วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Wolverine ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
พี่วูฟกลับมาแว้วววว !!




Movie Name : The Wolverine ( 2013 ) , Action / Adventure / Fantasy
Director : James Mangold ( Knight And Day ) 
Stars : Hugh Jackman ( Les Miserables , Movie 43 , X-Men Trilogy) , Tao Okamoto , Rila Fukushima , Svetlana Khodchenkova ( Tinker Tailor Solider Spy ) , Hiroyuki Sanada ( The Last Samurai ) , Hal Yamanouchi ( Push ) 
Rating : PG -13









REVIEW


                                                                                    Wolverine นั้นสำหรับในจักรวาล Marvel หรือ ในกลุ่ม X-Men นั้นถือได้เลยว่าเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งที่สำคัญมากถึงมากที่สุด โดยไม่ต้องสงสัย บางทีถ้าใครจะพูดถึง X-Men จะต้องพูดถึง Wolverine เป็นตัวละครแรกก็คงจะไม่แปลกอะไรเลย Wolverine ในภาคนี้นั้นจะเป็นเรื่องราวที่ต่อจาก X-Men : The Last Stand (ภาค3) เลยครับผม เพราะ ฉะนั้นท่านใดที่ยังไม่ได้ชม X-Men สามภาคแรกมาก่อนแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่า เชยยยยยยย อ่ะ และ ดูไม่ค่อยจะรู้เรื่องแน่นอนครับ และต่อให้ดูรู้เรื่อง ผมก็คงไม่แนะนำให้ไปดูเท่าไร เพราะ มันจะทำให้คุณเสียอารมณ์ในสิ่งที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะสื่อ ส่วนสำคัญไปพอสมควรเลยทีเดียว 


The Wolverine หลังจากที่ผมได้ข่าวมาว่าคราวนี้จะไปที่ญี่ปุ่น ไม่รู้นะตอนแรกผมนึกภาพไปๆมาแล้ว ผมคิดไว้ก่อนเลย "จะห่วยไหมเนี้ย"  ยิ่งกระแสต่างๆหลังจากภาพยนตร์เข้าฉายทั้งในไทย และ ในต่างประเทศก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะ เสียงค่อนข้างจะแตกมากๆ โดย เท่าที่ผมฟังๆมา ในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะบอกว่าค่อนข้างน่าผิดหวังซะเป็นส่วนมาก (ซึ่งตอนผมดูจบผมเข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงผิดหวังกัน) ในขณะที่ นักวิจารณ์ต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นใน Youtube ที่ผมติดตามอยู่กลับไปทางคนละด้านเลยเพราะให้คะแนนกันค่อนข้างจะสูงมากเลยทีเดียว รวมไปถึงใน Rotten Tomatoes ที่ตอนแรกมีคะแนนถึง 70% (ซึ่งถ้าใครที่ติดตามวงการภาพยนตร์มานานจะทราบว่า เว็ปมะเขือเน่าโหดมาก หนังเรื่องไหนถ้าห่วยจริงนี้ อาจจะร่วงไปเหลือ 0% ไม่รู้ตัว และ ผมค่อนข้างจะเชื่อถือเว็ปมะเขือเน่าเป็นอันดับหนึ่งเสมอๆ) ทำให้ผมเริ่มรู้สึกตื่นเต้น และ อยากดู The Wolverine มากขึ้นจริงๆ



The Wolverine ในภาคนี้นั้น จุดเด่นของมันเลยก็คือ Character Development หรือ การพัฒนาของตัวละครอย่างชัดเจนเลยจริงๆ ซึ่งใน The Wolverine นั้นทำได้ดีมากอย่างเหลือเชื่อ มากจนผมอธิบายไม่ถูกจริงๆ เพราะ หลังจากเหตุการณ์ใน The Last Stand โลแกน จะต้องประสบเจอกับหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง และ ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาจะต้องสู้กับจิตใจของตัวเอง จากสิ่งที่เขาได้ทำลงไปใน The Last Stand (ถึงแม้เขาจะไม่อยากทำเลยแม้แต่น้อยก็ตาม) ในตอน ณ จุดนี้ของเรื่อง เขาตั้งคำถามกับตัวเองหลายสิ่งหลายอย่างมาก  ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เราจะเห็นตัวละครของเขาพัฒนาไปมากจริงๆ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบตัวละครนี้ด้วยอยู่แล้วคุณจะยิ่งชอบเรื่องนี้มากอีกสิบเท่าได้ หรือ แม้กระทั่งถ้าคุณได้ชม X-Men ภาคที่แล้วๆมาคุณจะรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้อย่างง่ายดาย และ ทุกๆครั้งที่คุณคอยเอาใจช่วยตัวละครนี้สุดๆเลยจริงๆ ทุกครั้งที่เขาโดนยิง หรือ กำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่ลำบากคุณมักจะเอาใจช่วยเขาเสมอๆให้ผ่านเหตุการณ์นั้นๆไปให้ได้


การเล่าเรื่องใน The Wolverine นั้นก็ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำได้สุดยอดจริงๆ เพราะ เป็นการเล่าเรื่องที่สนุก น่าติดตาม และ ตื่นเต้นจริงๆ หลายๆครั้งคุณแทบจะรู้สึกร่วมไปกับตัวละครอย่างง่ายดาย เพราะ การเล่าเรื่องที่ลื่นไหล น่าเชื่อถือ และ น่าติดตามนี้ของ James Mangold รวมไปถึงตัวละครใหม่ๆหลายตัว ที่น่าสนใจ และมีส่วนสำคัญในเรื่องทุกตัวละครอีกด้วย ไม่มีตัวละครใดเลยที่เหมือนมีมาเพื่อเอาไว้โยนทิ้ง หรือ แค่เพียงมาให้ตัวเอกของเรากระทืบเล่นเฉยๆ 


บทใน The Wolverine นั้นถือว่าค่อนข้างจะดีมากเลยทีเดียว เพราะ เป็นบทที่ Support สิ่งที่ภาพยนตร์หรือผู้กำกับต้องการจะสื่อได้อย่างดีมาก นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังพูดถึงเรื่องราว วัฒนธรรม และ หลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง ของญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจมากๆอีกด้วย ซึ่งนั้นเป็นการสื่อว่า พวกเขาได้ศึกษา แล้วทำการบ้านมาแล้วจริงๆ ไม่ใช่มาถึงเอาประเทศไหนก็ได้ หรือ แค่เหตุผลที่ว่าประเทศญี่ปุ่นสวยดี นอกจากนั้นแล้วหลายๆครั้งที่คุณชมภาพยนตร์หลายๆเรื่อง แล้วคุณรู้สึกว่า บทนั้นเอาตัวละครไหนมาแทนก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นตัวละครนี้เลย แต่ไม่ใช่เลยใน The Wolverine ไม่มีตัวละครใดๆเลยที่จะมาแทน Wolverine ได้เลยในบทนี้ นี้คือบทที่เหมาะสมที่สุด และ ดีที่สุดเลยจริงๆ สำหรับการเล่าเรื่องของ Wolverine ในจุดนี้



ยิ่งผมได้ชม The Wolverine ในภาคนี้แล้วนั้นทำให้ผมยิ่งคิดว่า คงไม่มีใครมาแทน Hugh Jackman ได้แล้วจริงๆสำหรับบทนี้ เขานั้นดูจะเหมาะสมกับบทตัวละคร Wolverine ไปหมดเสียทุกด้าน คล้ายๆ Robert Downey Jr. ในบท Iron Man หรือ โทนี่ สตารค์เลยจริงๆ คงไม่มีใครมาแทนได้จริงๆ และ ถ้าหากจะมีใครมาแทน เขาคนนั้นจะต้องคิดหนักแบบหนักมากจริงๆเลยทีเดียว



สำหรับท่านใดที่เข้าไปชม The Wolverine เพื่อที่จะไปดูฉาก Action ฟันเละเทะ ระเบิดบ้าน เผากระท่อม ปล่อยพลังคลื่นเต่า บอกได้เลยว่าคุณผิดหวังอย่างแน่นอน และผมพอที่จะเข้าใจเลยว่าทำไมบางท่านถึงได้ผิดหวัง เพราะหลายๆคนนั้นเข้าไปดู The Wolverine เพื่อฉาก Action เหล่านั้นจริงๆ  แต่ถึงกระนั้น นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ขอโทษตัวภาพยนตร์หรือตัวหนังเลยแม้แต่น้อย เพราะ The Wolverine ในภาคนี้นั้นไม่ใช่เพียงแค่ Mutant โดดไปโดดมา มีกรงเล็บ มี Healing Factor หรือ แค่มีอาดาแมนเที่ยม อยู่ในตัวอีกต่อไป แต่ เขาคือ " The Wolverine " 





The Wolverine เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องในซีรียส์ภาพยนตร์ X-Men ที่ดีและสุดยอดอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นบทที่น่าสนใจ น่าติดตาม สนุก และ Support สิ่งที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะสื่อได้ดี การพัฒนาของตัวละครอย่าง Wolverine ที่พัฒนาไปอย่างเห็นได้ชัด การพัฒนาของเขานั้นน่าสนใจ น่าติดตามเป็นที่สุด และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอยกเครดิตให้กับ James Mangold ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวที่เล่าเรื่องออกมาได้อย่างดีมากจริงๆ  และ หลังจาก X-Men : First Class ที่แทบจะขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ที่ผมชอบมากที่สุดแล้วนั้น ยิ่งได้มาดูความสุดยอดอย่างไม่น่าเชื่อของ The Wolverine ในปีนี้แล้ว ผมแทบจะอดคิดและคาดไม่ได้เลยจริงๆ ว่า X-Men ภาคต่อไป  ที่มีชื่อว่า X-Men : Days of Future Past นั้นจะทำอะไรได้บ้าง และ ผมคงไม่แปลกใจเลยถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนั้นจะเป็นภาพยนตร์ X-Men ที่ดีที่สุดตลอดกาล ยิ่งตอน End Credit ของ The Wolverine ที่พูดได้แค่ว่า "AWESOMEEEEEEEEEEEEEEE" ยิ่งทวีความอยากดูของผมเข้าไปอีกร้อยเท่าได้ 


The Best Quote from " The Wolverine "
"Trust me, bub, you don't want what I got." - Wolverine



จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ Character Development หรือ การพัฒนาของตัวละครที่น่าสนใจ น่าติดตาม 
+ ตัวละครที่น่าสนใจ น่าติดตาม มีคาแรกเตอร์ หรือ ความคิดเป็นตัวของตัวเอง
+ ตัวละครใหม่ที่น่าสนใจ และ มีส่วนสำคัญกับตัวเนื้อเรื่องหมดทุกตัวละคร
+ การเล่าเรื่องที่สุดยอด ทำให้คุณรู้สึกเชื่อในสิ่งต่างๆในภาพยนตร์ และ คุณรู้สึกไปกับตัวละครหลักอย่าง โลแกน หรือ วูฟเวอรีน เป็นอย่างมาก
+ บทที่น่าสนใจ Support ในสิ่งที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะสื่อได้อย่างดีเยี่ยม และ เป็นบทที่เหมาะสมกับ Wolverine และ เรื่องราวในภาคนี้แบบที่ไม่มีตัวละครใดมาแทนได้
+ Hugh Jackman ที่แสดงให้เห็นแล้วว่า บทนี้ไม่มีใครมาแทนเขาได้จริงๆ



จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- ?




