วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

45 Years ( 2015 ) Movie Review


45 Years ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"น้ำนิ่งไหลลึก"

  45 Years เป็นภาพยนตร์ที่หลังจากได้ชมแล้ว แทบจะสรรหาคำอะไรมาบรรยายได้ยากลำบากเหลือเกิน ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่รู้จะพูดอะไร แต่เพราะมันหาคำมาอธิบายสิ่งที่ได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยคำเพียงไม่กี่คำได้ลำบากเหลือเกิน แต่ถ้าหากจะบรรยายสรรพคุณของภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ ก็คงจะต้องเปรียบเทียบภาพยนตร์ 45 Years กับสุภาษิตไทย 'น้ำนิ่งไหลลึก' อย่างแน่นอน

ซึ่งสาเหตุที่เลือกสุภาษิตนี้มาใช้ ก็เป็นเนื่องมาจากหลากหลายส่วนของภาพยนตร์ที่มีอารมณ์ค่อนข้างราบเรียบ ตั้งแต่วิธีการเล่าเรื่อง วิธีการวางตัวละคร บทภาพยนตร์ หรือกระทั่งการแสดงที่ไม่โหวกเหวกโวยวายแบบภาพยนตร์ดราม่าหลายเรื่อง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยอารมณ์อันอัดแน่นอย่างตึงเครียดยิ่งกว่าภาพยนตร์เขย่าขวัญเสียอีก ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่สอดแทรกความเป็นสืบสวนสอบสวน สร้างความเป็น Mystery ได้อย่างแยบยล ที่น่าทึ่งก็ตรงจุดที่เราพบว่าความอยากรู้อยากเห็นของตัวเรานั้นไม่ได้น้อยไปกว่าตัวละครหลักเลย



สิ่งที่น่าทึ่งคือความตึงเครียดเหล่านี้นั้นค่อยๆถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆในขณะที่เนื้อเรื่องดำเนินไปโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว จากต้นเรื่องที่ดูแสนธรรมดา นำมาสู่บทสรุปที่แหลกสลาย จมกองเลือดอย่างไม่รู้ตัว จุดนี้ส่วนหนึ่งก็ต้องขอยกความดีความชอบให้กับผู้กำกับ แอนดรูว์ เฮจ จริงๆ

แต่อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยเป็นอันขาด ก็คือนักแสดงนำอย่าง ชาร์ล็อต แรมปลิง ผู้รับบทตัวละครเอก เคท ถึงแม้ว่าการแสดงของ ทอม คอร์ทนีย์ จะยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่อาจจะเทียบการแสดงของชาร์ล็อตชนิดที่ไร้ที่ติได้เลย หลายต่อหลายฉากที่เธอไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา แต่สีหน้า สายตา และท่าทางของเธอ เป็นตัวเล่าถึงความคิดและสภาวะของตัวละครเธอได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดเวลา โดยเฉพาะจุด Climax ฉากจบของเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่สามารถจะหาคำอะไรมาอธิบายได้ แต่มันเป็นอารมณ์ที่ขึ้นจุดสูงสุดอย่างหาที่เปรียบได้ยากเหลือเกิน ไม่ใช่แค่เป็นฉากจบที่ลงตัว ฉลาด แต่ยังเป็นฉากที่เชื่อว่าใครหลายคนถ้าหากได้ชมคงจะลืมได้ยากนัก



45 Years เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงความสัมพันธ์ ความรักของคนสองคนได้อย่างเจ็บปวดเป็นที่สุด นี้เป็นภาพยนตร์ที่เชื่อเลยว่าจะทำให้ผู้ชมหลายต่อหลายคนหันกลับมาตั้งคำถามถึงความรักของตนเองอย่างหวาดระแวง โดยเฉพาะการตอกย้ำว่าเวลาไม่ได้มีค่าหรือมีความหมายอะไรเลย ถ้าหากเราไม่ใช่คนที่ 'ใช่' อย่างแท้จริง เสมือนการแฝงกับระเบิดเอาไว้ในจิตใจผู้ชมอย่างที่เราไม่รู้ตัว ท่ามกลางการเล่าเรื่องที่เงียบสงัดของภาพยนตร์

ถึงแม้ว่าภายนอกของ 45 Years นั้นจะดูเป็นภาพยนตร์ดราม่า ชีวิตผู้สูงอายุทั่วๆไป ที่วัยรุ่นเข้าถึงได้ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นี้เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงสิ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงและเข้าใจได้อย่างไม่ยากนัก ที่ยอดเยี่ยมคือมันใช้พลังศิลปะของ 'ภาพยนตร์' อย่างเต็มที่ ด้วยภาพและการแสดง โดยปราศจากคำพูด หรือความพยายามในการให้มันยิ่งใหญ่ โอเวอร์มากจนเกินไป



