วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Snitch ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
ภาพยนตร์ใหม่ของ เดอะ ร็อค ที่อาจจะช็อคโลก !? (อย่างน้อยก็ช็อคผมแหละ)





Movie Name : Snitch ( 2013 ) , Drama / Thriller / Action
Director : Ric Roman Waugh ( Felon )
Stars : Dwayne Johnson " The Rock " ( Fast Five ) , Jon Bernthal ( The Walking Dead TV-Series ) , Susan Sarandon ( Thelma & Louise )
Rating :  PG-13 




REVIEW THAI

Snitch นี้อะเปล่าหว่า ??? เห้ย !! ผิดเรื่องแล้ว !! 


                                                                      ภาพยนตร์เรื่อง Snitch นั้น นอกจากโปสเตอร์ที่สุดแสนจะน่าอนาจ อย่างกับหนังเกรดบีที่พร้อมจะส่งลง DVD ทุกเมื่อแล้ว ยังได้ดารานำอย่าง The Rock มานำแสดงซึ่งถ้าใครติดตามผลงานด้านภาพยนตร์ของเขาล่ะก็ ก็คงทราบดีว่า ตัวเขาเองไม่ค่อยจะมีผลงานที่ดีซักเท่าไร นอกจากหนังอย่าง Fast Five ที่ผ่านมา งานที่เหลือส่วนใหญ่ก็มักจะ พอโอเค พอดูได้ ไม่ดี ไม่แย่ ซะมากกว่า ก็เลยทำให้ผมอดเป็นห่วงไปไม่ได้ว่า หนังจะไปรอดไหมนี้ (ยิ่งโปสเตอร์โคตรฟ้อง) ยิ่งส่วนตัวยังเข็ดกับหนัง Journey 2 ของพี่แกหมาดๆ ที่ผมเพิ่งจะแจก(ยัดใส่มือ) ภาพยนตร์สุดห่วยแห่งปี 2012 ไปหมาดๆ 



แต่ ตัวหนังมันเริ่มชักจะน่าสนใจมากขึ้น ไม่ใช่เพราะจาก เนื้อเรื่อง ไม่ใช่เพราะว่า The Rock ได้แชมป์ WWE (ขออภัยที่สปอยบางท่าน 55+) แต่เพราะ มันดันมีนักแสดงที่ชื่อ Jon Bernthal เข้ามานี้สิ หลายๆคนคงอาจจะคุ้นๆชื่อนี้ดี ใช่แล้วครับ เขาคือ Shane จาก ซีรียส์วอลค์เกอร์สุดสยอง The Walking Dead นั้นเอง ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า การแสดงของเขาใน The Walking Dead นั้นเรียกได้ว่า น่าสนใจมากๆ ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างบ้า The Walking Dead เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ (สรุปไปดู Jon ไม่ได้ไปดู The Rock จบ)



ภาพยนตร์เรื่อง Snitch นั้น ได้ตัวผู้กำกับอย่าง Ric Roman Waugh มาเป็นผู้กำกับ ซึ่งตัวเขานั้น เป็น Stunt มาก่อน ซึ่งหลายๆคนอาจจะกลัวๆว่า เห้ยหนังมันจะตูมตาม ไร้สาระอีกไหมนี้ ซึ่งต้องขอบอกได้เลยครับว่า ฝีมือของผู้กำกับท่านนี้ไม่ธรรมดา จากภาพยนตร์  เรื่อง Felon ที่ได้คะแนนถึง 7.5 ใน IMDB เลยทีเดียว เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาแน่นอน



อย่างแรกเลยทีผมต้องขอชมจริงๆของ Snitch คือ บทภาพยนตร์ ที่เอาเข้าจริงถ้าดูโดยรวมๆมันก็ไม่ค่อยจะแตกต่างจากหนังแอ๊คชั่นทั่วๆไปเท่าไร แต่การนำเสนอของมัน มันช่างดู ละเอียดสุดๆ มันมีขั้นตอนเรื่อยๆ จากแรกๆที่เหมือนจะเป็นหนังกากๆเกรด B ทั่วๆไป ซักพัก คุณจะเริ่มรู้ตัวว่า นี้ไม่ใช่หนังธรรมดาอีกต่อไป อย่างแรกเลยก็คือ ตัวเรื่อง มีเนื้อเรื่อง หรือ Plot ซ้อนกัน ถึง 2 ชิ้น คือ เนื้อเรื่องหลักของ The Rock และ เนื้อเรื่องรอง ของ Jon ซึ่งหนังแอ๊คชั่นปกติ มักจะมีแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้มีหลายๆ Plot ก็มักจะไม่ใส่ใจเท่าไรนัก แต่ใน Snitch ทั้ง Plot หลัก ก็ช่างน่าสนใจ ยิ่ง Plot รองยิ่งน่าสนใจ เพราะ ตัวหนังให้ความสำคัญกับแต่ละตัวละครค่อนข้างมาก แถมตัวละครก็มีนิสัย และ ความคิด รวมถึงจุดยืน ที่แตกต่างกันอีกด้วย แต่ละคน มีเรื่องของตัวเอง มีจุดที่ตัวเองไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง มีจุดที่ตัวเองไม่มีวันที่จะเข้าใจอีกฝ่าย และ ทุกคนต่างหาผลประโยชน์เข้าตัวเองทั้งนั้น ซึ่งมันสร้างมิติ ให้หนังเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งในจุดนี้ หนังแอ๊คชั่นปกติ คุณเลิกหวังได้เลยว่ามันจะมี ไม่แน่ใจว่าที่บทดีขนาดนี้ เพราะ ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงด้วยรึเปล่า แต่อย่างที่เรารู้ๆกัน ต่อให้บทต้นแบบ มันดีแค่ไหน ถ้าคุณถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้ ก็ห่วยอยู่ดี



อย่างที่สองที่ผมต้องขอชมเชยเลยก็คือ ในตอนแรกผมกลัวว่ามันจะกลายเป็นหนัง ยิงตูมตาม ระเบิด เละเทะ แบบไร้สมอง คล้ายๆกับใน A Good Day To Die Hard แต่ไม่เลย ตัวหนังกลับช่างดูสมจริงสุดๆ แม้กระทั่งฉาก ยิงกัน ก็ค่อนข้างจะดูสมจริง พระเอกของเราถูกยิงได้ และ แพ้เป็น ไม่ใช่ แบบ Die Hard ภาคล่าสุดที่ทั้งเรื่องยังไม่เห็นจะโดนยิงซักกะนัด ซึ่งมันก็ยิ่งเพิ่มความมีชีวิตในตัวหนังเข้าไปอีก ทำให้เรารู้สึกว่านี้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ


อย่างที่สามก็คือ การแสดงของ Jon Bernthal ที่เรียกได้ว่า Casting มาได้ถูกคนจริงๆ ไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญหรืออย่างไร เพราะ บทของเขาในเรื่อง Snitch กับ The Walking Dead  มีบางจุดที่เรียกได้ว่าคล้ายกันสุดๆ แถมจุดๆนั้นเขายังทำได้ดีมากๆอีกด้วย การแสดงของเขา มันช่างดู สมจริง จริงๆ เอาเข้าจริง Jon แสดงดีกว่า The Rock หลายขุมนัก



อย่างที่สี่ก็คือ การสร้างสถานการณ์ต่างๆ ในหนัง มันช่างทำได้ดีจริงๆ ดูสมจริง ทั้งยังตื่นเต้น และ น่าติดตามอีกต่างหาก ที่สำคัญ คือ ในทุกๆเหตุการณ์ มันมีเหตุผลในตัวของมันเองเสมอๆ ไม่ใช่แบบ หนัง แอ๊คชั่นทั่วไป เหตุผล ? เหตุผลคืออะไยหยอ ? 


