วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

Prisoners ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
เขาวงกตที่ไร้ซึ่งทางออก ความสิ้นหวังที่ถาโถม ทุกวินาทีล้วนมีค่า คุณยอมทำได้ขนาดไหน ? เพื่อที่จะออกไปจากเขาวงกตอันสิ้นหวังนี้ ? 




Movie Name : Prisoners ( 2013 ) , Thriller / Crime / Drama 
Director : Denis Villeneuve ( Maelstrom )
Stars : Hugh Jackman ( Les Miserables , X-Men ) , Jake Gyllenhaal ( Prince of Persia , End of Watch ) Paul Dano ( Looper ) 
Rating : R 





REVIEW



                                                                            Prisoners เป็นภาพยนตร์แนวสืบสวน สอบสวนที่น่าสนใจมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงมากฝีมืออย่าง Hugh Jackman ที่หลายๆคนน่าจะรู้จักเขามาจากบท พี่วูฟเวอรีน จาก X-Men และ ปีที่แล้วเขาก็พึ่งจะเข้าชิงรางวัลออสก้า สาขานำแสดงชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Les Miserables นี้เองซึ่งก็ค่อนข้างจะการันตีการแสดงได้พอสมควรเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีดาราขวัญใจแม่ยก สาวๆทั่วโลก อย่าง Jake Gyllenhaal จาก Prince of Persia : Sands of Time (ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรก็เถอะ) และเขาก็เป็นอีกคนที่เคยเข้าชิงรางวัลออสก้ามาแล้วจากภาพยนตร์ชื่อดัง Brokeback Mountain นั้นเอง เรียกได้ว่าสองคนนี้ที่จะต้องมาเผชิญหน้ากันในภาพยนตร์เรื่องนี้ แค่นี้ก็โคตรจะดุเดือดแล้วเลยทีเดียว



Prisoners ว่าด้วยเรื่องราวของเคลเลอร์ ที่วันหนึ่งลูกสาวและเพื่อนของเธอนั้นหายตัวไป เขากับนักสืบโลกิจึงพยายามสืบหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะหาตัวลูกสาวของเคลเลอร์ให้เจอให้ได้ แต่ท่ามกลางความสิ้นหวังของครอบครัว ความกดดันที่ถาโถมมาจากทุกทางนี้นั้น เขาจะทำเช่นไร ?


Prisoners เป็นภาพยนตร์ที่ต้องขอบอกเลยว่า ถ้าใครที่ไม่ชอบดูภาพยนตร์แนวสืบสวน สอบสวน เลยแม้แต่น้อย หรือ ทนกับภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะช้าไปบ้างไม่ได้ และความจริงที่ 90% ของทั้งเรื่องแทบจะไม่มีเสียง Soundtrack หรือ เพลงประกอบเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คุณเบื่อแบบสุดขีดอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะยิ่งความยาว 2 ชั่วโมง 30 นาทีกว่าๆนี้แล้วด้วยคุณจะทรมาณเป็นพิเศษเลยทีเดียว  แต่ !! แต่ !! ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบภาพยนตร์แนวสืบสวน สอบสวน ที่ค่อนข้างจะช้าไปบ้าง แต่เก็บทุกรายละเอียด เก็บทุก Detail เก็บทุกอารมณ์คุณจะ"รัก" ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนผมอย่างแน่นอน ถ้าหากจะให้พูดล่ะก็ ชาวๆคอเกมน่าจะรู้จักเกม L.A. Noire เป็นอย่างดี ซึ่ง Prisoners นั้นค่อนข้างจะคล้ายๆกับ L.A. Noire อยู่บ้างนิดหน่อย (รวมถึงบางคำพูดของตัวละครที่ผมฟังแล้ว เอ่อ...ผู้กำกับไปเล่น L.A. Noire มาเปล่าเนี้ย) คือ เป็นเกมที่ค่อนข้างจะช้า แต่เต็มไปด้วยรายละเอียด


Prisoners สิ่งแรกที่สุดยอดมากในภาพยนตร์เลยก็คือ ตัวผู้กำกับที่ช่างเก่งกาจเหลือเกิน เขารู้ว่าจะทำอย่างไรให้คนสนใจ และ ทำให้ภาพยนตร์นั้นช่างน่าติดตาม ทำให้คุณคิดตามทุกๆวินาที และที่สำคัญคือ Prisoners เป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเครียดและมืดมนหรือ ดารค์มากเลยทีเดียว ตั้งแต่วินาทีแรกที่ภาพยนตร์เริ่มขึ้นคุณจะรู้สึกได้ถึงความกดดัน และ ความเครียดอย่างหนัก ไปจนถึงกลางถึงท้ายเรื่อง ที่คุณจะเครียดค่อนข้างมาก  นั้นคือสาเหตุที่ทำไมตัวภาพยนตร์ถึงแทบจะไม่มีเพลงประกอบเลย 90% หรืออาจจะ 95% ของทั้งเรื่อง เพราะตัวภาพยนตร์มักจะสร้างความกดดันอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ใช้มุขสิ้นหวังอย่างเอาเพลงประกอบใส่เข้ามาแต่เป็นความกดดันอย่างแท้จริงจากตัวภาพยนตร์เต็มๆเลยทีเดียว


