉากแอ็คชั่นไล่ล่าอันน่าตื่นเต้น หรือ เหล่าตัวละครที่น่าหลงใหล แต่เป็นการตั้งคำถามถึงศีลธรรมในการตัดสินใจของตัวละคร ที่ลุ่มหลงไปกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและชัยชนะ โดยปราศจากซึ่งการคำนึงถึงความเดือดร้อน และภัยอันตรายที่จะส่งผลต่อผู้อื่น ของตัวละครเอกอย่าง อีธาน ฮันท์ ต่างหาก 


หรือกระทั่งคำกล่าวของเหล่าตัวละครร้าย ที่หาว่าเหล่าตัวละครเอกของเราพึ่งแต่สิ่งที่เรียกว่า "โชค" ในการเอาชีวิตรอดสถานการณ์อันยากลำบากต่างๆ ก็เช่นกัน  สุดท้ายแล้วทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นอะไรที่ยากจะปฏิเสธ โดยเฉพาะความจริงที่ชะตากรรมของเหล่าตัวละครเอกที่หากวันใดอับโชค ก็อาจนำมาซึ่งความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงอันน่าหวาดกลัว แต่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีได้เลยเสียจริง


Final Score: [ 7.5 / 10 ]

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Metro 2033 Redux ( 2014 ) Game Mini-Review


Metro 2033 Redux ( 2014 ) Game Review



Rating : R
Platform : PC


Metro 2033 Redux เป็นอีกหนึ่งเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งผสมกับสยองขวัญเล็กน้อย โดยฉบับ Redux เป็นเวอร์ชั่นที่เอา Metro 2033 ตัวเก่า มาปรับกราฟฟิคและระบบต่างๆให้ดียิ่งขึ้น


Metro 2033 เป็นเกมที่ว่าด้วยเรื่องราวของเมืองมอสโคว์ในโลกมนุษย์ที่พังทลาย (Post-Apocalyptic) มนุษย์ซึ่งอาศัยอยู่ตามสถานีรถไฟ ส่วนโลกด้านบนถูกปกครองโดยเหล่าสัตว์ประหลาดที่ถูกตั้งชื่อว่า "The Dark Ones" ตัวละครเอกของเราจึงต้องเดินทางไปตามที่ต่างๆเพื่อตามหาสิ่งที่จะมาทำลายเหล่าสัตว์ประหลาดนี้ และทวงเมืองมอสโคว์ที่พวกเขาเคยอยู่คืนมาให้ได้



นี้เป็นอีกหนึ่งเกมที่เรียกได้ว่าต้องแนะนำจริงๆเลย นี้ไม่ใช่เกมประเภท FPS ที่ยิงมั่วซั่ว วิ่งเข้าไปแรมโบ้แล้วจะสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ แต่เป็นเกมชนิดเอาชีวิตรอดจริงๆ ที่เวลาเล่นจะต้องคำนึงถึงจำนวนกระสุนที่ใช้ไปตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อกระสุนกลายเป็นค่าเงินในเกมอีกด้วย ยิ่งถ้าหากท่านคิดที่จะเล่นโหมดระดับยากๆขึ้นไป การเลือกที่จะหลบหลีกทุกการต่อสู้เท่าที่จะทำได้ดูจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปแรมโบ้ ปาระเบิดรัวๆ ไล่ยิงชาวบ้าน หรือ หลบหลีก ย่องเบาข้ามศัตรูไป ทุกทางก็สนุกและตื่นเต้นตลอดเวลา


ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่ๆก็คงจะต้องยกเครดิตให้กับการสร้างบรรยากาศในเกม ที่ให้ความรู้สึกว่าภัยอันตรายจะมาได้จากทุกทิศทุกทาง และทุกเวลา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เราอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งสร้างความน่ากลัว ความตึงเครียดให้กับบรรยากาศในเกมอย่างมาก รวมถึงตัวระบบยิงของเกมที่สนุก แต่ละปืนให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ถึงแม้ว่าจำนวนอาจจะดูน้อยไปหน่อย



