วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

FALLSDOWNZ MOVIES AND GAMES AWARD 2012

MOVIE AWARDS OF 2012



นี้คือลิสต์ภาพยนตร์ปีนี้ที่ทางผู้เขียนประทับใจ และอยากจะให้รางวัล ในแต่ละสาขา โดยการตัดสินนั้นมาจากผู้เขียนล้วนๆ คนเรานั้น ชอบ-ไม่ชอบไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อย่าเชื่อผมทั้งหมดครับ ดูด้วยตัวเองดีที่สุด !! และต้องขอบอกว่าในลิสต์นี้ในส่วนของภาพยนตร์ มีหลายๆเรื่องในปี 2012 ที่ผมยังไม่ได้ดูเลย เนื่องจากดูไม่ทันบ้าง และบางเรื่อง ในอเมริกาเข้าไปแล้ว เมืองไทยยังไม่รู้เลยว่าจะฉายเมื่อไรก็มี ทำให้ลิสต์อาจจะตกหล่นไปบ้าง 





MOVIE OF THE YEAR 2012


ผู้เข้าชิง: 
- Argo
- Life of Pi
- Cloud Atlas
- The Avengers
- Prometheus
- Looper
- Dredd 3D
- The Impossible



และผู้ชนะในสาขา ภาพยนตร์แห่งปี 2012 MOVIE OF THE YEAR OF 2012 ได้แก่........




"Cloud Atlas" 


                                                                   ด้วยการแยกในแต่ละส่วนในภาพยนตร์มากมายหลายส่วน แต่ยังคงสามารถที่จะรักษาความสุดยอดในทุกๆส่วนได้อย่างดีเยี่ยม รายละเอียดที่มาก ในแต่ละยุค แต่ละสมัยในภาพยนตร์ตั้งใจทำมาอยากดี โดยที่แม้แต่ฉากเล็กๆก็ยังให้ความสำคัญมาก และคำคมที่เชือดเฉียนคู่แข่งที่น่ากลัวในปีนี้อย่าง Argo ไปได้อย่างหวุดหวิด ยิ่งในส่วนที่หนังนั้น "ไม่ดูถูก" คนดูเลยแม้แต่น้อย ไม่มีฉากใดๆเลยที่ผู้กำกับ จะยั้งมือ หรือ ทำคุณเหมือนเด็กอมมือมานั่งดูหนังเด็กเล่นซ้ำซากๆ นักแสดงในภาพยนตร์แต่ละคนก็เล่นได้อย่างสุดยอด โดยแต่ละคนเล่นไม่ต่ำกว่า 5-6 ตัวละครในภาพยนตร์ 1 เรื่อง !! แถมบางตัวละครนิสัย ท่าทาง ต่างๆ ก็ไปกันคนละโลกแต่ก็ยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์แห่งปีที่เพอร์เฟ็คด้วยความอลังการ แต่ไม่ลืมถึงจุดเล็กๆ ที่ค่อยๆใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนคุณไม่สามารถที่จะหยุดหยั้งมันได้ ถึงแม้ในด้านรายได้จะค่อนข้างร้ายแรง ผมต้องขอบอกว่า ท่านใดที่ไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณพลาดแล้ว !!





WORST MOVIE OF THE YEAR 2012


ผู้เข้าชิง:
- Paranormal Activity 4
- Journey 2 
- Stolen
- Resident Evil 5 
- Snow White and the Hunts man



และผู้ที่ชนะรางวัล ภาพยนตร์สุดห่วยแห่งปี 2012 หรือ WORST MOVIE OF THE YEAR 2012
ได้แก่.....




" Journey 2 : The Mysterious Island "

ภาพยนตร์ห่วยแตกแห่งปี Journey 2 ต้องขอบอกเลยว่าชีวิตนี้เกิดมาไม่เคยเจอหนังเรื่องใดที่ขี้เกียจขนาดนี้ CG 60-70% ในหนังมันไม่ใช่ CG ด้วยซ้ำ !! แต่มันคือเอา Wallpaper มาแปะ !! นี้พวกคุณขี้เกียจกันขนาดนี้เลยหรอ ยิ่งพูดถึงบทยิ่งน่าอนาจ บทหลักๆที่ครึ่งๆกลางๆ แถมยังซ้ำซากน่าเบื่ออยู่แล้ว พอเอาเข้าจริง ยิ่งแย่เข้าไปอีก บทพูดต่างๆ ทำออกมาขัดกันเองไร้ซึ่งเหตุผล และน่าเบื่อเป็นที่สุด CG สัตว์ประหลาดที่ควรจะยิ่งใหญ่น่ากลัว แต่กลับแข็งไร้ซึ่งอารมณ์แถมยังดูน่าตลกอีกต่างหาก ฝีมือการตัดต่อที่เลวร้ายกว่าเด็กมหาลัยด้วยซ้ำ ถึงแม้ในปีนี้จะมีหนังห่วยแตกอย่าง PA4 ที่ห่วยไม่แพ้กัน แต่อย่างน้อย อย่างน้อย !! PA4 ก็ไม่ได้ดูถูกคนดูโดยการเอา Wallpaper มาแปะเช่นนี้ มันช่างน่าทุเรศสิ้นดี ได้โปรดไม่เอาแล้วนะ Journey 3 เลิก เลิก !! (อยากจะบอกว่าได้ยินข่าวแว่วๆมาด้วยว่าจะมี ม่ายยยยยยยยยยยยยยยย)





MOST DISAPPOINTED MOVIE OF THE YEAR 2012



ผู้เข้าชิง:
- The Dark Knight Rises
- Skyfall
- Total Recall
- The Amazing Spider-man
- The Hobbit : Unexpected Journey


และผู้ที่ชนะรางวัล ภาพยนตร์ที่น่าผิดหวังย้ำนะครับน่าผิดหวังนะ ไม่ใช่แย่หรือห่วยนะ !! แห่งปี 2012 หรือ MOST DISAPPOINTED MOVIE OF THE YEAR 2012 ได้แก่...





" The Dark Knight Rises "


                                                               หลายๆคนคงแทบอยากจะฆ่าผมแน่เลยสำหรับรางวัลนี้ ในภาคที่แล้ว The Dark Knight นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ทั้งฉลาด กดดัน และมืดมน ที่แฟนภาพยนตร์ทุกคนต้องเคยดูไปแล้วอย่างต่ำคนละ 3-4 รอบ เพราะมันช่างสุดยอดจริงๆ พอมาภาคนี้ไอ้ผมก็คาดหวังว่ามันจะสุดยอดเช่นภาคที่แล้ว แต่ที่ไหนได้ พอไปดูจริงกลับช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก ความกดดัน ความมืดมน มันหายไปไหนหมด ? ฉาก Action ที่สุดจะธรรมดา.... ฉากไคลแมกซ์ของหนังก็ไม่ได้น่าประทับใจขนาดนั้น รวมถึงบางฉากยังน่าผิดหวังมากๆอีกด้วย จะไปว่าบทไม่เทพก็คงไม่ใช่ แต่เหมือน อารมณ์เดิมๆ ความสุดยอดบางอย่าง มันหายไปแล้วในภาคนี้ ...... หรือนี้จะเป็นผลมาจากที่ตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์ หายไปก็ไม่ทราบ ? 





MOST OVERPOWER MOVIES OF 2012


ผู้เข้าชิง:
- Dredd 3D
- Silent Hill : Revelation 3D
- Life of Pi
- Looper


และผู้ที่ชนะรางวัล ภาพยนตร์ที่ดีเกินคาดแห่งปี 2012 หรือ MOST OVERPOWER MOVIES OF 2012 หนังเหล่านี้จากการคาดเดาดูภายนอกน่าจะเป็นหนังที่ไม่ได้ดีมากมายนัก แต่เมื่อเราดูจริงๆแล้วกลับดีกว่าที่คาด แต่ผู้ชนะมีได้เพียงแค่ เรื่องเดียวเท่านั้น และเรื่องนั้นก็คือ...





" Silent Hill : Revelation 3D "

ต้องขอบอกสำหรับคนที่ไม่รู้ก่อนเลยว่า Silent Hill ทั้งสองภาคนั้นมีต้นแบบมาจากวิดีโอเกม ซึ่งเราคงจะรู้ๆกันดีว่า เกมที่สร้างมาจากหนัง หรือ หนังที่สร้างมาจากเกม มักจะห่วยแตกสุดจะทนสุดๆ... แต่ Silent Hill : Revelation 3D กลับไม่ใช่เลย เพราะผู้สร้างให้ความเคารพต้นแบบและแฟนๆเอามากๆ หลายๆสิ่งที่อยู่ในเกมก็มาอยู่ในหนังด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่างๆใน Silent Hill ในเกมที่ในหนังทำออกมาเหมือนโคตรๆ เช่น ตุ๊กตากระต่ายหลอน มาสค็อตประจำเกม Silent Hill แม้กระทั่งแผนที่ในหนังก็ยังโคตรเหมือนในเกม !! นอกจากนั้นฉากตื่นเต้น ตกใจต่างๆก็ทำได้ดีไม่ใช่เอามุขเดิมๆลอกมาเป็นรอบที่แสนล้านอีกต่อไป พอดูจบผมแทบจะยืนขึ้นตรบมือให้เรื่องนี้ แล้วพูดประมาณว่า "ยินดีด้วย Hollywood ทำสำเร็จแล้วนะ"






GAME OF THE YEAR OF 2012



ผู้เข้าชิง :
- Guild Wars 2
- Journey
- Dragon's Dogma
- Borderlands 2
- Final Fantasy XIII-2
- Walking Dead The Game



และผู้ที่ชนะในสาขา เกมแห่งปี หรือ Game of \the year 2012 ได้แก่...
(ต้องขอบอกก่อนเลยว่าตัวผมเองเล่นเกมไม่เยอะ เพราะฉะนั้นจะว่าลิสต์นี้ค่อนข้างจะความชอบส่วนตัวก็ว่าได้ครับ เพราะยังมีอีกหลายเกมที่เทพๆแต่ผมยังไม่ได้เล่นเลย...)




