วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Horns ( 2014 ) Movie Review

Horns ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"นอกจาก Horns จะเป็นภาพยนตร์ที่เสียดสีบรรทัดฐานของสังคมและแฝงไปด้วยตลกร้ายอันเจ็บแสบแล้ว มันยังเป็นภาพยนตร์ที่นำเอาเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับพระเจ้า เทพ และปีศาจมาพลิกแพลงได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย"


Horns เป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยายในชื่อเดียวกันของ โจ ฮิลล์ ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งคู่รักของเขาถูกฆ่าอย่างปริศนาและทั้งเมืองก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนทำเสียอีก แต่อยู่มาวันหนึ่งเขากลับพบว่าตัวเองได้รับพลังที่แปลกประหลาดและน่ากลัวบางอย่าง ซึ่งพลังนี้อาจจะนำความจริงที่เขากำลังค้นหาอยู่มาให้ก็เป็นได้ ?


Horns เป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยการท้าทายและเสียดสีบรรทัดฐานทางสังคมที่ตัวละครเหล่านี้ถูกใส่ไว้ในกรอบอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพศที่สามซึ่งต้องพยายามแอบซ่อนจากสังคม  , เรื่องราวของการโกหก โป้ปด และหน้ากากที่คนในสังคมใส่เข้าหากัน , ความคิดชั่วร้ายที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ , การหาตัวแทนของความชั่วร้าย หรือเรื่องราวของการต้องการทางเพศที่แอบซ่อนไว้ของมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งตัวภาพยนตร์นำประเด็นเหล่านี้มาเล่าด้วยมุขตลกร้าย และมันก็เล่นมุขต่างๆอย่างเจ็บแสบและตั้งคำถามต่อสังคมถึงเส้นที่แบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่วได้เป็นอย่างดี


อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากไม่แพ้กันก็คือเรื่องของการนำเรื่องเล่าหรือตำนานมาใช้ในภาพยนตร์ เช่นเรื่องราวของเทพเจ้า เทวดา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือซาตาน ซึ่งตัวมันก็ไม่ใช่ว่าเล่นกับจุดนี้แบบหลงๆลืมๆ เอาเข้าจริงมันก็ถือได้ว่าเล่นได้หนักหน่วงและจริงจังกว่าภาพยนตร์หลายๆเรื่องด้วยซ้ำไป ซึ่งมันก็นำจุดนี้มาเสียดสีประเด็นทางศาสนาถึงเรื่องความเชื่อได้เป็นอย่างดี  ถึงแม้ว่าบทสรุปของมันอาจจะขัดกับสิ่งที่มันกำลังเล่นอยู่ไปบ้าง แต่ตัวภาพยนตร์ก็นำจุดเด่นจุดนี้มาเล่น บิดเบี้ยว และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจสุดๆ 

ซึ่งประเด็นการเสียดสีบรรทัดฐานของสังคมและการนำเรื่องเล่าหรือตำนานมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เอาเข้าจริงมันนำเสนอได้น่าสนใจกว่าบทในส่วนของการคาดเดาว่า "ใครเป็นคนทำ" ซึ่งโดยปกติควรจะเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์แนวนี้เสียอีก จะมีก็เพียงช่วงท้ายเรื่องเท่านั้นที่ตัวภาพยนตร์ค่อนข้างจะกลับมาสู่ความเป็นภาพยนตร์ปริศนา จะว่านี้เป็น Gone Girl เวอร์ชั่นเหนือธรรมชาติและหลุดโลกก็ว่าได้ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่พอสมควร

แต่ในด้านของการเล่าเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องยอมรับว่าค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่บ้างพอสมควร อาจจะเพราะด้วยการกำกับของ อเล็กซานเดร อาจา ซึ่งเคยมีผลงานชื่อดังอย่าง Piranha3D , The Hills Have Eyes หรือ P2 ที่ก็ยังคงวางจังหวะภาพยนตร์บางฉากไม่ค่อยดีซักเท่าไรนัก โดยเฉพาะการเปิดเรื่องที่เร่งจนเกินไป กับการตัดฉากเล่าเรื่องอดีตที่จังหวะอาจจะหลุดๆไปบ้างจนบางครั้งพอตัดกลับมา ทำให้รู้สึกถึงความไม่ลื่นไหลของความต่อเนื่อง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เพราะเขานี้แหละที่พาตัวภาพยนตร์สำเร็จไปในจุดหนึ่งก็คือด้านความตลกร้ายและความรุนแรงในภาพยนตร์ซึ่งมันเป็นอะไรที่ท้าทายสังคมเอามากๆ


ถึงแม้จะต้องยอมรับว่าตัวภาพยนตร์จะมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะจังหวะในการเล่าเรื่องที่ติดๆขัดๆของผู้กำกับ อเล็กซานเดร อาจา แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้เขียนก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เช่นกัน ว่าก็เพราะเขานี้แหละทำให้ Horns กลายเป็นภาพยนตร์ที่เสียดสีประเด็นทางสังคมด้วยตลกร้ายได้อย่างเจ็บแสบ แถมยังนำเรื่องเล่าและตำนานของเทพเจ้ากับซาตานมาปรับใช้และเล่นได้อย่างน่าสนใจเหนือคาดสุดๆเลยทีเดียว

Final Score : [ A - ] 

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Before I Go to Sleep ( 2014 )

Before I Go to Sleep ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz 



"ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นการร่วมงานกันของสองดาราออสการ์ชื่อดัง แต่นั้นก็ไม่ได้ฉุดตัวภาพยนตร์ขึ้นมาจากกับดักที่มีชื่อว่า "ความซ้ำซาก" ได้เลยแม้แต่น้อย"


  ในปีนี้หรือในหลายๆปีที่ผ่านมา สำหรับตัวผู้เขียนเอง ต้องพูดเลยว่ารู้สึกเสียดายกับภาพยนตร์หลายๆเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อมองจากเนื้อผ้าหรือแนวทางที่มันกำลังจะไป มันดูเป็นอะไรที่น่าสนใจเอามากๆ แต่ในท้ายที่สุดภาพยนตร์เหล่านี้หลายๆเรื่องก็ล้มเหลวในการถ่ายทอดมันออกมา ถึงแม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยโอกาศหรือความเป็นไปได้ซักเท่าไรก็ตาม 


อย่างเช่น Dracula Untold ที่นำเสนอเรื่องราวของแดร็กคูล่าในฉบับจริงจังและบิดเรื่องเล่าหรือตำนานได้อย่างน่าสนใจ แต่พอเอาเข้าจริงตัวภาพยนตร์กลับเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นเหนือจริงแทบจะทั้งเรื่อง โดยไม่มีเวลาให้ตัวมันเองได้นั่งลงแล้วเล่าเรื่องจริงๆจังๆเสียที ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายเสียทีเดียว


Before I Go to Sleep เป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยายในชื่อเดียวกันของ เอส.เจ วัตสัน (ซึ่งผู้เขียนไม่เคยอ่าน) ที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งสามารถจะเก็บความทรงจำได้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้นเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นเธอจะจำอะไรไม่ได้ในวันก่อนหน้าอีก วันหนึ่งเธอได้พบว่าเหตุการณ์ในอดีตของเธออาจจะเต็มไปด้วยความลับอันน่าสะพรึ่งกลัวกว่าที่เธอคาดคิดเอาไว้


