วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

Batman v Superman : Dawn of Justice ( 2016 ) Movie Review


"Batman v Superman: Road to Justice League"



Batman v Superman : Dawn of Justice ( 2016 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

-- ภาพรวม --
- กัล กาด็อท รับบทวันเดอร์วูแมนได้อย่างยอดเยี่ยม ขโมยซีนสุดๆ
- การแสดงของเบน เอฟเฟลค และเจเรมี่ ไอรอน ค่อนข้างดี ทำให้ภาพยนตร์ Batman ในอนาคต น่าดูขึ้นเยอะ
- เฮนรี คาวิลล์ ยังคงรับบทเป็น Superman ได้ดี ถ่ายทอดสภาวะความสับสนของตัวละครได้น่าติดตาม
- ฉากแอ็คชั่นมีค่อนข้างน้อย แต่ก็ทำได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะท้ายเรื่องที่อลังการพอตัว
- เล็กซ์ ลูเธอร์ ซึ่งรับบทโดยเจสซี่ ไอเซนเบิร์ก ในด้านนึงก็น่าสนใจ แต่ในอีกด้านก็น่ารำคาญ
- การเล่าเรื่องของ แซค สไนเดอร์ ค่อนข้างจืดชืด
- บทพูดเหมือนพยายามจะให้ดูเท่ห์อยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นน่ารำคาญ
- พยายามที่จะยัดหลายสิ่งหลายอย่างเข้าไปในภาพยนตร์เรื่องเดียวมากเกินไป จนเป็นเหตุทำให้ภาพรวมออกมาวุ่นวาย ขาดความเป็นเอกภาพ
- เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างมารวมตัวกัน แฟนๆน่าจะชอบอย่างแน่นอน ในขณะที่คนทั่วไปคงไม่ประทับใจเท่าไรนัก

เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดภาพยนตร์ที่กระแสแรงแห่งปี 2016 เสียจริงๆ กับการปะทะกันของซุปเปอร์ฮีโร่ Batman v Superman : Dawn of Justice ที่เปิดตัวมาก็มีกระแสดราม่า เมื่อคะแนนในเว็บไซต์นักวิจารณ์ตั้งแต่ Metacritic ยัน Rotten Tomatoes ค่อนข้างต่ำ จนหลายคนล้อกันว่าเป็น ผู้ชม vs นักวิจารณ์ ไปเสียแล้ว


Dawn of Justice ในภาพรวมแล้วถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ไม่แย่ แต่ก็พูดยากว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม หรือกระทั่งเข้าขั้นดี ด้วยความที่มันมีทั้งจุดดี จุดเด่น ผสมผสานกับจุดด้อย และปัญหาต่างๆพร้อมกัน

ขอเริ่มจากจุดที่ชื่นชอบในภาพยนตร์ก่อนละกัน ในด้านของนักแสดงหน้าใหม่แล้ว ต้องขอชม กัล กาด็อท ซึ่งกระโดดเข้ามารับบทเป็นวันเดอร์วูแมนได้อย่างยอดเยี่ยม ขโมยซีนอย่างมาก ส่วน เบน แอฟเฟล็ค ซึ่งเข้ามารับบทบาทสำคัญอย่างพี่แบท ก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว เคมีของเขานั้นเข้ากับ เจเรมี่ ไอรอน ซึ่งรับบทเป็น อัลเฟรด อย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นจุดที่ทำให้ตั้งตารอคอยภาพยนตร์แบทแมน ซึ่งเจ้าตัวเคยบอกว่าจะกำกับเองและเล่นเองไม่ใช่น้อย


ส่วนในด้านของนักแสดงที่กลับมารับบทเดิมอย่าง เฮนรี คาวิลล์ ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความพัฒนาในการแสดงของเขา ถ่ายทอดสภาพความสับสนของตัวละครได้อย่างดี

อย่างไรก็ตาม นักแสดงอีกท่านอย่าง เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก ซึ่งรับบทเป็น เล็กซ์ ลูเธอร์ อาจจะต้องรอดูผลงานในภาคต่อถัดๆไป เพราะในบางฉากตัวละครของเขาก็น่าสนใจดี แต่พอไปถึงอีกฉาก การแสดงของเขาก็กลายเป็นน่ารำคาญเสียอย่างนั้น คล้ายคลึงกับบทพูดในภาพยนตร์ ซึ่งดูพยายามเหลือเกินที่จะให้มันดูเท่ห์ ดูหล่อ ดูสวย แต่พอเริ่มยัดเข้ามาทุก 5 นาที ความเท่ห์เริ่มจะกลายเป็นความน่ารำคาญเสียแทน