Final Score : [ A ] & [ MUST SEE BADGE ]

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Red 2 ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
ภาพยนตร์ภาคต่อมักจะห่วยกว่าภาคแรกเสมอ จริงหรือ ? (ดูท่าจะจริง)





Movie Name : RED 2 ( 2013 ) , Action / Comedy
Director : Dean Parisot ( Home Fries ) 
Stars : Bruce Willis ( Die Hard ) , Helen Mirren ( RED , The Queen ) , John Malkovich ( RED ) , Mary-Louise Parker ( RED ) , Anthony Hopkins ( Thor ) , Byung-hun Lee ( G.I. Joe ) ,  Catherine Zeta-Jones ( Chicago , Broken City ) , Brian Cox ( RED , Troy )
Rating : PG-13






REVIEW
                                     


                                                                                    Red 2 นั้นเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ RED เมื่อปี 2010 ซึ่ง RED ภาคแรกนั้นถือว่าเป็นภาพยนตร์ Action / Comedy ที่ผมชอบมากที่สุดอีกเรื่องนึงเลยทีเดียว โดยปกตินั้นหลายๆคนมักจะพูดว่า ภาพยนตร์ภาคต่อมักจะห่วยแตกมากกว่าภาคแรกเสมอๆ ซึ่งเราก็คงเห็นตัวอย่างกันไปชัดเจนแล้วกับ A Good Day To Die Hard ที่ทำให้แฟนๆ Die  Hard ทั่วโลกอยากร้องไห้ ซึ่งแม้แต่ผมเองที่ไม่ได้เป็นแฟน Die Hard  เลย ยังรู้สึกได้ถึงความโกรธ และ ความเศร้า อย่างบอกไม่ถูก สำหรับ RED 2 นั้นดูจาก Cast หรือ นักแสดงใหม่แล้ว ผมค่อนข้างตื่นเต้นทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Byung-hun Lee จาก G.I. Joe หรือ แม้กระทั่ง Anthony Hopkins ที่คงไม่ต้องสาธยาย ว่าเขาทำผลงานระดับตำนานหลายๆเรื่องมาแล้วใน Hollywood และ ถือเป็นนักแสดงระดับตำนานอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว RED 2 นั้นก่อนชม ผมค่อนข้างจะได้ยินเสียงมาเป็นหลายส่วนเลยทีเดียว บางคนก็บอกว่าสนุกกว่าภาคแรก บางคนก็บอกว่าสนุกแต่ไม่เท่าภาคแรกเลย บางคนก็บอกว่าห่วยก็มี (โดยเฉพาะ Metacritic ที่หล่นจาก 61 เหลือ  47 และ Rotten Tomatoes จาก 72% เหลือ 40% )  ณ จุดนี้สำหรับคนดูอย่างผมที่ชอบ RED ภาคแรกมากๆนั้น ขอให้มันไม่แย่ก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดเทียบภาคแรกได้หรอก


RED 2 นั้นได้เปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็น Dean Parisot ซึ่งภาพยนตร์ที่เขากำกับมาก่อนหน้านี้นั้นส่วนใหญ่จะเป็นภาพยนตร์ตลกเสียมากกว่า ส่วนผู้กำกับ RED ภาคแรกนั้นสำหรับ Robert Schwentke ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพี่แกดันไปสร้างภาพยนตร์อีกเรื่องมาแข่งกับ RED 2 ซึ่ง RED ภาคแรกแกเป็นคนกำกับเองแท้ๆ ซึ่งเรื่องนั้นก็คือ R.I.P.D ซึ่งไม่รู้ว่าผมจะดีใจหรือเสียใจดี เพราะ R.I.P.D นั้นนักวิจารณ์และคนดูต่างประเทศ เสียงค่อนข้างจะไปทางเดียวกัน คือแย่ถึงแย่มากเลยทีเดียว

RED 2 อาจจะเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า บางทีคำพูดที่ว่า "ภาพยนตร์ภาคต่อมักจะห่วยกว่าภาคแรกเสมอๆ" อาจจะเป็นจริงก็เป็นได้

จุดแรกที่ผมไม่ชอบมากที่สุดในภาคนี้คือ การที่ตัวผู้กำกับนั้นโฟกัสได้อย่างผิดจุดมากๆ เพราะ ตัวหนังนั้นจริงๆแล้วมันควรจะเป็น Action / Comedy แต่ในบางฉากตัวหนังก็โฟกัสไปที่ Romance ซะจนงงว่าตกลงจะให้กลายเป็นหนัง Romance ไปเลยไหม หรือ บางช่วงตัวหนังก็โฟกัสไปที่การสืบสวนมากเกินไปจนพางงอีกเช่นกันว่านี้ตกลงจะเป็น หนังสืบสวนแทนอีกแล้วใช่ไหม มันทำให้ส่วนเหล่าๆนี้ที่ตัวผู้กำกับโฟกัสผิดทาง ไปทับส่วนอื่นของหนังไปหมด จนมันแทบจะไม่เหลือความเป็น Action / Comedy แล้ว แถมในหลายๆช่วงสิ่งที่เขาโฟกัสมันก็ค่อนข้างจะแย่จนพาน่าเบื่อไปอีกด้วย ยังไม่รวมถึงหลายๆฉากที่หาความสมเหตุสมผลไม่เจออีกทั้งๆที่บางส่วนตัวหนังก็เป็นคนอธิบายแท้ๆ แต่พอฉากถัดมาตัวผู้กำกับก็เหมือนจะลืมๆส่วนนั้นไปเพื่อให้หนังมันเดินต่อไปได้ รวมไปถึงการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะแย่ เพราะ ตัวหนังโฟกัสผิดที่มันก็แย่อยู่แล้วสับสนพอประมาณอยู่แล้ว เล่าเรื่องก็แย่เข้าไปอีก มันทำให้บางส่วนของหนังพางงว่าตกลงมันเกิดอะไรยังไงกันแน่


ฉาก Climax สุดท้ายของหนังใน RED ภาคแรกนั้น เป็นฉาก Climax ที่รู้สึกได้ว่า สนุก เท่ ฉลาดจริงๆ แต่ฉาก Climax ใน RED 2 นั้น ฮืมมมม์  มันเป็นฉาก Climax ที่ผมโคตรจะเกลียด เพราะ มันช่างไม่สมเหตุสมผล และไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย เหมือนใส่ๆมันเข้าไปเพื่อให้หนังมันจบได้ไปอย่างงั้น และ ตัวหนังเองก็ไม่แม้แต่สนใจที่จะอธิบายฉากนั้นด้วยซ้ำไป


ตัวละครใน RED 2 นั้นตัวละครบางตัวอย่างน้อยก็ยังถือว่าเป็นแสงเล็กน้อยที่อยู่ท่ามกลางความมืดและสิ้นหวังนี้ได้อยู่บ้าง อย่างเช่นตัวละครของ Catherine Zeta-Jones ที่(โคตร)สวย Sexy ในหลายๆฉากเธอทำให้ตัวหนังสนุกขึ้นมาได้พอสมควรเลยทีเดียว นอกจากนั้นตัวละครของเธอ ยังมีอะไรคล้ายๆกับตัวละครของ Karl Urban ตัวร้ายในภาคแรกอีกด้วย ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากๆ นั้นแหละครับ จบและ แค่นั้นแหละ ตัวละครเก่าของ RED นั้นทำอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกว่าหยั่งกะเป็นคนละเรื่องจาก RED ภาคแรกเลย เพราะ RED ภาคแรกนั้นในหลายๆฉากคุณจะรู้สึกได้โดยเฉพาะ Frank ตัวละครของ Bruce Willis ว่าเขาฉลาดจริงๆ เขาเก่งจริง ไม่ใช่แค่เพราะหนังอวยว่าเทพเฉยๆ แต่ใน RED 2 เหมือนตัวละครเหล่านี้ทำอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้คุณสงสัยว่านี้มันตัวละครเดียวกับตัวละครในภาคแรกหรอ เพราะ ตัวละครเหล่านี้เหมือนจะถูกลดลงมาเหลือแค่ ตัวละครในหนัง Action ทั่วๆไป เดินตามบทเฉยๆ ยังไม่นับถึงตัวละครเหล่านี้ ที่น่าสนใจน้อยลงอย่างมาก เพราะ ตัวหนังดันไปโฟกัสผิดที่ 