ต้องสารภาพก่อนเลยว่า ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของตัวภาพยนตร์ เอาเข้าจริงมันก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว ด้วยการเล่าเรื่องที่พอไปวัดไปวาได้ของผู้กำกับโรแวน จ็อฟฟ์ รวมถึงตัวบทที่น่าสนใจในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าดึงดูดความสนใจของตัวผู้เขียนได้มากที่สุด ก็คือสองนักแสดง นิโคล คิดแมน กับ โคลิน เฟิร์ธ ซึ่งทั้งคู่ก็นำแสดงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโคลิน เฟิร์ธที่จัดได้ว่าแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมถึงขนาดที่ผู้เขียนอยากให้ตัวละครของโคลิน เฟิร์ธมาเป็นตัวเอกแทนเสียด้วยซ้ำไป 


ในช่วงแรกของตัวภาพยนตร์จริงๆแล้ว ในด้านดราม่าชีวิตมันก็ถือได้ว่าถ่ายทอดเรื่องราวได้น่าสนใจทีเดียว ด้วยเรื่องราวที่ว่าถึงความเจ็บปวดของสามีที่ทุกๆวันจะต้องตื่นมาพบว่าภรรยาของตัวเองลืมตัวเขารวมถึงอดีตต่างๆไปทั้งหมด โดยเฉพาะเวลาเมื่อภรรยาของเขาถามถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดมันเป็นอะไรที่คอยกัดกินและทำร้ายจิตใจของเขาทุกวัน ลองนึกดูสภาพถ้าหากคุณจะต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับตัวเอกในเรื่องนี้มันคงจะเป็นความเจ็บปวดที่เกินคำบรรยายน่าดู รวมถึงการแอบแฝงผสมผสานความเป็นปริศนาเข้าไปสนับสนุนบทที่เป็นดราม่าก็เป็นอะไรที่ฉลาดและสร้างความน่าสนใจให้กับตัวภาพยนตร์ขึ้นได้เยอะ


แต่พอตัวภาพยนตร์เข้าช่วง 30 นาทีสุดท้าย เมื่อตัวมันเปลี่ยนเกียร์จากภาพยนตร์ดราม่าชีวิตมากลายเป็นภาพยนตร์ปริศนาและระทึกขวัญเต็มตัวเท่านั้นละ ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างก็เริ่มที่จะพังทลายลงมาอย่างรวดเร็ว เพราะบทในส่วนนี้เรียกได้ว่า น่าเบื่อ และซ้ำซากสุดๆ ซ้ำในช่วงนี้ก็เป็นจุดที่แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสบการณ์ในการกำกับของโรแวน จ็อฟฟ์ในทันทีด้วยการเล่าเรื่องที่ตกลง น่าเบื่อและมุขต่างๆที้เดาทางง่าย


ที่น่าเสียดายก็คือพอตัวภาพยนตร์เปลี่ยนมาเป็นปริศนาและระทึกขวัญเต็มตัว ตัวมันเองก็เหมือนได้มัดมือปิดตาตัวเอง เพราะเมื่อย้ายมาเป็นภาพยนตร์แนวนี้แล้ว ตัวมันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากที่จะต้องยัดเยียดจุดหักมุมและการพลิกบทบาทเข้ามา ซึ่งผลของการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือ ตัวละครและเนื้อหาที่น่าสนใจในช่วงแรกก็ถูกพัดหายไปกับสายลมในทันใด ชนิดที่ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย 


ทำให้ในท้ายที่สุด Before I Go to Sleep ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ถึงแม้ว่ามองจากภายนอกจะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ แต่ด้วยการตัดสินใจอันผิดพลาดอย่างร้ายแรงก็ทำให้มันเปลี่ยนจากภาพยนตร์ที่มีตัวละครและเนื้อหาอันน่าสนใจในช่วงแรก กลายเป็นได้แค่ภาพยนตร์ดาษๆอีกเรื่องที่ซ้ำซากและไม่มีความน่าจดจำแต่อย่างใดเลย

Final Score : [ C ] 

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

The Hunger Games : Mockingjay Part 1 Movie Review

The Hunger Games 3 : Mockingjay Part 1   Movie Review



"Mockingjay Part 1 ยังคงเป็นภาพยนตร์ในชุด The Hunger Games ที่เราหลงรักและชื่นชอบ แต่การหั่นมันออกมาเป็นสองตอนดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าแค่ต้องรอ Part 2 อีกหนึ่งปี"

บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

    The Hunger Games ณ ตอนนี้ก็เรียกได้ว่ากลายเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่มีต้นแบบมาจากนวนิยายและประสบความสำเร็จไปทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย คล้ายๆกับ Harry Potter หรือ Twilight ที่ทั้งสองเรื่องหลังก็จบลงไปกันเรียบร้อยแล้ว มันเป็นภาพยนตร์ชุดที่เรียกได้ว่าฮิตขนาดกลายเป็นกระแสอะไรบางอย่างที่วัยรุ่นทั่วโลกจะต้องพร้อมใจกันจับมือไปดูถ้าหากไม่อยากคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องในวันรุ่งขี้นเลยทีเดียวเชียว

ซึ่งในคราวนี้ตัวภาพยนตร์ชุดนี้ก็ได้ก้าวมาสู่ภาคที่สาม ซึ่งตามหนังสือควรจะเป็นภาคสุดท้ายอย่าง Mockingjay นั้นเอง แต่แน่นอนว่าตัวภาพยนตร์ก็อดไม่ได้ที่จะต้องตามเทคนิคทางการตลาดที่กำลังฮอตฮิตในขณะนี้ด้วยการหั่นเป็นสองตอน Part 1 กับ Part 2 แบบ Harry Potter and the Deathly Hallows หรือ Twilight Saga Breaking Dawn ซึ่งการทำเช่นนี้ใน Mockingjay ดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าที่คาดคิดเอาไว้พอสมควร

The Hunger Games 3 : Mockingjay Part 1 ว่าเรื่องราวต่อเนื่องจากใน The Hunger Games : Catching Fire แคทนิสได้ทำลายเกมลงในภาคที่แล้ว จึงทำให้เกิดกระแสลุกฮือขึ้นมาอย่างรุนแรง ในขณะที่เธอได้มาอาศัยอยู่ในเขตที่ 13 เธอจึงถูกขอร้องให้มาเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของกลุ่มต่อต้านแคปปิตอล ท่ามกลางความกดดันอันใหญ่หลวง สถานการณ์อันรุนแรง และตัวพีต้าที่ถูกแคปปิตอลจับตัวไป แคทนิสจะสามารถผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่ ?