อย่างที่ห้าคือ ทีม Casting ที่คิดว่า แคสมาได้ดีจริงๆ แต่ละคน รวมถึง The Rock ไม่ใช่แค่จะเอาใครมาก็ได้ มาเล่น แต่ในทุกๆตัวละคร นั้นต้องการบุคลิก หลายๆอย่างที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งตัวหนังก็เลือกมาได้เรียกได้ว่า แทบจะเพอร์เฟ็คสุดๆ



แต่....มีอยู่สองจุดในหนัง ที่ผมคิดว่า ค่อนข้างจะน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน อย่างแรกเลยก็คือ การแสดงของ The Rock ที่เรียกได้ว่ายังไปไม่ถึงไหน การแสดงอารมณ์ในฉากต่างๆของเขา ยังดูแข็งทื่อ ไม่ได้พาคนดูไปด้วยเลย มันทำให้ตัวหนังถูกฉุด ไปในทันที ในหลายๆฉาก ที่ อีกตัวละคร ก็อุส่าห์ ส่งไม้ให้อย่างดีแล้ว แต่ The Rock ก็ยังคงทำมันล้มเหลวอยู่ดี
อย่างที่สองก็คือ ตัวหนังพยายามอย่างมาก ที่จะสมจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งมันก็ค่อนข้างสมจริงก็จริง แต่มีหลายๆจุดในหนังที่ค่อนข้างจะไร้เหตุผลไปซักหน่อย แต่ เอาเถอะ ถ้ามันมีเหตุผลไปซะหมด คงกลายเป็นหนังสารคดีชัวร์ๆ



Snitch เป็นภาพยนตร์ที่ภายนอกดูช่างเป็นหนังเกรด B สุดๆ ยิ่งมีหน้า The Rock แปะอยู่บนโปสเตอร์ ยิ่งทำให้เรากลัวเหลือเกิน ว่ามันจะห่วย แต่พอเอาเข้าจริง ตัวหนังกลับมีคุณภาพมากมายกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็น บทที่เรียกได้ว่าน่าสนใจ ดูสมจริงสุดๆ การให้ความสำคัญกับตัวละคร และ การให้ความสำคัญกับ ความสมจริง มากกว่า ความมันส์ รวมถึง มิติของตัวละครต่างๆ ที่โดดเด่นมากๆ ในเรื่อง ทำให้ Snitch เป็นภาพยนตร์ Action อีกเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่า ไม่ได้ห่วยแบบที่คาดไว้ และ อยากจะบอกว่า มันดีกว่า A Good Day to Die Hard หลายเท่านัก !



The Best Quote from " Snitch ( 2013 ) " 


" I will get you out of here , you have to trust me " - John




Final Score : [ B+ ] and [ I Did Not See It Coming Badge ] 




Thank You to : Snitch ( 2013 ) , IMDB for information

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Beautiful Creatures ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
ภาพยนตร์ชุดใหม่ที่จะมาแทน Twilight ??? ( รึเปล่า )





Movie Name : Beautiful Creatures ( 2013 ) , Romance / Fantasy / Drama
Director :  Richard LaGravenese ( P.S. I Love You ) also Screenplay
Stars :  Jeremy Irons ( Margin Calls ) , Alden Ehrenreich ( Tetro ) , Alice Englert ( Ginger & Rosa ) , Emmy Rossum ( The Phantom of The Opera )
Rating :  PG - 13






REVIEW THAI



                                                                 Beautiful Creatures เป็นภาพยนตร์แนวรัก โรแมนติก ผสม แฟนตาซี อีกเรื่องหนึ่งของ Summit ที่เราๆจะรู้จักผลงานของค่ายนี้ดีจาก Twilight Trilogy ที่เพิ่งจะจบไปเมื่อปีที่ผ่านมาหมาดๆ สดๆร้อนๆ Beautiful Creatures เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องนึงที่มีต้นฉบับมาจาก หนังสือ เช่นเดียวกับ Twilight ซึ่งมีด้วยกันถึง 4 เล่มเลยทีเดียวคือ
Beautiful Creatures - Beautiful Darkness - Beautiful Chaos และ Beautiful Redemption เล่มจบที่เพิ่งจะออกมาสดๆร้อนๆ เมื่อ ตุลาคม 2012 ที่ผ่านมานี้เอง !! โอ้ว มันช่างเป็นอะไรที่บังเอิญ (รึเปล่า ?) เช่นนี้




ซึ่งก็คงคาดได้ไม่ยาก ว่านี้ก็คงเป็นภาพยนตร์ชุดใหม่ของ Summit ที่มาแทน Twilight แหงมๆ ซึ่งก่อนอื่นผมต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า ส่วนตัวคิดว่า Twilight Trilogy นั้นไม่ได้แย่ขนาดนั้น มันก็คือหนังรัก สงครามรัก แต่ คนหลายๆคนชอบนึกว่ามันเป็นหนังวัยรุ่นชาย ระเบิดตูมตาม อลังการ ฟันแขนขาด แบบ Transformers ซึ่งมันแทบจะคนละแนวเลย จึงอยากให้หลายๆท่านเปิดใจรับซักนิดนึง แต่ต้องขอบอกก่อนเลยครับว่า Beautiful Creatures นั้นไม่ใช่ภาพยนตร์ ที่จะรักเลิฟซีนกันมากจนเกินไป และดูง้องแง้งเล็กน้อย แบบ Twilight แน่นอน มันจะดูผู้ใหญ่กว่า ดาร์คกว่า จริงจังกว่า มาก ไม่ได้เน้นไปที่ความรักมากจนเกินไป จนน่ารำคาญแบบ Twilight  



Beautiful Creatures นั้นได้ตัวผู้กำกับอย่าง Richard LaGravenese จาก P.S. I Love you มาเป็นผู้คุมทุกๆอย่างในหนัง รวมถึงเขียนบทภาพยนตร์ด้วยอีกต่างหาก ซึ่งเขาคนนี้ นั้น ค่อนข้างที่จะผ่านหนังรักมาเยอะพอสมควร แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า เขาเคยกำกับหนังเพียง 5 เรื่องเท่านั้น ก่อนที่จะมากำกับเรื่องนี้ แถมแต่ละเรื่องก็ไม่ค่อยจะเวิรค์ซักเท่าไร ซึ่งนี้ก็อาจจะทำให้เป็นปัญหาได้ สำหรับ Trilogy ที่ดูน่าสนใจแบบนี้ 





Beautiful Creatures เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักระหว่าง Ethan  กับ Lena ซึ่ง Lena นั้นเป็น Caster หรือจะให้พูดแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ แม่มด นั้นแหละ ซึ่งในเวลาอันใกล้นี้เธอจะอายุ 16 ปีพอดี ซึ่งเธอจะต้องถูกเลือก ว่าจะไปอยู่ฝ่าย แสงสว่าง หรือ ความมืด  พลังของเธอนั้นแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ และ เธออาจจะเป็น Caster ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยก็เป็นได้ ซึ่งชะตาของโลกใบนี้ อาจจะขึ้นอยู่กับเธอ ???