" Journey "

เกม Exclusive เฉพาเครื่อง PS3 เท่านั้น ที่พาคุณท่องดินแดนใหม่ พอกันทีกับ การฆ่าฟัน ยิงระเบิดตูมตามที่เราต้องยอมรับว่าช่วงนี้หันไปทางไหนก็มีแต่ฆ่าฟันกันทุกเกม แต่เกมนี้ ไม่ใช่เลย แต่ถึงกระนั้น Soundtrack ที่เกินคำว่าสุดยอดไปแล้ว กับเกมเพลย์ ทำให้คุณน้ำตาแตกเอาง่ายๆโดยที่ฉากๆนั้นไม่ได้มีอะไรซึ้งเลย แต่อยู่ดีๆคุณก็น้ำตาไหลออกมาเอง กราฟฟิคที่สวยงามสุดๆ และอยากจะบอกด้วยว่าเกม Journey นี้ในปีนี้ ได้รางวัลเยอะมาก รวมถึง " IGN GAME OF THE YEAR 2012 " และ "GAMESPOT GAME OF THE YEAR 2012 " เช่นกัน
พูดถึงขนาดนี้แล้วคุณรออะไรอยู่ ไปหามาเล่นได้แล้ว !!

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

The Impossible ( 2012 ) Movie Review

Movie Review



Movie Name : The Impossible ( 2012 ) , Drama / Thriller 
Director :  Juan Antonio Bayona ( The Orphanage ) 
Stars : Naomi Watts ( The Ring , King Kong ) , Ewan McGregor ( Stars War , The Ghost Writer ) , Tom Holland 
Rating PG-13 : ( Some Violence )






(THAI)


The Impossible เป็นภาพยนตร์ที่ชาวไทยหลายๆคนคงจับตากันอย่างมาก และอาจจะรอคอยกันมานานมากด้วย เพราะเรื่องราวนั้นทำมาจากเรื่องจริง และเรื่องจริงที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นในประเทศไทยนี้เอง และถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา (อย่างน้อยก็ในชีวิตผมแหละ) นั้นก็คือสึนามินั้นเอง





The Impossible เห็นอย่างนี้หลายๆคนก็คงนึกว่าเป็นภาพยนตร์อเมริกา Hollywood กันใช่ไหมครับ ? แต่ขอแสดงความเสียใจด้วยผิดครับ!! The Impossible เป็นภาพยนตร์ของประเทศ Spain ต่างหาก ซึ่งอย่าได้แปลกใจ หรือ อย่าได้กังวลกันไปเลยครับ เพราะสมัยนี้ไม่ใช่แค่ว่า อเมริกาเท่านั้นจะทำหนังสนุก หนังดีได้ อย่างเดียว ประเทศอื่นๆก็ทำหนังดีไม่แพ้กันเลยครับ (ดีไม่ดีจะดีกว่าด้วย แต่เผอิญ อเมริกามันตลาดใหญ่ที่สุดแค่นั้นเอง)


The Impossible ดูจากชื่อผู้กำกับแล้วค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะไม่รู้เป็นใครมาจากไหน แถมเรื่องที่กำกับแล้วเป็นภาพยนตร์ออกฉายทั่วโลกหรือพอรู้จักกันบ้าง ก็มีอยู่เรื่องเดียวนั้นก็คือ The Orphanage ในปี 2007 แต่ก็เป็นผู้กำกับอีกคนนึงเลยที่ประมาทไม่ได้จาก คะแนน The Orphanage ที่มากถึง 7.5 ซึ่งใน IMDB ถือว่าค่อนข้างที่จะเยอะมากเลยทีเดียว ยิ่งเป็นหนังผียิ่งถือว่าหายากจริงๆที่จะมีหนังแนวผีๆแตะถึง 7 (ส่วนใหญ่จะไปกระจุกๆกันที่ 5-6)


The Impossible เล่าด้วยเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งที่มาเที่ยวเมืองไทยในวันหยุดพักร้อน โดยพวกเขาหารู้ไม่ว่า พวกเขากำลังจะเจอสิ่งที่เลวร้ายมากเสียจนจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล... ซึ่งให้พูดกันง่ายๆก็คือ ใน The Impossible เล่าเกี่ยวกับสึนามีปี 2004 ในไทยนี้แหละครับ


The Impossible นั้นเป็นภาพยนตร์ที่แปลกนิดนึงคือได้ เรท PG-13 แต่ผมต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่า เราต้องรู้ก่อนว่า มันเป็นเกี่ยวกับภัยธรรมชาติ และค่อนข้างจะมีหลายๆฉากที่ค่อนข้างจะรุนแรงนิดนึง อย่างที่คุณพอจะคาดเดากันได้เมื่อเจอกับสึนามิ (จริงๆยังถือว่าในหนังยังเวอร์ที่ยังโดนแค่นั้น ของจริงยิ่งกว่านี้อีก) ทั้งเลือด ทั้งแผลเหวอะ อะไรต่างๆนาๆ 




The Impossible นั้นจะเรียกได้ว่าเป็นหนัง Drama ที่ฉลาดเอามากๆ เพราะถึงแม้ในบางจุดมันน่าจะไม่มีอะไรแล้ว แต่หนังก็ยังสามารถทำให้คุณลุ้น ได้ ด้วยการเอาเหตุการณ์ต่างๆมาเชื่อมโยงกันอย่างชาญฉลาด และสิ่งที่เราจะไม่พูดเลยไม่ได้เด็ดขาดสำหรับหนังเรื่องนี้ คือ "ฉากสึนามิเข้าถล่ม" ซึ่งมันทั้ง อลังการ น่ากลัว อย่างบอกไม่ถูก แถมฉากนั้นเรียกได้ว่าสุดยอดมากๆต้องขอปรบมือให้กับทีมงานจริงๆ เพราะตอนคุณดู คุณมองไม่ออกเลยจริงๆว่านี้เป็นการเซ็ตฉากขึ้น แถมฉากๆนั้นเรียกได้ว่าเป็นฉากที่แทบจะทำร้ายจิตใจคนดูเป็นที่สุด ไม่ได้หมายความว่ามันแย่นะครับ แต่มันสมจริงจนเรารู้สึกร่วมไปกับตัวละคร ยิ่งคนไทย ยิ่งแล้วใหญ่ โดยในฉากนี้เชื่อไหมว่า เขาใช้เวลาถ่ายกันถึงหลายสัปดาห์เลยทีเดียว ! (คิดดูแช่ในน้ำหลายๆชม.ต่อวัน เป็นสัปดาห์คิดเอาเองแล้วกันครับ ไหนจะต้องแสดงอีก)


การแสดงใน The Impossible นั้นสุดยอดมากๆนักแสดงแต่ละคนเลือกมาได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Naomi Watts ที่เราคงคุ้นหน้าคุ้นตาเธอจาก The Ring โทรศัพท์สุดสยองนั้นเอง เธอเล่นได้อย่างทุ่มเทเอามากๆ โดยเฉพาะในฉากตอนเธอกำลังเอาชีวิตรอดจากคลื่น ดูสมจริงสุดๆ และในหลายๆฉากเธอก็ลงทุนเล่นมากๆต้องนับถือจริงๆ นอกจากนั้น ม้ามืดจริงๆสำหรับ Tom Holland ที่เรียกได้ว่าเล่นหนังเรื่อง The Impossible เป็นการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเลยก็ว่าได้ แต่กลับเล่นได้ดีเกินหน้าเกินตานักแสดงหลายๆคนในเรื่อง ทั้งที่ยังอายุไม่เยอะเลย แต่ฉากแสดงก็เยอะ ไหนจะฉากสึนามิอีก เรียกได้ว่าเก่งเกินเด็กจริงๆ ไม่ว่าจะฉากดีใจ ฉากซึ้ง ฉากเศร้า ฉากกลางสึนามิ เขาก็ทำได้ดีทั้งหมด จนผมตกใจตอนมาเปิดดูข้อมูลว่าเพิ่งเล่นหนังเต็มๆครั้งแรก นึกว่าเล่นหนังมา 100เรื่องแล้วซะอีก เล่นดีขนาดนี้ ที่น่าเสียดายคือ Ewan McGregor ซึ่งบทบาทถือว่าไม่น้อยแต่ก็ไม่มากเท่าไรนัก แต่ก็ยังเล่นได้ดีในระดับหนึ่ง เสียดายที่ Naomi กับ Tom ขโมย Scene ไปซะหมดแล้ว


ที่สำคัญเลยคือการที่ได้ดู The Impossible นั้นมีประโยชน์เอามากๆ พวกเราเองคนที่ไม่ได้ไปอยู่ในสถานการณ์นั้น คงสงสัยว่าตอนนั้นมันเป็นยังไง ลำบากขนาดไหน พอดูเรื่องนี้แหละครับคุณจะเข้าใจในทันที เพราะทางทีมงานทำเรื่องบรรยากาศได้ดีมาก คุณจะทั้งตื่นเต้น และมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครตลอด ยิ่งถ้าคุณเป็นคนบ่อน้ำตาแตกง่ายกรุณาเตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ 3-4กล่องเป็นอย่างต่ำ