อีกจุดหนึ่งเลยนั้นก็คือนักแสดงอย่าง Hugh Jackman และ Jake Gyllenhaal เขาทั้งสองคนนั้นแสดงได้ช่างดีเหลือเกินเขาทั้งสองคนนอกจากจะมีคาแรคเตอร์ตัวละครที่ช่างน่าสนใจเหลือเกินแล้ว ทั้งสองคนยังช่างมีแรงจูงใจที่ช่างน่าเชื่อจริงๆ และมีความสมจริงอย่างแท้จริงตัวละครของ Hugh Jackman นั้นเขาเล่นได้ดีจนคุณเอาใจช่วยเขาเหลือเกิน และไม่แปลกเลยถ้าหากคุณจะเสียน้ำตาให้เขาในบางฉาก Jake Gyllenhaal ที่อาจจะเรียกได้ว่าโชคดีที่ปีที่แล้วเล่นภาพยนตร์เรื่อง End of Watch ไป เลยทำให้รับบทตำรวจได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเขาทั้งสองคนนี้เล่นได้ดีเหลือเกิน โดยเฉพาะการตัดต่อ การเล่าเรื่องตัดสลับระหว่างมุมองของสองคนนี้ ที่ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน ทั้งสองคนมีมุมมองที่ไม่เหมือนกันแต่ช่างน่าเชื่อถืออย่างที่สุด ถ้าหากปีนี้เวทีรางวัลจะมีชื่อสองคนนี้คนใดคนหนึ่งเขาชิงบ้าง ผมก็คงจะไม่แปลกใจนัก


มุมกล้องนั้นผมต้องขอบอกเลยว่าเป็นมุมกล้องในภาพยนตร์ที่จัดวางได้น่าทึ่งมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ทุกๆ Shot เหมือนมักจะมีอะไรแอบแฝงไว้เสมอๆให้คุณคิดตามตลอดเวลา และเล่นกับคนดูได้เป็นอย่างดี


รวมไปถึงบทที่ น่าติดตาม น่าค้นหาเหลือเกิน ทำให้คุณคิดตามทุกๆวินาทีจริงๆ และในตอนท้ายสุดที่คลี่คลายแล้วก็สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ คาดไม่ถึง สมเหตุสมผล ไม่เหลือคำถามค้างคาไว้ และ เข้าใจหลอกคนดูอย่างชาญฉลาดในหลายๆจุดเลยทีเดียว นอกจากนั้นไอเดียของภาพยนตร์และ Theme ของภาพยนตร์ที่ช่างสุดยอดเหลือเกิน 



Prisoners เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องในปี 2013 นี้ที่ช่างสุดยอด ฉลาด น่าติดตามเหลือเกิน ด้วย บทที่ช่างแสนฉลาด น่าติดตาม น่าค้นหา ทำให้คุณคิดตามตลอดเวลา และสามารถเชื่อมโยงกันได้โดยไม่เหลือคำถามไว้ทีหลัง นักแสดงที่เล่นได้สุดยอดทุกคนโดยเฉพาะ Hugh Jackman กับ Jake Gyllenhaal ที่แสดงได้อย่างสุดยอด เข้าถึงจุดที่ลึกที่สุดของตัวละครได้อย่างสุดยอด ทั้งยังทำให้คนดูเชื่อและเอาใจช่วยได้อย่างง่ายดาย รวมถึงมีความสมเหตุสมผลในทุกๆการกระทำ ผู้กำกับที่ช่างสุดยอด เขารู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะสร้าง Tension หรือ ความกดดัน/ความเครียดให้กับคนดูได้ตลอดเวลาตั้งแต่วินาทีแรกของภาพยนตร์ยันจบ โดยไม่ใช้มุขสิ้นหวังๆอย่างเอาเพลงประกอบเข้ามาช่วย มุมกล้องที่ช่างน่าทึ่ง ชวนให้คิดตาม ไอเดียของภาพยนตร์ที่ช่างน่าสนใจ และ ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าทึ่ง Prisoners เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่น่าทึ่งและสุดยอดมากๆอีกเรื่องหนึ่งในปีนี้


The Favorite  Quote from " Prisoners "

"Why didn't you look for my daughter !!?" - Keller


+ จุดที่ทำได้ดี :
+ บทที่ช่าง น่าติดตาม ชวนให้คิดตลอดเวลา  และตอนจบคลี่คลายได้ทุกปม
+ นักแสดงที่แสดงได้อย่างน่าทึ่งโดยเฉพาะ Hugh Jackman กับ Jake Gyllenhaal
+ การกำกับที่น่าทึ่ง สามารถสร้างความกดดัน ความเครียดให้กับคนดูได้ตั้งแต่วินาทีแรกของภาพยนตร์ ทั้งๆที่ 90% ของทั้งเรื่องแทบจะไม่มี Soundtrack หรือ เพลงประกอบด้วยซ้ำไป
+ มุมกล้องที่จัดวางได้อย่างน่าทึ่ง ชวนให้คิดตาม เล่นกับคนดูได้เป็นอย่างดี
+ ตัวละครที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม ทั้งยังน่าเชื่อถือในทุกๆการกระทำ
+ การเล่าแบบตัดสลับระหว่างสองตัวละครที่ทำได้ดี และสร้างความน่าเชื่อถือในทั้งสองตัวละคร


- จุดที่ไปไม่รอด :
- ?



Final Score : [ A + ] & [ MUST SEE BADGE ] 

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

You're Next ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

MOVIE REVIEW
แกนั้นแหละ คือรายต่อไป !!! 