Beautiful Creatures  เป็นภาพยนตร์รัก แฟนตาซี เรื่องแรกของ Summit ที่ต้องขอพูดเลยว่า อย่างน้อยพวกเขาก็เริ่มเข้าใจคนดู "บ้าง" ย้่ำว่าบ้าง ก็เพราะ ตัวหนังไม่ได้เน้น ความรักมากมายจนแทบอยากจะเอียนตาย เหมือน Twilight Trilogy แต่ก็ยังคงอยู่ในสเกลที่เรียกได้ว่า เยอะ เกินไปนิดหน่อยอยู่ดี ซึ่งอาจจะถูกใจแฟนๆหนังสือ หรือ คุณผู้หญิงทั้งหลาย แต่ถ้าผู้ชายทั่วๆไปก็คงอาจจะพาเบื่อได้   สิ่งหนึ่งเลยที่ผมคิดว่าเป็นจุดแข็งที่สุดของภาพยนตร์เลยก็คือ บท เดิม ที่เรียกได้ว่ามันช่างดูยิ่งใหญ่ อลังการ มากกว่า Twilight หลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นคำพูดต่างๆในหนัง เพราะมันมีเรื่องของ แสงสว่าง และ ความมืด หรือ ความดี และ ความชั่วเข้ามาอยู่ในเรื่อง อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ การแสดงอันทรงพลังของ Jeremy Irons รึเปล่า ที่ไม่รู้ทำไมเวลา ฉากไหนมีเขาคนนี้ยืนอยู่ทีไร มันดูอย่างกับ หนังอลังการงานสร้างทุกที เพราะ การแสดงของเขา มันช่างดูจริงจัง ตราตรึงสุดๆ ซึ่งขอบอกตามตรงว่าตอนผมดูเรื่อง Margin Calls ของแก ก็รู้อยู่แล้วหล่ะว่าแกมีออร่าแบบนี้อยู่ แต่ พอมาเรื่องนี้ เหมือนบทที่เขาได้รับค่อนข้างจะเข้าทางสุดๆ จนออร่ามัน เกือบจะบังนางเอก พระเอก มิดซะแทน


พูดถึงการเลือก แสงสว่าง และ ความมืด นั้น ต้องขอชมว่า ตัวหนังจบภาคนี้ได้ แบบไม่เป็นในเทพนิยาย จนเกินไป แต่จบได้อย่างพอดี ไม่เวอร์เทพนิยายกรีก ปยอ. เกินไป รวมถึง ไม่ใช่แบบหักหลังคนดูไปเลย (ถึงตรงนี้หลายๆคนดีไม่ดีคงจะเดาตอนจบออก - - ) ซึ่งหนังรักส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่แบบนั้น มักจะจบแบบ Happy Ending สุดเบื่อหน่ายไปเลย แบบ Twilight Trilogy (ซึ่งน่าเสียดายในภาคสุดท้ายที่ตอนจบมันก็ดีของมันอยู่แล้ว ดันเป็นอีกแบบ....) 
มาพูดถึง CG กันบ้าง หลายๆท่านก็คงหวังว่ามันจะปล่อยพลังตูมตามอลังการ เลิกหวังได้เลยครับ .... ตัวหนังมันก็มีบ้างอะนะ แต่น้อย ไม่เยอะอะไรมากมาย แต่ผมกลับคิดว่า มันพอดีแล้ว สำหรับ หนังรัก นี้ไม่ใช่หนังแฟนตาซี ระเบิดพลังนะครับ ถ้าระเบิดกันทั้งเรื่อง ก็คงกลายเป็น I Am Number Four เวอร์ชั่นใหม่แน่ (ว่าแล้ว ภาคต่อตูละะะะ!!!! ) 



อีกจุดหนึ่งเลยที่ผมอยากจะชมก็คือ การที่ตัวหนังนั้นไม่ได้มีอะไรที่ตูมตาม หรือ อะไรก็ตามที่จะทำให้คุณไม่อยากจะลุกจากที่นั่ง แต่ คุณก็ยังรู้สึก โอเค ที่จะดูมัน แบบไม่เบื่อหน่ายเท่าไรนัก ซึ่งสาเหตุหลักๆก็มาจาก เนื้อเรื่องของหนัง ที่น่าสนใจสุดๆ คุณอยากจะรู้ว่า มันจะจบอย่างไร ? และที่สำคัญ ใครที่ดูตัวอย่างมาก่อน ก็คงใจจดใจจ่อกับ จุดไคลแมกซ์ สุดๆ และคุณคงจะจินตนาการ ว่ามันจะตูมตามแบบซะใจ ซะที หลังจากกั๊กมาทั้งเรื่อง แบบผม !! 




แต่.... ที่ไหนได้ ฉากไคลแมกซ์เป็นอะไรที่น่าผิดหวังอย่างรุนแรง ช่างธรรมดา ง่าย และ ออกแนว งบตูหมดแล้วจบซะทีเถอะ สุดๆ ซึ่งมันทำให้หนังทั้งเรื่องแทบจะไร้ความหมาย บทที่น่าสนใจ การแสดงที่สุดยอด ไร้ความหมายไปทันที....  ซึ่งปัญหานี้มักจะเป็นปัญหาที่เราจะมักจะพบกับหนังแนวๆนี้เสมอๆ  และมันก็ไม่น่าให้อภัยสุดๆ ยิ่งถ้าเป็นภาพยนตร์ที่มี ภาคต่อ จ่ออยู่อีก 3 ภาคแล้วล่ะก็ ยิ่งน่าผิดหวังเข้าไปอีก ส่วนตัวผมคิดว่า ต่อให้ภาพยนตร์ของคุณจะดีเท่าไรก็ตามในช่วงแรกๆ แต่ถ้าหากตอนจบคุณไม่สามารถที่จะตรึงคนดูไว้กับภาพยนตร์ได้ หรือ รู้สึกแทบจะทนรอ ที่จะดูภาคต่อไม่ได้ ยังไงมันก็ไม่เวิรค์.... เพราะ ต่อให้ฝืนมีภาคต่อออกมา คนก็จะคิดว่า ภาคต่อไปก็คงจบกากๆแบบนี้อีก ถ้าให้พูด ภาพยนตร์อย่าง I Am Number Four ที่มีภาคต่อ จ่ออยู่ถึง อีก สองภาค นั้นก็คือ Power of Six และ The Rise of Nine ถึงแม้ตั้งแต่ต้นยันเกือบจบเรื่อง ไม่ค่อยจะเวิรค์เท่าไร แต่ฉากไคลแมกซ์ มันเป็นอะไรที่ช่างสุดยอด มันส์สุดๆ จนผมแทบจะอดทนที่จะดูภาคต่อไม่ได้ (ซึ่งมันก็คงไม่เกิดขึ้น ม่ายยยยยยย!! ) แต่จุดแข็งนี้กลับไม่เกิดขึ้นกับ Beautiful Creatures นี้สิ....



อีกปัญหาหนึ่งเลยที่ทำให้ Beautiful Creatures ไม่ค่อยที่จะเวิรค์ซักเท่าไร นั้นก็คือ ฝีมือของตัว ผู้กำกับเอง ที่ต้องขอยอมรับว่า ในด้านควบคุมไม่ให้มันมากเกินไป ค่อนข้าง โอเคแล้ว แต่ฉาก ต่อสู้ ต่างๆ พลังต่างๆ มันดูแทบจะไร้แรงสุดๆ ดูหยั่งกะพลังไร้สาระอะไรก็ไม่รู้ แถมไม่ได้สร้างสรรค์เอาซะเลย อย่าง I Am Number Four ตัวหลักอย่าง หมายเลข 4 เขายังมีพลังจากมือ และ หมายเลข 6 และอื่นๆก็มีพลังอื่นๆแตกต่างกันออกไป ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะทราบว่า หมายเลข 5  7 8 9 โดยเฉพาะ 9 มันจะมีพลังอลังการอะไร !! แล้วถ้าทุกคนมารวมตัวกันสู้ มันจะ สุดยอดขนาดไหน !!  แต่ใน Beautiful Creatures พลังมันแทบจะมองไม่ออกว่าสรุปทำอะไรได้กันแน่ หรือ สรุปคือมันไม่มีข้อจำกัด ? ยิ่งถ้าเป็นแบบหลังยิ่งน่าผิดหวังเข้าไปอีก เพราะ พลังในหนัง มันช่างดูอ่อนแรงเสียเหลือเกิน ไม่ได้ใส่ความคิดอะไรลงไปเลย มันทำให้จุดที่น่าสนใจอีกจุดของหนัง ไร้ความหมายไปในทันที อันนี้ไม่ทราบว่า ตัวบท Original ของหนังสือเป็นอย่างไร แต่ ในฉบับภาพยนตร์ มันไม่เวิรค์จริงๆ ก็เข้าใจว่าตัวหนังนั้น มีงบประมาณเพียงแค่ 50 - 60 ล้านเหรียญ สหรัฐ จะให้สร้างแบบอลังการงานสร้าง อย่าง Twilight ก็คงไม่ไหว ( Twilight Trilogy มีงบประมาณราวๆ 100 ล้าน ขึ้นไป ) แต่เอ็งเหมือนทำเป็นนัยๆว่านี้คือ ภาพยนตร์ที่จะมาแทน Twilight ไม่ใช่หรอ !!?? แล้วเอ็งจะ กั๊กไว้ทำซากสัตว์อะไร มิทราบ ?? ต่อให้คิดว่านี้ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะมาแทนก็ตาม ตัวหนังก็มีหลายจุดที่ เรียกได้ว่า เขวี้ยงขว้าง CG และ เงินไปอย่างไร้สาระ ที่สุด อย่างฉากบางฉาก มันไม่จำเป็นจะต้องใส่ CG อะไรเลยก็ได้ แต่ ฉากที่คุณควรจะใส่ มันกลับไม่มีอะไรเลยเนี้ยนะ !! 