สำหรับท่านใดที่เห็นชื่อภาพยนตร์ Batman v Superman แล้วหวังว่าจะได้เห็นฉากแอ็คชั่นระหว่างพี่แบทกับพี่ซุปเยอะๆแล้วละก็ เตรียมผิดหวังได้เลย เพราะอย่าว่าแต่ฉากพี่แบทกับพี่ซุปเลย แค่ฉากแอ็คชั่นทั้งหมดรวมกันคงจะไม่ถึง 1 ใน 3 ของทั้งเรื่องด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่าฉากที่มีอยู่โดยเฉพาะท้ายเรื่องค่อนข้างจะมั่วซั่วได้ซะใจสมเป็น แซค สไนเดอร์ ก็ตาม ซึ่งจุดนี้เองเป็นจุดที่ชวนให้ตั้งคำถามมากที่สุด

ในเมื่อทางค่าย Warner Bros. ได้ตัดสินใจที่จะเลือกผู้กำกับ แซค สไนเดอร์ มากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว เหตุใดทิศทางของภาพยนตร์จึงแทบจะกลายเป็นภาพยนตร์ดราม่าไปได้ ทั้งๆที่นั้นไม่ใช่จุดแข็งของผู้กำกับท่านนี้เลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเป็นเพราะกลัวว่าผู้ชมติดภาพ Dark Knight Trilogy ของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ไม่ทราบเช่นกัน


ยิ่งพอผนวกเข้ากับความพยายามในการยัดเยียดหลากหลายตัวละครเข้าไปพร้อมๆกันในภาพยนตร์เรื่องเดียว ยิ่งทำให้เรื่องราวแกนหลักจริงๆในภาคนี้ซึ่งควรจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จางหายไปในพื้นหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งในจุดนี้แฟนๆคงน่าจะชอบกันอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นโฉมหน้าสมาชิกทีม Justice League ในอนาคต แต่สำหรับคนทั่วไป หรือท่านที่ไม่ได้รู้จักตัวละครเหล่านี้มากนัก คงได้แต่นั่งงงตาปริบๆและตั้งคำถามว่า 'ใส่มาทำไมในเมื่อมันคือตัวละครสำหรับภาพยนตร์ในอนาคตและแทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภาพยนตร์ที่ฉันกำลังนั่งดูอยู่'

เอาเข้าจริงแล้ว ตัวแนวคิดหรือแกนหลักของ Dawn of Justice ก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว ในด้านของการพูดถึงการล่มสลายของความเชื่อในมนุษยชาติ การดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด จนต้องนำไปสู่ความหวังในการรื้อฟื้นความเชื่อมั่นในมนุษย์ให้กลับคืนมา


แต่ในเมื่อการเล่าเรื่อง บทภาพยนตร์ และเวลาในภาพยนตร์ต่างถูกใช้ไปกับการปูทางไปสู่ภาพยนตร์ในอนาคตจำนวนมาก จนเนื้อหาตัวภาพยนตร์จริงๆเหลือเพียงแต่ร่องรอย น้ำหนัก และความน่าจดจำของความคิดนี้ ก็เปรียบเสมือนการซื้อต้นไม้มาวางไว้ที่บ้านโดยที่ไม่มีใครแยแสจะใส่ใจและให้เวลากับมัน จนต้องแห้งและล้มตายไปในที่สุด


สุดท้ายแล้ว ด้วยการแสดงและการแนะนำตัวละครใหม่ๆอย่าง แบทแมน วันเดอร์วูแมน หรือสมาชิกทีม Justice League ที่น่าตื่นเต้น รวมไปถึงฉาก Climax ที่อลังการงานสร้าง น่าจะทำให้ Batman v Superman: Dawn of Justice กลายเป็นภาพยนตร์ที่แฟนๆชื่นชอบได้ไม่ยากนัก ในขณะที่สำหรับผู้ชมทั่วไปแล้วมันคงจะกลายเป็นภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการใช้วัตถุดิบและเครื่องมือที่มีอยู่อย่างผิดทิศผิดทาง เป็นเหตุทำให้ภาพรวมกระจัดกระจาย ขาดเอกภาพ ถึงแม้ว่าภาพรวมมันอาจจะไม่แย่อย่างที่กระแสพูดถึงกันก็ตาม

Final Score : [ 6.5 ]

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

The Hunting Ground (2015) Movie Review


The Hunting Ground (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแห่งการล่า"

อ่าห์ ชีวิตมหาวิทยาลัย เชื่อเลยว่าสำหรับใครหลายคน นี้เป็นหนึ่งในช่วงชีวิตที่มีความสุขมากที่สุด นี้คือช่วงชีวิตที่เราใฝ่ฝันมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าสอบติดคณะหรือมหาลัยที่ตนเองอยากเขามาตั้งแต่เด็กๆ ได้เข้ามาเรียน จนกระทั่งจบการศึกษา เรียกได้ว่ามหาลัยเปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่สองที่เราไว้วางใจไม่ต่างจากบ้านแท้ของเราเอง