ในด้านของตัวบทและเรื่องราวในเกม ถึงแม้ว่าตัวเกมจะสร้างโลกมนุษย์อันหายนะ และสิ้นหวังได้อย่างยอดเยี่ยม การดำเนินเรื่องและเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็ดูจะค่อนข้างซ้ำซากเดาง่ายอยู่มาก แม้กระทั่งฉากจบลับก็ยังไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ามันลับซักเท่าไรเลย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย สำหรับตัวเกมที่สร้างโลกออกมาได้อย่างน่าทึ่ง รวมถึงตัวเอกของเราที่ดันปฏิเสธที่จะพูดคำใดๆก็ตามนอกเหนือจากฉากโหลด ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน


จากประสบการณ์ที่เล่นมา ยังไม่ค่อยเจอบัคหรือGlitch ซักเท่าไรนัก จะมีก็เช่นพอกดเมนูขึ้นมาแล้วทำให้ Subtitle ย้อนกลับมาเริ่มใหม่ตั้งแต่แรก ทั้งๆที่ตัวละครพูดไปไกลมากแล้ว ในขณะที่ AI ศัตรูในเกมก็ค่อนข้างจะฉลาดน้อยพอสมควร บางทีเดินไปใกล้จนหน้าแทบจะติดกันแล้วยังไม่รู้ตัว หรือจ้องหน้ากันอยู่ก็ยังไม่รู้ตัว โชคดีที่ส่วนใหญ่ยังพอที่จะถูไถไปได้



แต่สิ่งที่น่าติที่สุดสำหรับ Metro 2033 Redux เลย ก็คือการแนะนำระบบการเล่นที่ย่ำแย่มากๆของเกม ตัวเกมนั้นแทบจะไม่แนะนำวิธีการเล่นแบบลึกๆลงไปเลย หรือบอกก็บอกได้แย่มากๆ เช่นไม่บอกว่าถอดหน้ากากยังไง ปาดฝุ่น/เลือดออกจากหน้ากากยังไง หรือกระทั่งใช้อาวุธสำรองพวกมีดและระเบิดยังไง ทำให้เราต้องมานั่งกดหาปุ่มเอาเอง ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อย



สุดท้ายแล้ว Metro 2033 Redux ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ และมีปัญหาอยู่บ้างไม่ใช่น้อย แต่ด้วยเกมเพลย์อันสนุกตื่นเต้น บรรยากาศอันน่ากลัว ตึงเครียด และการสร้างโลกมนุษย์อันสิ้นหวังได้อย่างยอดเยี่ยม ก็ทำให้นี้กลายเป็นอีกหนึ่งเกมที่ไม่ควรพลาด แม้ท่านอาจจะไม่ใช่ขาประจำเกม FPS ก็ตาม


Final Score : [ 7.5 / 10 ]

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Ant-Man (2015) Movie Review



Ant-Man ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติมดตะนอย"



   ถือได้ว่าเข้าสู่จุดสิ้นสุดของ Phase ที่ 2 สำหรับจักรวาลภาพยนตร์ของค่าย Marvel แล้วก็ว่าได้ จากการแนะนำตัวละครใหม่นี้อย่าง Ant-Man ซึ่งจะปูไปสู่ภาพยนตร์ใน Phase 3 อย่าง Captain America: Civil War หรือ Avengers 3 และภาพยนตร์ในอนาคตอีกมากมายที่ทางค่ายวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นปีๆ จะว่าไปแล้ว การมาของตัวละครนี้ถึงแม้จะดูผิดที่ผิดเวลา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายังไงก็คงต้องมาไม่ช้าก็เร็ว


Ant-Man ว่าด้วยเรื่องราวของ สก็อตต์ แลงค์ อดีตโจรกลับใจ ซึ่งได้รับชุดที่ทำให้เขามีพลังพิเศษขึ้นมาได้ เขาจึงต้องใช้พลังของเขาในการเข้าไปขโมยของบางสิ่ง ก่อนที่เหล่าวายร้ายจะได้ไป




ถึงแม้ว่านี้จะเป็นจุดสิ้นสุดของ Phase 2 แล้ว แต่ดูเหมือนว่าปัญหาของภาพยนตร์ Marvel ก็ยังมีให้เห็นกันอยู่เต็มตา โดยเฉพาะความเป็นสูตรสำเร็จ ซ้ำซากจำเจของตัวภาพยนตร์ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและปมขัดแย้งอันซ้ำซากน่าเบื่อเป็นสิ่งที่เราเคยเห็นมาแล้วในภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นๆไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนพาเอาทั้งจุดหักมุม หรือ จุดจบของเรื่องไม่น่าตื่นเต้นเอาเสียเลย ทุกอย่างมันดูแสนจะง่ายดาย ปราศจากความลำบาก ความลึกซึ้ง หรือชั้นเชิง


