วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

The Room (2012) Game Review

The Room Game Review



"ด้วยปริศนาอันท้าทาย กราฟฟิคอันสวยงามและการเล่าเรื่องอันน่าสนใจ ทำให้The Room กลายเป็นเกมมือถือที่จะทำให้คุณติดหนึบกันจนวางไม่ลงอย่างแน่นอน"

Name: The Room
Platform: Android / iOS / PC
Rating: E

The Room เป็นเกมแนวแก้ไขปริศนาของทาง Fireproof ซึ่งลงให้กับเครื่องมือถือ Android,  iOS และแน่นอนว่า PC โดยมีราคาประมาณ 30 บาทเท่านั้น

The Room เป็นเกมค่อนข้างจะน่าสนใจทีเดียวด้วยแนวการเล่นซึ่งค่อนข้างจะเป็นเกมแก้ไขปริศนาแบบเต็มตัวแท้ๆ โดยในเกมเราจะละลายเวลาไปกับการแก้ไขปริศนาต่างๆมากมายเช่น หากุญแจ หาชิ้นส่วนของที่หายไป จนกระทั่งต่อชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งปริศนาส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างจะท้าทายและชวนให้คิดอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญก็คือตัวเกมไม่ช่วยเหลือเรามากเกินไปจนหมดสนุก ถ้าหากบางปริศนายากเกินไปตัวเกมก็ยังมีตัวช่วยบอกใบ้ให้ตลอดเวลาจึงไม่ต้องกลัวว่าตัวเกมจะยากเกินไป

นอกจากนั้นแล้วในทางด้านภาพกราฟิกต่างๆ ตัวเกม The Room ก็จัดว่าสวยงามมากเลยทีเดียวทั้งๆที่ผู้เขียนเล่นบนโทรศัพท์ Android แถม ตัวเกมก็ไม่ได้กินเนื้อที่มากมายประมาณ 250MB เท่านั้น ยังได้กลิ่นอายและอารมณ์ของเกมปริศนาอย่างแท้จริงอีกด้วยไม่ว่าจะจากแนวการเล่น การจัดแสง และวิธีการเล่าเรื่องซึ่งโดดเด่นมากๆ

ในท้ายที่สุด The Room ก็เป็นเกมอีกหนึ่งเกมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ด้วยแนวการเล่นไขปริศนาอันท้าทาย ภาพกราฟฟิกอันสวยงาม และวิธีการเล่าเรื่องอันน่าสนใจ นี้เป็นเกมที่รับประกันเลยว่าจะทำให้คุณติดหนึบวางกันไม่ลงเลยทีเดียว

Final Score: [ A ] & Must Play Badge

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Dragon Age : Inquisition ( 2014 ) Game Review

Game Review




"ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Dragon Age : Inquisition คือหนึ่งในสุดยอดเกม RPG แห่งปีนี้อย่างแท้จริง"


ชื่อ : Dragon Age : Inquisition ( 2014 )
ประเภท : Action RPG  / Open World
ผู้พัฒนา : Bioware
ลงให้กับเครื่อง : PC / PS3 / PS4 / Xbox360 / XboxOne
เรท : Mature 



                        Dragon Age : Inquisition เรียกได้ว่าเป็นเกมในปี 2014 ที่มีแฟนๆทั่วโลกรอคอยและตั้งความหวังมากที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียวเชียว ถึงแม้จะต้องสารภาพว่า นี้เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผู้เขียนกับเกม Dragon Age เลย แต่ก็เคยได้ยินชื่อเกมนี้มาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในภาคแรก Dragon Age : Origins ในปี 2009 ที่ยอดเยี่ยมจนกล่าวขานกันมาถึงทุกวันนี้


แต่พอภาคต่อมา Dragon Age II ในปี 2011 ตัวเกมก็กลับทำให้แฟนๆเกมผิดหวังอย่างร้ายแรงในหลายๆด้าน จนแฟนเกมหลายคนถึงกับเซ็งเป็ดกันไปตามๆกัน ซึ่งคาดว่าเพราะเหตุนี้เอง ทางผู้พัฒนา Bioware จึงใช้เวลาถึง 3 ปี ในการสร้างเกม Dragon Age : Inquistion นี้ออกมา เพราะแน่นอนว่าทางผู้พัฒนาเองก็คงไม่อยากจะให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกเป็นแน่แท้