ปัญหาอีกจุดหนึ่งที่...ช่างไม่น่าให้อภัย ในหนังเลย ก็คือ พระเอกของเรื่อง ที่ไม่รู้จงใจหรือยังไง แต่ พระเอกของเรื่องนั้น เรียกได้ว่าถูกปูทางมาอย่างเดียว แต่พอ 20 นาทีสุดท้าย กลับ ถูกเขี่ยอย่างไร้เยื่อใย ก็เข้าใจว่าบทมันเป็นแบบนั้น แต่ในช่วง 20 นาทีนั้น เราไม่รู้สึกว่าพระเอกมีความสำคัญซักนิดเลย แล้ว ตกลงทั้งเรื่องที่สองคนนี้มันรักกัน มันเพื่ออะไรฟะ !! ถ้ามันเป็นการจงใจจริง ผมก็พอจะเข้าใจไอเดียดีหรอกนะ ว่าไม่อยากให้หนังมันกลายเป็นหนังรักน้ำเน่าไป แต่ มันมีอีกตั้งหลายวิธี ที่ยังให้ความสำคัญได้อยู่ การเขี่ยแบบนี้ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ซ้ำยังทำให้ตัวหนังแย่ลง เพราะบทถูกทำลายซะอีก   จะว่าไปแล้ว วิธีต่างๆในหนังมันช่างคล้ายกับ Twilight ภาค 1 กับ 2 รวมกันเหลือเกิน อันนี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะ ความบังเอิญ (ซึ่งคงไม่...) รึเปล่า ? ได้โปรด มันจบไปแล้วก็ให้มันจบๆไปเถอะ...



Beautiful Creatures นั้น บทดั้งเดิม หนังสือของมัน มันช่างทรงพลัง น่าสนใจ และ ดูยิ่งใหญ่ สุดๆ จนคุณแทบจะรู้สึกอยากจะดูภาคต่อไป แต่ ด้วยฝีมือการเขียนบท และ กำกับของผู้กำกับ ลากให้ ตัวบทดิ่งลงเหว ซ้ำยังทำจุดหลายๆจุดในหนัง ได้ล้มเหลว โดยเฉพาะ ฉากไคลแมกซ์ ที่สุดแสนจะน่าผิดหวัง และ ทำให้ทั้งเรื่องล้มเหลว ล้มครืนไปทั้งเรื่อง ซึ่งมันช่างน่าเสียดายสุดๆสำหรับ ตัวบทดั้งเดิม ที่น่าสนใจขนาดนี้ แต่กลับถูก ผู้กำกับไร้ฝีมือคนหนึ่ง ที่พยายามจะเดินตามรอยของ Twilight Trilogy จนลืมจุดยืนของตัวเอง และ ความแตกต่างของสองเรื่องนี้ ทำให้การที่จะมีโอกาสมีภาคต่อ ต้องมลายหายไป เหลือ เพียงแต่ความฝัน สำหรับ แฟนๆหนังสือ  และ เป็นภาพยนตร์ รัก แฟนตาซี ดราม่า ที่สร้างมาจาก หนังสือ อีกเรื่องในช่วงนี้ ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน และ ทำให้แฟนๆรวมถึงคนใหม่ๆที่สนใจในตัวหนังสือ ต้องเหมือนถูกเยาะเย้ย ว่า "ฝันไปเถอะ ภาคต่อหนะ !! " ( พูดถึงแล้ว ภาคต่อของ I Am Number Four ล่ะ !!! ) แต่ ผมก็ยังคงหวังต่อไปว่า คงจะมีค่ายไหน ที่เห็นถึงจุดนี้ และ ให้งบประมาณ และ ผู้กำกับที่เหมาะสม มันฟิ้น Trilogy เหล่านี้ อย่าง I Am Number Four และ Beautiful Creatures ซะที



The Best Quote from " Beautiful Creatures " 

" มนุษย์ นั้นสร้าง ศาสนา ศีลธรรม ความดีงาม แต่พวกเขาก็ใช้สิ่งเดียวกันเป็นข้ออ้าง ในการเข่นฆ่ากันเอง เช่นกัน " - Ridley 




Final Score : [ C+ ]





Thank you to : Beautiful Creatures ( 2013 ) , Summit Entertainment , IMDB for information 

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Silver Linings Playbook ( 2012 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review

Silver Linings Playbook ( 2012 ) "รักษาความบ้าด้วยความรัก"




Movie Name : Silver Lining Playbook ( 2012 ) , Comedy / Drama / Romance
Director : David O. Russell ( The Fighter )
Stars : Bradley Cooper ( Limitless , Hangover ) , Jenifer Lawrence ( The Hunger Games ) , Robert De Niro ( Ragging Bull , The God Father ) 
Rating :  R ( Some Language , Sexual Theme )






REVIEW THAI



                                           Silver Lining Playbook  เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องนึงในปี 2012 ถูกแล้วครับ ปี 2012 แต่เมืองไทยเพิ่งจะเข้าฉายเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ปีนี้เนี้ยเอง ซึ่งเข้าชิงรางวัลต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชาย / หญิง ยอดเยี่ยม ซึ่งขอบอกตามตรงว่า ตอนแรกที่ผมได้ยินชื่อเรื่องหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ผมแทบจะไม่รู้จักด้วยซ้ำไป แต่ที่สนใจเป็นการส่วนตัว ก็เพราะหลายสาเหตุ อย่างเช่น Robert De Niro ซึ่งเป็นดาราที่ผมชอบมากๆ หรือ แม้กระทั่ง Bradley Cooper ที่เป็นนักแสดงที่ถูก ป๋า De Niro เนี้ยแหละปั้นขึ้นมา ซึ่งจากการแสดงของเขาใน Limitless ทำให้ผมค่อนข้างชอบเขามากๆ หรือ Jennifer Lawrence ซึ่งเป็นนักแสดงวัยรุ่นหญิงอีกคนหนึ่งที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างเช่นจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games ( ถึงแม้ว่าหนังล่าสุดของเธอที่ผมดูอย่าง A House at the end of the street จะ กากสุดทนก็ตาม แต่เอาเป็นว่าผมจะพยายามลืมมันไปละกัน... )