ซ้ำร้ายเข้าไปอีกก็คือเหล่าตัวละครทั้งหลายในเรื่องก็แบนราบอย่างกับแพนเค้ก ตั้งแต่ตัวละครเอกโจรกลับใจให้อารมณ์โรบินฮู้ดที่ดีแสนดีสวนทางกับบริบทที่เขาทำอยู่ ตัวละครร้ายที่ก็ร้ายชนิดที่แทบจะปราศจากสาเหตุ เป็นตัวละครร้ายชนิดที่ไม่ได้มีความน่าเห็นใจ หรือความน่าสนใจแม้แต่น้อย เอาแต่โหวกเหวกโวยวาย เรียกร้องบางสิ่งบางอย่างโดยปราศจากเนื้อหามารองรับ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะต้องโทษตัวภาพยนตร์เองที่ดันให้เวลาปูเรื่องราวของตัวละครร้ายค่อนข้างจะน้อย


ในขณะเดียวกัน Ant-Man ก็เป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเดินไปในทิศทางภาพยนตร์ตลกซะเยอะ แตกต่างจากภาพยนตร์ของ Marvel ส่วนใหญ่ในตอนนี้ที่ค่อนข้างจะไปในโทนจริงจังซะมาก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่กำลังจะเข้าสู่ Civil War ซึ่งอารมณ์ตลกในกรณีนี้ถือว่าไม่น่าประทับใจ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร เนื่องจากมุขตลกที่ก็ฮาบ้าง แปกบ้างเป็นปกติ





แต่สิ่งที่ทำให้ Ant-Man รอดตายไปได้เลยจริงๆ ก็คือการกำกับ เพย์ตัน รี้ด ที่กำกับฉากแอ็คชั่น และการใช้พลังของมนุษย์มุดออกมาได้อย่างตื่นตาตื่นใจ สนุก ตื่นเต้น เปลี่ยน Ant-Man จากต้นเรื่องอันหายนะยานอนหลับชั้นเลิศ มาเป็นกลางถึงท้ายเรื่องที่สนุก เพลิดเพลินทีเดียว


ยิ่งพอผสมผสานเข้ากับการแสดงอันยอดเยี่ยมของ ไมเคิล ดั๊กลาส และ อีแวนเจไลน์ ลิลลี ก็ทำให้ตัวละครและปมขัดแย้งอันจืดชืดของภาพยนตร์ ดูน่าสนใจขึ้นมาได้บ้าง




แต่สุดท้ายแล้ว Ant-Man ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ ที่เป็นได้แค่ทางผ่านไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในจักรวาลภาพยนตร์ของ Marvel ตอนนี้ เนื่องจากตัวภาพยนตร์ของมันเดี่ยวๆปราศจากซึ่งความน่าจดจำหรือสิ่งใดแปลกใหม่ เป็นแค่อีกหนึ่งภาพยนตร์ดาษดื่นที่เห็นได้ตามท้องตลาดทั่วไป


Final Score: 6 / 10

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Minions ( 2015 ) Movie Review


Minions (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ลูกสมุนวันยันค่ำ"


     ถ้าหากเมื่อใดก็ตาม ที่คุณเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเดินเข้าโรงผิด หรือใส่แผ่นผิดเรื่องรึเปล่า สิ่งที่จะทำให้คุณทราบได้ทันทีว่าภาพยนตร์ที่คุณชมอยู่คือ Minions ก็คงจะหนีไม่พ้นฉากเปิดตัวโลโก้ค่าย Universal ซึ่งแทนที่เพลงเปิดปกติ ด้วยการร้องเพลงสุดฮาของเหล่ามินเนี่ยน ที่เชื่อว่าแฟนๆเจ้าเหล่าตัวเหลืองคนไหนได้ชมก็คงจะลืมเสียงร้องเพลงนี้ไม่ลง


Minions แน่นอนว่าก็เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ เจ้าเหล่ามินเนี่ยน ลูกสมุนตัวเหลืองที่พาเราย้อนกลับไปสู่อดีตที่พวกเขาได้พบเจอกับจอมวายร้าย สการ์เล็ต จนเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย



ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าเหตุผลหลักๆในการมีตัวตนของภาพยนตร์มินเนี่ยนที่แยกออกมาจาก Despicable Me เดี่ยวๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่อง เงิน เงิน และเงิน จากกระแสความนิยมของเจ้าเหล่ามินเนี่ยนที่พุ่งสูงทะลุเพดาน ชนิดที่มีของเล่นมากมายหลายชนิด ยันเครื่องเล่นในสวนสนุกเป็นของตัวเอง


ซึ่งจะว่าไปแล้ว นั้นก็อาจเป็นหนึ่งในเหตุผล ที่ทำให้ Minions กลายเป็นภาพยนตร์ที่ขาดความน่าจดจำ ความแปลกใหม่ หรือแนวทางที่ชัดเจนก็เป็นได้



จากบทภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะซ้ำซาก สูตรสำเร็จเดิมๆ ที่ไม่มีความน่าสนใจหรือความสดใหม่แต่อย่างใด กระทั่งตัวละครหลักตัวใหม่อย่างสการ์เล็ตก็จืดชืด ไม่น่าจดจำแม้แต่น้อย เป็นตัวร้ายที่แบนราบ ถึงแม้ว่าภาพยนตร์พยายามจะยัดเยียดพื้นหลังมาปกปิดจุดอ่อนของตัวละครก็ตาม



ที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือภายใต้บทภาพยนตร์อันสุดแสนจะธรรมดานี้นั้น ปราศจากเนื้อหนัง หรือการสอดแทรกประเด็นที่น่าสนใจใดๆเลย แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องก่อนอย่าง Despicable Me ทั้งสองภาคที่แล้ว หรือกระทั่งภาพยนตร์อนิเมชั่นหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Toy Story , The Incredibles หรือ Big Hero 6 ที่สอดแทรกหรือสะท้อนเรื่องราวความเป็นมนุษย์(และของเล่น) นำสูตรสำเร็จของภาพยนตร์อนิเมชั่นมาประยุกต์ใช้ได้อย่างชาญฉลาด จนแม้แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถสัมผัสและเข้าถึงได้ไม่ต่างจากเด็กๆ ซึ่งดูจะเป็นจิ๊กซอว์ส่วนสำคัญที่ Minions ขาดหายไป



ถึงกระนั้นก็ตาม ความน่ารัก น่ากอด น่าหยิกของเจ้าเหล่าสมุนมินเนี่ยนตัวเหลืองเหล่านี้ ก็เป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความที่เราเป็นแฟนสมุนเหล่านี้มาตั้งแต่ Despicable Me ภาคแรก ทำให้สุดท้ายแล้ว Minions กลายเป็นภาพยนตร์ที่สนุก บันเทิงและพอที่จะให้อภัยได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่ามันจะไม่น่าจดจำเท่าที่ควรก็ตาม


Final Score : 6 / 10

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Terminator: Genisys (2015, อลัน เทย์เลอร์) Movie Review



Terminator: Genisys (2015 - อลัน เทย์เลอร์) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"รีสตาร์ทเครื่อง"



ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าเหตุผลใด Terminator ยังคงมีภาคต่อผุดออกมาได้เรื่อยๆอีก โดยเฉพาะหลังจากในภาคหลังๆที่ไม่ค่อยจะน่าประทับใจนัก


ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ว่า อาจจะมาจากข่าวลือที่ว่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ Terminator จะกลับไปอยู่ในมือของ เจมส์ คาเมรอน ในปี 2019 ก็เป็นได้


Terminator: Genisys ว่าด้วยเรื่องราวของ ไคล์ รีส หนึ่งในทหารกองทัพโค่นล้มสกายเน็ต ที่ถูกส่งกลับไปยังอดีตเพื่อปกป้อง ซาราห์ คอนเนอร์ จากภัยอันตราย แต่ระหว่างนั้นเองเขาก็ได้พบว่าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้เลย



สิ่งแรกที่พูดเลยว่าปฏิเสธได้ยาก ก็คือความบันเทิงที่ได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มากขนาดนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่อย่างน้อย Genisys ก็ไม่เคยให้ความรู้สึกน่าเบื่อ ชวนหลับแต่อย่างใด


