วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

The Last Witch Hunter (2015) Review


The Last Witch Hunter (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"พี่วินก็เอาไม่อยู่"


  ถือได้ว่ากลายเป็นดาราแอ็คชั่นระดับยักษ์ใหญ่ งานเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนแล้วจริงๆสำหรับพี่ วิน ดีเซล ที่เชื่อว่าหลายคนคงจะจำเขาได้จากบทบาทใน Pitch Black หรือแฟรนไชส์ The Fast and the Furious


ซึ่งด้วยความโด่งดังนี้เอง ทำให้เขาจึงต้องถูกดึงตัวไปในภาพยนตร์ใหม่ๆ The Last Witch Hunter ก็เป็นหนึ่งในความพยายาม ที่จะใช้พลังของ วิน ดีเซล ในการดึงกระแส และสร้างความโดดเด่นให้กับภาพยนตร์


The Last Witch Hunter ว่าด้วยเรื่องราวของนักล่าแม่มดฝีมือเก่งกาจคนหนึ่งที่พบว่าเขากำลังเผชิญกับภัยอันตรายครั้งใหม่ ที่น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ



ต้องพูดเลย ว่า วิน ดีเซล ผู้รับบทเป็น คาลเดอร์ นักล่าแม่มดอันเก่งกาจ เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขายังคงเป็นนักแสดงที่บู้ได้อย่างเมามันส์ แต่ก็เสริมเรื่องราวตัวละครในบทที่ตนเล่นได้ดี ยังคงเป็นนักแสดงที่เรารู้สึกถูกชะตาได้อย่างรวดเร็วทั้งๆที่เขาไม่ได้รับบท ริดดิค หรือ ดอม อีกต่อไปแล้ว

พูดตรงๆคือเขาเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ The Last Witch Hunter อยู่ในจุดที่พอจะหาความบันเทิงได้บ้าง ท่ามกลางองค์ประกอบอันแสนย่ำแย่ส่วนอื่นๆ ตั้งแต่บทภาพยนตร์ที่แสนซ้ำซาก  หาความโดดเด่นได้ยากเย็นเหลือเกิน และในความซ้ำซากก็ยังจะทำออกมาได้จืดชืดซะอีก


ในด้านของตัวละครนอกจากตัวเอก โดยรวมๆก็ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไรนัก เช่น ตัวละคร โคลอี้ ที่รับบทโดย โรส เลสลี่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาให้มีความสัมพันธ์เชิงคนรักกับ คาลเดอร์ ความสัมพันธ์นี้ก็ถูกยัดเยียดเข้ามามากเกินจนเราไม่รู้สึกเชื่อเท่าไรนัก แต่กลับรู้สึกว่าไอ้สองคนนี้มันไปชอบกันตอนไหนเสียมากกว่า ที่ดูน่าสับสนที่สุดก็คงจะเป็นตัวละครของ เอไลจาห์ วูด ไม่แน่ใจว่ามีมาเพื่ออะไร เป็นตัวละครที่มีตัวตนอยู่ด้วยเหตุผลอันเบาหวิวอย่างมาก




แต่ ตัวละครที่ไม่น่าอภัยที่สุดใน The Last Witch Hunter เลย ก็คือตัวแม่มดสุดร้ายกาจ ที่ตัวภาพยนตร์อวยนักอวยหน้า ว่าเก่ง ว่าเทพ จะนำความวิบัติมากมายมาสู่โลก แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นได้แค่อีกหนึ่งตัวละครดาษๆที่ทำอะไรแทบไม่ได้นอกจากพล่าม กลายเป็นว่าตัวละครอีกตัวอย่าง บีไลห์ ที่รับบทโดย โอลาฟูร์ ดาร์รี โอลาฟสัน ยังมีความน่าสนใจ และดูจะร้ายกาจเสียยิ่งกว่าอีก