Movie Name : You're Next ( 2013 ) , Horror/Thriller
Director : Adam Wingard ( V/H/S , V/H/S 2 )
Stars : Sharni Vinson ( Step Up 3D ) , Nicholas Tucci ( Choose ) , AJ Bowen ( The Signal ) 
Rate : R [ น 18+ ] ( ความรุนแรงที่มาก เนื้อหาที่รุนแรง ) 









REVIEW



                                                                                   You're Next แหม่ ต้องขอบอกเลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีชื่อที่โคตรเท่ ถูกใจจริงๆ You're Next นั้น เป็นภาพยนตร์แนว สยองขวัญ เขย่าขวัญ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่มีการ Hype เอามากๆใน อเมริกา ไม่ว่าจะด้วยผู้ชมเอง หรือ นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างจะชอบมากเลยทีเดียว (ซึ่งถือว่าแปลกมากสำหรับภาพยนตร์แนวฆ่าแหลกกระจายแบบนี้) 



You're Next นั้น ว่าด้วยเรื่องราวที่"ดูเหมือน" จะคล้ายๆกับภาพยนตร์แนวเดียวกันทั่วๆไป ครอบครัวๆหนึ่งย้ายบ้านเข้ามาใหม่ และหวังว่าจะได้มีความสุข แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า มีบางสิ่งบางอย่าง ที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ด้วยความสยดสยอง 


สำหรับผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเขาคือ  Adam Wingard จากภาพยนตร์เรื่อง V/H/S และ V/H/S 2 ซึ่งหลายๆคนน่าจะไม่รู้จัก แต่สองเรื่องนี้นั้นเรียกได้ว่าโคตรโหดของแท้เลยครับ และผู้ชมต่างประเทศหลายๆคน ก็ค่อนข้างจะชอบ V/H/S อยู่พอสมควรเลยทีเดียว เนื่องจากความไม่เหมือนใครของมัน จึงเรียกได้ว่าเขาน่าจะเชี่ยวชาญด้านนี้พอตัวเลยทีเดียว


You're Next นั้น ถ้าจะให้พูดเลย สิ่งที่ทำให้คนอยากจะเข้าไปชมมากที่สุดก็คงที่ว่ามันแปลกกว่าภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่น ซึ่งต้องขอบอกว่าจริงแน่นอนครับ แต่คงไม่แหวกหลุดโลกไปแบบ Cabin in the woods (หลุดโลกในทางที่โคตรสุดยอด) เลย ส่วนคอซาดิสอาจจะผิดหวังไปบ้าง เพราะ ถ้าให้เทียบกันแล้ว ความโหดนั้นเทียบไม่ติด Evil Dead 2013 ซักด้านเลยครับผม แต่ !! แต่ !! ความสุดยอดของภาพยนตร์เรื่องนี้มันอยู่ที่ช่วงท้ายเรื่องจริงๆ มันจะทำให้คุณซะใจสุดๆไปเลยเรียกได้ว่าน่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนดูภาพยนตร์แนวสยองขวัญทุกคน อยากให้มันเกิดขึ้น รวมไปถึงบทที่ค่อนข้างจะฉลาดเลยทีเดียว ซึ่งผมจะไม่ขอพูดไปมากกว่านี้ เพราะจะเป็นการสปอยล์ไป


ในด้านของคาแรคเตอร์นั้น สำหรับตัวละครเอกนั้นถือได้ว่าน่าสนใจมาก นอกจากการแสดงของเธอที่จะโคตรซะใจคนดูด้วยแล้ว ยังเป็นตัวละครที่แตกต่างจากภาพยนตร์แนวเอาชีวิตรอดเรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว สำหรับตัวละครอื่นๆนั้น ก็คงจะเดาไม่ยาก เพราะหลักๆภาพยนตร์แนวเอาชีวิตรอดนั้น จะต้องมีตัวละครเยอะๆอยู่แล้ว เพื่อที่จะได้มีคนตายเยอะๆ เพราะฉะนั้นตัวละครอื่นๆคุณคงจะไม่แคร์พวกเขาเท่าใดนัก 


You're Next ต้องขอบอกเลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่สำหรับตัวผมนั้น ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่สนุก และซะใจเป็นอย่างมาก(แสดงว่าตูเป็นคอซาดิสสินะ ตั้งแต่ Evil Dead 2013 แล้ว)  ตั้งแต่ต้นเรื่องที่เปิดเรื่องได้น่าสนใจ น่าติดตาม ไปจนถึงจนจบ คุณจะรู้สึกสนุกอยู่ตลอดเวลา  และไม่รู้สึกเบื่อเลย ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะมีการใช้มุขแบบ Jump Scare หรือ มุขสาดเสียงดังๆใส่คนดูให้ตกใจบ้าง แต่ก็พอให้อภัยได้


ผู้กำกับอย่าง Adam Wingard นั้นถือได้ว่าทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว อีกสิ่งที่ผมชอบมากๆในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ มุมกล้อง และวิธีการถ่ายนั้นเอง ซึ่งมันจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะวิธีการถ่ายทำโดยใช้วิธีแบบ Handheld เป็นอีกวิธีการถ่ายที่น่าสนใจจริงๆ จุดสุดท้ายที่ผู้กำกับ Adam Wingard ทำได้ดีนั้นก็คือ เขารู้จักที่จะทำให้คนดูนั้น คาดหวังบางสิ่งในภาพยนตร์ โดยใช้วิธีที่ให้คนดูนั้น"รู้"มากกว่าตัวละคร เช่น วางกับดักไว้ตรงนี้ คุณก็จะต้องคาดหวังอย่างแน่นอนว่า แล้วใครล่ะ ที่จะเป็นคนโดนกับดักนี้ ? ซึ่งเป็นจุดที่เขาเล่นกับคนดูได้อย่างดีจริงๆ



น่าเสียดาย ที่ You're Next นั้นยังคงมีบางจุดเท่านั้นที่เรียกได้ว่ายังคงไปไม่ถึงฝั่ง จุดแรกเลยก็คือ บท ที่หลายๆคนที่เข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คงจะคาดหวังว่ามันจะต้องโคตรอภิมหาพลิก คุณจะคาดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ แบบนั้น ซึ่งมันจริงไหม ก็คงต้องตอบว่าจริงครับผม แต่มันก็ไม่ถึงขนาดถึงกับจะพูดออกมาได้เต็มคำว่ามันพลิกแบบไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือ บ้าไปแล้วจริงๆ อย่างใน Cabin in the woods คือตัวอย่างที่ผมยอมรับเลยว่า สุดยอดจริงๆ เพราะ คุณไม่มีวันที่จะได้เห็นอะไรในภาพยนตร์แนวนี้แบบใน Cabin in the woods แน่นอน แต่ส่วนใน You're Next นั้นมันยังได้แค่"ดี" เสียมากกว่า อาจจะเป็นเพราะ ช่วงนี้มีภาพยนตร์แนวสยองขวัญ ที่ค่อนข้างจะพยายามพลิกบท และทำออกมาให้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงอยู่พอตัว จึงทำให้เราไม่ค่อยรู้สึกคาดไม่ถึงขนาดนั้น 