    ต้องขอบอกก่อนเลยว่าท่านใดก็ตามที่ไม่เคยเล่นเกม Dragon Age มาก่อนเลยแบบผู้เขียน ก่อนที่จะแตะเกมนี้ แนะนำให้ไปหาอ่านบทความเนื้อเรื่อง คำอธิบายต่างๆในโลก Dragon Age มาก่อนเลย เพราะถ้าหากท่านไม่อ่านมาก่อนแล้วล่ะก็ คงจะงงกันเป็นไก่ตาแตกแน่ๆเวลาเล่นในเกมว่า The Chantry คืออะไร Circle of Magi คืออะไร แต่ละเผ่าพันธุ์ในเกมมีอะไรบ้าง Danish Elf คืออะไร และที่สำคัญเลยก็คือต้นเหตุแห่งความขัดแย้งต่างๆในเกม จะอ่านเรื่องราวของสองภาคที่แล้วหรือไปหาเกมมาเล่นเลยด้วยยิ่งดี ซึ่งทาง Bioware ก็ได้สร้างเว็ปไซต์ Dragonagekeep ขึ้นมาให้ผู้เล่นใหม่ชมเนื้อเรื่องย่อๆตั้งแต่ภาคแรกซึ่งทำมาเป็นแบบวิดีโอและถือว่าดีทีเดียว ส่วนผู้เล่นเก่าท่านใดที่เริ่มลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว จะกลับไปรับชมก็ไม่ว่ากัน แถมยังสามารถโอนเซฟจากภาคที่แล้วเข้ามาในเกมภาคใหม่นี้ได้ด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อสถานะโลกของภาคนี้พอสมควรเลยทีเดียว ในขณะที่ผู้เล่นใหม่ก็จะได้การปรับแต่งที่ผู้สร้างเกมให้มาแล้วไปแทนหรือจะปรับเองจาก Dragonagekeep เลยก็ได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามแค่ดูวิดีโอมันยังไม่พอจริงๆ ผู้เขียนแนะนำว่ายังไงก็ต้องไปหาอ่านคำศัพท์ต่างๆครับ อีกอย่างคือ Dragon Age เป็นเกมที่ค่อนข้างจะอาศัยภาษาอังกฤษระดับหนึ่งพอสมควร เพราะนี้เป็นเกมที่ต้องอาศัยการตัดสินใจสูง ถ้าหากท่านไม่เข้าใจว่าหลายๆอย่างแปลว่าอะไร แล้วกดมั่วซั่วคงจะไม่ดีแน่นอน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดจะเล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยซะทีเดียว


คราวนี้ถึงเวลามาพูดถึงเรื่องเนื้อเรื่องของ Dragon Age : Inquisition กันบ้าง ต้องพูดก่อนเลยว่าการดำเนินเรื่องส่วนใหญ่ค่อนข้างจะเป็นเส้นตรงและเดาได้ไม่ยากซักเท่าไรนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ตัวเกมน่าสนใจน้อยลงเลย ด้วยความที่ตัวเกมค่อนข้างจะเปิดเรื่องราวและแนวทางอื่นๆเอาไว้เยอะ กว้างและน่าสนใจมาก ตัวเกมเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆมากมายที่ชวนให้คิดอยู่ตลอดเวลา ในด้านหนึ่งก็สะท้อนถึงโลกที่เราๆอยู่กันได้เป็นอย่างดีทีเดียว เช่นเรื่องราวของศาสนา ความเชื่อ ความขัดแย้งของเชื้อชาติหรือเผ่าพันธ์ต่างๆ รวมถึงการเมืองอันดุเดือดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกนำเสนอออกมาในทั้งด้านที่ดีและด้านไม่ดีอยู่บ่อยครั้ง แถมในบางครั้งเส้นแบ่งแยกนี้มันก็ช่างเบาบางจนเรียกได้ว่าทำเอาแยกไม่ออกว่าตกลงอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ เช่นความขัดแย้งระหว่างเมจกับเทมพลาที่ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งที่อยู่ในทุกภาคของ Dragon Age เรื่อยมา ในด้านหนึ่งตัวผู้เขียนก็เห็นใจเมจ แต่กลับกันก็ไม่อาจพูดว่าสิ่งที่เทมพลาทำนั้นผิด เป็นต้น 





Dragon Age : Inquisition เป็นเกมที่หลายๆครั้งบังคับให้ท่านตัดสินใจเลือก โดยเฉพาะในเนื้อเรื่องที่มักจะเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก ในหลายครั้งคุณอาจจะตัดสินใจได้ไม่ยาก แต่ในบางครั้ง ผู้เขียนก็พบว่าตัวเลือกทุกตัวเลือกมันก็เลวร้ายพอๆกัน แต่คุณจำเป็นจะต้องเลือก แถมมันยังส่งผลต่อตัวเนื้อเรื่องคุณต่อจากนี้ไปอีกด้วย เพราะฉะนั้นจงเลือกให้ดี มิเช่นนั้นท่านอาจจะมาเสียใจภายหลัง



ที่น่าประทับใจสำหรับตัวผู้เขียนเลย ก็คือตัวเกมค่อนข้างให้ความรู้สึกเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตลอดเวลา อย่างเช่นเมื่อเรากระทำการอะไรที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นจับคู่กับตัวละครอื่น , เล่นเนื้อเรื่องสำคัญต่างๆ แม้กระทั่งเผ่าพันธุ์ที่คุณเลือกเล่น ตัวละครรอบข้างของเราก็จะพูดถึงเรื่องนั้นและเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นกัน แถมถ้าหากคุณไปไล่คุยกับตัวละครอื่นๆในเกมนอกจากคุณจะได้ฟังถึงเบื้องหลังที่มาที่ไปของพวกเขาแล้ว คุณยังได้ฟังความคิดของเขาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกด้วย ซึ่งมันให้ความรู้สึกว่าตัวเกมเคลื่อนที่ไปพร้อมๆกับเรา