ถ้าคุณหวังว่าตัวละครของ Anthony Hopkins จะดีละก็เตรียมตัวผิดหวังได้เลย ตัวละครของเขานั้นจริงๆตอนแรกนั้น ผมคิดว่าน่าจะเป็นสีสันให้กับตัวหนังได้เลยทีเดียว แต่เนื่องจากผลที่มาจากบทที่สุดแสนจะหลงทางของหนังทำให้ตัวละครนี้ดันเปลี่ยนไปอีกแบบ ซึ่งเหมือนเปลี่ยนจากทองไปเป็นขอนไม้เน่าๆผุพังซะอย่างงั้น รวมไปถึงความสมเหตุสมผลของตัวละครที่เหมือนโยนๆเข้ามา อธิบายแค่ 2 วิ พอจบ เหมือนไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าตัวละครนี้มันจะสมเหตุสมผลไหม ตัวละครของ Byung-hun Lee ที่น่าจะสร้างความสนุกในตัวหนังได้มากพอตัวเลยทีเดียว แต่ตัวละครของเขาเหมือนจะถูกทำลาย เพราะ หลายๆอย่างมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยกับสิ่งที่ตัวหนังบอกอย่างนึงแต่บางฉากกลับทำอีกอย่าง แล้ว มันลากให้ตัวละครของเขาพาไม่สมเหตุสมผลไปด้วย  ซึ่งผมไม่ขอโทษนักแสดงเหล่านี้เลย ไม่ว่าจะเป็น Anthony Hopkins หรือ Byung-hun Lee แต่ผมขอโทษไปเต็มๆที่ บท และ ผู้กำกับที่กำกับได้อย่าง งงงวยสุดๆ


Brian Cox อย่างที่ผมบอกไปแล้วในรีวิว RED ภาคแรก ผมคิดว่า RED ในภาคแรกเขาเป็นอีกตัวละครที่เหมือนจะถูกลืม ทั้งๆที่เป็นตัวละครที่น่าสนใจ น่าติดตาม สนุก ตลก รวมไปถึงโคตรเท่  ในตอนแรกนั้นผมค่อนข้างจะเป็นห่วงว่าภาคนี้จะไม่มีป๋าแกอีก แต่พอได้รู้ว่าภาคนี้ป๋าแกมาแสดงด้วยทำให้ผมยิ่งอยากดู RED 2 มากขึ้น ซึ่งในภาคแรกนั้นผมคิดว่าตัวเขานั้นมีบทน้อยอยู่แล้ว แต่ภาคนี้ดันกลับมีบทน้อยยิ่งกว่าเดิม รวมๆทั้งเรื่องไม่ถึง 2 นาที หรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ ทำให้ผมรู้สึกเสียดายอย่างมาก เพราะ ผมคิดว่าตัวละครของเขาน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่นี้เหมือนจะใส่ๆมาให้มีเฉยๆ ทั้งๆที่บทแทบจะไม่มีอะไร และ ไม่โผล่มาเลยยังได้ (แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีล่ะมั้ง)



สิ่งที่น่าเจ็บใจและน่าเศร้าใจที่สุดก็คือ RED ภาคแรกนั้นมี Potential หรือ ความเป็นไปได้ที่ทิ้งเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการรีไทร์ของพวกเขาแต่ละคน ฉาก Action ต่างๆที่ ณ จุดนี้ต่อให้เวอร์เท่า Die Hard ก็คงจะไม่แปลกอะไรแล้ว หรือ อื่นๆอีกมากมาย แต่ ในภาคนี้เหมือน ผู้กำกับจะโยนทุกอย่างทิ้ง และ มันทำให้ RED 2 กลายเป็นภาพยนตร์ที่หลงทางสุดขีดแทน  ยังไม่นับถึงตัวหนังที่ทั้งเรื่องมีอยู่แค่สองอย่างสองอารมณ์คือ ธรรมดาเรื่อยๆ เฉยๆ และ น่าเบื่อจนทำให้ผมคิดว่า "เมื่อไรจะจบ" ถึงแม้ตัวหนังจะมีไอเดียที่น่าสนใจอย่างเช่น ในช่วงเปิดเรื่อง และ บางช่วงที่ใช้การตัดไปอีกฉากด้วยการใช้การ์ตูนเหมือนเราได้อ่านหนังสือการ์ตูน (เนื่องจาก RED นั้นเป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากการ์ตูนในชื่อเดียวกันของ WildStorm Comics ซึ่งตอนนี้อยู่ในเครือของ DC Comics) ตัวละครใหม่อย่าง Catherine Zeta-Jones และ ฉาก Action บางฉากที่พอสนุกได้บ้าง แต่นั้นก็ไม่สามารถที่จะช่วยอะไรตัวหนังได้เลย เพราะ ปัญหาที่ตัวหนังเจอนั้นตอนนี้มันหนักกว่าเยอะ





RED ในภาคแรกนั้น มันเป็นภาพยนตร์ที่ช่างสุดยอด สนุก ตลก Element ต่างๆที่ดีมากๆในตัวภาพยนตร์ แทบทุกๆอย่างในหนังมันเหมือนจะดูดีไปหมด แต่พอมาใน RED 2 ผู้กำกับคนใหม่ใส่ความพยายามที่จะทำให้มันเป็นมากกว่า RED หรือ มากกว่าหนัง Action / Comedy ทั้งๆที่ของเก่ามันก็ดีอยู่แล้ว และ ตัวแกเอง Element หลายๆส่วนก็ทำได้แย่อยู่แล้ว เหมือนเอา อะไรแย่ๆ มาผสมกับอะไรแย่ๆ ที่หลงทางมั่วซั่วกันไปหมด จนเละเทะไปหมด และ จาก RED ภาคแรก กลายเป็น RED 2 ที่แทบไม่เหลืออะไรอีกเลย นอกจาก ซากปรักหักพัง เต็มไปด้วย บทที่สุดแสนจะหลงทาง ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่หาความสมเหตุสมผลไม่เจอ ทั้งๆที่บางส่วนตัวหนังก็เป็นคนอธิบายเองแท้ๆ แต่เหมือนกลับว่าใส่ๆมันไปเหอะ เพื่อให้หนังมันเดินต่อไปได้  รวมไปถึงฉากจบที่สุดแสนจะน่าผิดหวัง ขี้เกียจ ไร้เหตุผล ไร้การอธิบาย และใส่ๆมาเพื่อให้หนังมันจบได้ การเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะแย่และมั่วไปหมดจนบางครั้งคุณสับสนว่าตกลงมันยังไงกันแน่ ยังไม่รวมถึงตัวหนังที่มีอยู่ 2 อารมณ์ คือ เฉยๆเรื่อยๆ กับ น่าเบื่อจนต้องคิดว่า"เมื่อไรจะจบ" และ 2 อารมณ์นี้ก็อธิบายคุณภาพของ RED 2 ได้เป็นอย่างดี เพราะ RED 2 มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ


จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ Catherine Zeta-Jones ที่ สวย Sexy และ ตัวละครของเธอมีความคิดคล้ายๆกับตัวละครของ Karl Urban ใน RED ภาคแรก 
+ การเปิดเรื่องและการตัดไปอีกฉากด้วยวิธีที่ทำให้ดูเหมือนอ่านหนังสือการ์ตูน
+ ฉาก Action บางฉากที่พอสนุกได้บ้าง



จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด
- บทที่สุดแสนจะหลงทางจะ Action ก็ไม่ Action จะ สืบสวนก็ไม่สืบสวน จะตลกก็ไม่ตลก จะหนังรักก็ไม่ใช่อีก มันทำให้ตัวภาพยนตร์ไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
- ตัวละครเก่าหลายๆตัวที่ทำให้สงสัยว่านี้คือตัวละครเดียวกับ RED ภาคแรกจริงหรือ เพราะ เหมือนจากเปลี่ยนจาก นักฆ่าระดับเทพโคตรอันตราย เหลือ นักฆ่าเฉยๆ 
- ความรู้สึกของตัวภาพยนตร์มีตั้งแต่ เฉยๆ เรื่อยๆ ไปจนถึง น่าเบื่อ 
- ตัวละครของ Anthony Hopkins ที่น่าจะเป็นตัวละครที่น่าสนใจ และ น่าจะเป็นสีสันของตัวภาพยนตร์ได้มาก แต่เนื่องจากบทที่หลงทางของภาพยนตร์ทำให้ตัวละครเปลี่ยนไปจนเหลือ แต่ ตัวละครที่ไม่น่าสนใจ ไม่น่าติดตาม ไม่สนุกเอาเสียเลย และใส่ๆเหตุผลมา 2 วิพอ เหมือนไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าตัวละครนี้มันจะสมเหตุสมผลหรือไม่ 
- ตัวละครของ Byung-hun Lee ที่น่าจะเป็นสีสันให้กับตัวภาพยนตร์ได้อีกเช่นกันคล้ายๆกับ Anthony Hopkins แต่เพราะบทที่แย่ทำให้ตัวละครของเขาพาไม่สมเหตุสมผลไปด้วย
- Brian Cox ที่มีการแสดงและตัวละครที่สนุก น่าติดตาม น่าสนใจ และ ควรจะเป็นหนึ่งในตัวละครหลักด้วยซ้ำไป ทั้งๆที่ RED ภาคแรกนั้นตัวละครของเขาก็บทน้อยอยู่แล้ว ในภาคนี้ทั้งเรื่องเขาโผล่มาเพียง 2 นาทีหรือน้อยกว่าด้วยซ้ำไป !!
- ฉากจบที่สุดแสนจะขี้เกียจ ไร้เหตุผล และ ไร้ความเป็น RED อย่างที่สุด เหมือนใส่ๆมาให้มันมีฉากจบเท่านั้น
- การเล่าเรื่องของภาพยนตร์ที่แย่และหลายๆส่วนที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย 



Final Score : [ C ]

Red ( 2010 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
โคตรอึด กลับมาอึด  ไม่รู้ทำไมจะต้องอึดด้วย แต่อึดไว้ก่อน !!!?