จุดที่สองเลยก็คือ ในส่วนบางส่วนในภาพยนตร์ เช่นมุขคำว่า You're Next ในภาพยนตร์ ซึ่งมีหลายๆคนถึงกับพูดว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มันเกือบจะกึ่งๆ Final Destination เลยทีเดียว ซึ่งนั้นก็รวมถึงคำว่า You're Next ด้วย ซึ่งในจุดๆนี้ น่าจะเล่นได้มากกว่านี้ ใช้ได้มากกว่านี้ การที่ทั้งเรื่องคุณเห็นคำๆนี้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น มันช่างน่าเสียดายนัก ถ้าหากใช้ในจุดๆนี้ได้มากกว่านี้ น่าจะสร้างความสนุก และ ความซะใจให้กับคนดูได้มากกว่านี้พอตัวเลยทีเดียว
จุดที่สามซึ่งเป็นจุดที่ไม่ค่อยจะจำเป็นนักในภาพยนตร์แนวนี้ แต่ก็คงจะต้องพูดถึงอยู่ดี นั้นก็คือ ความสมเหตุสมผล ซึ่งมีบางจุดในภาพยนตร์ที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก 



You're Next เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ สั่นประสาท ที่สนุก ตื่นเต้น ซะใจ บทที่น่าสนใจแปลกใหม่ และน่าติดตามสุดๆ ตัวละครเอกที่ซะใจคนดูเป็นที่สุด การกำกับที่ยอดเยี่ยม ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะมีบางจุดที่น่าจะไปได้มากกว่านี้ รวมไปถึงโดยรวมที่ยังไม่ถึงขนาดที่คุณจะจำมันไปตลอดกาลก็ตาม You're Next ก็เป็นภาพยนตร์ที่พูดได้เลยอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ถ้าหากคุณเป็นแฟนภาพยนตร์สยองขวัญล่ะก็ ห้ามพลาดเด็ดขาด !



Favorite Quote from " You're Next "

" YOU'RE NEXT " - ?


+ จุดที่ทำได้ดี :
+ บทที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม แปลกใหม่
+ การกำกับที่ยอดเยี่ยม
+ นักแสดงนำที่แสดงได้อย่างดี และ ซะใจคนดูเป็นที่สุด
+ สนุก ตื่นเต้น ซะใจ
+ ช่วงท้ายของภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะสุดยอด
+ เล่นกับความคาดหวังของคนดูได้อย่างดีเยี่ยม


- จุดที่ไปไม่รอด :
- บางจุดในภาพยนตร์ที่ไม่สมเหตุสมผล
- มุขบางมุขในภาพยนตร์ที่น่าจะใช้งานได้มากกว่านี้ เช่น คำว่า "You're Next"
- โดยรวมยังไม่แหวกและแปลกมากพอที่จะโดดเด่น ในภาพยนตร์แนวเดียวกันเท่าไรนัก



Final Score : [ B + ] & [ Must See Badge ] 

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

Pain & Gain ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
ไมเคิล เบย์แห่ง Transformers กับภาพยนตร์ตลกเรื่่องใหม่ !! ที่ไม่สมควรจะเป็นหนังตลกซักเท่าไรนัก ......



Movie Name : Pain & Gain ( 2013 ) Comedy / Crime / Drama
Director : Michael Bay ( Transformers 1-3 , Bad Boys 1-2 ) 
Stars : Mark Wahlberg ( Broken City , 2 Guns , The Fighter ) , Dwayne Johnson "The Rock" ( The Fast And Furious 5,6 ) , Anthony Mackie ( Real Steel ) , Tony Shalhoub ( Monk , MIB ) , Ed Harris ( The Rock , The Abyss )
Rating : R (ความรุนแรง , ภาษาที่รุนแรง , เนื้อหาและภาพที่รุนแรงในบางฉาก)







REVIEW


                                                                                  Pain & Gain เป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดยผู้กำกับชื่อดังจากภาพยนตร์อย่าง Transformers 1-3 และ Bad Boys 1-2 นั้นก็คือ ไมเคิล เบย์ นั้นเอง ซึ่งขอบอกตามตรงเลยว่าตอนที่ผมดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ พอชื่อ ไมเคิล เบย์ขึ้นปุ๊ป ผมรู้เลยว่า ผมไม่ควรจะคาดหวังอะไรมากจากภาพยนตร์เรื่องนี้ สาเหตุจริงๆที่ผมไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะเป็นเพราะ Mark Wahlberg มากกว่า เพราะผมรู้สึกชอบเขาใน 2 Guns มากๆ รวมไปถึง คาแรคเตอร์ใน 2 Guns และ ในเรื่องนี้ของเขาก็คล้ายๆกันบ้าง ก็เลยรู้สึกอยากดูขึ้นมา และ พ่วง The Rock เป็นของแถมไปด้วยเลย


Pain & Gain ว่าด้วยเรื่องราวของแดเนียล (Mark Wahlberg) ที่เป็นนักเล่นกล้ามและครูฝึกเล่นกล้าม เขาเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ลำบาก และ ไม่เท่าเทียม เขากับเพื่อนอีกสองคนจึงวางแผนลักพาตัวหนึ่งในลูกค้าของเขาเพื่อที่จะขโมยทรัพย์สินเงินทองของลูกค้าของเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้รวยสมใจยาก แต่ในสุดท้ายทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาหวังไว้....