ด้วยภายนอกที่ผิวเผินดูจะแสนธรรมดาเหล่านี้นั้นเองที่สอดแทรกและสะท้อนเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดชนิดที่ทิ่มแทงลงไปในส่วนลึกจิตใจของเราอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการแสดงของ ชาร์ล็อต แรมปลิง ที่ไม่ว่าใครที่ได้ชมก็ต้องยอมศิโรราบให้อย่างไม่มีข้อแม้

Final Score: [ 9 / 10 ]

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

Spotlight (2015) Movie Review


Spotlight ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"เงามืดในแสงสว่าง"


ใกล้งานประกาศรางวัลใหญ่ๆอย่างออสการ์กันเข้ามาทุกที แน่นอนว่าก็ต้องถึงเวลาที่เราจะได้นึกถึงภาพยนตร์ที่เราได้ชมมามากมายในปี 2558 นี้ ไม่ว่าจะ แย่ ธรรมดา หรือดีเยี่ยม และนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่บ้านเรามักจะมีภาพยนตร์ระดับคุณภาพที่เป็นตัวเต็งรางวัลสาขาต่างๆเข้าฉายเสมอๆ เฉกเช่น The Hateful Eight, The Dress Maker, The Danish Girl หรือ The Revenant แต่ภาพยนตร์ที่ดูเหมือนจะเข้าตากรรมการปีนี้ และอาจจะกลายเป็นตัวเต็งรางวัลอันทรงเกียรติอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี ดูจะหนีไม่พ้น Spotlight ภาพยนตร์ทริลเลอร์/ดราม่า ที่พูดถึงประเด็นอันเข้มข้นเรื่องนี้

Spotlight ว่าด้วยเรื่องราวของทีมสปอตไลต์ทีมนักข่าวเก่งกาจที่ลงไปสืบสวนประเด็นที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับศาสนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่ามกลางความกดดันจากทุกหนแห่ง พวกเขาจะสามารถค้นพบความจริงได้หรือไม่



ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Spotlight เป็นภาพยนตร์ที่เมื่อมองในมุมของความเป็นภาพยนตร์แล้ว ก็ดูจะหาที่ติได้ยากเหลือเกิน ไม่ใช่แค่ในด้านของเนื้อหาแต่ในด้านของเทคนิคหรือการแสดงเช่นเดียวกัน

นี้เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความระทึกขวัญ เคร่งเครียด สมจริงตลอดเวลา ถึงแม้ว่าการกำกับจะยังไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก และทั้งๆที่ตัวภาพยนตร์ยาวกว่า 2 ชั่วโมง 8 นาที แถมเต็มไปด้วยฉากสนทนา นั่งอ่านซับไตเติ้ลกันแทบจะตลอดเวลา


แต่สิ่งที่โดดเด่นขึ้นมา จนทำให้ Spotlight มาถึงจุดนี้ได้จริงๆก็คือบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมของมันนี้เอง นอกจากที่จะเล่าเรื่องราวตัวละครแต่ละตัวในทีมสปอตไลท์ สะท้อนถึงมุมมองในสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำอยู่ได้น่าสนใจแล้ว ยังนำเสนอ ท้าทายและตั้งคำถามกับประเด็นอันหนักหน่วงได้อย่างน่าติดตามอย่างเช่น ศาสนา ความเชื่อ และศีลธรรม ชนิดที่กัดไม่ปล่อย แถมยังซ้อนเรื่องราวไปมาและชวนให้ผู้ชมครุ่นคิด แม้ตัวภาพยนตร์จะจบลงไปแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่บทสรุปของมันยังไม่กระแทกและกระตุ้นผู้ชมมากพอที่จะทำให้รู้สึกว่าอยากที่จะออกไปเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างจริงจัง

อีกส่วนหนึ่งที่ดีเยี่ยมหาติได้ยากก็คือทีมนักแสดงหลักทุกคนซึ่งก็ต่างรับบทได้ดีเยี่ยม แต่คนที่ดูจะโดดเด่นขึ้นมากว่าชาวบ้านเขาก็คงจะเป็น มาร์ก รัฟฟาโล่ ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากตัวละครที่ รัฟฟาโล่ รับถูกตัวบทดันมากกว่าตัวอื่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าการแสดงของเขานั้นดึงตัวละครเขาให้น่าสนใจขึ้นมาจริง