Movie Name : Red ( 2010 ) Action / Comedy
Director : Robert Schwentke ( Flightplan , R.I.P.D. )
Stars : Bruce Willis ( Die Hard ) , Morgan Freeman ( Wanted ) , John Malkovich ( Burn After Reading ) , Mary-Louise Parker ( Weeds ) , Karl Urban ( Dredd , Star Trek ) , Helen Mirren ( The Queen ) , Brain Cox ( Troy , The Bourne Identity ) 
Rating :  PG -13




REVIEW



                                                                                RED นั้นถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ Action / Comedy ที่ผมชอบที่สุดอีกเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ ด้วยความความตลก สนุก ฉากที่โคตรเท่ต่างๆ รวมไปถึงดาราหลายๆคนที่มารวมตัวกันและเข้ากันได้อย่างสุดยอด รวมไปถึงบทหลักและ Sup-Plot ที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลย ยังไม่นับความสัมพันธ์ของตัวละครที่น่าติดตาม และ สนุกมากๆอีกด้วย



RED นั้น จุดที่จะเรียกได้ว่าเด่นที่สุดของภาพยนตร์เลยก็คือด้านความสนุก มุขตลกต่างๆ ฉาก Action ที่โคตรเท่ สนุก บทบางส่วนที่เชื่อมโยงเรื่องราวกันที่น่าสนใจ และ สนุกมากๆที่จะติดตาม ตัวละครต่างๆโดยเฉพาะตัวละครของ จอหน์ มัลโควิช ที่ตลกสุดๆ และ เขาแทบจะทำให้คุณขำตลอดได้ทั้งเรื่อง ตัวละครอื่นๆก็น่าสนใจและน่าติดตาม และ สนุกไม่แพ้ๆกันเลย ไม่ว่าจะเป็น Helen Mirren ที่ถูกจัดอันดับให้เป็นผู้หญิงที่สวย/เซ็กซี่ที่สุดคนนึงในโลก(เรื่องจริงนะครับไม่ใช่ในหนัง) โดยมีอายุเกิน 50 ปีไปแล้ว ตัวละครของเธอนั้นเป็นอีกตัวละครนึงที่สนุกไม่แพ้กันเลย รวมไปถึงตัวละครร้ายของ Karl Urban ที่ตัวละครของเขามีมุมมองและความคิดในเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจมากๆ 


บทของ RED นั้นถือได้ว่าน่าสนใจมากๆ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ สายลับแต่ละคนที่รีไทร์แล้วแต่ดันจะต้องมาเจอเรื่องราววุ่นวาย และด้วยบทนี้เองทำให้มี Sub-Plot หรือ พล๊อตรองขึ้นมาอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของตัวละครก่อนหน้าที่จะรีไทร์หรือช่วงที่ยังทำงานอยู่ ความรู้สึกหลังจากที่รีไทร์ ความคิดถึงอะไรต่างๆนาๆ ที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม และ สนุกมากๆ นอกจากนั้นบทยังค่อนข้างสมเหตุสมผลอีกด้วย


มุขตลกต่างๆ และ ฉากต่างๆใน RED นั้นถูกคิดมาอย่างดี และ มันทำให้คุณรู้สึกสนุกตลอดเวลาในหลายๆฉาก แทบจะไม่มีช่วงใดเลยที่คุณรู้สึกเบื่อ เพราะ มันมักจะมีอะไรที่ทำให้คุณสนุก ตื่นเต้น หรือ ตลกได้เสมอๆอยู่ตลอดเวลา



ด้วยบทที่ว่าด้วยเรื่องราวของสายลับที่รีไทร์แล้วนั้น ทำให้ตัวภาพยนตร์และบทค่อนข้างจะ Support ในฉาก Action อยู่มาก เพราะ ในหลายๆฉากที่ฉาก Action ดูเวอร์ๆแต่การที่คุณเชื่อว่ามันเป็นไปได้เพราะคุณรู้ว่าพวกเขานั้นเก๋าจริง พวกเขาผ่านมาแล้วหลายสนาม และ รอดมาได้ คุณจึงเชื่อว่าพวกเขานั้นเก่งจริง และ ทำให้สิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่แปลกอะไร และ คุณเชื่อในสิ่งที่พวกเขาทำ นั้นทำให้ตัวภาพยนตร์สามารถทำฉาก Action ที่เวอร์ซะใจคนดูและโคตรเท่ได้และคุณยังคงเชื่ออยู่ว่าฉากเหล่านั้นเป็นไปได้ ในหลายๆฉากที่ ฉาก Action นั้นสุดยอด และ สนุกมากๆ รวมไปถึงสิ่งที่ตัวหนังบอกอย่างเช่นที่ว่าตัวละครเหล่านี้เก่งจริง ดูจะน่าเชื่อถือมากขึ้น และ ไม่ใช่แค่สิ่งที่บทพูดมาเฉยๆ เหมือนหนังบางเรื่องที่ตัวหนังพยายามบอกว่าตัวละครนั้นเก่งนั้นเทพ แต่พอถึงเวลาจริงการกระทำของตัวละครนั้นๆทำให้คุณสงสัยว่านี้คือเทพแล้วหรอ หรือ ไม่เก่งจริง หรือไม่ก็อาจจะพูดได้ว่าเก่งเพราะตัวหนังพูดว่าเก่งว่าเทพ แต่ไม่ได้เก่งจริงนั้นเอง ซึ่งสิ่งๆนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัว RED เลย เพราะ หลายๆครั้งที่ตัวละครทำอะไร มันดูฉลาด ดูวางแผนมาอย่างดี สมกับที่ตัวหนังกล่าวไว้จริงๆ 


นักแสดงหรือดาราหลายๆคนในเรื่อง RED ก็แสดงได้อย่างดีเยี่ยม และ ตัวละครของพวกเขาทุกคนนั้นมีความคิด นิสัย หรือ คาแรกเตอร์ที่เป็นตัวของตัวเองจริงๆ และ พวกเขาทั้งหลายเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ 
รวมไปถึงดาราอีกคนหนึ่งที่เหมือนจะถูกลืมมากๆในเรื่อง Red ซึ่งตัวเขาเองก็มีภาพยนตร์เรื่องนึงที่ชื่อซ้ำกันกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ Red เหมือนกันอีกด้วย (ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลนี้รึเปล่านะแกถึงมาเล่นเรื่องนี้ฮ่าๆ) นั้นก็คือ Brian Cox จาก Troy หรือ The Bourne Identity ซึ่งในหลายๆฉากที่เขาเล่นใน RED นั้นต้องขอบอกโคตรเท่ ถูกใจคนเขียนเป็นที่สุด และ ทำให้ผมสงสัยว่า ทำไมเขาถึงไม่นับเป็นตัวละครหลักด้วยซ้ำไป เพราะ ตัวละครของเขานั้น น่าสนใจ ตลก และ เท่ ไม่แพ้ตัวละครหลักคนอื่นๆเลย แต่กลับไม่มีโปสเตอร์ภาพยนตร์ของตัวเองด้วยซ้ำไป แบบว่าแอบน้อยใจ


จุดเสียของ Red นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่นตัวละครบางตัวเช่นตัวร้ายบางตัวที่ไม่รู้จะมีมาทำไมเหมือนกัน มีมาแล้วก็ไม่ค่อยจะมีบทบาทกับตัวภาพยนตร์เท่าไร เหมือนมีมาให้มันมีเอาไว้รับบทไว้ให้กล่าวถึงเฉยๆเสียมากกว่า



RED นั้นเป็นภาพยนตร์ Action / Comedy ที่ตลก สนุก และ โคตรเท่ ฉาก Action ที่สุดยอด และ ความสนุกที่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะดูต่อ อยากจะดูอีก นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังมีบทที่ค่อนข้างจะแข็งแรงและสนับสนุนในส่วนอื่นๆอีกด้วย แถมยังมีบทรองที่น่าสนใจน่าติดตาม รวมไปถึงตัวละครต่างๆที่มีคาแรกเตอร์เป็นตัวของตัวเองแม้กระทั่งตัวร้าย รวมไปถึงความสัมพันธ์ของตัวละครที่น่าสนใจ สนุกไม่แพ้กันเลย และ ผู้กำกับเขาเหมือนจะรู้ดีว่าเขาควรจะทำอย่างไรให้ภาพยนตร์มันสนุก และ มันเท่ ได้สมใจจริงๆ


 The Best Quote from " RED "

" Old man my ASS " - Marvin 


จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ มุขที่ตลก สนุก โดยเฉพาะตัวละคร Marvin ของ John Malkovich
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม และซัพพอรต์ในส่วนอื่นๆ 
+ Sub-Plot หรือ พล๊อตรอง และ ความสัมพันธ์ของตัวละครที่น่าสนใจ น่าติดตาม สนุก
+ ตัวภาพยนตร์มักจะมีอะไรเข้ามาให้คุณได้สนุกหรือตลกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีช่วงใดเลยที่คุณจะรู้สึกเบื่อ 
+ ตัวละครที่เก่งจริง ฉลาดจริงๆ จากการกระทำในภาพยนตร์ ไม่ใช่เก่งและฉลาดเพราะบทบอก 
+ ฉาก Action ที่ โคตรเท่ และ สนุก
+ ตัวละครที่น่าสนใจ มีความคิดเป็นตัวของตัวเองแม้จะเป็นตัวละครร้าย 
+ Brian Cox ที่เท่โคตรในเรื่องนี้ (แต่ดันถูกลืมเสียนี้ !!)


จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- ตัวละครบางตัวเหมือนใส่มาให้กล่าวถึงเฉยๆ



Final Score : [ A- ] & [ MUST SEE BADGE ]

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Stardust ( 2007 ) Movie Review

Movie Review
มหัศจรรย์ดวงดาวมหากาพย์ !!?