ต้องขอเริ่มจากจุดที่ผมชอบในภาพยนตร์ก่อน อย่างแรกเลยก็คือ นักแสดงอย่าง Mark Walhberg , The Rock และ Ed Harris ค่อนข้างเล่นได้ดี สนุก และเป็นสีสันให้กับเรื่องอย่างมาก รวมไปถึงภาพยนตร์ที่รู้สึกสนุก ตลก อยู่ตลอดเวลา ไม่น่าเบื่อซักเท่าใดนัก แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบมุขสัปดนๆซักเท่าไรนัก คุณอาจจะไม่ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็เป็นได้ และบทที่น่าสนใจ คุณจะรู้สึกอยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปอยู่ตลอดเวลา



แต่....แต่.....ปัญหามันอยู่ที่ตรงนี้ ผมต้องขอบอกก่อนเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นสร้างขึ้นมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นไม่นานเท่าไรเลย และ ปัญหามันอยู่ตรงอีกที่ว่า เรื่องที่ตัวภาพยนตร์พูดถึงและเรื่องจริงที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก ก็คือเป็นเรื่องของการลักพาตัว ฆาตกรรม แต่ภาพยนตร์กลับเอาเรื่องที่ซีเรียสแบบนี้ ไปทำให้มันเป็นภาพยนตร์ตลก ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่าตัวภาพยนตร์นั้นไม่ให้ความเคารพกับผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือเหยื่อจากภาพยนตร์เรื่องนี้เลย (รวมถึงเรื่องนี้เกิดมาได้ไม่นาน ผมจึงได้ยินมาว่าญาติๆเหยื่อบางคนในเรื่องจริงยังมีชีวิตอยู่เลยด้วยซ้ำ) นอกจากนั้นตัวละครหลักหรือตัวละครเอกในภาพยนตร์ที่เราเห็นก็คือฆาตกร(ในเรื่องจริง)เสียอีก แล้วตัวภาพยนตร์ก็ทำให้เหมือนพวกเขาเป็นตัวดีและให้เราเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้ซะอย่างนั้น รวมไปถึงตัวร้ายที่ในภาพยนตร์(ซึ่งก็คือเหยื่อในเรื่องจริง)ที่ตัวภาพยนตร์กลับทำให้ดูเหมือนสมควรโดนแล้วซะอย่างนั้น มันเหมือนกับคุณไปฆ่าใครซักคนมาแล้ววันรุ่งขึ้นคุณไปนั่งคุยกับเพื่อนของคุณอย่างสนุก ตลก ว่าคุณไปฆ่าคนมาโดยไม่รู้สึกผิดอะไรเลย อย่างนั้นเลยทีเดียว


มาพูดถึงตัวภาพยนตร์จริงๆกันบ้าง ตัวละครบางตัวในภาพยนตร์รู้สึกไม่น่าสนใจเอาเสียเลย อย่าง ตัวละครของ Adrian ที่ตัวนักแสดงก็รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าสนใจด้วยแล้ว ตัวละครของเขาก็ไม่น่าสนใจอีก ตัวละครบางตัวในภาพยนตร์ที่โผล่มาไม่ถึง 5 นาที ยังรู้สึกน่าสนใจ และ สนุกมากกว่านี้อีก 

ถ้าตัดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นมาจากเรื่องจริงไป ในบทหลายๆส่วนให้ความรู้สึกว่าไม่สมจริงเอาเสียเลย ดูค่อนข้างปัญญานิ่ม เพื่อที่จะทำให้ภาพยนตร์มันตลก ขัดกับประเด็นและข้อความที่ตัวภาพยนตร์ต้องการที่จะสื่อถึงคนดูอยู่มาก 

นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ก็ทำได้แค่ดูผ่านๆไปเท่านั้น คุณจะไม่จดจำอะไรเลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ และ คุณอาจจะไม่พูดถึงมันอีกเลยด้วยซ้ำในอีก 2 วันข้างหน้า



Pain & Gain เป็นภาพยนตร์ที่สนุก ตลก ก็จริง แต่ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์นั้นสร้างมาจากเรื่องจริงแล้วดันไปเปลี่ยนความจริงจนมั่วไปหมดทำให้เรารู้สึกว่า เรากำลังมีความสุขกับเรื่องผิดๆอยู่ รวมถึงตัวภาพยนตร์จริงๆเนื้อจริงๆของมันที่ก็ไม่ได้ดีอะไรเลยตัวละครบางตัวที่ไม่น่าสนใจ บทที่ให้ความรู้สึกว่างี่เง่าเพียงเพราะเพื่อที่จะทำให้มันสนุก และ ไม่มีอะไรที่น่าจดจำในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ทำให้ Pain & Gain เป็นภาพยนตร์ที่ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะลืมมันไปได้อย่างง่ายดาย


จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ สนุก และ ตลกอยู่ตลอดเวลา
+ นักแสดงที่ดีหลายๆคน
+ บทที่น่าสนใจ


จุดที่ไปไม่รอด :
- บทที่สร้างมาจากเรื่องจริงแบบมั่วๆ และใช้ในทางที่ไม่สมควร
- ตัวละครบางตัวที่ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย
- ในบทหลายๆส่วนให้ความรู้สึกปัญญานิ่ม ไม่สมจริง มีมาเพื่อทำให้มันรู้สึกตลก และดึงดูดคนดูก็เท่านั้น
- ไม่มีสิ่งใดที่น่าจดจำ คุณจะลืมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างง่ายดาย



Final Score : [ C ] 

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

Riddick ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
โคตรเทพ โคตรเท่ ริดดิก กลับมาแว้ววว !!