นอกจากนั้นแล้วนักแสดงใหม่อย่าง เอมีเลีย คลาร์ก ก็รับบท ซาราห์ คอนเนอร์ ได้ยอดเยี่ยม น่าติดตามทีเดียว และการมาสมทบของ เจ.เค. ซิมมอนส์ ในบทเล็กๆก็ถือว่าเป็นโบนัสที่ยอดเยี่ยมทีเดียว น่าเสียดายที่ ไจ คอร์ทนี ผู้รับบท ไคล์ รีส อาจจะแสดงผลงานได้แบน ซ้ำซากไปนิด แต่ก็ยังอยู่ในจุดที่พอรับได้


แต่แน่นอนล่ะว่าบุคคลที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยเมื่อเรากล่าวถึง Terminator ก็คือ อาร์โนลด์ ชวาสเซเนเกอร์ ที่กลับมารับบท T-800 อีกครั้ง ซึ่งบทบาทของเขาก็เป็นอะไรที่สำคัญต่อภาพยนตร์เรื่องนี้มากทีเดียว และยังทำให้เราอดใจที่จะนึกถึงวันวานเก่าๆใน Terminator ภาคแรกๆไม่ได้เลย


อีกสิ่งที่น่าชื่นชม ก็คือทีมงานด้านซีจี คอมพิวเตอร์กราฟฟิค ของภาพยนตร์ที่สร้างสรรค์ภาพซีจีออกมาได้อย่างอลังการงานสร้าง ชวนขนลุก และเติมแต่งสีสัน ความน่าสนใจ น่าติดตามให้กับภาพยนตร์ไม่ใช่น้อย



แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลายสิ่งที่ Terminator: Genisys สร้างสรรค์ออกมาได้ยอดเยี่ยม  มีหลากหลายสิ่งยิ่งกว่าที่ Genisys ล้มเหลว ซ้ำร้ายสิ่งที่ล้มเหลวเหล่านี้ก็ดันเป็นส่วนสำคัญในองค์ประกอบภาพยนตร์อีกด้วย


เช่น การกำกับของ อลัน เทย์เลอร์ ที่ยังคงทำได้แค่สอบผ่านคาบเส้นยาแดงผ่าแปด ไม่ต่างกับผลงานเก่าอย่าง Thor: Dark World จากฉากแอ็คชั่นที่สุดแสนจะจืดชืด  ปราศจากความตื่นเต้น หรือ ความคิดสร้างสรรค์แต่อย่างใด


หรือบทภาพยนตร์ที่พยายามจะใหญ่เกินตัว ใหญ่เกินความสามารถ จนทำให้ตัวภาพยนตร์ออกมาเต็มไปด้วย ตรรกะและเหตุผลอันเบาบางอย่างกับขนนก ตอกย้ำประเด็นเดิมๆ ซ้ำซากน่าเบื่อ ขาดซึ่งความหมายหรือชั้นเชิงใดๆ เช่น มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ หรือ ความเป็นไปได้ที่หุ่นยนตร์อาจจะมีจิตใจ ซ้ำร้ายความสัมพันธ์ระหว่าง ไคล์ รีส และ ซาราห์ คอนเนอร์ ยังถูกยัดเยียดเข้ามาอย่างน่ารำคาญอีกด้วย



สุดท้ายแล้ว Terminator: Genisys ก็เป็นภาพยนตร์ที่อาจจะไม่ได้ถึงขนาดย่ำแย่มากมายนัก อย่างน้อยนี้ก็เป็นภาพยนตร์ที่ไม่รู้สึกน่าเบื่อ ชวนหลับระหว่างชม แต่สถานะของ Genisys ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ยังคงห่างไกลจากคำว่ายอดเยี่ยม หรือ น่าจดจำอยู่มากนัก ไม่แน่ใจว่ามาจากตัวภาพยนตร์ชุดนี้ ที่อาจจะหมดยุคของมันแล้วก็เป็นได้รึเปล่า ณ เวลานี้ เราก็คงได้แต่หวังว่า เจมส์ คาเมรอน จะมาชุบชีวิตภาพยนตร์ชุดนี้ ให้กลับขึ้นมาผงาดได้อีกครั้งหนึ่ง


Final Score [ 6  / 10 ]

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

It Follows ( 2015 ) Movie Review



It Follows ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"มันจะตามมา"