ซึ่งเหตุผลที่ตัวภาพยนตร์ประสบปัญหาอย่างที่เป็นนี้ หลายๆสาเหตุก็คงจะหนีไม่พ้นปัญหาที่มาจากในด้านของการกำกับเอง  เบรก ไอส์เนอร์ ดูจะเป็นผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์และมุมมองที่ไม่เหมาะกับงานที่ต้องอาศัยความสร้างสรรค์อย่างมากเช่น The Last Witch Hunter เสียเลย แทบจะทุกสรรพสิ่งในภาพยนตร์ต่างถูกกำกับออกมาอย่างจืดชืด ไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต ตั้งแต่การเล่าเรื่องที่น่าเบื่อ การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ตัดต่อรวดเร็วเกินไปดูอะไรแทบจะไม่รู้เรื่อง แถมยังออกแบบฉากต่อสู้ได้แห้งแล้ง ปราศจากซึ่งความอลังการหรือความน่าจดจำ โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์สุดท้ายของเรื่องที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูกำแพง ช่างแบนราบ แข็งกระด้าง และน่าเบื่อเสียนี้กระไร



สุดท้ายแล้ว The Last Witch Hunter ก็เป็นได้แค่อีกหนึ่งภาพยนตร์ดาษๆที่หาความน่าจดจำหรืออะไรที่เป็นเนื้อหาสาระแทบจะไม่ได้เลย ต้องยกนิ้วให้ วิน ดีเซล ที่ดูจะพยายามอย่างมากในการดึงภาพยนตร์ขึ้นมาหุบเหวมรณะ แต่ในเมื่อผู้กำกับล้มเหลวแทบจะสิ้นเชิงในการสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาน่าสนใจ มีพลัง หรือสร้างความแตกต่างจากภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ บทสรุปที่ออกมาก็คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากความหายนะ 


Final Score: 4.5 / 10

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Crimson Peak ( 2015 ) Movie Review



Crimson Peak ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"จิตใจมนุษย์ในคฤหาสน์สีเลือด"



                              ถ้าหากพูดถึงผู้กำกับที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานการดีไซน์ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆในภาพยนตร์ให้ออกมาโดดเด่นและแตกต่าง หนึ่งในผู้กำกับที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือ กิลเลอร์โม เดล โทโร เจ้าของผลงานอย่าง Hellboy (2004), Pan's Labyrinth (2006) และ Pacific Rim (2013) ซึ่งในการสร้างสรรค์ออกแบบตัวละคร ฉาก เสื้อผ้า กระทั่งจนถึงธีมและอารมณ์ในภาพยนตร์ของเขา มักจะมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เสมอๆ จนเรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับที่มีความโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของโลก


ซึ่ง Crimson Peak ก็เป็นผลงานเรื่องล่าสุดของเขา ว่าด้วยเรื่องราวของ อีดิธ หญิงสาวที่ตามคนรักของเธอเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เก่าแก่แห่งหนึ่ง แต่ระหว่างนั้นเองเธอกลับพบว่าคฤหาสน์แห่งนี้และคนรอบข้างของเธอ อาจมีความลับอันน่าสยดสยองแอบซ่อนไว้ 



Crimson Peak ยังคงเป็นอีกหนึ่งผลงานการกำกับของ กิลเลอร์โม เดล เทอโร ที่ยังคงโดดเด่นด้วยการออกแบบต่างๆในภาพยนตร์เช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า คฤหาสน์ หรือกระทั่งฉากต่างๆ ก็ถูกออกแบบมาอย่าง งดงาม น่าทึ่ง อลังการงานสร้าง แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอันสยดสยอง และน่าค้นหา เข้ากับธีมของเรื่องได้ดี


ที่น่าชื่นชมมากๆอีกจุด ก็คือการถ่ายภาพ การจัดแสง และการวางองค์ประกอบของภาพในแต่ละฉากของภาพยนตร์ ที่ยอดเยี่ยมมาก ทำให้ทุกฉาก ทุกช่วงเวลาในภาพยนตร์ออกมางดงาม ตระการตาอย่างหาที่เปรียบได้ยาก ชนิดที่ภาพยนตร์จบลงแล้ว แต่เรายังไม่สามารถลืมฉากต่างๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ลงได้เลย



ในด้านของเรื่องราวในภาพยนตร์นั้นถือได้ว่าน่าสนใจ น่าค้นหา และค่อนข้างมีความเป็นเอกลักษณ์ของ กิลเลอร์โม เดล เทอโร อยู่พอสมควร ให้กลิ่นอายที่ชวนนึกถึงภาพยนตร์สยองขวัญระดับคลาสสิกทั้งหลาย ที่ไม่ได้มีดีแค่ทางด้านเรื่องราวอันซับซ้อน สะท้อนถึงความวิปริตในมนุษย์ แต่ยังมีความน่าค้นหาแอบซ่อนอยู่ภายใน พูดถึงความเชื่อในการมีตัวตนของ 'ภูติ ผี ปีศาจ' ผ่านโศกนาฏกรรม และอดีตอันน่ากลัว สยดสยองอีกด้วย