Movie Name : Riddick ( 2013 ) , Thriller / Sci-fi / Action
Director : David Twohy ( Pitch Black , The Chronicle of Riddick )
Stars : Vin Diesel ( Fast And Furious Franchise ) , Jordi Molla ( Bad Boys 2 , Colombiana ) , Matt Nable ( Killer Elite ) , Katee Sackhoff ( Battlestar Galactica TV-mini Series ) , Dave Bautista ( The Man With The Iron Fists ) 
Rating : R








REVIEW



                                                                                          Riddick เป็นภาพยนตร์ภาคที่ 3 แล้ว ในภาพยนตร์ซีรียส์ Riddick โดยภาคแรกนั้นเข้าฉายในปี 2000 นั้นก็คือ Pitch Black นั้นเอง  ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่หลายๆคนชอบกันเลยทีเดียว แต่พอ 4 ปีต่อมา The Chronicle of Riddick เข้าฉายปุ๊ป ทุกคนก็แทบจะเบือนหน้าหนีกันเลยทีเดียว กับความออกสู่ทะเลอันไกลโพ้นของมัน จนมาถึงตอนนี้จากภาคแรกก็ 13 ปีกันเลยทีเดียว โดยคราวนี้ใช้ชื่อภาพยนตร์ดื้อๆเลย Riddick ซึ่งเรื่องราวจะต่อมาจากภาค 2 (The Chronicle of Riddick) เพราะ ฉะนั้นแนะนำให้ทุกท่านที่เข้าไปชม Riddick ในภาคนี้ ไปหาสองภาคแรกมาชมก่อนนะครับ ไม่งั้นอาจจะงงได้ 



Riddick เป็นภาพยนตร์ที่ผมต้องขอสารภาพเลย ว่าตอนแรกที่ผมเห็นตัวอย่างนั้น ผมไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับมันเลย ผมคิดว่ามันจะห่วยด้วยซ้ำไป ยิ่งมีนักแสดงอย่างพี่ Bautista มาด้วยแล้วยิ่งทำให้เป็นห่วง (จากกรณี The Man With The Iron Fists ) 



แต่ Riddick ก็ทำให้ผมประหลาดใจ อย่างแรกที่คิดว่าดีที่สุดชอบที่สุด และ เป็นทางเดินที่ถูกต้องแล้วสำหรับ Riddick เลย นั้นก็คือการกลับมาเป็นคล้ายๆกับ Pitch Black อีกครั้ง Element การเอาชีวิตรอดต่างๆของ Riddick มันช่างน่าสนใจ และผมต้องขอบอกเลยว่า Vin Diesel เขาแสดงเป็น Riddick ได้ดีมากๆเลยทีเดียว ไม่รู้ทำไมแต่ผมรู้สึกว่าเขา พอเล่นเป็น Riddick ปุ๊ป ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ดูโคตรเท่ไปหมด ฉาก Action ต่างๆก็แสดงได้อย่างดีเยี่ยม รวมไปถึงคำพูดที่ค่อนข้างจะมีความสำคัญมีความหมาย ในทุกครั้งที่เขาพูดออกมา 


มีหลายๆ Emotion ที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับ สัตว์ประหลาดที่คล้ายสุนัขในภาพยนตร์ ที่ผมว่าเป็นจุดที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องเลยก็ได้ เพราะ การปูตัวละครที่ดี การใช้ตัวละครอย่างชาญฉลาด ทำให้ผมรู้สึกชอบสุนัขตัวนี้จริงๆ ผมขอไม่พูดไปมากกว่านี้ละกันในจุดนี้ 



ครึ่งแรกในภาพยนตร์นั้นค่อนข้างจะดีเลยทีเดียว การเอาชีวิตรอด ในดาวประหลาด สัตว์ประหลาดใหม่ๆต่างๆ การปูเรื่องต่างๆที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตามเหลือเกิน โดย เฉพาะฉากต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแมงป่อง (?) ครั้งแรกสุดที่ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมเชื่อจริงๆว่า ตัวละคร Riddick นี้ เขาเก่งจริง เขารู้ดีจริง เขารู้วิธีที่จะเอาชนะสิ่งใหม่ๆได้เสมอๆ ไม่ใช่เขาชนะเพราะขึ้นชื่อได้่ว่าเป็นพระเอก ทำอะไรก็เทพเมพไปหมดโดยหาเหตุผลไม่ได้ หรือ เปิด God Mode ไม่มีวันบาดเจ็บ ไม่มีวันอ่อนแอ ไม่มีวันเหนื่อย ซึ่งมันจะน่าเบื่อมากๆถ้าหากตัวละครของ Riddick เป็นเช่นนั้น ซึ่งไม่เลยแม้แต่น้อย


ตัวละครตัวอื่นๆในครึ่งหลังของภาพยนตร์นั้นบางตัวก็มีเรื่องราว คาแรคเตอร์ นิสัย ความคิด ที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่โดยปกตินั้น ภาพยนตร์แนวนี้เรามักจะไม่สนใจตัวละครอื่นด้วยซ้ำ ยังไม่รวมถึงเรท R ของภาพยนตร์ที่มีฉากโหดๆอยู่บ้างอาจจะถูกใจแฟนๆได้เป็นอย่างดี


ในช่วงหลังของภาพยนตร์นั้นภาพยนตร์คล้ายๆกับว่าจะเปลี่ยนมาเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง จากในครึ่งแรกของภาพยนตร์ที่เป็นเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอด ธรรมชาติ Vs. Riddick และ ในช่วงหลังที่เป็น Riddick Vs. Bounty Hunter  รวมไปถึงอารมณ์ใหม่ๆในช่วงหลังของภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะสนุกอยู่พอสมควร