อีกหนึ่งระบบของ Dragon Age ที่สำคัญมากๆเลยก็คือ ตัวละครเพื่อนร่วมทีมของเรา นอกจากตัวละครเหล่านี้จะสามารถช่วยเหลือเราต่อสู้ในเกมได้แล้ว แทบจะทุกตัวละครยังถูกเขียนออกมาได้ดีอีกด้วย แต่ละตัวละครเต็มไปด้วย ความคิด ทัศนะคติและหลายๆสิ่งอย่างที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ จนเสมือนพวกเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่สำคัญก็คือการตัดสินใจหลายๆอย่างของเราจะส่งผลต่อพวกเขาด้วย เช่นถ้าหากคุณตัดสินใจอะไรไปที่ตัวละครบางตัวไม่เห็นด้วย พวกเขาก็อาจจะไม่พอใจคุณก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าในส่วนนี้มันอาจจะไม่ได้ส่งผลรุนแรงมากมายต่อตัวเกมซักเท่าไรนัก แต่มันก็เพิ่มความลึกและน่าสนใจให้ตัวเกมไม่ใช่น้อย




และแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงตัวละครใน Dragon Age ไม่ใช่แค่คุณสามารถพูดคุยหรือนำพวกเขามาเป็นเพื่อนร่วมทีมได้เท่านั้น แต่คุณยังสามารถมีความสัมพันธ์กับพวกเขาได้อีกด้วย หรือสิ่งที่ในเกมเรียกว่า "Romance" ซึ่งเป็นระบบที่โดดเด่นมากๆในเกมนี้ เรียกได้ว่าใครชอบตัวละครไหนก็จับจองกันได้เลย ตั้งแต่คู่ปกติ ยันสายเกย์ก็มีให้ท่านได้ไปกันเต็มที่เลยทีเดียว ที่สำคัญคือนี้เป็นระบบที่ตัวผู้พัฒนา Bioware ดูจะจริงจังเอามากๆ เพราะนี้ไม่ใช่แค่ระบบที่นำตัวละครมาวิ่งไปวิ่งมาช่วยเหลือคุณรอบข้าง แต่คุณยังจับคู่กับตัวละครที่คุณชื่นชอบและเพิ่มบทบาทตัวละครนั้นๆขึ้นมาอีกด้วย



สิ่งที่ผู้เขียนสารภาพเลยว่าถูกใจมากๆในเกม Dragon Age : Inquisition ก็คือทุกๆตัวละครในเกมมีเสียงพากษ์ทุกตัวละคร แม้กระทั่งตัวละครเควสเล็กๆทั่วไปก็ยังมีเสียงพากษ์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวเกมน่าสนใจขึ้นเยอะ ตัวรายละเอียดของภารกิจ เนื้อเรื่องต่างๆน่าสนใจขึ้น น่าฟังขึ้นอย่างมาก รวมถึงเสียงพากษ์ต่างๆก็ทำได้ค่อนข้างดีมากอีกด้วย ในขณะที่เกม RPG บางเกมยังคงใช้ขึ้นมาแต่ตัวอักษรซึ่งไม่น่าสนใจชวนอยากกดๆข้ามไปอยู่ตลอดเวลา


ที่สำคัญเลยก็คือบทพูดต่างๆก็ถูกเขียนมาได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย พอยิ่งผสมผสานเข้ากับตัวเกมที่เต็มไปด้วยตัวเลือกและทางเลือกต่างๆให้ตอบมากมาย ก็ยิ่งทำให้มันน่าสนใจและเพิ่มคุณค่าในการหยิบตัวเกมมาเล่นซ้ำแต่เลือกตัวเลือกใหม่ๆเข้าไปอีก  ถึงแม้ว่าในรอบแรกที่ผู้เขียนเล่นจะใช้เวลาไปถึง 50 ชั่วโมงโดยที่ไม่ได้รู้ตัวไปแล้วก็ตาม ทั้งๆที่ผู้เขียนข้ามภารกิจหรือเควสย่อยต่างๆมากมาย ยังไม่นับถึงแผนที่ต่างๆที่ยังสำรวจไม่ครบอีก เรียกได้ว่าเอาเข้าจริง Dragon Age : Inquisition เป็นเกมที่เล่นได้มากกว่า 100 ชั่วโมงดีไม่ดีจะมากกว่านั้นอีกด้วยซ้ำไป