Mockingjay Part 1 ต้องพูดก่อนเลยว่าไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่แต่อย่างใดเลย มันยังคงเป็นภาพยนตร์บทสรุปของ The Hunger Games ที่เราหลายๆคนหลงรักและชื่นชอบ แต่ในเมื่อ Part 1 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของภาคจบและภาคสรุปทุกๆสิ่งอย่างแล้ว ผู้เขียนก็คาดหวังเอาไว้ว่ามันจะปูทางไปสู่ Part 2 อย่างประทับใจได้บ้าง ยิ่งโดยเฉพาะในภาค Catching Fire ที่ตัวผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์ทำผลงานเอาไว้ได้ยอดเยี่ยมมาก ก็ยิ่งทำให้ความคาดหวังสูงยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างที่บอกไปแล้วว่าปัญหาที่ผู้เขียนคิดว่าร้ายแรงที่สุดของ Mockingjay Part 1 เลยก็คือ การหั่นหนังสือเพียงเล่มเดียวออกมาเป็น 2 Part ซึ่งมันทำให้การกำกับของตัวฟรานซิส ลอว์เรนซ์เองถูกจำกัดลง จากการที่ตัวเขาเคยเล่าเรื่องอย่างน่าสนใจ น่าตื่นเต้นในภาคก่อนๆ ก็ต้องถูกบังคับให้เล่าช้าลงเนื่องจากมิเช่นนั้นมันจะไปทับเวลาที่จะเอาไปใส่ใน Part 2 พาเอา Part 1 ในครั้งนี้รู้สึกน่าเบื่อและยืดยาดในหลายๆฉากที่ตัวภาพยนตร์พยายามจะยืดเรื่องมากจนเกินไปทั้งๆที่บางทีก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น

นอกจากนั้นจุดที่ผู้เขียนรู้สึกได้เลยว่าหายไปและเป็นจุดที่สำคัญมากๆของตัวภาพยนตร์ชุดนี้ก็คืออารมณ์ของการประลองกันในเกมแบบในภาคแรกหรือภาคสอง การประลองหรือ"เกม"ในภาพยนตร์ชุดนี้ เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าทำให้ตัวชุดภาพยนตร์โดดเด่นและแตกต่างออกมาจากภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากนวนิยายเรื่องอื่นๆที่คล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด เฉกเช่น Divergent ใช่มันยังคงพูดถึงโลกแบบดิสโธเปีย เสียดสีสังคมและการต่อต้านอยู่เช่นเคย แต่เมื่อ The Hunger Games ได้ใส่เรื่องราวของโลกแห่งเกมเข้ามามันก็ได้ทำให้ตัวมันเองน่าสนใจขึ้นมาอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องราวของการเอาชีวิตรอด ในการเอาใจผู้สนับสนุนนอกเกมเพื่อที่พวกเขาจะได้ส่งของมาให้ในเกม ความเชื่อใจ การทรยศ การเอาชีวิตรอดและโดยเฉพาะการที่ผู้ชมรู้ดีว่าจะต้องมีภัยอันตรายมากระทบตัวละครอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกเอาใจช่วยและตื่นเต้นไปพร้อมๆกับตัวละคร ซ้ำยังด่านต่างๆก็ยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจและเพิ่มความเข้มข้นของตัวเกมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นี้เป็นจุดที่ทำให้ภาพยนตร์ชุด The Hunger Games โดดเด่นอย่างแท้จริง ด้วยเกมที่กดดัน จริงจังและเคร่งเครียด ที่ภัยอันตรายจะมาจากทางใดก็ได้ และภัยอันตรายนี้ก็ถูกห่อหุ้มด้วยโลกภายนอกเขตต่างๆและแคปปิตอลที่อันตรายไม่แพ้กันอีกชั้นหนึ่ง 

ซึ่งอารมณ์ ความรู้สึกและสิ่งเหล่านี้มันได้หายไปหมดใน Mockingjay Part 1 เหลือเพียงแต่เรื่องราวของการต่อต้าน สงครามและความรักอันสุดแสนจะน่าเบื่อ ซ้ำซาก ทั้งๆที่พูดเลยว่าตัวผู้เขียนไม่เคยประทับใจการเล่าเรื่องในโลกภายนอกเขตต่างๆรวมถึงแคปปิตอลของผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์เลยตั้งแต่ภาคแรกๆ คือน่าสนใจแต่เทียบอะไรไม่ได้กับตอนที่เขากำกับฉากช่วงที่อยู่ในเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคสองที่การเล่าเรื่องและปูเรื่องในโลกภายนอกดูจะเป็นจุดอ่อนแอที่สุดของภาค แล้วเมื่อใน Mockingjay Part 1 มันถูกยัดเข้ามาเต็มๆ 2 ชั่วโมงแบบตัดเรื่องราวของเกมออก มันก็เหมือนการเอาเปลือกนอกของผลไม้ที่ไม่สำคัญเท่ากับเปลือกในมาให้เรารับประทานแทนที่จะให้เนื้อในที่ทำให้ตัวผลไม้เอร็ดอร่อยและน่าทานอย่างแท้จริงมาให้

ถึงกระนั้นก็ตามตัวนักแสดงนำอย่างเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ก็ยังคงรับบทแคทนิส เอเวอร์ดีนได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคยถึงแม้ว่าตัวบทอาจจะไม่ได้ดีซักเท่าไรนักก็ตาม และโดยเฉพาะในภาคนี้ที่แฟนๆหลายคนก็คงจะจับตานักแสดงอย่างฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาซึ่งเป็นนักแสดงมากฝีมือคนหนึ่งในโลกได้จากพวกเราไปแล้วในต้นปีที่ผ่านมานี้ ยังถือว่าเป็นที่โชคดีของตัวผู้สร้างที่ในช่วงนั้นตัวภาพยนตร์ Part 1 ได้ถ่ายทำในส่วนของเขาจบลงไปแล้ว เราก็คงจะต้องมาดูกันอีกทีว่าใน Part 2 จะกระทบต่อตัวภาพยนตร์มากน้อยแค่ไหน คาดว่าก็อาจจะต้องใช้เทคนิคดิจิตอลเข้าไปแทนที่กันไป

ในท้ายที่สุด The Hunger Games 3 : Mockingjay Part 1 ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ในชุด The Hunger Games ที่เราหลงรักและชื่นชอบ แต่การหั่นมันออกมาเป็นสองตอนดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าแค่ต้องรอ Part 2 อีกหนึ่งปี ด้วยบทส่วนที่ถูกหั่นออกมาทั้งซ้ำซากจำเจและไม่น่าสนใจ ส่วนการกำกับของฟรานซิส ลอว์เรนซ์เองก็อืดอาดยืดยาดจนจะพาหลับ ยังไงก็ตามนี้ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่แฟนๆไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ถึงกระนั้นผู้เขียนก็คงได้แต่หวังว่าใน Part 2 ทุกอย่างจะลงตัวและจบลงได้อย่างสวยงามมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้


Final Score : [ B ]



ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆในอนาคต และอัพเดทข่าวหรือตัวอย่างวงการภาพยนตร์/เกมได้ที่แฟนเพจเลยครับผม :)
Facebook

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

The Hundred-Foot Journey ( 2014 ) Movie Review

The Hundred-Foot Journey  Movie Review 
บทวิจารณ์ภาพยนตร์ โดย FallsDownz



"รูปลักษณ์ภายนอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนมื้ออาหารอันแสนโอชะอลังการงานสร้างทั้งสีและกลิ่น แต่เมื่อได้รับประทานเข้าไปจริงๆแล้วทำให้ผู้เขียนทราบว่านอกจากมันจะไม่สุกดีแล้ว มันยังไร้รสชาติและจืดชืดสิ้นดีอีกด้วย"

   เมื่อพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก มาจับมือกับโอปราห์ วินฟรีย์ ในฐานะโปรดิวเซอร์ แถมยังได้ตัวผู้กำกับอย่าง ลาซเซ ฮัลสตรอม แห่ง Hachi : A Dog's Tale  และ Dear John มาสมทบ ปิดท้ายด้วยนักแสดงนำหญิงสุดสง่าเจ้าของรางวัลออสการ์อย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำ ในเมื่อชื่ออันดับต้นๆมารวมตัวกันขนาดนี้ มันจะประสบความล้มเหลวได้อย่างไรกัน ? 
ซึ่ง The Hundred-Foot Journey ก็พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ (ไม่เกี่ยวกับปราปริก้า)