 ะเรียกได้ว่าเป็นอีกปีหนึ่งของคอหนังสยองขวัญก็ว่าได้ จากปีที่ผ่านๆมามีภาพยนตร์อย่าง The Conjuring ที่ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์สยองขวัญยุคเก่า หรือ The Babadook สุดยอดภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติออสเตรเลียที่ถ่ายทอดเรื่องราวจิตวิทยา ความสูญเสียของคนในครอบครัว ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ตรึงตาตรึงใจ ซึ่ง It Follows ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สยองขวัญที่พยายามจะสร้างความประทับใจให้กับวงการภาพยนตร์สยองขวัญอีกครั้งหนึ่ง


It Follows ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาววัยรุ่นที่พบว่าตัวเธอกำลังถูกอะไรบางอย่างตามมาอย่างไม่หยุดพัก ท่ามกลางภัยอันตรายที่อาจจะมาจากทิศใดเวลาใดก็ได้ เธอจึงต้องหาทางรอดชีวิตไปให้ได้




ต้องขอพูดก่อนเลย ว่าถ้าหากพูดถึงในด้านของอารมณ์ต่างๆในภาพยนตร์ ความสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึก It Follows ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่สอบผ่านคาบเส้น หรือเกือบจะตกด้วยซ้ำไป


จากในช่วงต้นเรื่องที่ตัวภาพยนตร์เล่าเรื่องออกมาได้อย่างตื่นเต้น ด้วยการเคลื่อนไหวของกล้องอันน่าทึ่ง เทคนิคถ่ายต่อเนื่อง Long Take อันตระการตา และความที่ตัวภาพยนตร์ทำให้เรารู้สึกว่าผีปีศาจตนนี้จะมาจากทิศทางไหนในภาพยนตร์ก็ได้ ก็พาเอาเราพยายามกวาดสายตามองถึงผีตนนี้อยู่แทบจะทุกวินาทีในภาพยนตร์แบบไม่หยุดหย่อน ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็ใช้ที่ว่างหรือ Space ในภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม


แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง ตัวภาพยนตร์ก็ยังคงใช้มุขเดิมซ้ำๆซากๆ รวมถึงฉากผีตุ้งแช่ Jump Scare ที่มีโผล่มาให้รำคาญอยู่บ้างเป็นระยะๆ จึงทำให้รู้สึกว่าภาพยนตร์นั้นเดินย่ำอยู่กับที่ สร้างความน่าเบื่ออยู่ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะฉากจุดสูงสุด Climax ท้ายเรื่องที่ไม่ได้รู้สึกน่าตื่นเต้นแต่อย่างใดเลย



ที่น่าสนใจ ก็คือความที่ It Follows เป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่ได้ให้ข้อมูลกับผู้ชมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากเลย เช่น ใครเป็นคนเริ่มวัฏจักรที่ไม่มีสิ้นสุดนี้คนแรก ผีตนนี้ต้องการอะไร มีวิธีไหนที่จะกำจัดหรือหลบผีตนนี้อย่างตลอดกาลได้ไหม หรือกระทั่งความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวแบบฉับพลันที่ว่า ทำไมเหล่าตัวละครเอกจึงไม่ลองหนีไปทางเรือ หรือ เครื่องบินมันซะเลย ก็เป็นอะไรที่คอยแทรกเข้ามาในหัวระหว่างชมอยู่ตลอดเวลา


แต่เป็นไปได้หรือไม่ ว่านั้นเป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการอยู่แล้ว  เพราะเมื่อลองมานั่งครุ่นคิดดู ส่วนหนึ่งตัวผู้กำกับอาจจะไม่ต้องการที่จะให้เหตุผลหรือหลักการอะไรกับผู้ชมมากจนเกินไป และอยากให้ผู้ชมเพ่งเล็งไปในสิ่งที่ตัวผู้กำกับ หรือ ทีมผู้สร้างต้องการจะสื่อถึงจริงๆ 




ซึ่งนั้นก็คือการสะท้อนถึงการแบกความรับผิดชอบจากทุกๆการกระทำในชีวิตมนุษย์ที่จะคอยตามหลอกหลอนเราไปไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าการกระทำนั้นจะดีหรือเลว และสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดเลย ก็คือความจริงที่เราไม่อาจจะหนีพ้นสิ่งๆนี้ได้นั้นเอง


Final Score : [ 7 / 10 ]