ถ้าจะให้พูดถึงจุดด้อยของ The Impossible นั้นก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังออกจะเวอร์ไปซักนิดนึง ถ้าหากไม่ติดที่ว่าเป็นหนังแนว Hollywood ไปซักหน่อยก็คงจะดีกว่านี้ แต่บอกตามตรงข้ออ้างนี้มันไม่เพียงพอสำหรับผมที่จะเรียกว่าเป็นจุดด้อยได้เลย


The Impossible ผมไม่อาจจะพูดอะไรได้เลยนอกจากคำว่า "สุดยอด" อยากให้คนไทยทุกคนไปดูกันเยอะๆจริงๆ เป็นหนังที่ดีมาก จนไม่อาจจะสรรหาคำพูดมาอธิบายได้ให้มันหมด
เอาเป็นว่าไปดูกันเยอะๆเถอะครับ คุณจะไม่เสียดายเงินสักบาทนึงเลยที่ได้ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และหวังหว่าปีนี้ Oscar The Impossible คงได้ไปลุ้นๆกับเขาบ้าง



The Selected Quote  from " The Impossible " 

"เมื่อผมตื่นขึ้นมา ผมพบว่าตัวเองอยู่คนเดียว ผมกลัวมาก แต่ พอผมมองขึ้นไปบนต้นไม้ เห็นครอบครัวของผมเกาะอยู่ ผมไม่กลัวอีกต่อไป เพราะผมรู้แล้วว่า ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว"
"ดูตัวเองบ้างสิ แม่ เราช่วยใครไม่ได้หรอก !" 
"ต่อให้เราต้องตาย เราก็ต้องไปช่วย"





Final Score : [ A + ] + [ MUST SEE BADGE ]




Thankyou to : The Impossible ( 2012 ) , IMDB.com For Information

The Hobbit: An Unexpected Journey ( 2012 ) Movie Review

Movie Review





Movie Name : The Hobbit : An Unexpected Journey ( 2012 ) Adventure / Fantasy
Director : Peter Jackson ( The Lord Of The Rings Trilogy)
Stars: Ian McKellen ( X-Men ) , Martin Freeman ( Sherlock TV Series ) , Richard Armitage ( Captain America : The First Avenger ) 
Rating : PG - 13 ( Some Violence ) 






(THAI)

The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นทางผมผู้เขียนนั้นต้องขอบอกก่อนเลยว่า ไม่เคย ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนเลย ทั้ง Lord Of The Rings ทั้ง Hobbit รวมถึงบอกตามตรงเลยว่าส่วนตัวไม่ได้เป็นแฟน Lord of The Rings ซักเท่าไร (ขนาด 3 ภาคแรกยังจำได้ลางๆแล้วเพราะดูตั้งแต่ยังเด็ก) เพราะฉะนั้น อาจมีบางความเห็นที่อาจจะไม่ตรงกับหลายๆท่านที่อ่านหนังสือมา หรือ ข้อมูลใดผิดพลาด ก็ต้องขอกราบขออภัยมาล่วงหน้า ณ ที่นี้ครับ


ต้องเท้าความกันก่อนว่า The Lord Of The Rings นั้นเป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ่อลังการมาก ผู้เขียนจำถึงฉากในภาคสุดท้าย ที่เลโกลัสปีนขึ้นไปบ้นช้างขนาดใหญ่ ในภาคสาม หรือ แกนดาฟสู้กับมังกรในภาคแรกได้อย่างดี รวมถึงความทรงจำที่ ภาคสามหาที่นั่งในโรงภาพยนตร์แทบไม่มี ต้องมานั่งแถวหน้าสุดชนิดที่แทบจะเอาหน้าไปชนกับจอโรงอยู่แล้ว รวมถึงระยะเวลาของภาพยนตร์ในภาค สามที่ใครที่ไปดูในโรงด้วยตัวเองจะทราบว่า มันโคตรยาว ส่วนตัวผมเองนั่งหน้าสุดก็นั่งคอหักกันไปเพราะต้องแหงนหน้ามองจอโรงภาพยนตร์ เรียกได้ว่าจบภาคสามมาคอแทบหักกันเลยทีเดียว



The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นยังคงได้ผู้กำกับคนเดิมที่หลายๆคนคงอาจจะเริ่มเบื่อๆกันแล้วกับลุง Peter Jackson ผู้สร้างภาพยนตร์ Lord Of The Rings ทั้งสามภาคที่ผ่านมา รวมถึง The Hobbit เองด้วย ซึ่งวีรกรรมของลุงแกคงไม่ต้องพูดถึงชาวหนังคงรู้กันอยู่ดี


The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นเล่าเรื่องราวย้อนไปก่อนเหตุการณ์ศึกแย่งแหวนทอง Made in China เอ้ย !! ไม่ใช่ ศึกแย่งแหวน โดยย้อนเรื่องราวไป 60 ปี ซึ่งตัวเอกใน The Hobbit ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคุณลุงของ Frodo นั้นเอง โดยเขาได้รับเชิญจากแกนดาฟให้ไปผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล....



The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นต้องขอบอกก่อนเลยสำหรับหลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าภาพยตร์ The Hobbit นั้นสร้างเป็น 3 ภาคนะครับ ซึ่งภาคต่อไปนั้นน่าจะฉายในปีหน้า 2013 ถ้าหากไม่ผิดพลาดอะไร โดยในภาค An Unexpected Journey นั้นก็เปรียบเสมือนเป็นจุดเริ่มต้นของ The Hobbit นั้นเอง โดยในรีวิวถัดไปนี้ ผู้เขียนจะขอวิจารณ์ในฐานะของ "คนดูทั่วไป" นะครับ ไม่ใช่วิจารณ์ในฐานะ "คนที่อ่านมาแล้ว" เพราะ ฉะนั้นเหตุผลในหลายๆส่วนมันอาจจะไม่เหมือนกัน ยังไงอยากให้หลายๆท่านที่อ่านมาแล้วช่วยเปิดใจนิดนึงนะครับ




The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นหากพูดกันแล้วคงจะไม่มีใครกล้าพูดว่านี้เป็นภาพยนตร์ที่ภาพนั้นงดงามเสียจริง ขนาดผู้เขียนชมในโรงธรรมดาก็ยังรู้สึกได้ว่า โอ้วแม่เจ้าทำไมภาพมันช่างสวยขนาดนี้ รวมไปถึง Soundtrack ที่อลังการงานสร้าง และเข้ากับใน Scene นั้นๆอย่างมาก ถ้าท่านใดกลัวว่าจะไม่ได้ฟัง Soundtrack เก่าๆล่ะก็ เลิกกลัวได้เลยครับ เพราะในบางจุดท่านจะได้ฟัง Soundtrack ที่ท่านคุ้นเคยและคิดถึงกันมากๆเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแฟนพันธุ์แท้อาจมีน้ำตาไหลพรากๆก็เป็นได้ 


นอกจากนั้นตัวละครเก่าๆหลายตัวก็กลับมาให้หายคิดถึงกันเช่น Frodo Gandalf  และอีกหลายๆคนจาก Lord Of The Rings  (ได้ยินแว่วๆมาว่าภาคต่อไปจะมีตัวละครเก่ามาให้เห็นอีกหลายคน!) ที่สำคัญต้องขอบอกเลยว่านี้จะเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นหลักๆของ Lord Of The Rings หรือ The Hobbit เลยก็ว่าได้นั้นก็คือ เรื่องราวที่อลังการ ยิ่งใหญ่ แต่ไม่เด็กๆ ดูจริงจัง และแฝงไปด้วยอารมณ์มากมาย ใน The Hobbit ก็เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเรื่องหลัก แค่การเกริ่นเรื่องราวมันก็ช่างอลังการงานสร้าง และทำให้คุณขนลุกกันแบบง่ายๆเลยทีเดียว ฉากต่อสู้หรอ ? ไม่ต้องห่วงเพราะแต่ละฉากของ The Hobbit นั้นอลังการเอามากๆ ตั้งแต่สู้กับก็อบลินตัวกระจิ๋ว ยันยักษ์โทรลล์ตัวมหึมา (พูดแล้วนึกถึง โทรลล์จาก Harry Potter ภาค 2 = = ) การต่อสู้เล็กๆอย่างการใช้สมอง ยัน สงครามกันเป็นกองทัพ เพราะฉะนั้นหากท่านกังวลว่า The Hobbit มันจะอลังการสู้ The Lord of The Rings ได้ไหม ? เลิกห่วงได้เลยครับ