เรามาพูดถึงผู้กำกับของ Silver Lining Playbook (ต่อไปนี้จะขอเรียกย่อๆว่า SLP) กันดีกว่าคนๆนั้นก็คือ David O. Russell ซึ่งหลายๆคนอาจจะรู้จักผลงานของเขาดีจากภาพยนตร์เรื่อง The Fighter ที่เข้าชิงรางวัลมากมายเช่นเดียวกัน ซึ่งบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาก็มีส่วนร่วมในการเขียนเช่นเดียวกัน รวมถึง เรื่องราวในเรื่องหลายๆจุด ก็ยังเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆกับเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งฝีมือของผู้กำกับคนนี้ เรียกได้ว่าแทบจะหมดห่วงเลยทีเดียว




ก่อนที่เราจะเข้ารีวิวกันนั้น ผมต้องขอบอกก่อนเลยว่า ส่วนตัวเป็นคนที่ดูหนังได้ทุกแนว แต่ถ้าเลือกได้ล่ะก็ ก็คงไม่ดูหนังรัก โรแมนติกอย่างแน่นอน เพราะ หนังรักส่วนใหญ่ มักจะเต็มไปด้วยเรื่องราว เดิมๆ สุดจะน่าเบื่อ ที่มีมาแล้วเป็นล้านรอบ แถมผสมเรื่องราวเวอร์ๆเอาไว้บางจุดยิ่งแย่เข้าไปอีก เพราะ หน้าที่ของหนังรักก็คือ ต้องทำให้คนดูเชื่อ และ ลุ้นตามไปจริงๆ แต่หนังบางเรื่องกลับทำให้เราแทบจะหลับด้วยซ้ำไป ยิ่งหนังรักของประเทศไทยหลายๆเรื่อง ยิ่งแล้วใหญ่ และ ผมค่อนข้างที่จะไม่ชอบ หนังรักในอุดมคติสุดๆ ประเภท เธอรักฉัน ฉันรักเธอ แต่ฉันไม่กล้าบอก แอบไปนอนร้องไห้ หรือ นางเอก สุดโง่ หรือ พระเอกสุดโง่ นี้ไม่ชอบอย่างแรง 




Silver Lining Playbook  นั้นแรกๆผมค่อนข้างจะอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าหนังมันจะน่าเบื่อจนพาหลับหรือไม่ เอาเป็นว่าเรามาพูดถึงเรื่อง บท กันเป็นอย่างแรก บทของ SLP นั้นเรียกได้ว่าตั้งใจเขียน และ แทบจะใส่ใจรายละเอียดในทุกๆเม็ด นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้ผมชอบขึ้นไปอีกก็คือ ความแตกต่าง ของ SLP ที่ ตัวเอกนั้นเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน และ คนพูดตรงๆ เพราะฉะนั้น ตัวหนังก็จะพูดออกมาตรงๆ ตัวละครก็จะพูดออกมาตรงๆ ไม่มานั่งทำเป็นคนดีแล้วแอบไปร้องไห้หน้าปากซอย ไม่มีอีกแล้ว ซึ่งการที่ตัวเอกพูดตรงๆนั้นมันมีเหตุผลรองรับของมันอยู่นั้นก็คือ เขาเป็นโรค อารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่อยากจะใส่อะไรก็ใส่ แบบหนังหลายๆเรื่อง จริงๆแล้ว หนังเรื่องนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่เรียกได้ว่า ค่อนข้างมีการอ้างอิงมาก เช่น ในเกม เราจะเห็นการพนันแต้มของทีมกีฬา ที่อเมริกา ซึ่งคะแนนในหนังนั้น เป็นคะแนนที่เกิดขึ้นจริงๆ ในปี 2008 ไม่ใช่การเอามามั่วแต่อย่างใด ซึ่งบทใน SLP ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องราวระหว่าง นางเอก กับ พระเอกซะด้วย แต่กลับมีเรื่องราวคนรอบๆตัวของพวกเขา อย่าง พ่อ , แม่ , เพื่อน ความสัมพันธ์ต่างๆ ความเชื่อ Conflict ต่างๆในหนังมากมายอีกด้วย ซึ่งจะหาหนังรักที่มีเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นต่อกันเยอะขนาดนี้ แทบจะนับเรื่องได้เลย ส่วนมากหนังรักก็แค่ พระเอก นางเอก ก็จบแล้ว นอกจากนั้น ตัวละครทุกตัวต่างก็มีผลต่อตัวละครหลักทั้งนั้น ไม่มีตัวละครใด ที่โผล่มา 1 นาทีทั้งเรื่อง หรือ โผล่มาทุกฉากแต่ไม่รู้จะโผล่มาเพื่ออะไร ไม่มีเลย ที่สำคัญเลยคือ SLP นั้นไม่ใช่หนังรักที่อยู่ในอุดมคติที่ผมค่อนข้างจะไม่ชอบสุดๆ เช่น นางเอก พระเอก โลกสวย พระเอกเป็นเจ้าชาย นางเอกเป็นเจ้าหญิง หรือ สักคนเป็นคนจน ให้มันดูดราม่าหน่อยๆ แต่ทั้งคู่เป็นคนดีนะ ไม่เอาอีกแล้ว บทแบบนี้เราเห็นมาเป็นรอบที่ 999999 ล้านได้แล้ว ซึ่งใน SLP นั้นจะอยู่กับความเป็นจริงมากที่สุดซึ่งไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ไม่มีใครหรอกที่มีแต่ชีวิตสวยงาม และที่สำคัญเลยคือ หนังเรื่องนี้นั้น ไม่ได้เน้นคำสวยงามพูดไพเราะ เสนาะหูตามมารยาทสวยงามเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันเป็นตัวเสริมหนังทำให้เราเชื่อในทุกๆคำพูดจริงๆ ไม่ใช่มานั่งเฟคพูดคำสวยงามที่สุดจะทนฟัง



จุดหนึ่งเลยที่สำคัญที่สุดของหนังรักก็ว่าได้นั้นก็คือ การแสดง ซึ่งต่อให้บทจะสุดยอดเท่าใดก็ตาม แต่ถ้านักแสดงมันเล่นไม่ไป ก็จบเห่อยู่ดี เพราะ คนดูก็จะไม่เชื่อ ว่า สองคนนี้รักกันจริงๆ และ ก็เลิกหวังว่าจะลุ้นตามไปได้เลย แต่ผมกลับแปลกใจมาก เพราะ Bradley Cooper และ Jennifer Lawrence กลับเล่นเข้าขากันได้อย่างดีเยี่ยม และทั้งคู่แสดงได้ดีเยี่ยมมาก จนไม่คิดว่าจะแสดงได้ดีขนาดนี้ อย่างเช่น Jennifer Lawrence ที่เราว่าเราเห็นการแสดงของเธอจาก The Hunger Games หรือ House at the end of the street แล้ว แต่พอมาเรื่องนี้เธอกลับแทบจะเป็นคนละคนเลยทีเดียว สีหน้าของเธอ ท่าทางการแสดงของเธอ เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ ส่วน Bradley Cooper เราต้องเข้าใจก่อนว่า บทของเขานั้นต้องรับภาระหนักเท่าใด คิดดูเองละกันครับ ที่คุณจะต้องแสดงเป็นคน อารมณ์แปรปรวน พูดอะไรตรงๆออกมา อย่างเช่นฉาก ที่เขาอยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมากลางดึก ไปยืนด่าหนังสือที่เขาเพิ่งอ่านจบ หรือ ฉากที่จะต้องระเบิดอารมณ์ออกมาอีก ซึ่งมันยากมากๆ แต่ Bradley กลับเล่นได้อย่างไหลลื่นสุดๆ จนทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่านี้แหละ คือตัวตนของเขาจริงๆ  นอกจากนั้นยังมีฉากที่ทั้งคู่ต้องเต้นรำอีกต่างหาก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานที่ท้าทายมากๆ  ซึ่งผมขอสารภาพเลยว่า ตั้งแต่ดูหนังรักมา นี้เป็นเรื่องแรกที่ทำให้ผมแอบลุ้นว่า ขอร้องแหละ ให้มันจบแบบ Happy เถิด พลีซซซซซ 