ถึงกระนั้นก็ตาม เพราะด้วยความคลาสสิกของบทภาพยนตร์นี้เอง ทำให้หลายๆส่วนในภาพยนตร์ค่อนข้างจะให้ความรู้สึกซ้ำซากอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของตัวละคร จุดหักมุม และบทสรุปของเรื่องที่เดาง่ายแสนง่าย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย



โชคยังดีที่ความซ้ำซากเหล่านี้ ถูกดึงขึ้นมาได้ด้วยทีมนักแสดงหลักของภาพยนตร์อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็น จิม บีเวอร์,  มีอา วาซิโควสกา, ชาร์ลี ฮันแนม หรือ ทอม ฮิดเดิ้ลสตัน ทั้งสี่คนรับบทแต่ละตัวละครได้น่าเชื่อถือ น่าสนใจ และโดดเด่นไม่แพ้กัน 

แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าคนที่โดดเด่นที่สุดในภาพยนตร์ ก็คงต้องยกให้กับ เจสสิกา แชสเทน ที่รับบทตัวละคร ลูซิล ได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด การแสดงของเธอตลอดทั้งเรื่องนั้นแรงสะใจไม่ใช่น้อย ถือได้ว่าเป็นตัวละครและการแสดงที่น่าจดจำที่สุดของภาพยนตร์ก็ว่าได้



สุดท้ายแล้ว Crimson Peak ก็เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่โดดเด่นมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ แทบจะทุกสรรพสิ่งในภาพยนตร์ต่างถูกออกแบบได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ ซ้ำยังสอดคล้องกับธีมเรื่องราวในภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้เรื่องราวนั้นอาจจะซ้ำซากและเดาง่ายไปบ้าง ทีมนักแสดงหลายคนในภาพยนตร์ก็ช่วยในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ เจสสิกา แชสเทน ที่เชื่อว่าใครได้ชมก็คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นางแซ่บจริงๆ"


Final Score : [ 7.5 / 10 ] 

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

The Intern ( 2015 ) Movie Review


The Intern ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ช่วงเวลาที่น่าจดจำ"



The Intern ว่าด้วยเรื่องราวของ เบน พ่อม้ายวัย 70 ที่เข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้เจอกับ จูลส์ หญิงสาวผู้ซึ่งกำลังเผชิญปัญหามากมายในชีวิต เบนจึงต้องพยายามหาทางช่วยเหลือ จูลส์ ให้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆไปให้ได้ ด้วยความรู้และประสบการณ์อันมากมายของเขา


ตั้งแต่วินาทีแรกที่ภาพยนตร์เริ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเปิดเรื่อง วิธีการตัดต่อ ถ่ายภาพ ยันเพลงประกอบ ก็ทำให้เราทราบได้ทันทีทันใดว่า The Intern เป็นภาพยนตร์ประเภทใด และเรากำลังนั่งชมอะไรอยู่



แน่นอนว่านี้ยังคงเป็นภาพยนตร์จากฝีมือการกำกับของ แนนซี่ เมเยอร์ เจ้าของผลงานอย่าง The Parent Trap (1998) , Something's Gotta Give (2003) และ It's Complicated (2009) ซึ่งการกำกับของเธอยังเต็มไปด้วยความโดดเด่นในด้านอารมณ์ของภาพยนตร์ที่รู้สึกสบายๆ ไม่เคร่งเครียด และผ่อนคลายตลอดเวลา ผสมผสานกับเรื่องราวที่ไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ใครๆก็สามารถที่จะรู้สึกร่วมไปด้วยอย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้เองทำให้ The Intern กลายเป็นภาพยนตร์ที่สามารถชมได้ทุกเพศทุกวัยอย่างแท้จริง ถึงแม้น่าเสียดายที่บทสรุปอาจจะถูกคลี่คลายง่ายดายไปนิด


แต่อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้การกำกับของ แนนซี่ เมเยอร์ และเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ The Intern โดดเด่นและค่อนข้างน่าประทับใจไม่ใช่น้อยเลย ก็คือนักแสดงหลักทั้งสองคน โรเบิรต์ เดอ นีโร กับ แอน แฮทธาเวย์