มาถึงในหัวข้อที่เรียกได้ว่าสำคัญที่สุดในทุกๆเกม ก็คือเกมเพลย์ของตัวเกม 
Dragon Age : Inquisition โดยในเรื่องของอาชีพและคลาสต่างๆในเกมแบ่งคลาสออกเป็น 3 คลาส Rouge , Mage และ Warrior และแต่ละคลาสยังแยกย่อยออกมาเป็นอาชีพพิเศษอีกอย่างละ 3 อาชีพ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคลาส แต่ละอาชีพก็จะมีสกิล แนวการเล่นที่แตกต่างกันออกไป โดยเราสามารถเลือกคลาสได้อย่างอิสระในขณะที่ตัวละครอื่นๆในเกมจะเป็นคลาสที่ถูกกำหนดมาแล้ว และเราจะเลือกตัวละครไหนมาเป็นเพื่อนร่วมทีมเราก็ได้ คุณจะจัดทีม Mage ซัก 3 คนแล้ว Warrior เอาไว้แทงค์หนึ่งคนก็ไม่ว่ากัน ถึงกระนั้นก็ตาม สกิลต่างๆใน Dragon Age : Inquisition ส่วนตัวแล้วผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจเท่าไร โดยเฉพาะ Rouge ที่รู้สึกน่าเบื่อไม่ใช่น้อยแม้จะเพิ่มอาชีพพิเศษแล้วก็ตาม ในขณะที่ถ้าหากเปรียบเทียบกับ Magick Archer ในเกม Dragons Dogma ยังมีสกิลที่น่าสนใจและเท่ห์กว่าเยอะ 


นอกจากนั้นแล้วในตอนที่คุณต่อสู้ คุณสามารถสลับโหมดปกติไปสู่โหมด Tactical View ได้อีกด้วย ซึ่งทำให้เวลาในขณะนั้นหยุดลงทั้งหมดเพื่อให้คุณสั่งคำสั่ง A.I ให้ใช้สกิลต่างๆหรือเดินไปโจมตีศัตรูที่คุณต้องการอีกด้วย ซึ่งเป็นโหมดที่ดูเหมือนจะสำคัญมากๆสำหรับท่านใดที่อยากจะเล่นโหมด Nightmare ซึ่งยากสุดๆ และการให้ A.I ที่ไม่ค่อยจะฉลาดเท่าไรนักไปต่อสู้ด้วยตนเองคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก





สำหรับใน Dragon Age : Inquisition นอกจากตัวเนื้อเรื่องหลักแล้ว ตัวเกมค่อนข้างจะเปิดกว้างเป็น Open World อยู่พอสมควร โดยเราสามารถเข้าไปสำรวจแผนที่ต่างๆได้ ซึ่งภารกิจหลักในแต่ละแผนที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการตั้งแคมป์ที่ต่างๆ ช่วยเหลือชาวบ้าน และทำลายปีศาจทั้งหลาย เพื่อเพิ่มแต้มของคุณ ซึ่งคุณสามารถนำแต้มนี้เพื่อไปเปิดสู่เนื้อเรื่องขั้นต่อไป และเปิดแผนที่ใหม่ๆได้ด้วย ในส่วนของแต่ละแผนที่ก็ถือว่าออกแบบมาได้น่าสนใจดี ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ถึงขนาดน่าประทับใจนัก แต่บางแผนที่ลับก็ถือว่าโดนใจไม่ใช่น้อย อย่างเช่นผู้เขียนที่บังเอิญเดินไปเจอกับสถานที่ลับเข้าให้ แล้วสถานที่นั้นเวลาถูกหยุดลง ตัวละครที่กำลังสู้กันอย่างดุเดือดก็ถูกแช่ค้างเอาไว้ด้วยท่าทางต่างๆ มันเป็นอะไรที่เท่ห์และน่าจดจำมากเลยทีเดียว


และแน่นอนว่าเมื่อชื่อเกมบอกซะขนาดนี้ ผู้เล่นหลายๆท่านก็คงอยากที่จะลงไปฟาดฟันกับมังกรในเกมไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยมังกรในเกมนี้ที่ค่อนข้างจะเก่งกาจและต้องอาศัยหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในการสู้ โดยเฉพาะธาตุและการหลบท่าต่างๆของมัน ยิ่งท่านที่เล่นโหมด Nightmare ต้องยิ่งระวังเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นท่านอ
าจจะลงไปกองนอนกับพื้นก่อนที่จะได้ทำอะไร แต่ถ้าหากท่านเอาชนะมาได้ ก็จะได้รางวัลของดรอปต่างๆที่คุ้มค่าต่อการสู้เลยทีเดียว 


มังกร !!


ในส่วนของการคราฟหรือสร้างของต่างๆในเกม ก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว โดยไอเดียที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษก็คือ ตัวเกมจะไม่มีพวกถุงมือ หรือว่า ด้ามของอาวุธให้เก็บ แต่เราสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้และใส่ประกอบเข้าไปในชุดที่ดรอปให้จากหลายๆวิธีในเกม หรือจะสร้างเองเลยก็ได้ ซึ่งมันเป็นไอเดียที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียวแถมหน้าตาของชุดและอาวุธต่างๆยังเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราใส่ไปอีกด้วย