The Hundred-Foot Journey เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวอินเดียกลุ่มหนึ่งซึ่งย้ายไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส และพวกเขาก็ได้เปิดร้านอาหารตรงข้ามกับร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่งโดยที่หารู้ไม่ว่าการเปิดร้านครั้งนี้จะนำมาซึ่งเรื่องราวมากมายกว่าที่พวกเขาได้คาดคิดเอาไว้


ก่อนอื่นต้องขอพูดก่อนเลยว่า The Hundred-Foot Journey เป็นภาพยนตร์ที่มีภาพสวยงามเอามากๆ พูดจากใจเลยว่านี้เป็นด้านที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยมุมกล้องและการจัดแสงที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ ผสมผสานกลิ่นไอของภาพยนตร์ยุโรปกับเอเชียได้ดี แถมยังถ่ายภาพอาหารต่างๆได้อย่างน่ารับประทานมากๆเลยทีเดียว ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องขอยกเครดิตให้กับผู้กำกับภาพอย่างไลนัส แซนด์เกรนไป ณ ที่นี้

แต่ก็นั้นแล การถ่ายภาพก็ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ดีจริงๆ ในขณะที่ส่วนอื่นๆของตัวมันเอง ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะน่าผิดหวังและครึ่งๆกลางๆพอสมควร

เฉกเช่นการกำกับ และโดยเฉพาะการเล่าเรื่องของผู้กำกับลาซเซ อัลสตรอมซึ่งจัดอยู่ในขั้นหนักหนาสาหัสเอาการ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องไม่เป็น แต่วิธีการเล่าเรื่องของเขามันเก่าและซ้ำซากจนเกินไป รวมถึงยังไร้ซึ่งชั้นเชิงสุดๆ เรียกได้ว่าเล่ากันแบบเหมือนตำราบอกมายังไงก็เล่าแบบนั้นเลยถึงแม้ว่าตำรานั้นมันอาจจะเก่าแก่เป็นสิบๆปีแล้วก็ตาม ซึ่งมันทำให้แทบจะทุกฉากในภาพยนตร์รู้สึกจืดชืด น่าเบื่อและเดาง่าย แถมยังไร้อารมณ์สุดๆ บางฉากก็ถูกเล่าเรื่องออกมาได้แข็งทื่อจนพาเอาผู้เขียนอดหัวเราะไม่ได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่องที่เล่าเรื่องได้ลวกมากๆจนทำให้ตัวภาพยนตร์จบลงแบบไม่มีความน่าจดจำอะไรเลย

ตัวบทภาพยนตร์เองเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรมากมายนัก แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีหรือใกล้เคียงคำว่าดีเลยแม้แต่น้อย เพราะในท้ายที่สุดตัวบทภาพยนตร์เองก็หลีกหนีพ้นจากความซ้ำซากจำเจและเดาง่ายในภาพยนตร์ประเภทนี้ไม่ได้เลย ด้วยบทที่เริ่มต้นแบบเดิม แล้วก็จบแบบเดิม ชนิดที่จะไม่มีฉากไหนที่จะทำให้คุณประหลาดใจได้อีกต่อไปแล้ว 

ในด้านของตัวละครเองก็ไม่ได้ถูกเขียนมาได้ดีซักเท่าไรนัก มันเป็นตัวละครที่คุณมักจะเห็นในภาพยนตร์แนวนี้อยู่ตลอดเวลา เช่นป้าขี้วีน ขี้โวยวาย ชายแก่ซึ่งไม่ยอมใคร หรือหนุ่มผู้ช่างฝันต้องการจะพิสูจน์ตนเอง ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะได้นักแสดงชื่อดังและมากฝีมืออย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำก็ตามแต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายซักเท่าไรนักจากเหตุผลของบทภาพยนตร์และการกำกับ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองก็นำแสดงได้ไม่เลวเลยทีเดียว  แต่ตัวภาพยนตร์ก็ดันถ่ายทอดและเล่าตัวละครของเธอได้ลวกสุดๆซะอีก

แต่ก็ต้องขอบอกเลยว่าตัวผู้เขียนค่อนข้างจะสนใจในประเด็นของภาพยนตร์เรื่องนี้พอสมควร เช่น สภาวะชนชาติและชนชั้นในช่วงหลังยุคล่าอานานิคม  เรื่องราวระหว่างชนชาติอินเดีย กับ ฝรั่งเศส หรืออาจจะพูดในอีกด้านหนึ่งได้ว่า การต่อสู้ของชนชาติที่ต่ำกว่ากับชนชาติสูงกว่า จุดที่แบ่งกั้นความสูงหรือต่ำมันอยู่ที่ใด  ใครเป็นคนตัดสินชนชาติฝรั่งเศสซึ่งสร้างสรรค์เมนูอาหารที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนั้นเป็นชนชาติซึ่งเต็มไปด้วยอารยธรรมอันสูงส่งจริงหรือ 
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามและประเด็นที่น่าสนใจเอามากๆ แต่น่าเสียดายที่ตัวภาพยนตร์กลับไม่สามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีซักเท่าไรนัก กลับกันเลยคือหลายๆคำถามก็ถูกตอบแบบครึ่งๆกลางๆ เพราะด้วยความย่ำแย่ของบทภาพยนตร์และการเล่าเรื่องที่แม้แต่การนำตัวภาพยนตร์ให้ผ่านแต่ละจุดไปได้ก็ดูจะย่ำแย่หนักหนาสาหัสแล้ว

ในท้ายที่สุดแล้ว The Hundred-Foot Journey ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆในแทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ การกำกับ ตัวละคร หรือแม้แต่กระทั่งการถ่ายทอดประเด็นอันน่าสนใจ มันไม่ได้อยู่ในขั้นเลวร้ายซะทีเดียวแต่มันก็ดีกว่านี้ได้มาก ยังดีที่ตัวมันเองได้ผู้กำกับภาพอันมากฝีมือช่วยถ่ายทอดภาพอันงดงามเอาไว้ได้บ้าง มิเช่นนั้น นี้คงจะกลายเป็น 122 นาทีแห่งความน่าเบื่อชวนหลับเป็นแน่แท้

Final Score : [ C ] 




เพื่อนๆพี่ๆสามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจกันได้ที่นี้ครับ :)  โดยแฟนเพจ Facebook จะมีอัพเดทข่าวสาร/ตัวอย่างวงการภาพยนตร์และเกมเป็นประจำด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Interstellar ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"ถึงแม้ว่า Interstellar จะเป็นภาพยนตร์ที่มีเทคนิคทางด้านภาพและความสนุกตื่นเต้นที่น่าประทับใจ แต่หัวใจหลักที่แท้จริงของมันอย่างตัวละครกับแก่นเรื่องก็กลับถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย"


          ถ้าหากจะพูดว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่มีคนทั่วโลกตั้งตารอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ก็คงจะไม่ดูเป็นการพูดเหนือจริงไปซักเท่าไรนักเลย
เพราะหนึ่งในสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นตัวผู้กำกับมากฝีมืออย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน เจ้าของผลงานในดวงใจหลายๆคนอย่าง The Dark Knight , Inception หรือ Memento เขาเป็นผู้กำกับท่านหนึ่งในฮอลลีวูดที่ค่อนข้างจะใส่ใจในรายละเอียดมากกว่าผู้กำกับทั่วๆไป และเทคนิคต่างๆของเขาก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับเก่งกาจเลยทีเดียว