ซึ่งนอกจากทั้งคู่จะแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม น่าเชื่อถือแล้ว เคมีของทั้งสองคนก็เข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้ตัวละครของทั้งคู่ออกมาโดดเด่น น่าติดตาม น่าหลงใหล ที่สำคัญคือเรารู้สึกเชื่อถึงความสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือน 'อาจารย์-ลูกศิษย์' หรือ 'พ่อ-ลูก' ของทั้งสองคนนี้อย่างมาก ผ่านปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ 


แม้ว่าภายนอก The Intern จะดูเหมือนภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความคิดอันเก่าแก่ และล้าสมัย จากอายุของตัวละครเอกและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์


แต่เอาจริงๆแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับสะท้อนถึงสภาพโลก และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทันสมัย จนทำให้คนรุ่นก่อนต้องพยายามปรับตัวเข้ากับกระแสสังคมในขณะนี้
หรือสังคมที่เพศชายและหญิงมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น หญิงแกร่งก็สามารถหันมาทำงานได้อย่างเก่งกาจไม่แพ้เพศชาย แต่ก็สอดแทรกปัญหาการไม่ยอมรับในประเด็นนี้ของสังคม การเรียกร้องสิทธิสตรีได้น่าสนใจ



สุดท้ายแล้ว The Intern ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานการกำกับของ แนนซี่ เมเยอร์ ซึ่งยังคงความเป็นเอกลักษณ์ทั้งด้านเทคนิค อารมณ์ และเนื้อหา ที่ดูง่าย สบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ภายใต้ก็สอดแทรกและสะท้อนเรื่องราวในสังคมได้เข้ากับยุคสมัย ที่ยอดเยี่ยมเข้าไปอีกก็คือสองนักแสดง โรเบิรต์ เดอ นีโร กับ  แอน แฮทธาเวย์ ซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้ The Intern กลายเป็นประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่เราไม่รู้สึกอยากที่จะให้มันจบลงเลยเสียจริงๆ


Final Score : [ 7.25 / 10 ]

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

White God (2014) Movie Review


White God ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"จากหมาที่บ้าน มาชมหมายึดเมือง"


                สำหรับผู้เลี้ยงหรือผู้รักสัตว์เลี้ยงมากๆแล้ว การได้เห็นฉากในภาพยนตร์ ที่สัตว์ต่างๆเหล่านี้ ต้องประสบชะตากรรมอันแสนลำบาก บางครั้งถึงขั้นเลือดตกยางออก เป็นอะไรที่แสนจะหดหู่ และทรมาณอย่างอธิบายไม่ได้ โดยสำหรับส่วนตัวผู้เขียนเอง การชมภาพยนตร์อย่าง War Horse (2011) หรือ John Wick (2014) ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งโดยเฉพาะ War Horse ที่เล่าเรื่องผ่านตัวละครหลักที่เป็นสัตว์อย่างม้าท่ามกลางพื้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แทบจะทั้งเรื่อง




แต่ในเมื่อภาพยนตร์ที่มีคนพูดถึงและได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมากอย่าง White God เข้ามาฉายในประเทศไทย ก็ทำให้เราเกิดจิตใจสองแง่สองง่าม ใจหนึ่งก็อยากที่จะชมมากเนื่องจากมันเป็นภาพยนตร์ที่ขึ้นชื่อว่านักวิจารณ์หลากคนชื่นชอบ แต่อีกใจก็กลัวว่าจะทนดูมันไม่ได้เช่นเดียวกัน 


White God เป็นภาพยนตร์จากประเทศฮังการี ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของสุนัข ฮาเก้น ที่ถูกทอดทิ้งหลังจากพ่อของลิลลี่เจ้าของสุนัขไม่ยอมรับมันเข้ามาเลี้ยง ฮาเก้นจึงต้องพบเจอกับประสบการณ์อันแสนสาหัส ความเจ็บปวดและความเคียดแค้นที่สั่งสม มันจึงตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมานำกองทัพสุนัขจรจัด เพื่อล้างแค้นเหล่ามนุษย์ที่กระทำกับมันไว้ให้สาสม !!