Movie Name : Stardust ( 2007 ) , Adventure / Fantasy
Director : Matthew Vaughn ( X-Men : First Class )
Stars : Charlie Cox ( Casanova ) , Claire Danes ( Homeland ) , Michelle Pfeiffer ( Batman Returns ) , Robert De Niro ( Taxi Driver , Killer Elite ) 
Rating : PG-13





REVIEW



                                                                                         Stardust เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีอีกเรื่องนึงที่หลังจากดูจบผมต้องขอบอกเลยว่า สำหรับผมถือเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีที่ผมชอบมากที่สุดอีกเรื่องนึงเลยทีเดียว (แต่ที่หนึ่งสำหรับผมก็ยังคงเป็น Narnia : Prince Caspian) และ ถือเป็นภาพยตร์ที่มี 2 สิ่งที่ผมชอบมากๆมารวมกัน อย่างแรกเลยก็คือ Robert De Niro ที่นี้คงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ป๋าแกแสดงภาพยนตร์แฟนตาซี อย่างที่สองคือผู้กำกับ Matthew Vaughn ซึ่งเขากำกับภาพยนตร์เรื่อง X-Men : First Class ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ผมชอบมากๆถ้าให้จัดอันดับ Top 10 ภาพยนตร์ที่ชอบมากที่สุดตลอดการแบบส่วนตัว ก็คงจะมี X-Men : First Class อยู่ในนั้นแน่นอน ซึ่งนอกจากนั้นยังมีทีมเขียนบทเดียวกับ X-Men : First Class อยู่อีกด้วย



Stardust เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีที่มีจุดแข็งหลายๆอย่างที่ภาพยนตร์แฟนตาซีส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีนัก อย่างแรกคือ บทที่สุดแสนฉลาด Stardust มีบทหลายๆช่วงที่ฉลาดมากๆ รวมไปถึงเรื่องราวที่น่าสนใจ และ น่าติดตามอย่างมาก มีหลายๆช่วงที่บทถูกวาง Setup ได้อย่างแสนชาญฉลาด ทำให้ฉากต่อมาๆนั้นมีความน่าสนใจ และ ความสนุกที่มากขึ้น ส่วนนึงก็เพราะบทที่แสนฉลาดเนี้ยแหละ แถมหลายๆอย่างในภาพยนตร์ยังมีความสมเหตุสมผลที่ดีอีกด้วยเนื่องจากตัวบทที่เขียนมาดี ตัวภาพยนตร์ Stardust นั้นเป็นภาพยนตร์ที่มีต้นฉบับมาจากนวนิยายเหมือนกับภาพยนตร์แฟนตาซีหลายๆเรื่อง เช่น Narnia ซึ่งจากที่ได้ยินมานั้น ตัวนิยาย Stardust จะค่อนข้างดารค์กว่าและค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แต่ในตัวภาพยนตร์จะออกแนวเป็นครอบครัว แฟนตาซีแบบมากๆ เสียมากกว่า


Stardust ถือว่าเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีอีกเรื่องที่มีดารามีชื่อเสียงหลายคนมากๆมารวมกัน อย่างเช่น Robert De Niro , Mark Strong จาก Green Lantern , Jason Flemyng จาก Clash of The Titans , Ian Mckellen จาก The Lord of The Rings ซึ่งในเรื่องนี้รับบทเป็น Narrator , Michelle Pfeiffer จาก Batman Returns ซึ่งในเรื่องนี้เธอแสดงเป็น ลาเมีย หรือ แม่มดตัวร้ายนั้นแหละ ซึ่งต้องขอบอกว่า เธอแสดงได้อย่างสุดยอด และ  เหมาะสมกับบทมากๆ นอกจากนั้นยังมี Henry Cavill อยู่ในภาพยนตร์อีกด้วย ซึ่งเราเพิ่งจะได้ชมเขาเล่นเป็นบุรุษเหล็ก Man Of Steel นี้เอง ต้องขอบอกว่าเป็น Team Cast ที่ค่อนข้างจะแข็งแรงอยู่มากมันทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจมากขึ้น โดย Casting เหล่านี้ พอผนวกเข้ากับ ตัวละครในเรื่องที่แต่ละตัวค่อนข้างจะมีความน่าสนใจอยู่แล้ว ยิ่งทวีคูณความสนุกเข้าไปอีก


Stardust หลายๆฉากมีภาพที่สวยงามจริงๆ ทีมงานเลือก Location ได้สวยงามจริงๆ รวมไปถึง CG ในหลายๆฉากที่แม้ตอนนี้ปี 2013 แล้ว ผ่านมาแล้ว 6 ปี ตัวภาพยนตร์ CG ก็ยังคงดูสวยงามอยู่เช่นเคย


Stardust นั้นแทบจะเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีที่สุดยอดมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ดันมาตกม้าตายตอนท้ายเสียดายในบางจุด


อย่างแรกเลยก็คือ ฉากจบ ฉากต่อสู้ตอนสุดท้าย ที่ค่อนข้างจะน่าผิดหวัง และเหมือนดาวน์เกรดมาเหลือแค่ภาพยนตร์แฟนตาซีทั่วๆไป ทั้งๆที่ช่วงแรกทั้งหมดของภาพยนตร์นั้นบทนั้นสุดยอดมากๆ และไม่มีช่วงใดเลยที่รู้สึกว่า บทมันไม่สมเหตุสมผล แต่พอมาช่วงท้ายของภาพยนตร์ บทก็กลับดรอปลงและไม่สมเหตุสมผลในบางจุด และ หลายๆจุดที่น่าผิดหวังจริงๆ น่าเสียดายโอกาสที่ช่วงแรกนั้นตัวภาพยนตร์ทำมาได้สุดยอดแล้ว


จุดที่สองคือ ตัวละครของ Robert De Niro ที่น่าสนใจ สนุกมากๆ แต่กลับโผล่มาแค่เพียงกลางเรื่องเท่านั้น นอกจากนั้นโผล่มาอีกทีก็จบเรื่องแล้วเลย ซึ่งมันน่าผิดหวังมากๆ ถ้าหากให้เขามีบทมากกว่านี้ มันคงจะสนุกกว่านี้มาก ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุมาจากที่ตัวป๋า Robert De Niro เองมีเวลาถ่ายทำว่างแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น และจะต้องถ่ายให้เสร็จภายในเวลานั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้บทน้อยลงก็อาจจะเป็นไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก



Stardust เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี / ผจญภัย ที่เกือบแล้วเชียวจะเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีที่แทบจะดีที่สุด ด้วยบทที่สมเหตุสมผลอย่างไม่น่าเชื่อ บทที่แข็งแรง และ Setup ได้อย่างแสนฉลาด ตัวละครที่น่าสนใจ น่าติดตาม ไอเดียต่างๆในภาพยนตร์ที่น่าสนใจ และ สนุกมากๆ รวมไปถึง Casting ที่มีแต่นักแสดงระดับแถวหน้าทั้งนั้น น่าเสียดายตัวภาพยนตร์มาตกม้าตายเอาตอนฉากต่อสู้สุดท้ายที่สุดแสนจะน่าผิดหวัง และ ดรอปลงจากภาพยนตร์แฟนตาซีแถวหน้า เหลือ แค่ ภาพยนตร์แฟนตาซีธรรมดาๆ ทั้งๆที่ช่วงแรกนั้นปูมาได้อย่างสุดยอดแล้วแท้ๆ รวมไปถึง ตัวละครของ Robert De Niro ที่สนุก น่าสนใจ และ น่าติดตาม ที่ควรจะมีบทมากกว่านี้ แต่สุดท้ายทั้งเรื่องดันโผล่มาแค่ตอนครึ่งเรื่องเท่านั้น ถึงแม้จะบอกว่าเวลาถ่ายของนักแสดงไม่พอก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเอามากๆ แต่อย่างไรก็ตาม Stardust ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีที่สุดยอดมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว


The Best Quote from " Stardust "

You know when I said I knew little about love? That wasn't true. I know a lot about love. I've seen it, centuries and centuries of it, and it was the only thing that made watching your world bearable. All those wars. Pain, lies, hate... It made me want to turn away and never look down again. But when I see the way that mankind loves... You could search to the furthest reaches of the universe and never find anything more beautiful. So yes, I know that love is unconditional. But I also know that it can be unpredictable, unexpected, uncontrollable, unbearable and strangely easy to mistake for loathing, and... What I'm trying to say, Tristan is... I think I love you. Is this love, Tristan? I never imagined I'd know it for myself. My heart... It feels like my chest can barely contain it. Like it's trying to escape because it doesn't belong to me any more. It belongs to you. And if you wanted it, I'd wish for nothing in exchange - no gifts. No goods. No demonstrations of devotion. Nothing but knowing you loved me too. Just your heart, in exchange for mine. "


จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ บทที่สุดแสนฉลาด Setup สำหรับฉากต่อๆไปได้อย่างชาญฉลาด และ สมเหตุสมผลอย่างเหลือเชื่อ 
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม
+ ทีม Casting ที่มีแต่นักแสดงระดับแถวหน้า
+ ไอเดียและการตีความหลายๆอย่างในภาพยนตร์ที่น่าสนใจ และ สนุก
+ CG และ ฉาก Location ที่สวยงาม อลังการ แม้จะผ่านมาแล้ว 6 ปีก็ตาม
+ ตัวละครที่น่าสนใจ มีคาแรคเตอร์เป็นตัวของตัวเอง


จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- ฉากต่อสู้สุดท้ายที่น่าผิดหวัง และ เหมือนดรอปลงมาเหลือแค่ภาพยนตร์แฟนตาซีธรรมดาๆทั่วไป
- Robert De Niro ทั้งๆที่มีตัวละครที่น่าสนใจ และ สนุกมากๆ แต่ทั้งเรื่องกลับมีบทแค่ตอนกลางเรื่องเท่านั้น ช่างน่าเสียดายโอกาสยิ่งนัก



Final Score : [ B + ] & [ Must See Badge ]

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Everybody's Fine ( 2009 ) Movie Review

Movie Review
ทุกคนไม่เป็นไร



Movie Name : Everybody's Fine ( 2009 ) , Drama / Adventure
Director : Kirk Jones ( What to expect when you're expecting )
Stars : Robert De Niro ( Killer Elite , Star Dust , Taxi Driver , Ronin ) , Drew Barrymore ( Charlie Angles ) , Kate Beckinsale ( Underworld ) , Sam Rockwell ( Iron Man 2 )
Rating : PG -13 




REVIEW


                                                                                 Everybody's Fine ต้องขอเริ่มด้วยการบอกก่อนเลยว่า ผมผู้เขียนนั้น เป็นแฟน ป๋า Robert De Niro มาก ผมดูผลงานป๋าแกมาแล้วหลายเรื่อง (แต่จะเป็นเรื่องหลังจากปี 2000 แล้วมากกว่า) เช่น Ronin , Stardust , 15 Minutes , Righteous Kill Hide & Seek , What Just Happened , Godsend , Machete และ ล่าสุดในโรงภาพยนตร์ ก็คงจะเป็น Silver Lining Playbook ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าช่วงหลังๆป๋าแกเล่นแต่หนังอะไรไม่รู้เช่น The Big Wedding  หลายๆคนถึงกับบอกว่าเดี๋ยวนี้ป๋าแกเล่นมันทุกเรื่องแล้วไม่ว่ามันจะห่วยแค่ไหนก็ตาม