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ Interstellar ในตอนแรกควรจะไปอยู่ในมือการกำกับของพ่อมดฮอลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์กแทนที่จะเป็นตัวโนแลนซึ่งตัวสปีลเบิร์กก็ได้ตัดสินใจถอนตัวไปในภายหลัง และเนื่องจากความที่ว่าผู้เขียนบทภาพยนตร์เป็นน้องชายของคริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งก็คือโจนาธาน โนแลน เขาก็เลยได้ทาบทามให้พี่ชายมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี 2012  เราก็จึงได้เห็นคริสโตเฟอร์ โนแลนมานั่งแท่นเป็นผู้กำกับเต็มตัวแทนที่จะเป็นตัวสปีลเบิร์ก


Interstellar ว่าด้วยเรื่องราวของโลกมนุษย์ในอนาคตที่กำลังตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนักและกำลังจะสูญพันธ์ในไม่ช้า กลุ่มนักสำรวจกลุ่มหนึ่งจึงต้องออกไปสู่อวกาศเพื่อตามหาดาวดวงใหม่ที่สามารถจะเป็นที่อยู่ใหม่ของมนุษย์ให้ได้


ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีภาพอวกาศอันสวยงามมากเรื่องหนึ่ง ด้วยบรรยากาศของอวกาศอันกว้างขวางไร้ที่สิ้นสุดหรือภาพดาวดวงต่างๆที่เรียกได้ว่าน่าทึ่งไม่ใช่น้อย ยิ่งผนวกกับเพลงประกอบภาพยนตร์ของฮันส์ ซิมเมอร์ซึ่งเป็นนักแต่งเพลงขาประจำของโนแลนก็ยิ่งทำให้ฉากต่างๆในภาพยนตร์รู้สึกตื่นเต้นและน่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา


และแน่นอนว่าเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ตกมาอยู่ในมือของคริสโตเฟอร์ โนแลน ตัวภาพยนตร์ก็มักจะใส่ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ต่างๆมามากมายเพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของอวกาศ แรงโน้มถ่วง หรือหลุมดำ ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว


นอกจากนั้นแล้ว Interstellar ยังเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะสนุกและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป มันเป็นภาพยนตร์ที่มักจะกระแทกผู้ชมด้วยฉากอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างตัวละคร ปมปัญหาของตัวละคร หรือ ตัวละครที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งตัวโนแลนก็จับผู้ชมได้อยู่หมัดพอสมควร ถึงแม้ว่าในหลายๆครั้งมันอาจจะฟูมฟายมากไปหน่อยก็ตาม


แต่ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะเต็มไปด้วยการสอดแทรกทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆที่ค่อนข้างจะลึกมากมายซักเท่าไรก็ตาม
ตัวมันเองก็กลับลืมจุดที่สำคัญที่สุดของตัวมันอย่าง ตัวละคร กับ แก่นเรื่องหลักที่มันต้องการจะพูดจริงๆไปอย่างน่าเสียดาย ในขณะที่ตัวมันเองเสียเวลาไปกับการพูดถึงและตั้งข้อสมมุติฐานทฤษฎีต่างๆมากมาย ตัวละครในภาพยนตร์ก็กลับถูกปูออกมาอย่างลวกๆ แบน ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร โดยเฉพาะตัวละครหญิงซึ่งถูกบรรยายออกมาในลักษณะของเพศซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์และไร้เหตุผล 


การที่ตัวภาพยนตร์เปลี่ยนตัวผู้กำกับจากสตีเวน สปีลเบิร์กมาเป็นคริสโตเฟอร์ โนแลน ในภายหลังก็ได้สร้างปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะในด้านที่พูดถึงครอบครัว ผลประโยชน์ส่วนรวมกับส่วนตัวซึ่งคือแก่นเรื่องที่แท้จริงของตัวภาพยนตร์และเป็นจุดเด่นของสปีลเบิร์ก แต่พอสลับมือมาเป็นโนแลน ตัวเขาก็ยัดเนื้อหาทฤษฎีวิทยาศาสตร์อันหนักแน่นเข้าไปมากจนกลายเป็นว่ามันตบตีแถมยังเบียดพื้นที่กันเอง และการยัดทฤษฎีต่างๆเข้ามาในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวแก่นเรื่องหนักแน่นหรือน่าจดจำมากกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่พูดถึงประเด็นเดียวกันซักเท่าไรเลย แตกต่างจากในผลงานเรื่องก่อนของเขาอย่าง Inception ที่นำเรื่องของโลกความฝันมาอธิบายสภาวะทางจิตใจของตัวละครซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ Interstellar ไม่มีอย่างน่าเสียดาย 


ในท้ายที่สุด Interstellar ก็เป็นภาพยนตร์ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีภาพอวกาศอันสวยงาม ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อันน่าค้นหา สนุกและตื่นเต้น แต่ตัวมันเองก็กลับหลงลืมจุดที่เป็นหัวใจหลักอย่างตัวละครและแก่นเรื่องที่ไม่ได้ก้าวหน้าตามทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่มันเอ่ยถึงไปด้วยเลย จึงทำให้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับการนั่งเครื่องบินจากจตุจักรไปสยามพารากอนแทนที่จะนั่งรถไฟฟ้า ถึงเป้าหมายเหมือนกันแต่แค่เปลี่ยนมุมมองก็เท่านั้น

Final Score : [ B + ] 


สามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจกันได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ

https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Whiplash ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



" Whiplash เปรียบเสมือนอภิมหาสงคราม 107 นาทีระหว่างศิษย์กับอาจารย์ที่ปราศจากโดยกระสุนหรืออาวุธใดๆ แต่ใช้เพียงแค่กลอง ร่างกาย จิตใจและความฝันเท่านั้นเป็นตัวขับเคลื่อน "

  เมื่อใกล้สิ้นปีเข้ามาเรื่อยๆแล้ว นอกจากภาพยนตร์กระแสหลักจะปล่อยภาพยนตร์ใหญ่ยักษ์ที่หลายๆคนรอคอยมาให้เราชมส่งท้ายปีกันแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่พยายามจะมาเปิดตัวสร้างความประทับใจให้กับนักวิจารณ์และผู้ชมทั้งหลายจนส่งผลต่อไปถึงงานรางวัลใหญ่ๆในปีหน้าอย่างเช่นออสการ์เช่นกัน ซึ่งปีนี้ก็มีภาพยนตร์ที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยมนำหน้าไปก่อนแล้วอย่าง Boyhood และเสียงตอบรับก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะดีมากๆ คราวนี้ก็ถึงตาภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า Whiplash จะได้เฉิดฉายสู่สายตาชาวโลกกันบ้าง