Spotlight เป็นอีกหนึ่งผลงานของยุคนี้ที่พิสูจน์ว่าเราได้ก้าวเข้ามาสู่ยุคที่คนเริ่มตั้งคำถามกับความเชื่อ ความดี/ชั่ว ศีลธรรม และโดยเฉพาะประเด็นที่หนักมากอย่างศาสนามากขึ้นทุกวัน ถึงแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง และยังคงเป็นสิ่งที่ทรงอิทธิพลในทั่วทุกมุมโลก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ตอกย้ำว่า การที่พวกเขายังคงมีตัวตนอยู่อย่างแจ่มชัดนี้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปราศจากมลทินหรือสามารถที่จะกระทำทุกสรรพสิ่งได้โดยที่ไม่ต้องรับผลที่ตามมาในภายหลัง ซึ่งเป็นหน้าที่ของสื่อที่จะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้และเป็นกระบอกเสียง ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมในจุดนี้เสมือนแสงสปอตไลท์ที่สาดส่องเข้าไปในความมืดนั้นเอง


Final Score : [ 8 / 10 ]

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

The Hateful Eight ( 2015 ) Movie Review


The Hateful Eight ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"สมาคมโฉดชั่ว"

  เควนติน ทารันติโน่ เชื่อว่าสำหรับคอหนังทุกคนคงจะคุ้นชื่อนี้กันเป็นอย่างดี เพราะนอกจากเขาจะเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือมากที่สุดคนหนึ่งแห่งวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดแล้ว เขายังเป็นคนที่สร้างผลงานระดับคุณภาพมากมายเป็นเอกลักษณ์ จนกลายเป็นผู้กำกับที่หลายต่อหลายคนชื่นชอบ ตั้งแต่ Reservoir Dogs ในปี 1992 มาจนถึงผลงานล่าสุดอย่าง Django: Unchained ในปี 2012

The Hateful Eight เป็นผลงานการกำกับลำดับที่แปดของเควนติน ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของนักล่าค่าหัวซึ่งพบว่าเขาต้องมาอาศัยอยู่ในกระท่อมแห่งหนึ่งท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าซึ่งมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนเอาไว้....

ผลงานลำดับที่แปดของเควนติน ทารันติโน่ สุดท้ายแล้วก็ยังคงโดดเด่นและสุดโต่งสมกับเป็นเควนตินเช่นเคย ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้น่าจดจำหรือคมคายเท่ากับผลงานเรื่องก่อนๆก็ตาม



เควนติน ยังคงพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มีความคิดและมุมมองหลากหลายจนกระทั่งเกือบจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางภาพยนตร์ที่นำเอาประเภทหรือ Genre ของภาพยนตร์ต่างๆมาผสมผสานกันอย่างลงตัวน่าสนใจ

The Hateful Eight เป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานระหว่างประเภทคาวบอย Western เข้ากับภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนแนว "ใครเป็นคนทำ" แซมๆกึ่งทดลอง ได้อย่างน่าติดตาม ผลที่ออกมาคืออารมณ์อันแสนดิบ เถื่อน โคตรโหด แต่แฝงไปด้วยปริศนาอันน่าค้นหา โดยเฉพาะในช่วงกลางถึงท้ายเรื่องที่เข้มข้นชนิดที่นั่งกันไม่ติดเบาะ

อย่างไรก็ตามนั้นก็ดูจะเป็นเสมือนดาบสองคมที่ย้อนสอนกลับมาทำร้ายตัวมันเอง ในขณะที่ The Hateful Eight โดดเด่นในด้านของความดิบ เถื่อน น่าค้นหา ความที่ตัวเควนตินพยายามจะผสมผสานสิ่งต่างๆมากจนเกินไปนี้เองก็ทำให้มันได้สูญเสียความเป็นเอกภาพในตัวมันไป เสมือนศิลปินที่มัวแต่วุ่นอยู่กับของเล่นกับตนเองมากจนเกินไป



ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือการที่เขาพยายามจะซุกซ่อนจุดหักมุม หรือพยายามหยิบนู้น จับนี้ ดัดแปลงนั้นมากเกินไป ทั้งที่เมื่อเปิดเผยออกมาแล้วก็ไม่ได้น่าตกใจหรือแปลกใหม่อะไร และเอาเข้าจริงจุดเด่นที่แท้จริงของภาพยนตร์เควนตินก็คือความแดกดันของมันชนิดที่ไม่แคร์ใครต่างหาก เฉกเช่น Django: Unchained ซึ่งก็ไม่ได้มีเรื่องราววุ่นวายอะไรมากมายไปกว่าเป็นภาพยนตร์ล้างแค้นแบบถึงลูกถึงคนของคนผิวสี

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เนื้อหาของ The Hateful Eight ก็ยังคงน่าสนใจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก นี้ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงผลของการประกาศเลิกทาสของประธานาธิปดี อับราฮัม ลินคอล์น ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดของสังคมที่พุ่งสูงยิ่งกว่าปรอทแตก คนขาวที่ไม่อาจจะยอมรับคนผิวสี และคนผิวสีที่ไม่มีวันยอมกลับไปตกเป็นเบื้องล่างอีก