นอกจากนั้นแล้ว ไม่ทราบว่าทาง Bioware คิดอะไรเหมือนกันถึงใส่โหมด Multiplayer เข้ามาในเกม ซึ่งเอาเข้าจริงผู้เขียนก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่ชอบอะไรมากมายนัก แต่โหมด Multiplayer ใน Dragon Age : Inquisition ให้ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆอยู่พอสมควร ตั้งแต่หน้าปรับแต่งตัวละครยันในตัวเกมเองที่ให้ความรู้สึกถูกรีบเข็นออกมาโดยไม่ได้ใส่เวลาเท่าที่ควรลงไป เซิฟเวอร์ที่ค่อนข้างจะมีอาการกระตุกอยู่บ่อยครั้ง แถมยังมีการใส่ประเภทขายของด้วยเงินจริงในเกมเข้ามาอีก ซึ่งถือได้ว่าเป็นอะไรที่น่าผิดหวังอยู่บ้าง ผู้เขียนแทบจะไม่รู้สึกว่าอยากที่จะเล่นโหมดนี้ต่อไปเลย เพราะในส่วนของโหมดธรรมดาก็ถือว่าทำได้ดีกว่าเยอะมาก ยกเว้นท่านจะอยากเล่นกับเพื่อนๆก็ยังถือว่าเป็นโหมดที่พอรับได้


เอ่อ......


สำหรับกราฟฟิคในเกม Dragon Age : Inquisition ก็เรียกได้ว่าสวยงามมากๆเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแสง รายละเอียดของสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงรายละเอียดตัวละครต่างๆก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าประทับใจมากๆ ทั้งๆที่ผู้เขียนปรับ PC อยู่ในระดับเพียงปานกลางถึงต่ำ แต่ก็ยังสวยงามไม่มีที่ติเลยทีเดียว โดยเฉพาะหน้าตาและชุดต่างๆของตัวละครที่สวยงามอลังการงานสร้างสุดๆ


ช่าง...งดงาม



แต่... ในเวอร์ชั่นที่ผู้เขียนเล่นซึ่งก็คือ PC นั้น เรียกได้ว่าเปิดตัวมาค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ต้องบอกก่อนว่า PC ของผู้เขียนเสปคต่างๆถือได้ว่าค่อนข้างธรรมดาพอสมควร แต่ถึงแม้ว่าจะผ่านเสปคขั้นต่ำของตัวเกมก็ตาม นั้นก็ไม่ได้ทำให้บัคทั้งหลายในเกมหายไปเลย


 Dragon Age : Inquisition เป็นเกมที่เปิดมามีบัคหรือปัญหาต่างๆอยู่มากมาย อย่างเช่น เดินๆอยู่ตัวละครก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้, ตัวละครเดินบนอากาศ , เวลาใช้แต้มสกิลหลายๆแต้มพร้อมกันจะทำให้ตัวเกมค้าง , การโหลด Texture ที่ช้า , เฟรมเรทในฉากคัดซีนที่ไม่รู้ทำไมตกลงมาเหลือ 30 fps , คอมพิวเตอร์ A.I ที่มักจะชอบเดินติดกำแพงอยู่บ่อยๆ แถมการปรับค่า A.I ก็ดูจะไม่ช่วยอะไรเท่าไรนัก , กดไปห้อง War Room ทำให้เกมค้าง ไปจนถึงเกมที่อยู่ดีๆก็ค้างตอนหน้าจอเมนูหลักเกือบพาเอาเล่นไม่ได้ ที่่สำคัญเลยก็คือเวลาโหลดระหว่างข้ามแผนที่ต่างๆของตัวเกมที่ดูเหมือนจะใช้เวลาอันยาวนานเหลือเกิน ถ้าคิดจากเวลาที่ผู้เขียนเล่นในเกม ซึ่งก็คือ 50 ชั่วโมง ผู้เขียนแน่ใจว่าอย่างน้อยก็ต้องเกือบๆ 30 นาทีหรือมากกว่าที่ใช้เวลาไปกับการนั่งดูฉากโหลดเกม แถมฉากโหลดเกมนี้ดันยังมีสองฉากอีก ฉากแรกก็คือฉากปกติซึ่งจะมีทริคหรือว่าข้อมูลในเกมให้เราอ่านฆ่าเวลา แต่พอโหลดไปได้ซักพักอยู่ดีๆตัวเกมก็ตัดสินใจจะตัดไปฉากจอมืดเฉยซึ่งก็เข้าไปนั่งรอโหลดเหมือนกัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงจะต้องโหลดถึงสองฉาก แล้วฉากจอมืดนี้มีมาเพื่ออะไรกันแน่



คาถานินจาวิชาลอยตัวกลางอากาศ


 ผู้เขียนไม่ทราบว่าเวอร์ชั่นอื่นๆอย่าง PS4 หรือ Xbox One มีปัญหาเช่นนี้หรือไม่ แต่แน่นอนว่าสำหรับบนเวอร์ชั่น PC เรียกได้ว่าตัว Bioware ค่อนข้างจะหลุดเรื่องบัคออกมาเยอะพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งปัญหาเหล่านี้อยากให้ผู้อ่านทุกท่านทราบไว้ว่า อาจจะเกิดเฉพาะกับเครื่องผู้เขียนอย่างเดียวก็เป็นได้ ถือว่าโชคดีที่ทาง Bioware เพิ่งจะปล่อยแพชแก้ไขออกมาเพียงไม่กี่วันนี้ ซึ่งคงจะแก้ปัญหาไปได้ส่วนหนึ่ง