Everybody's Fine เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่ทำให้ผมสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับป๋า De Niro ในช่วงหลังๆ เพราะ ป๋าแกเล่นได้สุดยอดมากๆเรื่องนี้ การแสดงระดับที่สุดยอดจริงๆ รวมไปถึงนักแสดงคนอื่นๆก็แสดงได้ดีเช่นกัน ตัวละครหลายๆตัวในเรื่องนั้นค่อนข้างมีความเป็นตัวของตัวเอง ความคิดของตัวเอง และค่อนข้างลึกอยู่บ้าง


บทของ Everybody's Fine นั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้แปลกหรือพลิกแพลงอะไรมาก แต่เป็นบทที่น่าสนใจ และ ค่อนข้างจะน่าติดตามอยู่พอสมควรเลยทีเดียว


น่าเสียดายที่มีบางอย่างใน Everybody's Fine ที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไรนัก เช่น บทที่บางครั้งพอตัวละครพูดอะไรออกมา คุณแทบจะนึกฉากต่อไปออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร มันทำให้อารมณ์ในบางฉากมันหายไปบ้าง เพราะ คุณดันเดาถูกแบบเปะๆไปเรียบร้อยแล้ว 


รวมไปถึงบทที่ทำให้รู้สึกว่าเดินเป็นเส้นตรงสุดๆ ถึงแม้ตัวหนังพยายามจะเลี้ยว จะหักบ้างแล้วแต่มันก็ไม่มีผลเท่าไรเลยในตัวหนังจริงๆ บางฉากในหนังมีความรู้สึกเหมือนใส่มาเพื่อให้มันเดินเป็นเส้นตรงมากกว่าเดิม และ ไม่ออกไปมากกว่านั้น ซึ่งมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรนัก เหมือนใส่มาเพื่อให้เดินไปฉากต่อไปได้เฉยๆเสียมากกว่า


นักแสดงคนอื่นๆนอกจาก De Niro กับ Drew Barrymore แสดงเหมือนจะไม่ค่อยเต็มที่เท่าไรนัก ไม่ถึงกับแย่ แต่เหมือนธรรมดามาก เสียมากกว่า และ พอมาเทียบกับ De Niro แล้ว ทำให้บางคนเหมือนถูกบังไป


Everybody's Fine เป็นภาพยนตร์ดราม่าของป๋า Robert De Niro อีกเรื่องนึงที่แสดงให้เห็นว่าป๋าแกยังเทพอยู่จริงๆ แต่ไม่รู้เพราะสาเหตุอันใดมิทราบช่วงหลังๆหนังป๋าแกมีแต่อะไรไม่รู้ก็ตาม ในหนังมีบทที่น่าสนใจน่าติดตาม และ ตัวละครที่ค่อนข้างจะลึกและมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง น่าเสียดายที่ตัวหนังเป็นเส้นตรงมากจนเกินไป หลายๆฉากเหมือนใส่มาให้หนังเดินต่อไปได้เฉยๆโดยไม่ส่งผลอะไรกับตัวหนังจริงๆจังๆเลย การแสดงของนักแสดงบางคนที่เหมือนยังไม่เต็มที่ หรือ ว่าแสดงได้แค่นั้นจริงๆก็ไม่ทราบเช่นกัน และ บทที่บางครั้งพอตัวละครพูดอะไรออกมาคุณแทบจะเดาออกเลยว่าฉากต่อไปจะเป็นยังไง แต่ Everybody's Fine ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ดราม่าที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง


The Best Quote from " Everybody's Fine "

 If you would ask me I would have to say in all honesty, Everybody's fine. Everybody's fine. "


จุดที่ตัวหนังทำได้ดี :
+ การแสดงที่สุดยอดของ Robert De Niro
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม
+ ตัวละครที่ค่อนข้างจะลึก และ มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง


จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- บทที่เป็นเส้นตรงมากจนเกินไป และบางฉากเหมือนใส่มาเพื่อให้หนังเดินต่อได้เฉยๆ
- การแสดงของนักแสดงบางคนในเรื่องที่ทำได้แค่ธรรมดาๆ
- ในบางฉากพอตัวละครพูดอะไรออกมาคุณแทบจะเดาออกเลยว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร



Final Score : [ B ] 

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Drive ( 2011 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
ไร้คำบรรยาย ไร้คำบรรยายจริงๆ 







Movie Name : Drive ( 2011 ) , Crime / Drama
Director : Nicolas Winding Refn ( Only God Forgives )
Stars : Ryan Gosling 
Rating : R ( เนื้อหาที่รุนแรง , ฉากที่รุนแรง )





REVIEW


                                                                                             Drive เป็นภาพยนตร์ที่ ส่วนตัวผมได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วพอสมควร แต่ไม่ได้มีโอกาสมาดูจริงๆเสียที จริงๆที่ผมเริ่มหันมาสนใจ Drive มากขึ้นมาจาก 2 ส่วน คือ ผู้กำกับที่เพิ่งจะกำกับหนัง Only God Forgives ไปนี้เอง และ สอง คือ ไรอัน กอสลิ่ง ที่เรื่องที่ผมดูเขาแสดงเป็นเรื่องแรกก็คงจะเป็น The Place Beyond The Pines ซึ่งสุดยอดมากๆอีกเรื่องนึง สองอย่างนี้ทำให้ผมอยากลองดู Drive มากๆ


จาก Title ที่ผมบอกว่าไร้คำบรรยาย ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆครับ ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะเขียน Title ยังไง นึกไม่ออกจริงๆ คำไม่กี่คำที่จะสามารถบรรยายหนังเรื่องนี้ได้ เพราะ มันไม่พอจริงๆ หนังเรื่องนี้หลังจากดูจบผมต้องขอบอกเลยว่า Drive เป็นภาพยนตร์ที่ผมชอบมากที่สุดอีกเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ 


Drive ไม่ได้สุดยอดที่บทที่ลึกลับซับซ้อนสิบห้าล้านตลบ ไม่ได้สุดยอดที่ CG อลังการงานสร้าง ไม่ได้สุดยอดที่ฉาก Action ระเบิดตูมตามเละเทะ เผากระท่อม แต่มันสุดยอดตรงที่ การดำเนินเรื่อง แรงกดดัน การแสดง โดยเฉพาะ "ความกดดัน" ที่สมจริงเหลือเกิน วินาทีแรกที่ผมกดปุ่มเล่นแผ่นแล้วเข้าสู่การชมภาพยนตร์ผมรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างมากในหนัง และ ไม่มีวินาทีใดเลย ที่แรงกดดันอันมหาศาล มหาศาลจริงๆ นี้จะหายไป ทั้งๆที่ตัวหนังในหลายๆฉากก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเท่าไรเกิดขึ้นเลย หลายๆฉากที่ ตัวละครนั่งเฉยๆ ไม่พูดอะไร แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน และ ความตื่นเต้นที่ถาโถมเข้าใส่อย่างรุนแรง และ ดูท่าจะไม่มีวันหมดเสียที


ไรอัน กอสลิ่ง หลังจากชม Drive จบ ผมแทบจะชอบเขาเป็นทวีคูณ เรื่องนี้เขาแทบจะไม่ได้พูดเลยด้วยซ้ำไป เขาแค่นั่งเฉยๆ หลายฉากที่เขาแสดงได้อย่างไม่น่าเชื่อ และ น่าทึ่งเป็นที่สุด


บทใน Drive จริงๆแล้วมันก็แทบจะไม่ได้มีอะไรมากมายนัก และ ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรได้ยากขนาดนั้น แต่เพราะการเล่าเรื่องที่สุดยอดของผู้กำกับ ที่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงแรงกดดัน ความตื่นเต้น อยู่ตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างใหญ่โตเหลือเกิน เหมือนกับเราไปนั่งอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยเลย ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่สุดยอดจริงๆ และ การที่ภาพยนตร์เรื่องๆนึง มีความสามารถที่ถึงขนาดพาคนดูเข้าไปถึงในตัวภาพยนตร์ และ รู้สึกไปพร้อมๆกับตัวภาพยนตร์ และ ตัวละคร นั้น ถือว่าเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก และ เป็นอะไรที่สุดยอดมาก 
อย่างเช่นภาพยนตร์หลายๆเรื่อง ที่มีฉาก Action ระเบิดตูมตาม แต่เรากลับไม่รู้สึก ตื่นเต้นใดๆเลย ก็มีหลายๆสาเหตุ หนึ่งในนั้นส่วนใหญ่ก็มาจาก การที่เราไม่ได้รู้สึกร่วมไปกับตัวละคร หรือ ภาพยนตร์ใดๆเลย แต่ใน Drive กลับทำจุดนั้นได้อย่างดีเยี่ยม ลองคิดดูนะครับ ไม่ต้องถึงขนาดหุ่นยนตร์ฟันกันเละเทะทั้งเรื่อง หรือ ฉากไล่ยิงกันเละเทะ หรอกครับ แค่เราลองนึกว่า เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Drive มันเกิดขึ้นจริงๆกับตัวเรา นั้นแหละครับ ความรู้สึกที่คุณจะได้รู้สึกจริงๆจากภาพยนตร์เรื่องนี้


Soundtrack นั้นเป็นอีกจุดสำคัญในเรื่อง Drive หลายๆฉากที่ตัวหนังมี Soundtrack เข้ามา ทั้งๆที่บางทีมันน่าจะทำให้ความกดดันน้อยลง แต่กลับกันเลย มันกลับทำให้ตัวหนังยิ่งทวีคูณความกดดันเข้าไปอีกหลายเท่าตัว จนหลายๆครั้งผมรู้สึกได้เลยว่าหายใจลำบาก พูดจริงๆ มันกดดันขนาดนั้นจริงๆ ฉากที่ตัวหนัง ไม่มีเสียงพูด และ แทบไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจาก เครื่องยนตร์รถ และ นาฬิกาที่กำลังนับเวลาถอยหลัง กลับสร้างบรรยากาศที่บรรยายไม่ถูกให้คนดูได้อย่างสุดยอดจริงๆ


ถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียในเรื่อง Drive นี้หลังจากนั่งนึกมาครึ่งชั่วโมง ผมก็ยังนึกไม่ออกเสียที ปกติภาพยนตร์หลายๆเรื่องจะมีข้อเสียที่เห็นได้ชัดอยู่บ้าง แต่ Drive ผมหาเท่าไรก็หาไม่เจอ นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกจริงๆ 


ตัวละครอื่นๆนอกจากตัวละครหลักใน Drive นั้นก็มีส่วนสำคัญในเรื่องแทบจะทุกตัว ไม่ใช่มาเป็นตัวละครแบบใช้แล้วทิ้งอย่างแน่นอน ทุกๆตัวละครมีความสำคัญในการเล่าเรื่อง และ หลายๆตัวละครนั้นมีความสำคัญในหลายๆฉาก แม้ตัวละครนั้นจะไม่ได้อยู่ในฉากด้วยซ้ำไปก็ตาม



Drive เป็นภาพยนตร์ที่จริงจัง ไม่ล้อเล่นใดๆทั้งนั้น ความกดดันและแรงกดดัน รวมถึงบรรยากาศของตัวหนังนั้นแทบจะเป็นของจริง และ มันรุนแรงเอามากๆ จนทำให้หนัง Crime / Drama เรื่องอื่นๆแทบจะกลายเป็นเด็กเล่นของเล่นไปเลย ทั้งๆที่ตัวบทก็ไม่ได้มีเรื่องราวซับซ้อนเท่าใดนัก แต่ ด้วยการเล่าเรื่องที่สุดยอดของผู้กำกับ และ การแสดงระดับมหาเทพของ Ryan Gosling เมื่อผนวกสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน Drive จึงกลายเป็นภาพยนตร์ที่สุดยอดอีกเรื่องนึงอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆเลย


The Best Quote from " Drive ( 2011 )"

"If I drive for you, you get your money. You tell me where we start, where we're going, where we're going afterwards. I give you five minutes when we get there. Anything happens in that five minutes and I'm yours. No matter what. Anything a minute on either side of that and you're on your own. I don't sit in while you're running it down. I don't carry a gun. I drive." - Driver



+ จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ แรงกดดันมหาศาลจากตัวภาพยนตร์ที่มหาศาลจนหาภาพยนตร์เรื่องไหนเทียบยาก
+ ความตื่นเต้นที่หาที่เทียบได้ยาก ทั้งๆที่ในหลายๆฉากมันแทบจะไม่มีอะไรเลย แท้คุณกลับรู้สึก ตื่นเต้นสุดๆ
+ การแสดงของ ไรอัน กอสลิ่ง ที่ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่จำเป็นต้องขยับด้วยซ้ำไป ก็ทำให้คุณทึ่งตลอดเวลา
+ บทภาพยนตร์ที่ดูเผินๆอาจจะไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนัก แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่สุดยอดของผู้กำกับ ทำให้บทภาพยนตร์ ดูสมจริงมากถึงมากที่สุดเหมือนคุณไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริงๆ
+ Soundtrack ที่ทวีคูณความกดดัน และ ความตื่นเต้นของตัวภาพยนตร์ให้มากขึ้น
+ ตัวละครอื่นนอกจากตัวเอก ก็เล่าเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม และ มีความสำคัญในเรื่องทุกตัวละคร



- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- ?



Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge  ]

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คำว่า "ตัวละครร้าย" ในภาพยนตร์ ละคร ต่างๆ ในความคิดของผม




หลายๆคนชอบคิดว่า ตัวร้าย ในภาพยนตร์ หรือ ละคร มันจะเป็นใครก็ได้ ยังไงก็ได้ เพราะสุดท้ายมันก็โดนพระเอกกระทืบตายอยู่ดี ซึ่งนั้นไม่จริงเลย ตัวร้ายที่แท้จริง จะต้องมีเหตุผลที่สมประกอบ และ สมเหตุสมผล ไม่ใช่มาถึงก็ร้าย อย่างเช่น ตัวร้ายใน Star Trek : Into Darkness ที่มีเหตุผล Support อย่างแน่นหนา และ ผนวกการแสดงขั้นเกินมหาเทพของ Benedict Cumberbatch ทำให้คุณไม่สามารถที่จะแยก เขาออกจากตัวดีด้วยซ้ำไป บางทีคุณอาจจะเชียร์ตัวร้ายแทนก็ยังได้ คุณไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำ ว่าเขาคือตัวร้าย หรือ Magneto แห่ง X-Men : First Class เหตุผลที่เขาร้าย ไม่ใช่มาถึงเพราะเขาร้าย เขาเลว เขาอยากยึดครองโลก แต่เพราะเหตุในอดีตอันเลวร้ายของเขา ทำให้ทัศนะคติ เขาเปลี่ยนไปตลอดกาล และ สิ่งที่เขาต้องการก็เพียงแค่ให้ชาว Mutant ที่เป็นเหมือนเขาอยู่อย่างสงบสุขเพียงเท่านั้นเอง แท้ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจาก ศาสตราจารย์ X ที่เราเรียกกันว่าเป็นคนดี เขาแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง เป้าหมายก็แทบจะเหมือนกันโดยสิ้นเชิง แต่เพราะ อดีตของทั้งสองคนมันต่างกันมากจนเกินไป จนความคิดไม่เหมือนกันไปเสียแล้ว โดย ศาสตราจารย์ X เชื่อว่า เขาสามารถเปลี่ยนมนุษย์ทุกคนให้ยอมรับในตัว Mutant ได้ ในขณะที่ Magneto ไม่เชื่อเช่นนั้น เขาเชื่อว่า มนุษย์จะกลัวชาว Mutant และ เข้าโจมตีชาว Mutant ทั้งคู่ไม่มีใครเลยทีสามารถจะพูดได้ว่า เขาคนในคนหนึ่งถูก 100% อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะ ทั้งคู่แทบจะเหมือนกันหมด เพียงแค่ทางเดินมันคงไปด้วยกันไม่ได้แค่นั้นเอง นี้คือนิยามของ ตัวร้าย ไม่ใช่แค่ตัวร้ายที่มีมาเอาไว้ให้ตัวดีตบเล่นแล้วก็จบๆกันไป แบบ หนังไทย ละครไทย หรือ แม้แต่ ภาพยนตร์ Hollywood หลายๆเรื่องก็ตาม

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Pacific Rim ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
อุลตร้าแมน Vs. ก๊อดซิลล่า ฉบับยุคใหม่ บนจอภาพยนตร์ หรือ ? HELL YES !!



Movie Name : Pacific Rim ( 2013 ) Warner Bros.  Sci-fi / Action
Director : Guillermo del Toro ( Hellboy 1 & 2 , Pan's Labyrinth  )
Stars :  Charlie Hunnam ( Sons of Anarchy TV Series ) , Idris Elba ( Thor , Prometheus ) , Rinko Kikuchi ( Norwegian Wood ) , Charlie Day ( Horrible Bosses )
Rating : PG-13




REVIEW 




                                                                                        Pacific Rim ต้องขอสารภาพเลยว่า ครั้งแรกที่ผมเห็นโปสเตอร์ และ ตัวเทรลเลอร์ ผมคิดทันทีว่า " OMG หนังแนว Transformers มาอีกแล้ว " และ ผมค่อนข้างจะคิดว่า หนังมันคงจะห่วยแหงมๆ คงจะมีแต่ Action ระเบิดตูมตาม นอกนั้นเหลวไปหมด แต่ดูเหมือนผมจะเดาผิดไปอย่างแรงครับ


หลังจากภาพยนตร์เริ่มขึ้น และ หลังจาก 20 นาทีผ่านไป ผมคิดทันทีเลยว่า "ว้าว หรือ ว่านี้จะเป็นภาพยนตร์ที่จะมาล้ม Star Trek : Into Darkness ได้ในปีนี้ !?? " เพราะ การเล่าเรื่อง Presentation ในช่วงเริ่มต้นของหนัง มันช่างสุดยอดเหลือเกิน น่าสนใจ น่าติดตาม และ บทที่ลึกพอสมควรสำหรับภาพยนตร์ Action Blockbuster  รวมทั้งยังสมเหตุสมผลในหลายๆจุดอีกด้วย จุดที่ผมชอบมากที่สุดในหนังก็คงจะเป็น เรื่องราวของ คน 2 คนที่จะต้องบังคับหุ่น คนนึงซีกซ้าย คนนึงซีกขวา ซึ่งทั้งสองคนจะต้องมี Team Work เชื่อมั่น และ เข้าใจซึ่งกันและกันอย่างมาก ถึงจะทำให้หุ่นใช้ประสิทธิภาพได้อย่างไร้ขีดจำกัด พวกเขาทั้งสองคนจะต้องรวมผนึกจิตใจ และ ร่างกายเข้าด้วยกัน และ ต้องอย่าลืมด้วยว่า เวลา สัตว์ประหลาด โจมตี อะไรข้างไหน คนที่ควบคุมข้างนั้นก็จะโดนบาดเจ็บไปด้วย เช่น ถ้าหาก คุณบังคับหุ่นข้างซ้าย แล้ว โดนสัตว์ประหลาดกัดแขนข้างซ้ายจนขาด คุณก็จะได้รับความเจ็บปวดกับแขนนั้นไปด้วย เสมือนคุณเป็นหนึ่งเดียวกับหุ่น ซึ่งมันทำให้ความน่าสนใจของฉากต่อสู้มากขึ้นหลายเท่าตัว ไม่ใช่แค่มาถึงเตะๆต่อยๆ ปล่อยจรวดจบ แบบหนัง หุ่นยนตร์อื่นๆ  