ที่น่าชื่นชมจริงๆ ก็คือตัวเควนตินที่ดึงผู้ชมออกมาจากตัวภาพยนตร์ด้วยความโหดร้ายและความ "โฉดชั่ว" ของเหล่าตัวละครทั้งแปด ทำให้เราได้มองเห็นถึงธาตุแท้ของตัวละครเหล่านี้จนค้นพบว่า สุดท้ายแล้วไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ผิวสีใด สัญชาติไหน มีฐานะใด พวกเขาก็ต่างเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะทำเลวทรามต่ำช้าไม่ต่างกัน การเข่นฆ่า ปาดคอใครเพื่อความซะใจ กับความยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ห่างไกลกันเพียงเส้นด้ายบางๆเท่านั้น หากแต่ว่าเส้นด้ายอันเบาบางนั้นเอง อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถบ่งบอกถึงความแตกต่างของมนุษย์ผู้ชั่วช้าเหล่านี้

Final Score : [ 8 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

The Peanuts Movie ( 2015 ) Movie Review



The Peanuts Movie ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"เพลิดเพลินไปกับสนูปี้"

   ช่วงเวลานี้ไม่ว่าผลงานที่โด่งดังในรูปแบบใดต่างก็ถูกนำเอามาทำเป็นภาพยนตร์เสียกันหมด ตั้งแต่หนังสือนวนิยาย นิทาน ยันไปถึงการ์ตูนชื่อดังต่างๆนาๆ ซึ่งเชื่อเลยว่าหลายๆคนก็น่าจะเคยได้ยินหรือกระทั่งเคยเห็นตัวการ์ตูนอย่างเจ้าสนูปี้และเด็กชายชาร์ลี บราวน์ กันมาบ้างไม่มากก็น้อย

ถึงแม้ว่าหลายส่วนของ The Peanuts Movie จะค่อนข้างเดิมๆและคาดเดาได้ง่าย แต่เป็นที่น่าชื่นชมว่านั้นก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่บันเทิงน้อยลงเลย ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ

สิ่งแรกที่ต้องยอมแพ้ให้จริงๆก็คือเจ้าตัวละครอย่างสนูปี้ ที่ช่างเป็นตัวละครที่โดดเด่น แสบ แต่ก็น่ารัก น่าติดตามมากเสียจริงๆเลย ไม่ว่าเขาจะรับบทเป็นตัวประกอบในเรื่องราวของชาร์ลี หรือตัวเอกสุดเท่ห์ในเรื่องของเขาเอง นี้ก็เป็นตัวละครที่โดดเด่น น่าจดจำมากที่สุดในภาพยนตร์เสมอ ดูเหมือนว่าตัวละครนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมาให้กับผู้ชมได้เสมอๆ



แต่แน่นอนว่าตัวละครอย่างสนูปี้ก็คงไม่สามารถจะโลดแล่นและผจญภัยได้อย่างเต็มที่ ถ้าหากขาดการกำกับอันน่าทึ่งของผู้กำกับ สตีฟ มาร์ติโน่ ไป

ซึ่งนอกจากเขาจะดึงจุดเด่นของ The Peanuts จากฉบับการ์ตูนมาสู่ภาพยนตร์ได้แล้ว การเล่าเรื่องของเขาก็ลื่นไหล สนุก น่าติดตาม ใช้เรื่องราวคู่ขนานมาส่งเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างชาญฉลาด ถึงแม้จะต้องยอมรับว่าเรื่องราวการผจญภัยของสนูปี้ สนุก อลังการและน่าจดจำมากกว่าก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าถ้าหากนี้กลายเป็นภาพยนตร์ของสนูปี้เพียงตัวคนเดียว ก็คงไม่น่าประทับใจเท่านี้

จะว่าไปแล้วอีกสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คงจะหนีไม่พ้นการเปรียบเทียบความรักของมนุษย์กับสงครามที่ต้องฝ่าฟันอย่างยากลำบาก แน่นอนว่าการพูดถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจนนำไปสู่การสอดแทรกความภูมิใจในการได้เป็นอเมริกันก็เป็นอะไรที่น่าครุ่นคิดมิใช่น้อย



สุดท้ายแล้ว The Peanuts Movie ก็เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ไม่ว่าใครๆก็สามารถจะสนุกไปด้วยได้ไม่ยาก ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตามของ สตีฟ มาร์ติโน่ และเจ้าสนูปี้สุดแสบที่เชื่อว่าไม่ว่าใครๆก็ต้องหัวเราะและหลงรักมันไปตามๆกัน

Final Score : [ 7 / 10 ]