อีกสิ่งหนึ่งเลยของ SLP ที่ผมชอบมากๆก็คือ การที่มีหลายๆจุดในหนัง ที่ไม่เหมือนกับหนังรักทั่วๆไป พอกันทีกับฉาก นางเอกสุดน่าสงสาร เก็บกด แอบไปนั่งร้องไห้แบบละครช่อง 3 พอกันทีกับ บทสุดดราม่าในตอนจบ ที่เห็นมาเป็นรอบที่แสนล้านแล้ว พอกันทีกับ บทสุด Simple เธอรักฉัน ฉันรักเธอ คนอื่นช่างมัน พอกันทีกับ หนังรักที่ทั้งเรื่อง จะมีตัวละครเยอะแยะทำไมไม่รู้สุดท้ายก็สำคัญแค่สองตัว พอกันทีกับ หนังรักขายหน้าตาอย่างเดียว อย่างอื่นช่างมัน! 
พอกันทีกับ นางเอก หรือ ตัวละครหลักสุดโง่ ที่พาเรานั่งเซ็งว่าทำไมมันโง่จังฟะ !!!
พอกันทีกับ หนังรักที่ต้องมานั่งสงวนคำพูด ต้องพูดไพเราะทุกกระบวนคำ คำหวานหยดย้อยแทบอ๊วก สุดเฟค ที่ถามจริง เวลาคนรักกันจริงๆมันพูดไพเราะกันแบบนี้ทุกคำทุกคนหรอ ??? 
พอกันทีกับ หนังรักนางเอก พระเอกโลกแสนสวยสีชมพู ไม่รู้จะสวยไปไหน !!



อีกจุดหนึ่งของหนังที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การตัดต่อ ซึ่งหนังรักที่มีบทที่ละเอียดขนาดนี้หากตัดต่อเฟล ก็เป็นอันจบกัน ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ งง เซ็ง และ เบื่อ ซึ่งมันเป็นอะไรที่แย่ที่สุดสำหรับการชมภาพยนตร์ แต่ SLP กลับสามารถสร้างเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างชาญฉลาด พร้อมกับมีเหตุผลรองรับ ไม่ใช่ อะไรก็ได้สร้างมันขึ้นมาเถอะคนดูมันไม่แคร์หรอก!! ไม่เอาแบบนั้นอีกแล้ว แถมทุกๆเหตุการณ์ที่จบลงไปก็เหมือนกลับกลายเป็นแรงหนุนเหตุการณ์ต่อๆไปเรื่อยๆ อีกต่างหาก และที่สำคัญ เหตุการณ์ต่างๆนั้น น่าสนใจมากๆ ทั้งยังเต็มไปด้วยพลังและอารมณ์ ต่อคนดูมาก และยังเป็นอะไรที่ลุ้นสุดๆ ทั้งเรื่องผมต้องขอสารภาพเลยว่า นั่งลุ้นกว่า สนุกกว่าหนัง Action หลายๆเรื่องซะอีกทั้งๆที่ไม่ได้มี เหตุการณ์เวอร์ๆอย่าง ยิงกันหูตับดับไหม้ นางเอกต้องถูกตัวร้ายจับตัวไป พระเอกต้องไปช่วยนางเอก อะไรเทือกๆนี้ซึ่งเห็นมาเป็นรอบที่แสนล้านแล้ว หรือจะเรียกได้ว่าก็คือ หากทุกๆอย่างในหนังมันสุดยอดอยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มเหตุการณ์เวอร์ๆอะไรเข้าไปเลย หนังมันก็เพอร์เฟคได้ แถมผู้เขียนยังได้กำไรด้วยการได้ชม Robert De Niro แสดงในโรงดิจิตอล อีกครั้ง ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ดูหนังของแกในโรงหนัง นั้นเป็นเรื่องอะไร (เพราะหนังหลังๆของแกชอบไม่เข้าโรง ดิ่งลงแผ่น....)



Silver Linings Playbook เป็นภาพยนตร์ รัก โรแมนติก ดราม่า ตลก ที่เต็มไปด้วยชีวิต ดั่งเช่นต้นไม้ต้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยปริศนา ความท้าทาย ความยุ่งเหยิง ความสับสน แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิต ความรัก ความผูกพันธ์ ความสนุก ด้วย การแสดงที่เข้ากันอย่างดีเยี่ยม บทที่คิดมาเป็นอย่างดี การฉีกแนวไปจากหนังรักทั่วๆไป เป็นสาเหตุที่ทำให้ Silver Linings Playbook เป็นภาพยนตร์รัก ที่มีชีวิตที่สุดเรื่องหนึ่ง



The Best Quote from " Silver Linings Playbook ( 2012 ) " 

I was a big slut, but I'm not any more. There's always going to be a part of me that's sloppy and dirty, but I like that. With all the other parts of myself. Can you say the same about yourself fucker? Can you forgive? Are you any good at that?  " - Tiffany ( Jennifer Lawrence )





Final Score :  [ A ] และ [ MUST SEE BADGE ]






Thank you to : Silver Lining Playbook ( 2012 ) , IMDB for information

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

A Good Day to Die Hard ( 2013 ) Movie Review

Movie Review

A Good Day to Die Hard ( 2013 ) "วันดีที่จะตายของคนตายยาก ?"




Movie Name : A Good Day to Die Hard ( 2013 ) , Action / Thriller
Director : John Moore ( Max Payne.......)
Stars : Bruce Willis ( Die Hard , Red ) , Jai Courtney ( Jack Reacher ) , Sebastian Koch ( Unknow )
Rating : R ( Some Violence , Sexual Language )






REVIEW (THAI)




                                             A Goo Day to Die Hard ก่อนอื่นผมขอเริ่มต้นบอกก่อนเลยว่า หนังเรื่องนี้ หรือ Die Hard ภาคนี้ มัน "ห่วยแตกสิ้นดี" หรือ แทบจะเรียกได้ว่าแทบจะหาข้อดีแทบจะไม่ได้เลยแม้แต่จุดเดียว ยิ่งสำหรับแฟนๆ Die Hard พันธุ์แท้ หลังจากได้ชมภาคนี้ อาจจะอยาก Die จริงๆขึ้นมาก็เป็นได้ แต่ว่าทำไมล่ะ หลายๆคนอาจจะคิดว่า ผมมั่ว ผมโม้รึเปล่า เพราะฉะนั้น เราจะมาสาเหตุกันว่าทำไมกันหนอ Die Hard ภาคนี้มันจึงได้เน่าเละเทะจนอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ภาพยนตร์ซีรียส์ Die Hard ที่มีมาถึง 25 ปี ( 1988 - 2013 ) ต้องจบลง 



อย่างแรกสุดเลยก็คือตัวผู้กำกับอย่าง John Moore ที่ไม่รู้ทางค่ายคิดอะไรอยู่ถึงได้ไปนำผู้กำกับคนนี้มากำกับ ภาพยนตร์ซีรียส์สุดดังอย่าง Die Hard ที่มีแฟนๆทั่วโลก ซึ่งหลายๆท่านอาจจะทราบดีว่า วีรกรรมของ John Moore นี้นั้นค่อนข้างเลวร้ายเท่าใด ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมอย่าง Max Payne ที่เป็นอีกเกมหนึ่งที่เรียกได้ว่าสุดยอด และ ขึ้นหึ้งอีกเกมนึงของโลกเลยทีเดียว แต่ ผู้กำกับคนนี้เอง ก็ทำให้ภาพยนตร์ Max Payne เละเทะจนแฟนๆแทบจะพยายามลืมมันซะว่ามันเคยมีอยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำไป (คะแนน IMDB ของ Max Payne คือ 5.3) ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดอย่างมากที่เลือกผู้กำกับคนนี้ มากำกับ ภาพยนตร์ที่ทั้งโลกจับตารอคอยเช่นนี้ หรือ เรียกได้ว่าแทบจะขุดหลุมฝังศพตัวเองไป 50 % แล้ว



ในเรื่องถัดมาซึ่งไม่แน่ใจว่าเกี่ยวไหม เพราะ Bruce Willis แกก็อายุเยอะแล้ว เคยได้บอกไว้ว่า อยากจะเล่น Die Hard ภาคต่อไปเร็วๆ เพราะ อายุก็เยอะมากแล้ว กลัวจะเล่นไม่ไหว ก็เลยสงสัยว่า นี้จะเป็นสาเหตุนึงรึเปล่า ที่พยายามรีบๆเข็น Die Hard ออกมาจนมันเน่าเละเทะ จนไม่น่าให้อภัยเยี่ยงนี้ ?