น่าเสียดายที่ Riddick เหมือนจะมาตกม้าตายเอาตอนจบเสียอย่างนั้น เพราะ เป็นฉากจบที่ช่างสับสน และ ไร้อารมณ์ เหมือนไม่รู้จะจบยังไงดี เลยจบแบบนี้ละกัน ที่อาจจะทำให้คุณพูดขึ้นมาระหว่างดูว่า "หะ จบแล้วหรอ ???"  CG ที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้  รวมไปถึงบางจุดที่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเท่าใดนัก บทที่ต่อมาจากภาค 2 ที่น่าสนใจก็จริง แต่กลับทำให้รู้สึกว่า เหมือนจะต้องทำให้มันเป็นแบบนั้น ไม่งั้นหนังมันจะยิ่งออกทะเลเสียมากกว่า




Riddick เป็นภาพยนตร์ภาคต่อภาคที่ 3 ที่มี Element ต่างๆที่ช่างน่าสนใจ ตัวละคร Riddick ที่น่าสนใจ น่าติดตาม การแสดงของ Vin Diesel ที่โคตรเท่ห์ การสร้างอารมณ์ร่วมด้วยตัวละครอย่างเช่นสุนัขในภาพยนตร์ที่ทำได้ดี รวมไปถึงตัวละครบางตัวที่มีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อ และ การกลับมาเป็นการเอาชีวิตรอด ธรรมชาติ Vs. Riddick นั้นดูเหมือนจะมาถูกทางอย่างมากแล้ว ถึงกระนั้นก็ตาม Riddick ยังคงพลาดในหลายจุด เช่น CG ที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ฉากจบที่สับสน ไร้อารมณ์ร่วมจนแทบจะพูดได้เลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีแม้แต่ Climax ด้วยซ้ำไป แต่เนื่องจากมีหลายๆสิ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ผมคิดว่าทำได้ค่อนข้างจะดีแล้ว ผมจึงแอบหวังต่อไปใน ภาค 4 ภาค 5 ว่า ถ้าหากจะมี บทที่เขียนดีกว่านี้หน่อยล่ะก็ Riddick น่าจะเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่น่าติดตามมากเลยทีเดียว




The Best Quote from " Riddick "

" You're not afraid of the dark , are you ?
แกคงไม่ได้กลัวความมืดหรอก ใช่ไหม ? " - Riddick




+ จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ ตัวละคร Riddick ที่น่าสนใจ น่าติดตาม
+ Vin Diesel แสดงเป็น Riddick ได้สุดยอด และ โคตรเท่ห์ !
+ การสร้างอารมณ์ร่วมด้วยตัวละครสุนัข
+ ตัวละครอื่นๆบางตัว ที่มีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจ
+ การกลับมาจุดที่ Riddick ควรจะเป็น
+ ครึ่งแรกกับการเอาชีวิตรอดที่ช่างน่าสนใจเหลือเกิน และ ครึ่งหลังที่เปลี่ยนมาอีกอารมณ์หนึ่งได้อย่างดี


- จุดที่ไปไม่รอด :
- CG ที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้
- ฉากจบที่สับสน ไร้อารมณ์ร่วม หา Climax ของภาพยนตร์ไม่เจอ
- บทที่ต่อมาจากภาค 2 ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า มันจะต้องเป็นแบบนี้เพราะไม่งั้น ภาพยนตร์จะมันจะยิ่งออกสู่ความเวิ้งว้าง อันไกลโพ้นไปมากกว่านี้
- บางจุดในภาพยนตร์ที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก




Final Score : [ B ] 

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

Angels & Demons ( 2009 ) * With Spoiler มีการพูดถึงเนื้อหาสำคัญในภาพยนตร์ *

MOVIE REVIEW
เรื่องราวแห่งศาสนากับวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ แต่.....ไม่ค่อยจะเวิรค์นัก



Movie Name : Angels & Demons ( 2009 ) , Mystery , Thriller 
Director : Ron Howard ( The Da Vinci Code )
Stars : Tom Hanks ( The Da Vinci Code , Cloud Atlas ) , Ewan McGregor ( Impossible ) , Stellan Skarsgard ( Thor , The Avengers ) , Ayelet Zurer ( Munich ) 
Rating : PG-13



* With Spoiler มีการพูดถึงเนื้อหาสำคัญในภาพยนตร์ * 


REVIEW
                                                                            Angels & Demons เป็นภาพยนตร์ภาคต่อจากภาพยนตร์เรื่อง The Da Vinci Code ถึงแม้ในฉบับหนังสือนั้นจริงๆแล้ว Angels & Demons จะมาก่อน The Da Vinci Code ก็ตาม สำหรับหลายๆคนที่กลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง ไม่เป็นไรครับ เพราะ แต่ละภาคมันจะมีเรื่องราวที่แตกต่างกัน เพราะ ฉะนั้นไม่ต้องห่วงดูไม่รู้เรื่องแน่นอน ต้องขอบอกก่อนว่าผมไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนนะครับ เพราะ ฉะนั้นบางสิ่งบางอย่างผมอาจจะอธิบายได้ไม่หมดเท่าคนอ่านหนังสือ แต่ผมจะพยายามอธิบายจากที่ผมได้ชมภาพยนตร์ให้ได้มากที่สุดนะครับ