ต้องพูดเลยว่า สำหรับตัวผู้เขียนเองแล้ว เรื่องการมีอารมณ์ร่วมในภาพยนตร์นั้น ดูจะเป็นส่วนสำคัญในลำดับรองลงมา สำหรับประสบการณ์การชมภาพยนตร์ แต่ White God เป็นภาพยนตร์ที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าดึงตัวผู้เขียนและอาจจะผู้รักสัตว์หรือผู้เลี้ยงสุนัขบางท่าน เข้ามาอยู่ในประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์แทบจะทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเทียบกับภาพยนตร์หลากหลายเรื่องแล้ว White God ดูจะเหนือชั้นในด้านของความหดหู่ เศร้า และทรมาณระหว่างชมขึ้นไปอีกระดับ


ซึ่งเอาจริงๆนั้นดูจะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุดสิ่งหนึ่ง White God เป็นภาพยนตร์ที่ช่างสะเทือนอารมณ์อย่างรุนแรง มันทั้งโศกเศร้า หดหู่ กระทั่งชวนให้เบือนหน้าหนีในฉากบางฉาก แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่ช่างงดงาม และทรงพลังมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต


แน่นอนว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ White God เป็นเช่นนี้ ก็ต้องขอชื่นชมการกำกับของ กอร์เนล มุนดรักโซ จากการกำกับที่ยอดเยี่ยม ควบคุมและถ่ายทอดอารมณ์ในแต่ละช่วงของภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง ที่หนักแน่น ตึงเครียด น่าหดหู่โดยไม่มีท่าทีจะลดลงไปแม้แต่น้อย 
การเล่าเรื่องตัดสลับระหว่างมุมมองของ ฮาเก้น กับ ลิลลี่ ถ่ายทอดปัญหาของสองฝ่ายที่คล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าหากจะมีจุดติก็คงจะเป็นในจุดไคลแมกซ์ของเรื่อง ซึ่งแลดูสูตรสำเร็จเดาง่ายแสนง่ายไปบ้าง



สำหรับในด้านโปรดักชั่น โดยรวมถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เช่นการจัดแสงและองค์ประกอบภาพที่สวยงาม น่าทึ่ง เต็มไปด้วยพลังจนชวนขนลุก ด้านของการกำกับภาพโดยรวมถือว่าได้ดี แต่ในบางฉากมีการใช้เทคนิคการถ่ายทำแฮนด์เฮล กล้องสั่นไปมา ผสมกับการตัดต่อที่รวดเร็วมากเกินไปหน่อย ทำให้รู้สึกน่ารำคาญอยู่บ้าง


ส่วนด้านตัวละครต่างๆในภาพยนตร์สัญชาติฮังการีเรื่องนี้ โดยรวมก็ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างลิลลี่กับพ่อของเธอ หรือความสัมพันธ์ระหว่างสุนัขตัวเอกของเรื่องอย่างฮาเก้นกับแทบจะทุกตัวละครในภาพยนตร์ ซึ่งในหลายๆส่วนก็ต้องขอชมผู้ฝึกสุนัขและการแสดงของสุนัขสองตัว ลุค กับ บอดี้ ที่สลับกับรับบทเป็นฮาเก้น ในหลายๆฉากจะทรงพลัง น่าจดจำ และเดินหน้าไปต่อได้ยากลำบากมากทีเดียวถ้าหากปราศจากการแสดงอันยอดเยี่ยมของเจ้าสองตัวนี้



สิ่งหนึ่งที่ White God สื่อออกมาได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นเรื่อง ก็คือการประณามการทารุณสัตว์ และสะท้อนถึงความโหดร้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างไม่มีขีดจำกัด


แต่ในอีกด้านหนึ่ง สุนัขและสัตว์เหล่านี้ก็เปรียบเสมือนกระจกสะท้อน 'ชนชั้นล่าง' ของสังคม ที่ถูกกระทำอย่างทารุณ ปรนนิบัติเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ผ่านประสบการณ์อันแสนเลวร้ายจนต้องลุกขึ้นมาสู้ในท้ายที่สุด ซึ่งในภาพยนตร์ที่ทรงพลังอย่าง White God ก็ได้เปลี่ยนความคิดเรื่องการแก้แค้น ให้มาเป็นความชอบธรรมในสายตาผู้ชมอย่างปฏิเสธไม่ได้ 


สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือทุกชีวิต ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชนชาติ และทุกชนชั้น ต่างก็มีหัวจิตหัวใจไม่ต่างกัน การกดขี่ข่มเหงหรือรังแกผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ไร้ทางสู้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้อย่างเด็ดขาด




Final Score : [ 9 / 10 ]