ก่อนที่จะไปเข้าถึงตัวหนังจริงๆจังๆผมต้องขอพูดก่อนว่า ในความคิดของผม Die Hard มันจะต้องเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนตัวต้องขอบอกเลยว่าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ Die Hard เลย และที่จำได้ทั้งเรื่องจริงๆก็คือ Live Free or Die Hard ภาคล่าสุดนี้เอง (ภาคก่อนๆอาจจะเคยดูแต่ลืมแล้ว...) ซึ่งภาคก่อนนั้นเรียกได้ว่า ทำออกมาได้ไม่แย่เลย มันยังทำให้ผมยอมรับได้ว่า นี้แหละ คือ Die Hard ตายยากของจริง 

ซึ่งผมต้องขอบอกก่อนว่า ก่อนที่ผมจะไปชม A Good Day to Die Hard จริงๆผมทราบมาก่อนแล้วว่ามันค่อนข้างจะห่วย.... จากคะแนน รีวิว Rotten Tomatoes 10% จาก 100% (ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ตกไปถึง 0 รึยัง) IMDB ที่เริ่มจาก 7.2 จนตอนนี้เหลือ 6.2 และยังตกเรื่อยๆ คะแนนจากนักวิจารณ์ 30 เต็ม 100 แต่ผมก็ได้แต่คิดว่า มันคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง ? 


ทีนี้เรามาพูดถึงตัวหนังจริงๆกันซะที ต้องขอเริ่มก่อนเลยในจุดของประเด็น "ความเป็น Die Hard " ซึ่งต้องขอบอกว่าในภาคนี้นั้น มันไม่มีเลย ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด จอคอมพิวเตอร์ หรือ จอมือถือ Smart Phone ของคุณไม่ได้ประมวลผลผิด แต่มันไม่มีเลยจริงๆ ทั้งเรื่องของ A Good Day To Die Hard เต็มไปด้วย ฉาก Action ดาษๆ น่าเบื่อ และแทบจะไม่ได้คิด ไร้ความสร้างสรรค์สุดๆ มันแย่จนขนาดที่ ผมกล้าพูดว่า ผู้กำกับคนไหนๆก็ทำได้ถ้ามีเงินโดยที่ไม่ต้องมีฝีมืออะไรมากมายเลย อย่าว่าแต่เอาฉาก Action ไปเทียบกับภาพยนตร์ใหญ่ๆเรื่องอื่นๆเลย แค่ ภาพยนตร์ Action ทั่วๆไป เกลื่อนตลาด ก็แทบจะขายขี้หน้าเต็มทนแล้ว ผมยังแทบจะกล้าพูดว่า หนังเรื่อง Stolen ที่ผมเคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ ยังมีฉาก Action ที่ตื่นเต้น และ ใช้ความคิดมากกว่า A Good Day to Die Hard เสียอีก ยิ่งในช่วง 1 ชม. แรกของหนัง ฉาก Action ของ Die Hard ภาคนี้นั้น ทำให้ผมแทบอยากจะร้องไห้ เพราะ มันช่างเลวร้าย จนเกินจะบรรยาย ฉาก Action ที่เรียกได้ว่าไม่ได้คิดอะไรเลย ตูมตามไร้สมองลูกเดียว ไม่มีแทคติก ไม่มีเหตุผลใดๆทั้งนั้น แถมที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ตัวหนังเริ่มด้วยการแทบจะไม่ได้ปูอะไรให้คนดูเลย ทำให้ผมดูไปงงไปว่า แล้วที่มันยิงๆกันเนี้ย มันเพื่ออะไร แล้ว มันสำคัญขนาดไหน ? 




กลับมาที่เรื่องของความเป็น Die Hard  หรือ ตายยากกัน ซึ่งผมต้องขอบอกว่า ทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบท CG การแสดง นักแสดง อะไรก็แล้วๆแต่ผมให้อภัยได้สำหรับ Die Hard แต่สิ่งที่มันไม่น่าจะพลาด และ เป็นจุดที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดของ A Good Day To Die Hard เลยก็คือ การที่ไม่มีฉาก Action ใดๆ หรือ จุดใดๆในเรื่องเลยที่ผมจะสามารถกล้าพูดได้ว่า " โว้ว โคตรตายยากเลย!" ไม่มี !!! ไม่มีเลยจริงๆ !! ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่ามันมีฉากไหนบ้างที่พระเอกของเรามันดูตายยาก ไม่มีเลย ทุกๆฉากก็แทบจะเหมือนหนังแอ๊คชั่นทั่วๆไปธรรมดา ดูปลอดภัยดี ซึ่งความเป็นจริงแล้ว Die Hard มันจะต้องแอบเวอร์ๆหน่อย เช่น อย่างฉากรถตีลังกามาเกือบจะทับพระเอกในภาคที่แล้ว ซึ่งมันรวดเร็ว และ รุนแรง และดูยังไงคนธรรมดา หรือ พระเอกหนังแอ๊คชั่นดาษๆทั่วไปคงทำไม่ได้แน่นอน แต่ A Good Day To Die Hard ไม่ใช่เลย ไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลย !! มันเกิดอะไรกันขึ้น !!! แล้วนี้คุณยังกล้าพูดอีกหรือว่า นี้คือภาพยนตร์ที่มีชื่อต่อท้ายว่า " DIE HARD " ใครก็ได้ช่วยเอาชื่อนี้มันออกไปที เพราะ ตัวหนังมันจะดูดีกว่านี้เยอะหลายพันเท่า ถ้ามันไม่บังเอิญ มีคำว่า Die Hard ภาพยนตร์ซีรียส์ที่มีมาถึง 25 ปี 4 ภาค !! 