ถ้าหากจะมีข้อเสียอีกซักข้อหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกเกี่ยวกับ Dragon Age : Inquisition ก็คือช่วงตอนจบของมัน ที่ให้ความรู้สึกรีบเร่งไปนิดหน่อย แต่ที่สำคัญเลยก็คือตัวหน้าบอสสุดท้ายที่น่าผิดหวังสุดๆ เอาเข้าจริงมันไม่ให้ความรู้สึกเหมือนบอสหัวหน้าใหญ่ตัวสุดท้ายของเกมเลย เหมือนแค่ศัตรูทั่วๆไปที่เลือดเยอะขึ้นมาหน่อย ในขณะที่มังกรในเกมต่างๆยังให้ความท้าทายที่มากกว่าเสียอีก จึงเป็นอะไรที่น่าผิดหวังเหมือนกัน 


ยังดีที่บทสรุปของเกมถือว่าจัดการได้ดีมาก ในขณะที่จบลงอย่างสวยงาม ด้วยการจบที่ขึ้นอยู่กับตัวเลือกต่างๆในเกมที่คุณได้กระทำลงไป แต่ก็ทิ้งท้ายอะไรเอาไว้โดยไม่เป็นการขายภาคต่อหรือ Expansion ต่อไปมากจนเกินไป ซึ่งตัว Bioware ถือว่าจัดการบทสรุปออกมาได้ลงตัวมาก น่าเสียดายถ้าหากช่วงตอนจบเกมกับบอสหัวหน้าใหญ่ของเกม มันท้าทายและน่าจดจำกว่านี้ ก็คงจะดี




แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ด้วยเนื้อเรื่องอันน่าสนใจน่าติดตาม ระบบต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น การออกแบบตัวละครที่ดี เสียงพากษ์อันยอดเยี่ยม ภาพและกราฟฟิคอันน่าประทับใจ รวมถึงโลกของ Dragon Age ที่ให้ความรู้สึกเคลื่อนที่กับเราไปอยู่ตลอดเวลา ทำให้ Dragon Age : Inquisition เป็นอีกหนึ่งเกม RPG แห่งปี 2014 โดยไม่ต้องสงสัยเลย

Final Score : [ A ] & [ Must Play Badge ] 

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Exodus : Gods and Kings ( 2014 ) Movie Review

Exodus : Gods and Kings ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz




"Exodus : Gods and Kings เป็นภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวของพระเจ้ามาตีความได้อย่างน่าสนใจ แต่การเล่าเรื่องของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าเบื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

 นอกเหนือจากตัวนักแสดงนำหลักอย่างคริสเตียน เบลล์และด้านเอฟเฟคตระการตางานสร้างแล้ว ดูเหมือนว่าอีกหนึ่งจุดขายหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือตัวผู้กำกับมากประสบการณ์ ริดลีย์ สก็อตต์ จากผลงานการกำกับสุดโด่งดังมากมาย เช่น Alien ( 1979 ) , Blade Runner ( 1982 ) , Gladiator ( 2000 ) Hannibal ( 2001 ) , Body of Lies ( 2008 ) จนถึงผลงานอย่าง Prometheus ( 2012 )   ถึงกระนั้นก็ตาม ผลงานเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง The Counselor ( 2013 ) ก็ผิดหวังแฟนหลายคนไปตามๆกัน จนทำให้ผู้เขียนรู้สึกเป็นกังวลต่อผลงานเรื่องใหม่เรื่องนี้ของเขาไม่ใช่น้อย


Exodus : Gods And Kings เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของโมเสส ท่ามกลางภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นและความโหดร้ายของฟาโรห์รามเสส เขาจึงต้องนำพากลุ่มทาสให้หนีรอดจากภัยอันตรายนี้ให้จงได้




สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ก็คือการตีความของตัวผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์เอง ถึงแม้ว่านี้จะเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงพระเจ้าอยู่มาก แต่ตัวริดลีย์ สก็อตต์เองกลับเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้า ซึ่งมันทำให้การตีความต่างๆของเขาในภาพยนตร์น่าสนใจและแปลกใหม่มากเลยทีเดียว เช่นการนำเสนอแง่มุมของผู้ไม่เชื่อในศาสนาแต่กลับต้องอยู่ในสังคมที่พึ่งพาศาสนา การเสียดสีความเชื่ออันงมงาย และโดยเฉพาะการนำเสนอภาพลักษณ์ของพระเจ้า ที่ในแง่มุมหนึ่งก็คือผู้มาโปรดและผู้ช่วยเหลือ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งผู้เขียนก็แทบจะไม่สามารถอธิบายถึงความถูกต้องในการกระทำของพระเจ้าที่แทบจะไม่ต่างอะไรกับตัวร้ายของเรื่องเลยทีเดียว