แต่ !! แต่ !! อีกแล้วถึงกระนั้น The Hobbit : An Unexpected Journey สำหรับตัวผมที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนนั้นมีหลายๆจุดมากที่รู้สึกว่า อืม ยังทำมาไม่ดีพอ หรือ อาจจะไม่ได้ทำมาสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านมาก่อนก็ไม่ทราบ (ซึ่งถ้าใช่มันคงจะน่าอนาจมาก จะบอกว่า ถ้าเอ็ง งงก็ไปซื้อหนังสือตูอ่านเอาสิ งั้นหรอ ?) อย่างแรกเลยที่เลวร้ายที่สุดสำหรับตัวผม คือ ประมาณ 20-30 นาทีแรก หรือองค์แรก ของภาพยนตร์ มันช่างอืดดดดดเสียเหลือเกิน อืดดดดด จนผมนี้สติหลุดลอยไปมองลำโพงโรงภาพยนตร์ไปแทนแล้ว และต้องขอบอกเลยว่าถ้าเรื่องไหนมันไม่น่าเบื่อจริงผมไม่เคยทำเช่นนี้เลย (อย่าง Cloud Atlas ผมนั่งจ้องแทบไม่กระพริบตา ป็อบคงป็อบคอรน์ไม่กงไม่กินมันละ น้ำไม่กงไม่กินมันละตูจะตั้งใจดู) ที่แย่ไปกว่านั้นคือในช่วงแรกนั้น หลายๆจุดนั้นไม่ได้จำเป็นที่จะต้องใส่เข้ามาเลย ซึ่งส่วนตัวผมก็พอจะเข้าใจดีว่าใส่มาเอาใจแฟนๆ Lord Of The Rings แต่การที่คนดูทั่วไปจะต้องมานั่งทนอืดอย่างกับมาม่าค้างปีแบบนี้ มันก็สุดจะทนเช่นกัน... โดยในจุดนี้มันกระทบผู้เขียนอย่างมาก เพราะหากองค์แรกของภาพยนตร์มันไม่สามารถที่จะตรึงผมเอาไว้กับภาพยนตร์ได้ จุดที่เหลือมันก็แทบจะไร้ความหมายไปครึ่งนึงแล้ว ซึ่งมันก็จริงเพราะหลังจากเหตุผลแรกนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็ตั้งใจดูนะครับ แต่ แต่ละสิ่งที่ต่อมาจากนั้นมันดูจะไร้ความหมายไปแล้วสำหรับผม เพราะเริ่มต้นได้แย่ เหมือนกับการแข่งรถที่คนอื่นเขาสตารท์กันอย่างรวดเร็วและพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ The Hobbit : An Unexpected Journey กลับมัวแต่หาปุ่มกดสตารท์เครื่องหรืออย่างไรไม่ทราบ



อีกจุดหนึ่งเลยที่ทำให้ผมรู้สึกว่าค่อนข้างจะผิดหวังเล็กน้อย(ส่วนตัวเรื่องนี้ผมไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้เลยยังผิดหวังถ้าผมตั้งความหวังคงแย่อะครับ = = ) ในภาพยนตร์ The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นก็คือ ทั้งเรื่องในความยาว 169 นาทีหรือเกือบจะ 3 ชม. นี้นั้น ไม่มีจุดใดเลย ย้ำว่าไม่มีจุดใดเลย ในหนังที่ทำให้ผมคิดหรือกล้าที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า "โอ้วจอรช์ , โอ้ว มาย ก็อด , เห้ย เมพโคตร!!" ได้เลย หรือจะให้พูดง่ายๆเลยก็คือ ไม่มีจุดใดเลยในหนังเกือบ 3 ชม. เรื่องนี้ที่มันสามารถที่จะ กระแทก หรือ ระเบิดใส่ผม ได้เลยซักจุด ทำให้เป็นอีกเหตุผลว่าผมนั้นค่อนข้างที่จะเฉยๆออกไปทางแย่เล็กน้อยหลังจากดูจบ เพราะผมเหมือนมานั่งดูหนังดราม่าที่อืดๆเอื่อยๆเรื่อยๆซะอย่างนั้น ซึ่งมันค่อนข้างจะผิดวิสัยหนัง Adventure / Fantasy อย่างมาก นอกจากนั้นจุดที่ผมสามารถพูดได้จริงๆว่ามันเป็นจุดพีคของหนังหรือจุด "Climax" ของหนัง นั้นผมไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงไหนจริงๆ เพราะกราฟของ The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นออกแนวจะต่ำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วจากนั้นค่อยขึ้นทีละนิด ทีละนิดแล้วก็หยุดราบเรียบไปยันจบ ตกลงจุดที่มันควรจะทำให้ผมรู้สึก "เห้ย มันเจ๋งหวะ อยากดูอีก !!" หรือ "โอ้ยอยากดูภาคต่อไปแล้ว !!" มันหายไปไหนหมด ? ไม่แน่ใจว่าตกลงมันไม่มีเพราะมันเป็นแค่ภาคเริ่มของ The Hobbit หรือ มันมีแต่ทำออกมาห่วยแตกเกินกันแน่ !? (ซึ่งมันคงมีแหละ....)




นอกจากนั้นเลยจุดนี้ต้องขอเสริมนิดนึงเป็นความเห็นที่ผมได้ไปฟังมาอีกทีจากนักวิจารณ์คนนึงซึ่งผมค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับเขามากๆ นั้นก็คือ ตัวละคร"ใหม่" ของ The Hobbit นั้น นอกจากตัวเอกอย่าง บิลโบแล้ว ตัวที่เหลือเช่น คนแคระ หรือแม้กระทั่ง ธอริน นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกประทับใจ หรือ ไม่ได้โดดเด่นพอเลย ให้พูดตรงๆเลยคือ ในกลุ่มของคนแคระ ให้ผมพูดชื่อมาซักคน ผมยังจำไม่ได้ซักคน นอกจากธอริน ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ธอรินนั้นก็ไม่ได้มีบทบาทที่จะทำให้ผมจำได้ไปอีกยาวนานซักเท่าใดนัก เอาง่ายๆคือตัวละครกลุ่มๆนึงโผล่มา 90% ของทั้งเรื่องมารวมกัน ยังไม่สามารถที่จะเทียบกับตัวละครเพียงตัวๆเดียวที่โผล่มา 10-20% หรือไม่เกิน ครึ่งชม. อย่าง กอลลัมได้เลย ซึ่งส่วนนึงก็คงมาจากการที่นี้เป็นแค่ภาคเริ่มต้น ในจุดนี้เราคงต้องรอดูภาคต่อๆไปกัน


อีกจุดนึงเลยคือบทที่ในบางจุดเหมือนจะยังเขียนมาได้ไม่ค่อยดีนัก และในหลายๆจุดมันเหมือนจะไร้ความหมาย เช่น นกที่มารับพวกพระเอกตอนสุดท้าย ทำให้เกิดคำถามอย่างเช่น ทำไมไม่เรียกมาตั้งแต่แรก ? หรือการที่ชอบเขียนให้ แกนดาฟโผล่มาเป็นพระเอกเป็นตอนสุดท้ายถึง 2-3 ครั้ง มันทำให้ความสนุกของหนังลดลงไปบ้าง เพราะอย่างไรก็ตามเราก็คงเดาออกหมด ซึ่งคำถามเหล่านี้นั้นสามารถที่จะตอบได้จากข้อมูลในหนังสือ ซึ่งคนที่อ่านมาแล้วก็คงเข้าใจ แต่คำถามคือ ผมไม่ได้อ่านหนังสือมาเนี้ย ผมจำเป็นจะต้องไปนั่งหาหนังสือมาอ่านเพื่อที่จะเข้าใจตรงกับคนที่อ่าน หรือ ผู้สร้างงั้นหรอ ? มันค่อนข้างที่จะดูไม่แฟร์ และเป็นมาร์เก็ตติง ที่ค่อนข้างน่าเกลียดไปบ้าง ทั้งๆที่ภาพยนตร์ มันควรจะเป็นสิ่งที่ดูทีเดียวเข้าใจได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะอ่านหนังสือมาหรือไม่ก็ตาม หรือจะเพิ่ม คำพูดอธิบายเข้าไปในหนังก็ยังได้ แต่กลับไม่ทำซะอย่างนั้น ซึ่งหวังว่าข้อเสียในหลายๆจุดนี้ จะหายไปบ้างในภาคต่อๆไป (ไม่งั้นผู้เขียนคงนั่งอืดเป็นมาม่าต้มค้างปีในโรงแน่นอน) 


The Hobbit : An Unexpected Journey เป็นภาพยนตร์ Adventure / Fantasy แห่งปีที่สำหรับท่านที่อ่านหนังสือหรือเป็นแฟนอยู่แล้วคงจะถูกอกถูกใจกันอย่างมากเลยทีเดียวจึงไม่ต้องลังเลเลยที่จะไปชม แต่ !! ถ้าหากคุณไม่ใช่แฟนตัวยงหรือคุณไม่ได้รู้สึกพิเศษไปกับภาพยนตร์ Lord Of The Rings ยิ่งไปกว่านั้นคุณไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน คุณอาจะต้องคิดหนักสำหรับการที่จะไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ด้วยข้อเสียที่ค่อนข้างหนักเอาการพอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่า นี้เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่คุณควรจะไปชมด้วยตาของคุณเอง !!




The Selected Quote from " The Hobbit : An Unexpected Journey " 

And if he looses? What then? Well, if he looses, precious, then we eats it! If Baggins looses, we eats it whole!
" Gollum "



Final Score :  [ C + ] 




Thankyou to : The Hobbit : An Unexpected Journey ( 2012 ) , IMDB.com for information.