ในด้านของ CG การ Design หุ่น และ สัตว์ประหลาดในเรื่องนั้น ทำได้สุดยอดจริงๆ หุ่นยนตร์แต่ละตัวนั้นมีรูปร่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และดีไซน์ รายละเอียดต่างๆ ที่ช่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะทั้งหุ่นยนตร์ หรือ สัตว์ประหลาดในเรื่องที่ไม่รู้ทำไมแต่สัตว์ประหลาดหลายๆตัวโคตรเท่ ถูกใจผมเหลือเกิน รวมไปถึงมันให้ความรู้สึกทันทีว่า ยิ่งใหญ่ อลังการ ไม่แพ้กันเลยจริงๆ


ฉาก Action ในภาพยนตร์ก็ดูอลังการ ตื่นเต้น ลุ้นระทึก และ มันส์สุดๆ  เรียกได้ว่าถ้าใครเป็นคอระเบิดบ้าน ถล่มเมือง ก็คงจะถูกใจแน่นอน รวมไปถึงหลายๆฉากที่คุณอยากจะร้องคำว่า " OH MY GOD THAT'S AWEEEEEEEEEEEESOMEEEEE "


ในด้านบทของ Pacific Rim นั้นถือว่ามีความสมเหตุสมผล และ ลึกมากกว่าภาพยนตร์หุ่นยนตร์เรื่องอื่นๆ พอสมควร รวมไปถึงมันน่าสนใจเอามากๆ เช่นในด้านของ จะสร้างหุ่นมาทำไม สัตว์ประหลาดมาจากไหน การตีความอื่นๆ ที่น่าสนใจ รวมไปถึงจุดที่ผมกล่าวไปแล้วคือการควบคุมหุ่นที่จะต้องใช้ คนสองคนในการควบคุม และ ทั้งสองคนจะต้องผนึกทั้งกายและจิตใจเป็นหนึ่งเดียว นอกจากนั้น ตัวสัตว์ประหลาดในหนัง ก็ไม่ได้ดูโง่เท่าใดนัก แถมมันมีวิวัฒนาการตลอดเวลา ถ้าหากครั้งนี้คุณใช้ Tactic นี้แล้วชนะ อย่าหวังว่ามันจะใช้ได้ผลอีกในครั้งหน้าเลยทีเดียว ซึ่งมันทำให้หนังดูตื่นเต้นมากขึ้นมาก  เพราะ มันไม่ดูเหมือนจะเป็นการรุมยำอยู่ฝ่ายเดียวเลยแม้แต่น้อย



Pacific Rim นั้นหลายๆจุดเรียกได้ว่า แทบจะทำให้ Transformers เป็นภาพยนตร์หุ่นเล่นของเล่นหน้าปากซอยไปเลยทีเดียว แต่....


ช่างน่าเสียดายที่ตัวหนังนั้นไม่รู้ว่าเพราะว่า ตอนแรกปูมาซะดิบดีมากจนเกินไปรึเปล่า พอถึงกลางเรื่องจนถึงท้ายเรื่องก็เริ่ม ดรอป ลง เรื่อยๆ จนท้ายเรื่องมันกลายเป็นแค่หนัง อุลตร้าแมน Vs. เหล่าร้าย อย่างเดียวไปซะอย่างงั้น หลายๆสิ่งในหนังที่น่าจะพัฒนาได้ต่อ ก็กลับเหมือนจะถูกลืม 


จุดแรกเลยที่เป็นจุดที่จะว่าแย่ก็คงไม่เชิง นั้นก็คือ บทที่ถ้าเอาปุ่มกลมๆ ไปใส่ตรงกลางหน้าอกหุ่น แล้ว มันจะกระพริบตอนที่กำลังจะใกล้ตาย มันก็คงเป็นหนังอุลตร้าแมนจริงๆ เพราะ  บทนั้นโดยหลักๆแล้วตรงตลอดทาง พระเอกกู้โลกจากสัตว์ประหลาด แค่นั้นจริงๆ ต่อให้คุณไม่ต้องดูหนัง คุณก็รู้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร ถึงแม้เราจะพูดว่า เราไม่ได้มาดูบท แต่มาดูฉาก Action ต่างหาก แต่เราก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่านี้คือเรื่องจริง  ถึงแม้ว่าหัวใจของหนังเรื่องนี้จะไม่ใช่บท แต่บทของ Pacific Rim มันก็คงเปรียบเสมือนเป็น แขน ขา หรือ นิ้วมือ ถ้ามันมีดีหรือ ดีมากๆ ก็คงจะดีกว่า แค่ธรรมดาพอใช้ได้ ใช่ไหมล่ะครับ


จุดที่สองที่ผมรู้สึกตลอดทั้งเรื่อง คือ ความสัมพันธ์ของตัวละครพระเอก กับ นางเอก ที่รู้สึกถูกบังคับสุดๆ และ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก 


ต่อมาก็คือ หุ่นและคนขับของชาติอื่นๆที่เหมือนหนังจะปูมาซะว่าเทพ ว่าเก่ง ว่าโหด แต่พอเอาเข้าจริง เหมือนกลับเป็นแค่ตัวละครที่มีไว้โล๊ะทิ้งให้พระเอกดูเทพขึ้นก็เท่านั้น เหมือน มีตัวละครมาเอาไว้ใช้แล้วโล๊ะทิ้งจริงๆ ตัวละครที่มีบทบาทจริงๆนั้น มีเพียงอยู่ไม่กี่ตัวละคร และหลายๆตัวละครก็ไม่ได้น่าสนใจเท่าใดนัก 


มีหลายๆจุดในหนังที่รู้สึกว่ามันไม่สมจริง หรือ โอเวอร์ มากไปหน่อย เช่นเรื่องราวของ คน 2 คน ที่จะต้องขับหุ่นด้วยกันในข้างซ้ายและขวา และจะต้องผนึกทั้งกายและใจเป็นหนึ่งเดียว ผมว่ามันน่าจะไปได้ไกลมากกว่านี้ เช่น คนขับคนนึงเสียการควบคุมตัวเองระหว่างต่อสู้ หรือ ความลำบากต่างๆ แต่ตัวหนังกลับดูง่ายเหลือเกินในกาควบคุมหุ่น และพอเข้าฉาก Action ปุบไม่รู้ว่ากลัวคนดูไม่ซะใจกับฉาก Action หรือ ว่าอย่างไร แต่กลับไม่เคยมีปัญหาในการควบคุมเลยในขณะต่อสู้ ซึ่งมันเป็นไปได้ยากนัก เพราะ การควบคุมและผนึกจิตใจกันขนาดนั้น คงไม่ง่ายดายอย่างในหนังแน่นอน รวมไปถึงหลายๆความสัมพันธ์ในเรื่องที่ดูเหมือนถูกยัดๆใส่เข้ามาเสียมากกว่า



Pacific Rim เป็นภาพยนตร์ Action หุ่นยนตร์สุดอลังการแห่งปีที่สนุก ตื่นเต้น และ ด้วยคุณภาพของหลายๆสิ่งที่ทำให้ Transformers กลายเป็นภาพยนตร์หุ่นยนตร์ของเล่นไปเลยทีเดียว ตัวหนังนั้นมี Potential หรือความเป็นไปได้ที่สูงมาก แต่น่าเสียดายที่เหมือนจะตกม้าตายกลางทาง เมื่อตัวหนังดรอปลงเรื่อยๆ จนไปในถึงช่วงท้ายที่แทบจะไม่เหลืออะไรที่น่าสนใจ น่าติดตาม น่าแปลกตาแปลกใจ อีกแล้ว นอกจากฉาก Action ที่ค่อนข้างจะน่าผิดหวัง แต่อย่างไรก็ตาม Pacific Rim ก็เป็นภาพยนตร์ Action หุ่นยนตร์ยักษ์ ที่น่าสนใจ น่าติดตาม อีกเรื่องหนึ่งแห่งปี ผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ว่า ถ้าหากมีภาคต่อไป(ซึ่งก็คงจะมี) แล้วถ้าหากเขาแก้ไขปัญหาต่างๆเหล่านี้ได้แล้วล่ะก็ มันคงจะกลายเป็นภาพยนตร์ที่สุดยอดมากๆอีกเรื่องนึงเลยทีเดียว


The Best Quote from " Pacific Rim "

" เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์จริง คุณจะต้องตัดสินใจ และ คุณจะต้องยอมรับกับผลที่มันจะตามมาด้วย " 


+ จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี
+ ฉาก Action สุดอลังการ ตื่นเต้น สนุก
+ บทที่ น่าสนใจ สมเหตุสมผล มากกว่าภาพยนตร์แนวหุ่นยนตร์สู้รบ เป็นส่วนใหญ่
+ การดีไซน์หุ่นที่น่าสนใจ มีความแตกต่าง
+ การดีไซน์สัตว์ประหลาด หรือ ตัวร้าย ที่น่าสนใจ และ ไม่รู้ทำไมแต่โคตรเท่ !
+ ให้ความรู้สึกอลังการ ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะทั้งหุ่นยนตร์ สัตว์ประหลาด และ ฉากต่อสู้ต่างๆ
+ การเล่าเรื่อง Presentation ต่างๆ ในช่วงแรกของตัวภาพยนตร์ทำได้ดีเยี่ยม
+ ความลึกของบทในจุดเรื่องการควบคุมหุ่นที่ช่างน่าสนใจเหลือเกิน
+ สัตว์ประหลาดที่มีวิวัฒนาการที่ช่างน่าสนใจ

- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด
- บทที่โดยรวมหลักๆก็คือ อุลตร้าแมน Vs. เหล่าร้าย
- ความสัมพันธ์ของพระเอกกับนางเอก ที่รู้สึกถูกบังคับ และ ไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก
- ตัวละครและหุ่นอื่นๆที่มีมาเพียงเพื่อโยนทิ้ง เพื่อที่จะให้พระเอกดูเทพขึ้น
- หลายๆจุดในภาพยนตร์ที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก
- ตัวหนังดรอปลงเรื่อยๆในหลายๆด้าน จนกระทั่งตอนจบที่แทบจะไม่เหลืออะไรนอกจากฉาก Action ตอนท้ายที่น่าผิดหวัง



Final Score : [ B + ]






Thank you to : Pacific Rim ( 2013 ) , Warner Bros.  , IMDB for information