สำหรับในด้านนักแสดง จะว่าไปแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้นักแสดงชื่อดังมากมายมาร่วมงานพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น เบน คิงสลีย์ , แอรอน พอล แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานเก่าของริดลีย์ สก็อตต์อย่าง ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ ก็ยังมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย ซึ่งนักแสดงแต่ละท่านยังแสดงไม่โดดเด่นซักเท่าไรนัก ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากบทบาทที่น้อยด้วย 
แต่นักแสดงสำคัญที่สุดของเรื่องก็คงจะหนีไม่พ้นผู้รับบทสองพี่น้องตัวละครหลักในภาพยนตร์อย่าง โจล เอ็ดเกอร์ทอน กับ คริสเตียน เบล ในส่วนของ โจล เอ็ดเกอร์ทอนเองผู้เขียนยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนักกับการแสดงของเขา แต่ในส่วนคริสเตียน เบล เขาก็ยังคงแสดงผลงานและทุ่มเทกับบทบาทที่รับได้ดีเช่นเคย 


ช่างน่าเสียดายที่ Exodus : Gods and Kings มีปัญหาที่ดูเหมือนจะร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งนั้นก็คือการเล่าเรื่องของตัวริดลีย์ สก็อตต์เอง ถึงแม้ว่าตัวผู้เขียนจะค่อนข้างเคารพผู้กำกับท่านนี้อยู่มาก แต่ก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่าการเล่าเรื่องของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ เรียกได้ว่าน่าเบื่อเอาการเลยทีเดียว ด้วยการเล่าเรื่องที่ให้อารมณ์ความรู้สึกเสมือนเหนื่อย แห้งแล้งและหมดแรงแต่ต้องพยายามเข็นให้มันผ่านไปให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงแรกจนถึงกลางเรื่อง ซึ่งการที่ตัวภาพยนตร์ดันมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 20 นาทีก็ยิ่งผนวกความทรมาณในการรับชมเข้าไปอีก 


และด้วยการเล่าเรื่องอันหมดแรงนี้แหละ มันก็ไปกระทบส่วนอื่นๆของภาพยนตร์จนแทบจะล้มครืนอย่างกับโดมิโนไปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฉากบีบคั้นอารมณ์ต่างๆ ปมขัดแย้ง และโดยเฉพาะตัวละครต่างๆที่ถูกเล่าออกมาด้วยความเร่งรีบและไร้พลัง ซึ่งพาเอาตัวละครเหล่านี้เบาหวิว ไร้มิติจนหมดความน่าสนใจไปในที่สุดซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายอยู่ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะความสัมพันธ์และความขัดแย้งของสองตัวละครหลัก โมเสสกับรามเสสที่มีด้านอันน่าสนใจ แต่ตัวภาพยนตร์กลับไม่มีเวลาที่จะมานั่งให้รายละเอียดได้มากพอ  ถึงแม้ว่าจะมีการแสดงที่ดีของคริสเตียน เบลที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ก็ช่วยได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น



ยังดีที่ในด้านของเอฟเฟคและซีจีต่างๆยังถือว่าทำได้ดี โดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่องที่ค่อนข้างจะเต็มไปด้วยฉากหายนะวินาศต่างๆนาๆที่ทำให้ตัวภาพยนตร์กลับมาน่าดูชมอีกครั้งด้วยซีจีอลังการสมกับทุนสร้าง 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งพอที่จะปลุกผู้เขียนขึ้นมาจากสภาวะเกือบหลับได้อยู่บ้าง


ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าที่การเล่าเรื่องของตัวริดลีย์ สก็อตต์เป็นเช่นนี้ จะมาจากสาเหตุที่ว่าเรื่องราวของโมเสสกับรามเสสมันยิ่งใหญ่และยาวมากๆแต่กลับต้องถูกยัดให้จบภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที มันเลยเป็นการบีบคั้นมือของตัวริดลีย์ สก็อตต์ จนทำให้ต้องเล่าเรื่องอย่างรวดเร็วเพื่อให้ภาพยนตร์จบลงทันเวลา ถ้าหากภาพยนตร์ตัดสินใจที่จะตัดแบ่งออกมามากกว่าหนึ่งเรื่องเต็มๆ ตัวริดลีย์ สก็อตต์เองก็น่าจะมีเวลาในการสำรวจตัวละคร รวมถึงปูเรื่องราวต่างๆได้ดีกว่านี้ และไม่แน่ว่ามันอาจจะไม่ประสบชะตากรรมอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้ แต่แน่นอนว่านี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาของผู้เขียนเท่านั้น



สุดท้ายแล้ว Exodus : Gods and Kings ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวของพระเจ้ามาตีความได้อย่างน่าสนใจ แต่การเล่าเรื่องของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าเบื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะพยายามใส่ฉากหายนะต่างๆเข้ามาเพื่อฉุดตัวภาพยนตร์ขึ้นมาซักเท่าไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกอันแสนทรมาณในช่วงต้นเรื่องถึงกลางเรื่องเลยแม้แต่น้อย

Final Score : [ C + ]

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Big Hero 6 ( 2014 ) Movie Review

Big Hero 6 ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"ด้วยการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกากับวัฒนธรรมญี่ปุ่นและความเป็นอนิเมชั่นของดิสนีย์ทำให้ Big Hero 6 เป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ดาษๆทั่วไป"