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Paranormal Activity 5 !!! ตุลาปีหน้า !?! ( Movie News )

Movie News







ไม่รู้เมื่อไรมันจะจบซักทีกับซีรียส์ Paranormal Activity ที่ดันดังเป็นพลุแตกเกินคาดจากภาคแรกที่มีต้นทุนต่ำมาก แต่กำไรเยอะ จนล่อไป 4 ภาคแล้ว จากภาคล่าสุดที่หลายๆคนที่ติดตาม Blog ผมคงทราบดีว่าโดนสับเละเทะแค่ไหน แล้วนี้ยังจะมีข่าวค่อนข้างที่จะคอนเฟิรม์ออกมาจากต่างประเทศแล้วว่า เจอกันแน่ ตุลาปีหน้า 2013 Paranormal Activity 5 !! OH GOD WHY !? เอาวะดูก็ดู แต่ถ้าหากยังมาแบบเน่าแบบภาค 4 เจอสับเละตั้งแต่ต้นยันจบแถมยัดหน้าด้วย F + Epic Fail ได้เลย

Cloud Atlas ( 2012 ) Movie Review

MOVIE REVIEW




Movie Name : Cloud Atlas ( 2012 ) , Drama / Mystery / Sci-Fi
Director : Tom Tykwer ( Run Lola Run ) , Wachowski Brothers ( The Matrix Trilogy )
Stars : Tom Hanks , Halle Berry , Jim Broadbent , Hugo Weaving , Jim Sturgess , Doona Bae , Ben Whishaw 
Rating : R ( 18+ ) for violence , sexual theme 






MOVIE REVIEW
(THAI)




                                                  Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์แห่งปีที่ต้องขอเริ่มต้นบอกก่อนเลยว่าเห็นว่าเป็นหนัง Sci-Fi แต่อย่าหวังว่าจะมีฉากยิงกันด้วยแสงเลเซอร์ระเบิดตูมตามกันทั้งเรื่องนะ ยิ่งไปกว่านั้นส่วนตัวแนะนำแบบตรงๆเลยว่า หากท่านใดไม่ได้สนใจจะดูภาพยนตร์เอาสาระเยอะๆทีเดียว แบบโหมกระหน่ำมาใส่ ฉากที่เต็มไปด้วยความหมาย และพิศวง คำคมเฉือดเฉือน การตีแผ่สังคม และบทที่ยุ่งยากสุดๆ และฉาก Action รวมกันทั้งเรื่องยังไม่ถึง 2นาทีด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น หากจะดูเอามันส์กรุณาข้ามไปเถอะครับ นี้ไม่ใช่หนังสำหรับคุณเลย มันจะพาคุณหลับตั้งแต่ 10นาทีแรกซะมากกว่า



Cloud Atlas นั้นจะพูดว่าเป็นภาพยนตร์ HollyWood เต็มๆตัวก็ลำบากอยู่เหมือนกันเพราะถึงแม้จะมีสองพี่น้อง Wachoski จาก The Matrix มาก็จริง แต่ก็มีผู้กำกับระดับตำนานของประเทศ เยอรมันอย่าง Tom Tykwer อยู่ด้วยเช่นกันซึ่งในจุดของสองพี่น้อง Wachowski คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายนักเพราะเราก็คงรู้ๆกันดีกับฝีมือของสองพี่น้องคู่นี้จาก The Matrix ไตรภาค ส่วน ผู้กำกับ Tom Tykwer นั้นเขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง Run Lola Run ซึ่งค่อนข้างที่จะโด่งดังมากในต่างประเทศ ซึ่งฝีมือการกำกับของเขานั้นต้องบอกว่าไม่ธรรมดาแน่นอน



คุณเคยคิดบ้างไหม ? ว่าบางทีชีวิตของพวกเราทุกคน อาจจะเชื่อมกันอยู่ ? ทุกๆคนที่เราพบเจอ ทุกๆคนที่เราทำดีหรือช่วยเหลือ ทุกๆคนที่เราทำไม่ดีหรือทำเลวใส่เขา ล้วนแต่ทำให้เกิดหนทางใหม่ขึ้นเสมอๆ บางครั้งคุณอาจจะไม่ต้องใช้เวลานานนับสิบปี ถ้าหากคนๆนั้นใช่สำหรับคุณเพียงแค่มองด้วยสายตาคุณก็สามารถที่จะรู้ได้แล้ว ทุกๆอย่างได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วและเราไม่สามารถที่จะหลีกหนีมันได้..........งั้นหรือ ?




Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์ที่ถ้าจะให้เปรียบเทียบล่ะก็คงต้องเปรียบกับคลื่นในทะเลที่ในเวลา 172 นาที หรือเกือบ 3 ชม. ผมไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ 3 ชม. ใช่แล้วครับ เปรียบเสมือนคลืนในทะเลที่เงียบสงบตอนเริ่มต้นไร้ปราศจากภัยอันตรายใดๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นจากหลายๆทิศทาง ต่างเวลา ต่างสถานที่มา แต่จุดหมายเดียวกัน ก็เริ่มที่จะถาโถมเข้ามาทีละเล็กทีละน้อยเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดก็เกิดคลื่นมหึมา ที่คุณมิอาจจะหลีกหนี ทำได้เพียงแต่ยืนมองและไม่สามารถแม้แต่ที่จะหนีพ้นเพราะคุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณไม่สามารถที่จะหนีชะตากรรมนี้ได้


Cloud Atlas นั้นเล่าเรื่องผ่านตัวละครมากมาย โดยในเรื่องมีเรื่องย่อยๆที่เชื่อมต่อกันอยู่ถึง 6 เรื่อง !! ซึ่งจะพูดว่าเรื่องย่อยๆก็ไม่ถูก เพราะแต่ละเรื่องก็มีรายละเอียดที่มากมาย ตัวละครทุกตัวล้วนสำคัญ และมีบทบาทอย่างมากต่อคนดู  แถมแต่ละเรื่องก็น่าสนใจเอามากๆ จนผมคิดเลยว่า น่าจะทำเป็น 6 ภาคไปเลย !! แยกออกมาทำให้หมด ผมจะยอมดูทุกภาคเลยอ่ะ !! 


Cloud Atlas นั้นคำถามหลักๆของภาพยนตร์ก็คงไม่พ้น ชะตากรรมที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้วที่คุณรู้ๆกันอยู่แก่ใจว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ แต่ ! แต่ ! ในบางครั้งเราก็รู้ตัวดีว่าเราไม่สามารถจะหลีกหนีชะตากรรมนั้นได้ แต่เราก็ "เลือก" ที่จะต่อสู้กับมัน ถึงแม้เราจะรู้ดีว่าจุดจบที่กำลังรอคอยเราอยู่นั้นมันช่างเลวร้ายจนไม่อาจจะคาดคิดได้ 




นักแสดงแต่ละคนใน Cloud Atlas ต้องขอชมเชยเลยว่าสุดยอดจริงๆ เพราะแต่ละคนเล่นอย่างต่ำกันคนละ 5-6 ตัวละคร ! และทุกคนก็ปรากฏตัวในทุกเรื่องด้วย (ต้องสังเกตุดีๆบางคนโผล่มาแวบๆ) ซึ่งแต่ละตัวละคร ก็ดันไม่เหมือนกันเอาซะเลย บางตัวละครนี้เรียกได้เลยว่า ไปกันคนละขั้วโลกเลย ซึ่งการที่เรานั่งดูนั้นมันก็พูดง่ายว่ามันคงไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่คิดดูนะครับ ทุกตัวละคร 20-30ตัว มีบุคลิกไม่เหมือนกัน มีเป้าหมายไม่เหมือนกัน มีเหตุการณ์และผลกระทบที่ไม่เหมือนกัน และในตัวนักแสดงคนๆเดียว ต้องแยกแยะระหว่างตัวละคร 5-6 ตัวละครในคนๆเดียว มันลำบากแค่ไหน โดยเฉพาะนักแสดงนำอย่าง Tom Hanks และ Halle Berry ซึ่งทั้งคู่มักจะเล่นเป็นตัวละครหลักในทุกๆเรื่องซึ่งมันเหนื่อยเอามากๆ เพราะแต่ละเรื่องก็เล่นหนักมาก ทั้งรถตกน้ำ สู้กับมนุษย์กินคน ถูกไล่ล่า สู้กับมนุษย์กันเอง มันจึงเป็นงานที่สาหัสเอามากๆสำหรับทั้งคู่


ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ Cloud Atlas ในตอนนี้คงจะไม่พูดถึงเรื่อง "ภาพ" ไม่ได้เด็ดขาดเลยเพราะ ใน Cloud Atlas นั้นภาพช่างสวยงาม สุดๆ สวยจนแทบจะเรียกได้ว่าผมอยากจะตะโกนในโรง "พี่ๆหยุดฉากนี้ก่อนได้ปะ ขอผม Screen Shot ก่อนนะ" ประมาณนั้นเลย แต่ละฉากนั้นใหญ่โต อลังการ มีเอกลักษณ์ และรายละเอียดเยอะมาก แถมแต่ละฉากก็ไม่เหมือนกันเลยซักกะติ๊ด แตกต่างกันแบบสุดขั้วก็มีอีกเช่นกัน ก็เลยงงว่าทางทีมงานทำได้ยังไง ? 


นอกจากนั้นภาพยนตร์ Cloud Atlas ยังมีจุดเด่นๆมากมายนับไม่ถ้วนจริงๆอย่างเช่น คำคมที่คมบาดจิตใจสุดๆและเยอะมากๆเอาด้วย คำสอนที่ให้แก่คนดูที่มีคุณค่าจริงๆ การจิกกัดสังคมโลกปัจจุบันอย่างเจ็บแสบ อย่างเรื่องของ ชายรักชาย ความโลภ คำโป้ปดหลอกลวง ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง และอีกมากมาย นอกจากนั้น Cloud Atlas ยังเป็นภาพยนตร์ที่ผมบอกตามตรงเลยว่าผมไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องไหน อินเท่านี้มาก่อน (ต้องขอบอกก่อนเลยว่าผู้เขียนก็เคยคิดนะ เออ มันมีโอกาสไหม ที่คนทุกๆคนจะมีอะไรบางอย่างเชื่อมกันอยู่) แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะ ถ้าคุณเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดของหนังค่อนข้างมาก คุณจะเหมือนถูกดูดเข้าไปในหนังเลยทันที เพราะในทุกๆซอกทุกๆมุมของ Cloud Atlas เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่สุดๆจริงๆในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ฉากตลกที่ฮาดี (ค่อนข้างเป็นฉากคลายเครียดจากฉากอื่นๆเพราะฉากอื่นๆค่อนข้างจะซีเรียสและกดดันคนดูมากๆ) ฉากกดดันที่กดดันสุดๆ ฉากต่อสู้ที่แม้จะน้อยก็จริง แต่ทำออกมาได้สุดยอด อลังการ และไม่ใช่แค่การเอาปืนมาวิ่งไล่ยิงกันโง่ๆเฉยๆ จริงๆอยากจะบอกด้วยซ้ำว่า ฉาก Action ทั้งเรื่องรวมกันไม่ถึง 2 นาทีของ Cloud Atlas ยังสุดยอด ยังเทพ กว่า หนัง Action แท้ๆส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ และฉาก Action ก็มีเหตุผล มีการกดดันในตัวมันเอง และยังฉลาดมากอีกด้วย  ฉากเศร้าก็เศร้าจนตัวผมเองนั่งนิ่งไปเลย โดยเฉพาะบทสรุปของเรื่องที่เรียกได้ว่า Fin และแฝงไปด้วยความหมายจริงๆ เพลง Cloud Atlas ก็ช่างไพเราะ ติดตราตรึงใจ 