สิ่งที่น่าประทับใจมากสุดสำหรับตัวผู้เขียนในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ ความสนุก ตื่นเต้นและเข้มข้นของตัวมัน Whiplash เป็นภาพยนตร์ที่รู้สึกสนุก น่าติดตาม และตรึงผู้ชมได้อยู่หมัดตลอดเวลา ด้วยการดำเนินเรื่องที่ไม่หวือหวาจนน่ารำคาญ แต่ยังคงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นอย่างเข้มข้นและไม่ปล่อยมันไป โดยเฉพาะฉากการปะทะกันระหว่างสองตัวละครเอกอย่างแอนดรูว์กับเฟลชเชอร์ที่ดุเดือดเลือดพล่านซะอย่างกับเป็นภาพยนตร์อภิมหาสงครามเจ็ดทัพ มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่ผู้เขียนได้ชมภาพยนตร์ไทยอย่างโหมโรงแต่เปลี่ยนเครื่องดนตรีมาเป็นกลองแทน ผู้เขียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แค่การฝึกซ้อมตีกลองวงดนตรีวงหนึ่งมันจะเข้มข้น ดุเดือด และเคร่งเครียดได้ขนาดนี้

ไม่ใช่แค่นั้น ตัวบทภาพยนตร์ของมันเองก็น่าทึ่งสุดๆ แต่มันไม่ได้น่าทึ่งในด้านของความสร้างสรรค์หรือความแปลกใหม่ เอาเข้าจริงๆ Whiplash เป็นภาพยนตร์ที่มีบทและเป้าหมายที่ชัดเจน ง่ายดายสุดๆ แต่ทั้งๆที่เป็นเช่นนั้นมันกลับหลบหลีกความซ้ำซากจำเจหรือการคาดเดาอันง่ายดายไปได้ตลอดเวลา มันเป็นภาพยนตร์ที่รู้เป้าหมายของตนเองดี โดยไม่พยายามที่จะยัดเยียดบทและตัวละครหรือฟูมฟายกับมันมากจนเกินไป ทั้งยังหลบหลีกความซ้ำซากที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆในภาพยนตร์แนวนี้ได้อีก ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ

ตัวนักแสดงนำอย่างไมล์ เทลเลอร์เองก็ถือได้ว่ายกระดับการแสดงขึ้นมามากจากภาพยนตร์เรื่องก่อนที่ผู้เขียนได้เห็นเขาอย่าง Divergent ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาค่อนข้างจะรับบทที่หนักพอสมควร โดยเฉพาะการที่เขาจะต้องปะทะกับตัวละครอย่างเฟลชเชอร์ ซึ่งหมายถึงการโดนตะโกนด่าทอใส่หน้าตลอดเวลา จึงไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายอย่างแน่นอน และเขาก็ถือได้ว่าแสดงผลงานได้น่าประทับใจทีเดียว

แต่บุคคลที่เป็นพระเอกและโดดเด่นอย่างแท้จริงทางด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ เจเค ซิมมอนส์ ซึ่งรับบทเป็นเฟลชเชอร์ การแสดงของเขาใน Whiplash เรียกได้ว่าทรงพลังและน่าทึ่งเป็นที่สุด ผู้เขียนไม่อาจที่จะนึกนักแสดงท่านใดที่จะเหมาะสมไปกว่าเจเค ซิมมอนส์ได้เลยในบทบาทนี้ ซึ่งนั้นก็ทำให้ตัวละครของเขายิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เพราะนี้คือการแสดงในระดับที่ควรจะถูกนำเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในเวทีต่างๆเลยทีเดียว 

ในท้ายที่สุดแล้ว Whiplash ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์คุณภาพที่อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีถ้าหากว่ามันไม่ได้เป็นอยู่แล้วในตอนนี้ มันเป็นภาพยนตร์ที่คอหนังทุกคนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความเข้นข้นของมัน หรือบทภาพยนตร์อันน่าทึ่งของมัน และโดยเฉพาะการแสดงอันน่าจดจำของเจเค ซิมมอนส์ที่สอนให้รู้ว่า ความฝันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไขว่คว้ามาง่ายๆ แต่มันจะต้องแลกมาด้วยจิตใจ วิญญาณ ร่างกายและเลือด เสมือนกับประโยคที่เขาได้พูดเอาไว้ในภาพยนตร์ว่า "ไม่มีสองคำในภาษาอังกฤษคำไหนจะโหดร้ายมากไปกว่าคำว่า Good Job"

Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Valiant Hearts: The Great War ( 2014 ) Game Review

Game Review



"ถึงแม้ว่า Valiant Hearts : The Great War จะไม่ได้นำมาซึ่งระบบการเล่นอันแปลกใหม่หรือความท้าทายที่มากมายนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้มันหลุดพ้นจากการเป็นเกมที่พูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่คุณจะจดจำไปในจิตใจคุณไปอีกยาวนานเลยแม้แต่น้อย"


   Valiant Hearts : The Great War เป็นเกม 2D แนวไขปริศนา/ผจญภัยของค่าย Ubisoft ซึ่งเล่าเรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่าน 5 ตัวละครหลัก โดยเกมนี้ปล่อยลงเครื่อง PS3 , PS4 , XBOX 360 , XBOX ONE , iOS และแน่นอนว่า PC ผ่าน Steam ซึ่งเป็นเครื่องที่ผู้เขียนใช้ในการเล่น(ที่ดันมาบังคับให้ใช้อีกหนึ่งโปรแกรมอย่าง Uplay ของ Ubisoft ในการเล่นอีกตัว ซึ่งน่ารำคาญอยู่เหมือนกัน)

จริงๆแล้วต้องพูดเลยว่าผู้เขียนค่อนข้างจะสนใจในตัวเกมนี้มาตั้งแต่ได้เห็นตัวอย่างเกมตั้งแต่ต้นปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของสงคราม และการเล่าเรื่องในรูปแบบ Comics หรือหนังสือการ์ตูนของมัน แล้วเผอิญว่าทาง Steam นำเกมมาลดช่วงเดือนที่ผ่านมาพอดี ก็เลยได้โอกาสในการหยิบมาเล่นเสียที

ต้องขอพูดก่อนเลยว่า ถ้าหากท่านใดที่หวังว่า Valiant Hearts : The Great War จะเป็นเกมที่เต็มไปด้วยระบบการเล่นหรือเกมเพลย์อันแปลกใหม่ ท้าทาย หรือโดดเด่น คุณก็คงจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน เกมๆนี้เอาเข้าจริงในด้านระบบการเล่นของมัน ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ซักเท่าไรนัก มันเป็นเกมที่เต็มไปด้วย การแก้ไขปริศนาต่างๆ เช่นเราอยู่ตึก A จะหาทางข้ามไปตึก B อย่างไร หรือเราจะไปหาของที่ตัวละครอื่นๆต้องการมาได้อย่างไร ถึงกระนั้นก็ตาม มันก็เป็นเกมที่มักจะท้าทายให้ผู้เล่นคิดตามและแก้ไขปัญหาอยู่เสมอๆ ถึงแม้ว่าตัวปริศนามันเองก็ไม่ได้ท้าทายอะไรซักเท่าไรก็ตาม แต่สำหรับท่านใดที่อาจจะไม่ถนัดเกมแนวนี้ก็ไม่ต้องห่วงไป เพราะตัวเกมจะมีตัวช่วยให้กดดูอยู่ตลอด โดยเมื่อกดอันแรกเราจะต้องรอสักพักในการกดคำใบ้อันต่อไป ซึ่งเป็นการกันให้ผู้เล่นกดเฉลยหมดโดยที่ไม่ได้ลองด้วยตัวเองเลย