Big Hero 6 เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดจากค่ายดิสนีย์ ซึ่งปีที่แล้วได้สร้างชื่อเสียงกลับมาโด่งดังอีกครั้งจากผลงานอย่าง Frozen ที่พาเอาใครหลายๆคนร้องเพลง Let It Go กันไปอีกนาน แถมเร็วๆนี้ก็จะมีการปล่อยเวอร์ชั่น Sing-Along ร้องเพลงตามตัวละครกันให้สมใจในโรงภาพยนตร์อีกด้วย งานนี้ค่ายดิสนีย์หวังที่จะประทับใจผู้ชมอีกครั้งด้วยภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องใหม่เรื่องนี้ของพวกเขา


Big Hero 6 ว่าด้วยเรื่องราวของฮิโระเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งผูกพันธ์กับหุ่นยนตร์ที่มีชื่อว่าเบย์แม็กซ์ แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้น จนทำให้เขาต้องรวมตัวกับเพื่อนๆและสร้างอุปกรณ์ต่างๆเพื่อกอบกู้โลกใบนี้




ต้องพูดเลยว่าในตอนแรก ส่วนตัวก็ไม่คาดคิดว่า Big Hero 6 จะเป็นภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่แบบจริงๆจังๆซักเท่าไรนัก อาจจะเพราะด้วยผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง Frozen ของดิสนีย์ที่ประสบความสำเร็จมากๆ จนคิดว่าผลงานเรื่องต่อมาก็น่าจะคล้ายๆกัน 




แต่พอสำรวจจริงๆแล้วกลับพบว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่นำเอารูปแบบของซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกา กับ วัฒนธรรมญี่ปุ่น มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะออกไปทางฝั่งอเมริกาเสียมากเนื่องจากว่าเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด แต่การผสมผสานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดแน่นอน เพราะมันมักจะแอบซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่งในตัวภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่อยู่กันเป็นกลุ่ม สีเสื้อผ้าที่ใช้ เมืองที่ตั้งชื่อว่าซานฟรานโตเกียว จนกระทั่งตัวละครร้ายที่ใส่หน้ากากคาบูกิแถมยังมีท่าทางการต่อสู้อย่างกับหลุดมาจากนารูโตะ






ที่น่าตลกขบขันเข้าไปอีกก็คือในด้านซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกาของมันนั้น มีความเป็นมาร์เวลคอมิกซ์ค่อนข้างจะสูงมาก ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยจะน่าแปลกใจซักเท่าไรนัก เพราะมาร์เวลตอนนี้เองก็คือส่วนหนึ่งของดิสนีย์ ยิ่งโดยเฉพาะการมาของตัวละครสุดดังอย่างแสตน ลี ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นมาร์เวลในตัวภาพยนตร์เข้าไปอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว


ถึงกระนั้นก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่ Big Hero 6 ดูเหมือนว่าพอนำเอารูปแบบของภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวมันก็ไม่สามารถจะหลุดพ้นไปจากวังวนแห่งความจำเจและซ้ำซากของบทภาพยนตร์ไปได้ซักเท่าไรนักเลย ถึงแม้ว่ามันจะผสมผสานวัฒนธรรมใหม่ๆเข้าไป แต่สุดท้ายแล้วบทของมันก็ยังคงเล่าและพูดถึงแต่เรื่องเดิมซ้ำๆซากๆ การดำเนินเรื่องที่เดิมๆ บทสรุป เหตุและผลของเรื่องที่ยังคงไม่มีอะไรใหม่สำหรับภาพยนตร์ประเภทนี้เลย ซึ่งปัญหาชนิดนี้ดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของภาพยนตร์ประเภทนี้ไปเสียแล้ว 




ถือได้ว่ายังโชคดีที่ตัวมันได้ความโดดเด่นจากด้านเทคนิคภาพยนตร์อนิเมชั่นซึ่งเป็นของถนัดของดิสนีย์เข้ามาช่วยโอบอุ้มเอาไว้บ้าง เช่นการเคลื่อนไหวของตัวละครและสิ่งต่างๆที่ยังคงลื่นไหลไม่มีที่ติ การออกแบบตัวละครที่น่าสนใจ หรืออารมณ์ความอบอุ่นของครอบครัวก็ช่วยส่งเสริมทำให้ตัวภาพยนตร์มีสีสันมากกว่าที่มันควรจะเป็นอยู่พอสมควร


น่าแปลกใจไม่ใช่น้อยที่เมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ผู้เขียนกลับพบว่าตัวเองประทับใจกับอนิเมชั่นสั้นๆเรื่อง "Feast" ที่ฉายตอนก่อนจะเข้าตัวภาพยนตร์ Big Hero 6 เสียมากกว่าตัว Big Hero 6 เองเสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม Big Hero 6 ก็ยังเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ทำได้ไม่เลวอีกครั้งของดิสนีย์ ด้วยการผสมผสานวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และเทคนิคทางด้านอนิเมชั่นที่ยังคงยอดเยี่ยม แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหากสิ่งเหล่านี้มันไม่ถูกฉุดลงมาด้วยบทภาพยนตร์อันซ้ำซากเสมือนวังวนอันไม่มีที่สิ้นสุดของภาพยนตร์ประเภทนี้

Final Score :  B +