แต่ถึงกระนั้นก็ตามบนโลกใบนี้ไม่มีภาพยนตร์ที่ Perfect หรอกครับ อย่าง Cloud Atlas นั้นจุดด้อยหลักๆเลยก็คือ ถ้าคุณไม่ชอบดูหนังที่มีสาระจำนวนมากๆเยอะๆ แล้วโหมกระหน่ำใส่คุณแล้วยังผนวกกับเวลาเกือบ 3 ชม. อีกคุณจะโทษว่าหนังห่วยแตกทันที เพราะมันจะน่าเบื่อเอามากๆ คุณคงหลับตั้งแต่ 10 นาทีแรกของหนัง  อีกจุดนึงเลยถึงแม้ Cloud atlas จะดูเป็นหนังเทพอลังการงานสร้าง แต่ถ้าหากเราเอาหลายๆจุดมาแยกดูทีละส่วนเป็นจุดๆ จุดๆไปแล้ว เราจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เทพเลย ซึ่งมุขส่วนใหญ่ก็ถูกนำเอามาใช้จากหนังเรื่องอื่นๆมาแล้ว กับการจี้จุดเรื่องชะตากรรมที่เชื่อมโยงกันนั้นยังทำออกมาได้ไม่เด่นชัดจนเห็นเป็นรูปธรรมมากพอ (จริงๆมันก็ชัดแหละแต่ ใน 3 ชม. และสเกลหนังใหญ่ขนาดนี้มันน่าจะได้อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้) 



Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทุกซอกทุกมุม การจิกกัด และการตั้งคำถามสุดเทพ นักแสดงที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและทุ่มเทเอามากๆ เรื่องราวที่ประจบรวมกันอย่างเหมาะเจาะ การออกแบบสถานที่ต่างๆที่แทบจะต่างกันสุดขั้วแต่ก็เอามารวมกันได้อย่างลงตัว ความรู้มากมายที่สอนให้แก่คนดู ถึงแม้เราจะบอกว่าในหลายๆจุดของภาพยนตร์นั้นเมื่อเอามาขยายดูเป็นจุดๆไปแล้วมันซ้ำซากจำเจ แต่เราต้องไม่ลืมว่า ในเวลา 3 ชม. นี้ Cloud Atlas ได้นำจุดใหม่ๆและจุดเก่าๆจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนมารวมกันเป็นปึกแผ่นได้อย่างสุดยอดดั่งเช่น มหาสมุทร ที่เกิดมาจากน้ำหลายๆหยดมารวมตัวกัน จึงไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่านี้คือภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยคุณภาพและให้ความรู้ ประโยชน์อย่างมหาศาลกับคนดูอย่างแท้จริง



The Selected Quote from " Cloud Atlas " (ขอเยอะหน่อยนะครับเรื่องนี้มันเยอะจริงๆ) :

Our lives are not our own. We are bound to others. Past and present. And by each crime; and every kindness we birth our future. " - Sonmi-451 

" Fear, belief, love phenomena that determined the course of our lives. These forces begin long before we are born and continue after we perish " - Issac 

" And if nobody believe you ? "
" Someone just does " - Sonmi-451

" You know you're going to be execute ? "
" Yes "
" And yet you still go with them , Why ? why just not run ? "
" If i run soon i will die with no one know my story and i cannot let that happen" - Sonmi-451

" You're slave and I'm a lawyer , How can you know we can be a friend ? "
" Just look in the eye , That's all you need "

" I Believe there's another world , a better world waiting for us and i'll waiting for you there "




FINAL SCORE : [ A + ] + [ LEGENDARY MOVIE BADGE ]  




(ENGLISH)




The Good : 
- A Lot of details 
- 6 Story combine with in one Movie
- Each Character has own personality and important
- Heart Crushing Emotional 
- Great Acting and lots of Actors and Actress doing their work so hard they acting like 5-6 Character for each actors / actress !!
- Very Interesting Story
- The most beautiful picture and cg i have ever seen
- Each Story has it's own unique and details and each City in each story have so much detail and huge 



The Bad :
- Only 1-2 Minutes Action Scene Combine 
- If you're someone that just don't like movies that have so much details you will boring at this movie 
- The Main stuff of this movie want to talk about is not huge enough or not clear enough



Suggestion : If you love the movie that have a deep and lots of details you HAVE TO see Cloud Atlas but if you're not then this movie will be a just so boring for you.




Final Score : [ A  ] + [ LEGENDARY MOVIE BADGE ]




Thankyou to : Cloud Atlas ( 2012 ) , IMDB for information

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

House at the End of the Street ( 2012 ) Movie Review

Movie Review




Movie Name : House at the End of the Street ( 2012 ) Relativity Media , Horror / Thriller
Director : Mark Tonderai ( Hush )
Stars : Jennifer Lawrence ( The Hunger Games ) , Max Thieriot ( Jumper , Chloe ) , Elisabeth Shue ( Hollow Man , Back to the future part II , III ) 
Rating : R ( Sexual Theme , Violence , Horror Theme )





(REVIEW)
(THAI)



House at the End of the Street ต้องขอบอกตามตรงเลยว่าก่อนดูไม่เคยได้ดูตัวอย่างเต็มๆเลย อาจจะเคยแต่แบบแวบๆไม่ได้ตั้งใจดู เพราะเอาจริงๆเห็นคะแนนจากเว็ปนอก IMDB ก็แทบจะขยาดแล้ว ( 5.7 ) แต่เผอิญ ตอนนี้ไม่มีหนังอะไรดูจริงๆ เพราะที่เหลือก็ดูไปหมดแล้ว = =  ก็เลยต้องไปดูเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายอยู่แล้ว จากคะแนนที่เห็น



House at the End of the Street ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยไว้ในเรื่องนี้ คนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็คงจะมีเพียง Jennifer Lawrence ที่เอาจริงๆคงเป็นเพียงแค่เหตุผลเดียวที่จะมีคนเสียเงินมาดูกันเพราะเธอคนนี้เพิ่งจะ Hot Hit มาจากภาพยนตร์ชื่อดัง The Hunger Games ที่ตอนนี้กำลังถ่ายทำภาค สองกันอยู่ และจะลงโรงปีหน้า 


โดยผู้กำกับนั้นได้ตัว Mark Tonderai มาเป็นผู้กำกับซึ่งบอกตามตรงไม่รู้ไปเอาใครมาจากไหน ไม่รู้จักแม้แต่น้อย ที่หนักกว่าคือใน IMDB ไม่มีแม้แต่รูปหน้าตาเขาด้วยซ้ำ !! ส่วนผลงานที่ผ่านมาก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีนักเลย ก็เลยไม่รู้ว่าสรุปประหยัดงบหรืออย่างไร



House at the End of the Street ก็ยังคงพล็อตเดิมๆซ้ำๆซากๆขายวนไปวนมาไม่รู้กี่พันล้านรอบเปลี่ยนชื่อตัวเอกหน่อย เปลี่ยนคนแสดงหน่อยก็ได้เรื่องใหม่แล้ว นั่นก็คือ ครอบครัวเล็กๆครอบครัวนึงที่มีแค่ แม่และลูกสาว ย้ายไปบ้านหลังหนึ่งที่บ้านที่อยู่ติดๆกันเพิ่งจะมีคดีฆาตกรรมกันไปหมาดๆ แล้วตัวละครก็ได้ประสบพบเจออะไรก็ว่ากันไป ไม่พูดก็คงจะนึกภาพกันออก


House at the End of the Street นั่นขอพูดถึงในด้านดีกันก่อน อย่างว่าๆส่วนตัวผมเข้าไปชมนี้ก็ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว เอาจริงๆตัวหนังก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย พอดูได้ เอาสนุกๆชั่ว วูปก็โอเคอยู่  แต่ถ้าหากดูเอาแบบต้อง "เลือก" ล่ะก็แนะนำให้ไปชมเรื่องอื่นดีกว่าครับ