สิ่งที่อาจจะทำให้รูปแบบการเล่นในเกมนี้โดดเด่นขึ้นมาบ้างก็คือการที่เราได้ควบคุมถึงสองตัวละครนั้นก็คือตัวละครหลักและอีกตัวละครซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสุนัขในเกมที่มีชื่อว่า วอลท์ ที่เราสามารถสั่งให้สุนัขเดินไปเก็บของที่เราเดินไปเก็บไม่ได้ หรือสั่งให้มันกดสวิทในขณะที่เราเดินไปที่อีกจุดหนึ่งได้ด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่สนุกและทำให้ตัวเกมท้าทายขึ้นนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน

นอกจากนั้นแล้วตัวเกมก็ยังผสมมินิเกมเล็กๆน้อยๆ เช่นกดตามจังหวะให้ตรง วิ่ง/ขับรถหลบกระสุนและหลบระเบิด หรือมินิเกมที่ให้คุณหลบซ่อนจากศัตรูโดยพยายามไม่ให้โดนจับได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แทบจะทุกมินิเกมในเกมนี้จะเน้นการกะจังหวะซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้ยากนัก แต่บางทีมันก็อาจจะนำมาซึ่งความน่าโมโหอยู่เหมือนกันสำหรับมินิเกมบางอันที่ตัวเกมค่อนข้างจะถาโถมใส่ผู้เล่นพอสมควร ยิ่งท่านที่ใจร้อนหน่อยก็คงจะยิ่งเซ็งเข้าไปอีก แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเกมเพลย์มันจะไม่สนุก โดยรวมมันค่อนข้างจะสนุกและเพลินอยู่พอสมควร เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ท้าทาย นำเสนออะไรใหม่หรือโดดเด่นเพียงพอที่จะพูดว่านี้เป็นเกมแก้ปริศนาที่ท้าทายสุดๆเลยแม้แต่น้อย

Valiant Hearts : The Great War อย่างที่บอกไปในตอนต้นแล้ว ว่าเป็นเกมที่เล่าเรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 1 และมันก็ทำได้ดีเสียด้วย เพราะเนื้อเรื่องของมันถูกเขียนมาค่อนข้างจะดีในระดับหนึ่ง จึงทำให้ผู้เขียนรู้สึกสนุกและอยากที่จะเล่นต่อไปเรื่อยๆอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นจริงๆเลยก็คือ มันค่อนข้างจะเป็นเกมที่เล่าถึงความโหดร้ายและความโศกเศร้าของสงครามเสียมากกว่าการวิ่งไปแรมโบ้ชาวบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรูปแบบการเล่นที่ไม่เน้นให้เราได้ต่อสู้กับศัตรูแต่เน้นหลบหลีกและแก้ไขปัญหาเสียมากกว่า จริงๆแล้วในเกมนี้ส่วนใหญ่เราโดนอะไรทีเดียวก็ตายหมดไม่ว่าจะเป็นระเบิดหรือปืนคุณจึงลืมเรื่องการวิ่งไปแรมโบ้ชาวบ้านได้เลยเพราะเอาเข้าจริง 99% คุณไม่มีแม้แต่ปืนในมือคุณด้วยซ้ำไป

โดยความโหดร้ายและความโศกเศร้าของสงครามใน Valiant Hearts: The Great War ก็ถูกเล่าผ่าน 5 ตัวละครหลักที่เราจะได้เล่นสลับกันไปมาในแต่ละช่วง ซึ่งต้องพูดเลยว่าตัวละครเหล่านี้ก็ไม่ค่อยจะน่าสนใจหรือถูกเขียนมาได้ดีซักเท่าไรนัก ถ้าถามผู้เขียนจริงๆ ผู้เขียนคิดว่าเหมือนเป็นสิ่งที่ทางผู้สร้างตั้งใจอย่างนั้นเลย เพราะทั้งเกมเราจะเห็นตัวละครพูดหรือถ่ายทอดอารมณ์ออกมาจริงๆเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายของผู้สร้างที่พยายามทำให้ตัวเกมเป็นกลางมากที่สุดทั้งในด้านของภาษา,เนื้อหาที่จะทำให้เข้าถึงทุกเพศทุกวัยและคนทุกชาติได้มากกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามันกระทบถึงด้านความสัมพันธ์ของผู้เล่นกับตัวละครหลักเหมือนกัน ที่ผู้เขียนก็ไม่ได้ใส่ใจหรือแคร์ตัวละครเหล่านี้เท่าที่ควร ยกเว้นอาจจะตัวละครสุนัขสุดน่ารักอย่างวอลท์เท่านั้นเอง

Valiant Hearts: The Great War ก็เป็นเกมที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากราฟฟิคค่อนข้างจะสวยงามทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะถูกนำเสนอรูปแบบหนังสือการ์ตูนแต่มันก็ถือได้ว่าทำกราฟฟิคได้น่าประทับใจทีเดียว ซึ่งตัวเกมใช้ Engine UbiArt Framework ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในเกมอย่าง Rayman Legends , Rayman Origins และ Child of Light นั้นเอง 

ไม่ใช่แค่นั้นตัวเพลงประกอบหรือซาวน์แทรคของตัวเกม เป็นอะไรที่พาผู้เขียนขนลุกทุกครั้งที่ได้ฟัง มันช่างแสนไพเราะและแสนเศร้าไปพร้อมกัน ทุกๆเพลงประกอบในเกมก็ดูจะไพเราะและน่าประทับใจทุกเพลงรวมถึงเข้ากับตัวเกมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เรียกได้ว่าเล่นเกมจบก็ต้องไปหาซื้อเพลงประกอบเกมนี้กันเลยทีเดียว (ซึ่งดันมีเฉพาะแบบดาวน์โหลดจากเน็ตเท่านั้น)

ส่วนนอกจากนี้ตัวเกมก็จะมีของสะสมให้เก็บในเกมซึ่งของสะสมเหล่านี้ก็เป็นของที่ถูกใช้ในสงครามจริงๆอีกด้วย โดยส่วนใหญ่ของสะสมต่างๆก็ไม่ได้หาเก็บยากมากนัก แต่ถ้าจะเอาให้ครบก็คงต้องเล่นอย่างน้อยสองรอบเป็นอย่างต่ำ
นอกจากนั้นแล้วตัวเกมยังแถมภาพและประวัติศาสตร์สงครามจริงๆมาให้ผู้เล่นได้ศึกษาและอ่านเล็กๆน้อยๆในแต่ละด่านอีกด้วย ซึ่งประวัติศาสตร์และภาพเหล่านี้เป็นของจริงอีกด้วย ก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่ผู้เล่นที่สนใจในเรื่องราวของสงครามก็น่าจะชื่นชอบหรือถูกใจอยู่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มากมายนัก เช่นผู้เขียนที่นั่งอ่านข้อมูลนี้ทุกครั้งที่ตัวเกมขึ้นฉากใหม่ แต่สำหรับท่านใดที่ไม่ได้สนใจก็ไม่ต้องสนใจมันเลยก็ได้

ในท้ายที่สุด Valiant Hearts: The Great War ก็อาจจะไม่ใช่เกมที่นำมาซึ่งระบบการเล่นอันแปลกใหม่หรือระบบการเล่นอันสุดแสนจะท้าทายซักเท่าไรนัก แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวของสงครามอันแสนโหดร้ายและโศกเศร้า รวมถึงภาพและเพลงประกอบที่ลืมไม่ลง ก็ทำให้มันกลายเป็นเกมที่ผู้เขียนคงจะลืมไม่ลงไปอีกยาวนานอย่างแน่นอน


Final Score : [ B + ] & [ Must Play Badge ]