แต่ถ้าหากวันหนึ่ง มีคนเดินมาบอกคุณว่า กว่า 20% ของนักศึกษาหญิงในประเทศสหรัฐอเมริกา เคยถูกข่มขืนในมหาลัย และกว่า 88% ตัดสินใจไม่บอกให้ใครรู้ละ ? และนั้นก็คือสิ่งที่ภาพยนตร์สารคดี The Hunting Ground จับมือพาเราลงไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา เสมือนเป็นอีกหนึ่งสักขีพยานต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคมมหาลัย

ประสบการณ์ที่ The Hunting Ground มอบให้กับผู้ชมนั้น เรียกได้ว่าจัดอยู่ในอันดับต้นๆของภาพยนตร์ประจำปี 2015 เลยทีเดียว มันช่างทรงพลัง และตราตรึงตั้งแต่ต้นจนจบเสียจริงๆ



ผู้กำกับ เคอร์บี้ ดิค เรียกได้ว่าถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม น่าติดตามจริงๆ การเล่าเรื่องของเขาไม่ซับซ้อนมากจนเกินไป วางเรื่อง ปมประเด็นปัญหา ดึงตัวเราให้เข้าไปติดตามเนื้อหาในภาพยนตร์ได้อย่างทันทีทันใด สอดแทรกตัวเลขสถิติด้วยซีจีต่างๆได้ตระการตาไม่รู้สึกน่าเบื่อหรือยัดเยียดมากเกินไป ถึงแม้จังหวะในช่วงท้ายเรื่องดูจะหลุดๆและเปลี่ยนอารมณ์กระทันหันไปหน่อย ซึ่งส่งผลทำให้อารมณ์ร่วมของผู้ชมในช่วงบทสรุปลดลงไปบ้าง

จะว่าไปแล้ว ในด้านของความสดใหม่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็นำเสนอมุมมองของสังคมซึ่งเราไม่เคยคาดคิดมาก่อนอยู่พอสมควร เรียกได้ว่าตกใจยิ่งกว่าสไปดี้โผล่มาในตัวอย่าง Captain America: Civil War เสียอีก โดยไม่ได้พูดถึงเพียงแค่เรื่องราวของเหยื่อ และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพวกเขา แต่ยังลงไปสำรวจถึงต้นตอ และสาเหตุหลากหลายประการที่ทำให้ปัญหาอันร้ายแรงนี้ยังคงมีให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง ลากยาวไปจนถึงคนมีชื่อเสียงในอเมริกา กลายเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่ใครๆเขาก็ทำกัน 



เฉกเช่น ท่าทีของมหาลัยในประเด็นที่นักศึกษาของพวกเขาถูกข่มขืน ซึ่งหลายคนคงเชื่อว่าพวกเขาจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและปกป้องเหยืออย่างแน่นอน ในขณะที่ความเป็นจริง นอกจากที่พวกเขาจะเพิกเฉย ไม่ทำอะไรเลยแล้ว มหาลัยยังเห็นถึงผลประโยชน์ของตนเองเหนือกว่าชีวิตนักศึกษา แถมมหาลัยที่ว่าเหล่านี้ ก็ไม่ใช่มหาลัยบ้านนอกที่ไหน แต่เป็นชื่อที่รู้จักกันดี เช่น ฮาร์วาร์ด หรือเยล นี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนมุมมองจากความคิดที่ว่า มหาวิทยาลัยคือบ้านหลังที่สอง คือแหล่งที่ปลอดภัยพ่อแม่ผู้ปกครองไว้ใจได้ ให้กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งอันตรายไม่แตกต่างไปจากทางถนนในซอยเปลี่ยว 

อย่างไรก็ตาม คงจะดีกว่านี้ถ้าหากกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์มีความหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่นได้เห็นมุมมอง ความคิดเห็นจากฝั่งผู้กระทำหรือเหยื่อที่เป็นเพศชายมากขึ้น เพื่อให้เราได้มองเห็นประเด็นได้อย่างถ่องแท้ รอบด้าน



สุดท้ายแล้ว The Hunting Ground ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการร่วมมือร่วมใจ และยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือของสังคม เพื่อหยุดวงจรอันแสนเลวร้ายนี้ให้จบลงไปเสียที ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องธรรมดาสำหรับใครหลายคน แต่ก็เสมือนเพลงประกอบภาพยนตร์ Till it happen to you ซึ่งส่งนักร้องชื่อดัง เลดี้ ก้าก้า เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีที่ผ่านมา คุณไม่มีทางเข้าใจความเจ็บปวดที่พวกเขาได้รับหรอก จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวคุณ

Final Score : [ 8.5 / 10 ]