คราวนี้ก็มาถึงเวลาโปรดของผม "สับ ให้ขาดเลย ฉับ ฉับ ฉับ" House at the End of the Street อย่างแรกเลยที่น่าเซ็งและสิ้นหวังที่สุดคือ "บท" ที่ไม่รู้มันจะก็อปกันไปอีกกี่ชาติ ไม่รู้ตกลง      ขี้เกียจ หรือ งบประมาณหมดไปกับการจ้าง Lawrence หรืออย่างไร ไม่ทราบ ก็เลยเอาเป็นว่า ไม่คิดใหม่ละกัน เอามันทั้งๆอย่างงั้นแหละ ยิ่งถ้าคุณดูหนังผีมาเยอะๆล่ะก็ และยิ่งแนวๆนี้ล่ะก็ คุณแทบจะชี้แต่ละฉากๆได้เลย เพราะตัวละครจะเดินตามสูตรเปะๆ แบบเป็นเด็กดีเหลือเกินไม่ออกนอกทางสักนิด (ออกบ้างเถอะนะ =  =) ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิงจะต้องนุ่มน้อยห่มน้อยเข้าไว้แล้วยังจะต้องมาเดินท่ามกลางความมืด , นางเอกที่สุดจะโง่จนไม่รู้จะโง่ยังไง , ตัวละครที่มีมาตอนแรกเอาพอดีๆไม่ต้องเยอะมากหรอกเปลือง แต่เอาเข้าจริงตูใช้อยู่ 2 ตัวนั้นแหละที่เหลือก็ปล่อยๆมันไปละกัน  นอกจากนั้นตัวบทเองก็ช่องโหว่เต็มไปหมด อธิบายไม่ชัดพอ ในบางจุดก็เหมือนกำลังจะพูดกับเราว่า "เอางี้นะ......... ลืมๆมันไปเถอะ" ซะอย่างนั้น บางจุดก็ปูเอาไว้ซะดิบดีแต่ก็กลับไม่เอามาใช้ยิ่งทำให้ซ้ำเติมบทของหนังว่าตกลงจะเอายังไงกันแน่หรือว่าจะเป็นการที่คิดไว้แล้วแต่หันมาดูอีกที อืมไม่เวิรค์แหะแต่ขี้เกียจลบอะเอาเป็นว่าช่างมันละกัน   แถมที่เจ็บแสบกว่านั้นคือ ยังจะมี "หน้า" มาจบแบบนี้อีก แหมหน้าด้านจังนะครับ ดูหนังหน้าตัวเองมั้งนะ



มาถึงในจุดฉากตกใจ ฉากลุ้นระทึกทั้งหลายแหล่กันบ้าง ในจุดนี้ก็ยังถือว่าไม่ได้แย่นัก ถึงแม้จะเดาได้มันทุกฉากก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไมก็ตกใจมันเกือบจะทุกฉากอีก =  = ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ยังไงก็ยังถือว่าสอบตกอยู่ดี การที่หนังผีแนวตกใจ แต่คนดูมันดันเดาได้หมดว่า จะโผล่มาตอนไหน ต่อไปจะเป็นยังไง แถมยังหน้าด้านใช้มุขเดิมๆจากเรื่องอื่นๆมาอีก เหอ... ต้องบอกว่า ไม่รู้จะขี้เกียจไปถึงไหน นี้ตกลงพี่ขายดาราอย่างเดียวอย่างอื่นเอาเป็นว่าใช้เงินน้อยที่สุดละกันใช่ไหมครับ 



มาถึงเรื่องนักแสดงกันบ้างเอาเป็นว่าข้าม Jennifer Lawrence กันไปเลย เหตุผลหรอ ก็เพราะคุณเสียเงิน ร้อยกว่าบาทมาดูเธอคนนี้นุ่งน้อยห่มน้อยไม่ใช่หรอ โอเค จบนะ โอเค นักแสดงที่เหลือของเรื่องนี้ บอกตามตรง แทบไม่รู้จัก ตกลงเอาใครมาเล่น แถมบางคนก็เล่นไม่ค่อยจะเหมาะกับบทเอาซะเลย บางคนมานั่งไล่ดูรายชื่อนั่ง งง "หาแกเล่นเรื่องนี้ด้วยหรอ ?" ไม่รู้ไปอยู่ซอกหลืบไหนมาไม่ทราบได้ ตัวร้ายแสดงบางจุดได้โอเค แต่ฉากที่จะต้องเลวไปเลย ก็ยังเล่นไม่ถึงอารมณ์เลย ยังเหมือนสลัดบทช่วงแรกออกไปไม่ได้ ที่หนักกว่าคือ ตัวละครบางตัวใส่เข้ามาเพื่อ ไม่ถึง 5 นาทีแล้วก็ไร้ประโยชน์ไปเลยทั้งเรื่อง โหะ.......


พูดถึงความขี้เกียจกันแล้วต้องมาสับกันต่อ การถ่ายทำบาง Shot เห็นได้ชัดเลยว่าอย่างขี้เกียจโดยการใช้ Long Shot บ้าง ตัดไปตัดมาแบบสุดแสนจะธรรมดาไม่รู้จะธรรมดาไปไหนบ้าง จนไม่รู้ว่าตกลงแม้แต่การถ่ายทำ จะครีเอทีฟบ้างไม่ได้หรอ โดยเฉพาะบาง Shot ที่ไม่เข้าใจจริงๆว่าจะทำแบบนั้นทำไม นั่งมองแล้วแบบ โอ้........เอาเข้าไป ขี้เกียจเข้าไป 



ส่วนฉากจบถ้าท่านใดคิดว่ามันจะแหวกสุดริดไปเลย ก็อย่างว่าอะครับผมขอใช้คำเดิมที่ใช้มาไม่รู้กี่หนแล้วในรีวิวนี้ "ขี้เกียจ" อีกเช่นเคย หากคุณเป็นคนที่ดูหนังผีแนวนี้บ่อยๆ ผมมั่นใจเลยว่าคุณจะเดาตอนจบได้ตั้งแต่ครึ่งเรื่อง  แถมตอนจบสุดแสนจะธรรมดา คือก็เข้าใจอะนะพยายามทำให้แหวกแล้ว แต่คนอื่นเขาแหวกกันไปเป็นล้านรอบจนมันไม่เรียกว่าแหวกแล้วอะ จริงๆคนเขียนบทก็น่าจะรู้ดี แต่คงขี้เกียจจะเขียนละเปลืองหมึก เอาเป็นว่าแบบนี้ละกันนะ รีบๆถ่ายๆ แล้วก็ส่งๆมันเข้าไปในโรงหนังเด๋วก็มีคนดูเองแหละ 



House at the End of the Street เป็นภาพยนตร์ที่เป็นส่วนผสมกันระหว่าง พลังดารา และความขี้เกียจ เข้าด้วยกัน ด้วยการที่เอาพลังดาราคนๆเดียวเพียวๆเลยขายซึ่งเอาจริงๆก็คงขายไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้น ยิ่งมาผนวกกับทุกๆอย่างที่ดูจะไม่อยากจะทำอะไรเลย Copy/Paste เอาอย่างเดียว ทำให้ House at the End of the Street เป็นภาพยนตร์ที่ไม่แตกต่างอะไรจาก 
หนังขยะที่มีกันเกลื่อนกลาดตลาดทั่วไปที่ควรๆจะเอาไปเททิ้งถังขยะพร้อมกับจุดไฟเผาซะ



The Selected Quote from " House At The End Of The Street " "  -  " 


Final Score : [ D + ]  + [ LAZY AS HELL BADGE ] 





(ENGLISH)


The Good :
- Bit of fun to watch


The Bad :
- Lazy copycat story
- Lazy copycat screenplay that we already saw it over milion times
- Sell Only One Star and other star what ? who are they ?
- Predictable Ending
- So Boring



Suggestion : Another garbage horror movie that copy the exactly same plot as the others bad horror movies just avoid this movie save your money.




Final Score : [ D+ ] + [ LAZY AS HELL BADGE ]






Thankyou to : House at the End of the Street ( 2012 ) , Relativity Media , IMDB for information

Argo ( 2012 ) Movie Review

Movie Review

ARGO ( 2012 ) ปฏิบัติการช่วยเหลือคนที่มันส์ ตื่นเต้น บีบหัวใจ ที่สุด !!






Movie Name : Argo ( 2012 ) Warner Bros. Picture , GK Films , Drama / History / Thriller
Director : Ben Affleck  ( Also play main character )
Stars : Ben Affleck ( The Town , Daredevil ) , Bryan Cranston ( Total Recall , Drive ) , Alan Arkin ( Get Smart , Edward Scissorhands ) , John Goodman ( The Artist , Monster  Inc.) , Victor Garber ( Titanic , Milk ) 
Rating : R  ( Some Violence , Language , Historic Conflict )






(REVIEW)
(THAI)



Argo  เป็นภาพยนตร์ ดราม่า / ทริลเลอร์ และประวัติศาสตร์ ที่แปลกอยู่บ้างเพราะดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของความเป็น ภาพยนตร์สารคดีอยู่เยอะเลยทีเดียวในเรื่อง



Argo นั้นเป็นฝีมือการกำกับของ Ben Affleck ที่ช่วงนี้รู้สึกจะหันมาเอาดีทั้งการกำกับและแสดงไปด้วยเลยจาก The Town ที่ผู้เขียนขอบอกตามตรงว่าดู The Town ไม่จบ เพราะแทบจะหลับตั้งแต่ 1 ชม.แรก เลยกลัวเหลือเกินว่าเรื่อง Argo จะเกิดเหตุการซ้ำรอยอีก


Argo นั้นว่าด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงๆย้อนไปในปี 1980 ที่มีเหตุการณ์ที่ Iran  เกิดความขัดแย้งกับ อเมริกา จึงได้บุกสถานทูต อเมริกาที่ Iran จนทำให้คนอเมริกันที่ทำงานในสถานทูตนั้นต้องพากันหลบหนีตายกันหมด ซึ่งก็มีรอดบ้างไม่รอดบ้าง จนทางอเมริกาได้ทราบข่าวมาว่ายังเหลือรอดอยู่อีก 6 คน แต่พวกเขาไม่สามารถจะออกนอกประเทศได้เลย เพียงแค่ออกจากบ้านก็อาจจะถูกแขวนคอประจานเอาง่ายๆแล้ว พวกเขาจึงส่งผู้ช่วยเหลือตัวประกันที่เก่งที่สุดไป ท่ามกลางแผนการที่ดูจะสิ้นหวัง ไม่ว่าจะแผนใดๆก็ดูจะเลวร้ายและไร้โอกาสไปเสียหมด ทางเดียวที่จะมีโอกาสรอดกลับมาเป็นๆนั้นก็มีเพียงแค่ "เลือกหนทางที่เลวร้ายน้อยที่สุด"