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

The Equalizer ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"ถึงแม้ว่าบทภาพยนตร์หรือการปูเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะถูกยัดเยียดมาเกินความจำเป็นไปบ้าง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้มันสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมน้อยลงเลยแม้แต่น้อย รวมถึงเดนเซล วอชิงตันที่ยังคงเท่ห์และร้ายกาจเช่นเคย"

         สำหรับใครที่เป็นคอหนังแอ็คชั่นหรือแม้กระทั่งคอหนังทั่วๆไป เมื่อท่านได้เห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่มีนักแสดงอย่างเดนเซล วอชิงตันอยู่ซักเรื่องแล้วล่ะก็ ผู้เขียนคาดว่าหลายๆคนก็มักจะเดาออกได้ทันทีว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นจะเป็นภาพยนตร์แนวอะไร จริงๆแล้วเขาเป็นนักแสดงอีกท่านหนึ่งที่ยังคงแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าอายุก็เริ่มจะเยอะแล้วก็ตาม และด้วยความที่ว่าเขาเป็นนักแสดงที่ไม่ว่าจะไปจับหนังแอ็คชั่นเรื่องอะไร เขาก็มักจะทำให้หนังเรื่องนั้นสนุกและน่าจดจำ จากสไตล์การแสดงอันสุดเท่ห์ลืมไม่ลงของเขาเสมอๆ 


The Equalizer เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องถึงโรเบิรต์ แมคคอล ชายลึกลับที่ดูภายนอกก็เหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป แต่วันหนึ่งเมื่อเด็กสาวที่เขาพบได้ถูกทำร้ายโดยคนกลุ่มหนึ่ง เขาจึงไม่อาจจะอยู่เฉยได้อีกต่อไป 


ไม่แน่ใจว่าการที่ The Equalizer ดันมาเข้าฉายใกล้กับภาพยนตร์แนวเดียวกันที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จพอสมควรอย่าง John Wick ในบ้านเรา จะเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่ เพราะมันก็ทำให้เกิดการเปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่เป็นจุดเด่นของ John Wick แต่กลับเป็นจุดอ่อนของ The Equalizer 

ในขณะที่ John Wick ไม่พยายามที่จะยัดเยียดบทและเหตุผลหรือเสียเวลาไปกับมันมากจนเกินไป The Equalizer กลับไม่เป็นเช่นนั้นและค่อนข้างจะประสบปัญหากับจุดนี้พอสมควร พูดก็พูดเลยว่านี้คือจุดอ่อนที่หนักที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะช่วงแรกของภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยน่าสนใจและจะพาเบื่อเอาง่ายๆ เพราะตัวภาพยนตร์พยายามจะยัดเยียดบทและตัวละครเข้ามา แถมยังเล่าได้อย่างช้า เอื่อย เฉื่อย ไม่มีชั้นเชิงทั้งๆที่ตัวบทภาพยนตร์เองก็ไม่ได้แข็งแรงพอที่จะอยู่ด้วยตัวมันเองได้ซักเท่าไรเลย

เอาเข้าจริงแล้วบทและตัวละครของมันเป็นอะไรที่ซ้ำซากสุดๆ คุณไม่ได้ใส่ใจหรือแคร์อะไรในตัวพวกเขาซักเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าตัวบทภาพยนตร์เองจะมีความคิดรวมถึงทัศนะคติที่น่าสนใจ แต่มันก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างครึ่งๆกลางๆ ไม่มีพลังหรือชั้นเชิงมากพอจนทำให้มันไร้ความหมายไปในที่สุด และมันยังเป็นบทภาพยนตร์ชนิดที่ต่อให้คุณไม่ได้ชมภาพยนตร์คุณก็รู้ว่ามันจะจบลงอย่างไร ซึ่งการพยายามลากและยัดเยียดจุดที่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ได้ผลเข้ามา มันก็จะมีแต่ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจน้อยลงเรื่อยๆ เสมือนกับนมหมดอายุที่ตัวภาพยนตร์พยายามยัดเยียดให้เราดื่มมัน ทั้งๆที่ตัวมันเองก็รู้ดีว่ามันหมดอายุ


แต่..เมื่อตัวภาพยนตร์ผ่านจุดต้นเรื่องมาได้และเข้าสู่ช่วงที่ตัวเดนเซลได้เข้าสู่โหมดพระเจ้าไล่กระทืบชาวบ้านจริงๆ ตัวภาพยนตร์ก็เหมือนเดินกลับเข้าสู่แสงสว่างและทางที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง เพราะนอกจากฉากแอ็คชั่นเหล่านี้จะสนุกและตื่นเต้นแล้ว หลายๆฉากก็ออกแบบมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว โดยเฉพาะในฉากท้ายเรื่องที่ค่อนข้างจะถูกใจผู้เขียนพอสมควร ถึงแม้ว่าบางฉากตัวภาพยนตร์อาจจะชี้ทางผู้ชมมากไปหน่อยก็ตาม แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

ตัวเดนเซลในภาพยนตร์เรื่องนี้เอง ก็ยังคงเท่ห์ โหดและร้ายกาจเช่นเคย ด้วยการแสดงอันแสนจะเยือกเย็นของเขา ทำให้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะได้เห็นเขาฆ่าใครซักคนด้วยวิธีการอันสุดเท่ห์ในฉากต่อไป นี้ยังไม่รวมถึงฉากแสดงสีหน้าอันเย็นยะเยือกหรือบทพูดอันสุดเท่ห์ของเขาที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกซะใจอย่างมาก

นักแสดงชื่อดังอีกคนอย่างโคลอี มอเรตซ์เองก็แสดงผลงานได้ดีเลยทีเดียวในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าบทบาทของเธออาจจะไม่ได้เยอะหรือน่าประทับใจมากซักเท่าไรนัก ด้วยสาเหตุจากบทและการเล่าเรื่องช่วงต้นที่ไม่ค่อยจะดีนัก แต่เธอก็ถือได้ว่าทำได้ดีแล้วถ้านับจากเวลาและโอกาสที่ให้เธอมาเท่านี้

ซึ่งเมื่อเทียบสรุปกันระหว่าง John Wick กับ The Equalizer กันแล้ว John Wick ดูจะเน้นไปทางด้านฉากแอ็คชั่นยิงกันหูตับดับไหม้ ในขณะที่ The Equalizer จะมีรูปแบบที่ช้ากว่าและแอ็คชั่นแบบหยิบจับอะไรใกล้ตัวเสียมากกว่า
The Equalizer ก้าวเหนือกว่า John Wick ก้าวหนึ่งในด้านของฉากแอ็คชั่นที่ฉลาด ตื่นเต้น และน่าประทับใจมากกว่า แต่ตัวมันเองก็ก้าวถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่งเนื่องจากบทภาพยนตร์ที่ซ้ำซากและการยัดเยียดบทเข้ามามากจนเกินไป


ทำให้ในท้ายที่สุด The Equalizer ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แอ็คชั่นของเดนเซล วอชิงตันที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรนักด้วยสาเหตุที่บทภาพยนตร์ไม่น่าประทับใจแต่ยังพยายามยัดเยียดมันเข้ามา แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เช่นกันว่าฉากแอ็คชั่นของมันเมื่อไปผสมผสานกับความเท่ห์ชนิดสุดจะบรรยายของเดนเซล วอชิงตัน ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คอหนังแอ็คชั่นหรือแม้กระทั่งผู้ชมทั่วไปไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Final Score : [ B + ] & [ Must See Badge ]