Angels & Demons เป็นภาพยนตร์ที่พยายามเหลือเกินที่จะทำให้เรื่องราวศาสนา และ วิทยาศาสตร์ รวมถึงการสืบสวนต่างๆน่าสนใจ แต่ปัญหาที่สำคัญของตัวภาพยนตร์ที่แท้จริงเลยก็คือ บท ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่หาความสมเหตุสมผลไม่ได้ อย่างแรกคือสาเหตุที่ทำไมเรื่องนี้มันเกิดขึ้นแต่แรก นั้นก็คือ เรื่องของระเบิด ซึ่งเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดในภาพยนตร์ก็ว่าได้ เพราะ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย มันเหมือนต้องมีมาเพื่อให้หนังมันมีอะไรสักอย่างไม่งั้นมันจะน่าเบื่อสุดๆ อารมณ์ประมาณนั้น ตัวละครต่างๆในภาพยนตร์ที่น่าจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้ ซึ่งหลายๆตัวละครก็ช่างน่าสนใจเหลือเกิน แต่ตัวภาพยนตร์กลับโฟกัสไปที่ตัวละครเอก และ การแก้ไขปริศนาต่างๆ มากจนเกินไปในเวลา 2 ชั่วโมงกว่า จนทำให้หลายๆตัวละคร รู้สึกไร้น้ำหนักในภาพยนตร์ แล้วบางตัวละครก็ถูกนำมาใช้แบบใช้แล้วทิ้ง พอหมดประโยชน์ก็ลบออกซะอย่างงั้น ตัวร้ายที่ก็เป็นได้แค่ตัวร้ายธรรมดาๆที่รอวันตาย ไม่น่าสนใจ ไม่น่าติดตามแล้วก็ทำอะไรที่ยังคงโง่เขลาสมกับเป็นตัวร้ายดาษๆเสียจริง


อีกจุดที่ผมค่อนข้างจะไม่ชอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือตอนจบหักมุม ซึ่งเป็นหักมุมที่ค่อนข้างจะน่า"อนาจ" มาก เพราะ หนังตอนแรกทำให้เราเชื่อว่า ตัวร้ายที่แท้จริงคือตัวนี้นะ แล้วก็ปล่อยให้เรามีอารมณ์ร่วมไปสักพัก แล้วอยู่ดีๆก็พูดขึ้นมาว่า "อ๋อจริงๆไม่ใช่หรอก ตัวร้ายที่แท้จริงมันตัวนี้ต่างหาก" มันเหมือนลูบหัวแล้วแทงข้างหลัง อย่างงั้นเลย ซึ่งมันเป็นจุดที่อนาจมากในภาพยนตร์ซึ่งไม่ควรทำเลยอย่างยิ่ง 


มีหลายๆจุดที่ผมว่าตัวภาพยนตร์น่าจะโฟกัสมากกว่านี้ เช่นเรื่องราวของ วิทยาศาสตร์ กับ ศาสนา กลุ่ม อลูมินาติ มันช่างน่าสนใจ น่าติดตาม และ น่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ หรือ แม้กระทั่งอ่านหนังสือ  แต่ก็อีกเช่นเคย ตัวภาพยนตร์โฟกัสมากไปที่จะทำให้ตัวเองเป็นหนังสืบสวน เหมือนหลงทาง ช่างน่าเสียดายนัก รวมไปถึงฉากสืบสวนต่างๆก็ทำได้แค่ ธรรมดาๆเท่านั้น หลายๆข้อมูลที่ภาพยนตร์ป้อนมาให้ มันเหมือนโยนเข้าใส่หน้าคนดู มันต้องแบบนี้ แบบนี้นะ อ๋อ มันแบบนี้ต่างหาก ไม่มีอะไรที่คนดูจะรู้สึกร่วมได้เท่าไรเลย เพราะ ทุกอย่างนั้นปิดไปหมด น่าจะเป็นเพราะ ตัวภาพยนตร์อยากให้คนดู Surprise แต่มันกลับทำให้ นอกจากไม่ Surprise แล้ว มันยังไม่มีอารมณ์ร่วมไปด้วย


ถึงกระนั้นผมก็ต้องขอพูดว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ดีเช่นกัน อย่างเช่น นักแสดงอย่าง Tom Hanks , Ewan McGregor เขาเล่นได้ดีจริงๆ โดยเฉพาะ Ewan McGregor จริงๆแล้วเป็นเพราะนักแสดงอย่างเขาเลยที่ทำให้ตัวละครนั้นช่างน่าสนใจ น่าติดตามเหลือเกิน รวมไปถึงแน่นอน ป๋า Stellan Skarsgard ที่น่าเสียดายที่มีบทน้อยไปหน่อย แต่เขาเป็นตัวละครที่น่าสนใจในเรื่องอีกตัวละครหนึ่งเลย


การ Design ออกแบบฉากต่างๆในภาพยนตร์ก็ทำได้ช่างน่าสนใจ สวยงาม อลังการเป็นที่สุด



Angels & Demons เป็นภาพยนตร์ที่ช่างน่าเสียดายที่พยายามมากจนเกินไปและโฟกัสผิดจุดมากจนเกินไป จนทำให้ทุกอย่างดูเละ และ ไม่น่าเชื่อถือไปเสียหมด บทที่ไม่สมเหตุสมผลหลายๆอย่าง ฉากจบที่น่าอนาจและเหมือนดูถูกคนดู ถึงแม้จะมีนักแสดงที่ดี และ Design ฉากต่างๆที่สวยมากเท่าไรก็ตาม ถ้าหากอย่างอื่นมันไม่ดีไปด้วย มันก็คงจะยากนักที่จะทำให้ Angels & Demons เป็นภาพยนตร์ที่ดีจริงๆได้



จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ นักแสดงคุณภาพ
+ Design ฉากต่างๆที่สวยงาม น่าสนใจ อลังการ
+ ตัวละครหลายๆตัวที่ช่างน่าสนใจ


จุดที่ไปไม่รอด :
- บทที่ไม่สมเหตุสมผล และ Plot บางส่วนที่ใส่มาเพื่อให้ภาพยนตร์มันดูไม่น่าเบื่อ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
- การโฟกัสเรื่องราวในภาพยนตร์ที่ผิดจุด และ ช่างน่าเสียดาย
- ฉากจบที่น่าอนาจ และ ดูถูกคนดู
- ตัวละครร้ายที่ก็เป็นได้แค่ตัวร้ายที่รอวันตาย


Final Score : [ C ]