Argo อย่างที่บอกเอาไว้แล้วว่าเป็นภาพยนตร์ที่บอกตามตรง 1 ชม.แรก ของหนังนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นสารคดีได้เลย เพราะพูดถึงประวัติศาสตร์ และยังมีการพูดถึงฮอลลิวู้ดในช่วงนั้นๆอีกด้วย เรียกได้ว่าทางทีมงานทำการบ้านมาดีจริงๆ และถ้าใครที่ศึกษาทางด้านภาพยนตร์อยู่แล้วคงจะชอบไม่น้อย ถึงแม้จะอืดๆอยู่บ้างน่าเบื่ออยู่บ้าง แต่ที่ได้ไปนั้นความรู้เต็มๆครับ 


และอย่างที่บอกไปตอนแรกว่าสิ่งที่ผมกลัวที่สุดใน Argo ก็คือเหตุการณ์จะซ้ำรอยกับ The Town คือแทบจะหลับ.... เพราะฉะนั้นเรามาพูดถึงหลังจากผ่าน 1 ชม.แรกมาแล้วกัน 



ต้องขอบอกเลยว่าท่านใดที่หวังจะมาชมเรื่อง Argo เพื่อมาดูฉากยิงกันหูตับดับไหม้ วิ่งหนีกันกระจาย ขอแนะนำให้ท่านเลิกล้มความหวังซะ เพราะ Argo ไม่ได้ใช้วิธีแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ตัวหนังเองกลับสามารถตรึงคุณไว้อย่างกับถูกอะไรซักอย่างมัด คุณไม่มีทางที่จะดิ้นหลุด คุณไม่อยากจะแม้แต่กระพริบตาขณะดูด้วยซ้ำ !! เพราะฉาก Thriller ของ Argo นั้นทั้งสุดแสนฉลาด เข้าใจหาเหตุการณ์มาให้ตัวละครพบเจอ แถมเหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใดเลย ยิ่งในจุดไคลแมกซ์ ต้องขอบอกเลยว่าท่านใดที่ปวดห้องน้ำกรุณาเข้าก่อนชมเถอะครับ มิเช่นนั้น ท่านอาจจะนั่งลุ้นจนบิดไปบิดมาจนราดได้ เพราะ ทำให้เราลุ้นทุกๆวินาทีจริงๆ เข้าใจหาเหตุการณ์มาเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้น ที่คุณนั่งบิดแบบลุ้นแทบจะหัวใจจะหลุดออกจากร่างมา 2 ชม. นั้น แทบไม่มีการยิงหรือใช้กระสุนใดๆเลยทั้งเรื่อง !! เอาจริงๆไม่น่าจะเกิน 2 นัดด้วยซ้ำ !! O M   G ต้องขอบอกเลยว่าฉาก Thriller ในเรื่อง Argo นั้นไม่ได้ใช้ฉากไล่ล่าเดิมๆ เอาแต่ระเบิดนู้นระเบิดนี้ คิดอะไรไม่ออกก็ระเบิดมันซะ จงลืมเรื่องสิ้นคิดแบบนั้นไปซะให้หมดครับ เพราะ ARGO นั้นจะใช้มันสมอง ใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วซ้อนๆกันเป็นชั้นๆเหมือนหนังสือที่เริ่มจะเยอะขึ้น เยอะขึ้น เยอะขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นพอสูงได้พอประมาณแล้วพวกเขาก็จะพร้อมใจกันผลักหนังสือกองมหึมหาสูงลิบลิ่วเหล่านั้นถล่มใส่คุณทันที !! 


นอกจากนั้นนักแสดงแต่ละคนในเรื่องนี้ เรียกได้ว่า Casting มาได้เหมาะสุดๆ (โดยในตอนขึ้นเครดิตจะมีให้เทียบระหว่างหน้านักแสดงกับหน้าคนจริงๆบุคคลจริงๆที่ไปเจอเหตุการณ์นั้นในชีวิตจริงซึ่งมันเหมือนกันมาก มากจนแบบเห้ยคนเดียวกันปะเนี้ย ?) เนื่องจากตัวละครในเรื่อง Argo นั้นเยอะพอสมควรเลย ( 8-9 คนได้หลักๆ ) จึงทำให้ผมแอบเป็นห่วงว่า มันจะใช้แล้วทิ้งแบบหลายๆเรื่องไหม แต่ ไม่เลย !! ทุกตัวละคร มีนิสัยเป็นของตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความคิดที่แตกต่างกันทุกคน ไม่ซ้ำกันเลย แถมที่ยากกว่านั้นคือนักแสดงแต่ละคน เล่นดีมาก โดยเราต้องไม่ลืมว่าความยากของภาพยนตร์เรืองที่มันมากขนาดไหนสำหรับนักแสดงแต่ละคน เพราะแต่ละคนนั้นต้องเล่นกันถึง 3 รูปแบบหรือ 3 ตัวละครในนักแสดงคนเดียว !!  1.ต้องเล่นเป็นตัวละครตามในบท 2.ต้องเล่นเป็นตัวละครที่อยู่ในบทของในบทอีกที 3.ต้องเล่น   สตอเบอแหลในบางฉากซึ่งก็ทำให้เนียนๆอีกต่างหากเพราะว่าพวกเขากำลังอยู่ในบทของในบทอีกทีและพวกเขารู้ดีว่าหากทำไม่เนียนละก็ได้เตรียมไปเฝ้ายมบาลกันทั้งกลุ่มแน่นอน และตัวละครทุกตัว มีบทบาททั้งหมด ไม่มีแบบตัวใดตัวหนึ่งมีเยอะอีกตัวโผล่มา 1 นาทีหายไปเลยทั้งเรื่อง ไม่มีแน่นอนครับ แถมตัวละครบางตัวต้องบอกว่า คิดออกมาได้ซะใจผมมากมาย และส่วนตัวชอบมากๆด้วย นั้นก็คือบท Jack O'Donnell ที่แสดงโดย Bryan Cranston นั้นเอง แต่ละฉากที่แกพูดนี้แบบ แหมมันใช่เลย เท่โคตร



ยิ่งในเรื่องบทยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ทางทีมงานรวมถึงพี่ Ben ของเราทำงานมาหนักกันจริงๆ ทุกๆ Detail นั้นเรียกได้ว่าเน้นๆแทบจะไม่ตกหล่น แถมยังจะพาเราสนุกไปกับมันแบบไม่รุ้ตัวได้อีก แหมอะไรมันจะดีขนาดนั้น ดูหนังเรื่องเดียวได้ประวัติศาสตร์ด้วย !! แถมยังได้ความรู้เกี่ยวกับ  Hollywood อีก O M G !! โดยถ้าใครหาว่าผมโม้ผมอยากให้ลองนั่งดูจนจบนะครับ ต้องช่วง END CREDIT จะมีการนำภาพจากเหตุการณ์จริงๆในวันที่เกิดเหตุเอามาเทียบกับในภาพยนตร์ แบบชัดๆเอาให้มันรู้กันไปเลย พอเทียบแล้วคุณจะพบว่า "เห้ย เหมือนเวอร์ !!" เหมือนชนิดที่ว่า ทำไปได้ยังไงกัน ? 




Argo เป็นภาพยนตร์ที่ ลึกทั้งบท ลึกทั้งตัวละครทุกๆตัวที่มีมุมและบุคลิคที่เป็นของตัวเองมากและยังแบ่งบทบาทได้ดีเยี่ยมอีก นักแสดงก็เลือกมาเปะ ค้นคว้ามาก็หนักอย่างมาก การแสดงก็สุดยอด ฉากทริลเลอร์สุดเทพ เข้าใจคิด คาดไม่ถึง บีบคั้นหัวใจ ที่ไม่คิดว่าในช่วงเวลานี้
จะหาเจอได้อีก  ทั้งยังได้เรื่องราวสาระเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ America รวมถึง Hollywood ในช่วงนั้นๆไปอีกต่างหาก ไม่รู้จะคุ้มไปถึงไหน ไม่รู้จะสุดยอดไปถึงไหน จะหาข้อติก็สุดแสนจะลำบากจริงๆ จะมีก็คงเป็นเพียงว่า ช่วง 1 ชม. แรกนั้นอาจจะอืดไปหน่อย และ 1 ชม.หลัง เหมือนจะเร่งๆมากเกินไปนิด หากเพิ่มเวลาเป็นซัก 2.30 แล้วตัดช่วงแรกไปซัก 10 นาที มาเพิ่มช่วงหลัง ก็คงจะเรียกได้ว่า "หาที่ติไม่ได้" อย่างแน่นอน





The Best Quote of "Argo" :  " This is the best bad idea we have sir... " by " Jack O'Donnell "

Final Score :    [ A ]  +  [ MUST SEE BADGE ]






(ENGLISH)




The Good :
- Perfect Story
- Hard working researching
- Perfect casting choice
- Deep Character 
- Crushing Heart with Thrilling  Scene Without more than 2 bullets shot !
- Use Situation as a weapon 
- Perfect Acting
- Lots of Real History


The Bad :
- A little of boring at the first hour
- In the last 30 minutes of the movie is a bit rush


Suggestion : DO NOT HESITATE ANYMORE GO OUT THERE AND SEE "ARGO" RIGHT NOW YOU WILL NOT REGRET IT ! THIS IS THE PERFECT AWESOME MOVIE THAT JUST CAME WITH THE HARDWORKING !




Final Score : [ A ] + [ MUST SEE BADGE ]







Thankyou to : Argo ( 2012 ) , Warner Bros. , GK Films , IMDB for information