หลังจาก 1 ชม. แรกผ่านมา หลายๆคนอาจจะหวังว่า มันอาจจะดีขึ้นน่า ในตอนจบ ? แต่ไม่เลย ทุกอย่างกลับดูแย่ลงอีก !! บทที่เรานั่งดูมา 1 ชม. ก็ถูกฉีกทิ้งอย่างรวดเร็ว เหมือนอารมณ์ประมาณว่า ผู้กำกับพูดว่า " เห้ยทำมาครึ่งเรื่องแล้วอะ แต่มันไม่น่าเวิรค์ว่ะ เอาแบบนี้ล่ะกันให้มันดูฉีกๆหน่อย ก็ฉีกบทมันซะเลยไง !!! " และปล่อยให้คนดูงงว่า แล้วไอ้ที่ดูตูมา 1 ชม. ทั้งฉาก Action ที่ก็เฟล เนื้อเรื่องก็เรียกว่าแทบจะไม่มีอยู่แล้ว ตูดูไปเพื่ออะไร ???? แถมยังหน้าด้านแทนด้วยบทที่ "ดูเหมือน" จะดีกว่า แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะมีมาทำไม ไม่ได้สร้างความแตกต่างเลย



พูดถึงเรื่องบท เราก็มาพูดถึงเรื่องบทกันดีกว่า มันไม่มีหรอกครับ บทอะ ผมสรุปให้ง่ายๆเลย " พระเอก ไปยิงผู้ร้าย" จบคุณไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากกว่านั้นแล้วจริงๆ ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ เพราะแม้แต่ตัวละครบางตัวในหนัง ที่ตอนแรกก็ทำออกมาแย่ และไม่น่าสนใจอยู่แล้ว ยังซ้ำเติมด้วยการลบทิ้งในตอนใกล้จบอีกต่างหาก ซึ่งมันทำให้ตัวละครเหล่านั้นไร้ค่าไปทันที 
นอกจากนั้นการอธิบายเรื่องราว ดีเทลต่างๆในเรื่องก็แทบจะเป็น 0 เริ่มมาแบบงงๆ บางสถานที่ในเรื่องก็อธิบายให้คนดูเข้าใจแบบลวกๆ เหมือนไม่รู้ว่าขี้เกียจเขียนบท หรือ อย่างไรไม่ทราบ นี้ยังไม่นับถึง Dialog หลายๆจุดที่ใส่เข้ามาแบบซ้ำๆซากๆ อย่างไร้จุดหมาย ซึ่งมันสร้างความน่ารำคาญ มากกว่า บันเทิงหลายเท่านัก



พูดถึงเรื่องโอกาสมันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะ ภาพยนตร์อย่าง Die Hard ในจุดๆนี้จะทำฉาก Action ออกมาเวอร์อย่างไรก็คงจะไม่ผิดแล้ว ยิ่งมีตัวละครเสริมอย่าง ลูกของพระเอก ก็ยิ่งน่าจะยกระดับให้ความเทพ มันเพิ่มขึ้นไปอีก เช่น การทีมเวิรค์กัน ช่วยเหลือกัน แต่ในเรื่องนี้กลับไม่มีเลย ทีมเวิรค์ 0 ช่วยเหลือ 0 ต่างคนต่างยิง ฉากอลังการๆ เทพๆ ที่ผมจิตนาการว่าจะได้เห็น ก็มลายหายสิ้น แทบจะไม่หลงเหลืออะไรเลย กลับ แทนด้วยฉากดาษๆ น่าเบื่อ ไร้ความคิด ที่เราเห็นมาเป็นรอบ  ที่แสนล้านครั้งแล้ว ถึงแม้ตัวหนังจะแอบใส่ธีมเพลงมาออกแนวเลียนแบบ Mission Impossible หรือ 007 แต่ผมกล้าพูดเลยว่า ภาคนี้ไม่ได้ไปถึงจุดนั้นแน่ ไม่เลย มันไม่ได้เฉียดจุดนั้นด้วยซ้ำ อย่าง Mission Impossible ภาคล่าสุด Ghost Protocol ยังมีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ทำให้ผม ว้าวได้ ทำให้ผมตื่นเต้นไปกับมันได้ เช่น ฉากไล่ล่ากลางทะเลทราย การต่อสู้แข่งกับเวลา หรือ แม้กระทั่งฉากเปิดเรื่องที่ผมเรียกได้ว่าชอบมากๆ (ฉากเปิดเรื่องที่เป็นตอนที่เป็น ไฟวิ่งผ่านสายชนวนระเบิดในอุโมงค์ ครับ) แต่คุณเลิกหวังได้เลยว่าจะได้เจออะไรแบบนั้นในเรื่องนี้ ไม่มีเลยแม้แต่กระติ๊ดของกระติ๊ดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ฉากเปิดเรื่องเป็นอะไรที่สุดแสนจะน่าเบื่อ ในชนิดที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นใน Die Hard 





นี้ยังไม่นับถึง หลายๆฉากในหนังที่ไม่เข้าใจว่าจะใส่มาทำไม เช่น ฉากตลก บางฉาก ที่ฮาก็ไม่ฮา ยังพาเสียเวลาอีกต่างหาก แถมทำไปเพื่ออะไรไม่ทราบ ไม่เข้าใจจริงๆ กลัวตัวเลขที่มันเขียนเป็นเวลาความยาวของหนัง ใน IMDB ด้านบน มันจะดูน้อยหรอ ? นอกจากนั้นฉากไคลแมกซ์ ของเรื่องเป็นอะไรที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง เป็นฉากที่ผมคิดว่าหนังรักไม่มีแม้แต่กระสุน หรือ ปืน หรือ ระเบิด หรือ แม้กระทั่งบางเรื่องไม่มีแม้แต่คำพูด ยังตราตรึงผม หรือ ทำให้หัวใจของผมเต้น ได้มากกว่าเลย แถมฉากจบก็สุดจะเดาง่าย อย่างกับเดจาวู 





A Good Day To Die Hard เป็นภาพยนตร์อีกภาคนึงของ Die Hard ซึ่งอาจะเป็นสาเหตุที่ ภาพยนตร์ซีรียส์นี้ ไม่ได้ไปต่อ เพราะ มันช่างน่าเบื่อ เละเทะ ล้มเหลว น่าขายหน้าเป็นที่สุด ที่เลวร้ายที่สุดคือ คุณไม่สามารถที่จะหาอะไรที่คุณสามารถที่จะบอกว่า เนี้ยแหละ คือภาพยนตร์เรื่อง Die Hard ได้เลยนอกจาก ชื่อที่แปะอยู่บนหน้าหนัง กับ Bruce Willis ถ้าเอาสองสิ่งนี้ออกจากหนัง ตัวหนังก็คงจะไม่ต่างอะไรไปจาก หนังดาษๆที่พร้อมจะส่งตรงลง DVD ในทันใด หรือ ให้อย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่ หนังดาษๆ สุดจะ Simple ใครๆก็ทำได้อีกเรื่องหนึ่ง ที่ก็แค่มีเงินเยอะขึ้นมานิดนึง แต่สมองเท่าเดิม 



THE BEST QUOTE from " ME " to " A Good Day To Die Hard "

" Maybe It's time for you to just die..... " - FallsDownz



Final Score :    [ D + ] and [ Disappointed Badge  ] 






Thank you to : A Good Day To Die Hard ( 2013 ) , IMDB for information

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

World of Warcraft ได้ตัวผู้กำกับแล้ว !?? [ Movie News ]

Movies News 








                                       World of Warcraft เป็นเกมชื่อดังของโลกจากค่ายพ่อมดน้ำแข็ง Blizzard ที่มีชื่อดังไปทั่วโลก ซึ่ง MOD ตัวหนึ่งของ World of Warcraft นี้เองก็เป็นที่นิยมมากๆ นั้นก็คือ
DOTA นั้นเอง ซึ่งตำนานของ WOW นั้นถือว่าน่าสนใจ และยิ่งใหญ่มาก 

เรื่องภาพยนตร์ของ World of Warcraft นั้น ได้ตามหาตัวผู้กำกับกันสุดๆซึ่งมีข่าวหลุดออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Zack Snyder ผู้กำกับ Sucker Punch หรือ Bryan Singer ผู้กำกับ X-Men
และสุดท้ายก็ปฏิเสธกันไปหมด แต่สุดท้ายก็มีข่าวออกมาอีกแล้วว่า ผู้กำกับ Duncan Jones ซึ่งเขามีผลงานล่าสุดนั้นก็คือ Source Code ซึ่งก็น่าสนใจมาก เพราะตัว Source Code เองก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจริงละก็ ก็คงต้องหนักใจเหมือนกัน เพราะ ตัว Duncan เองก็ไม่เคยกำกับหนัง ที่มีสเกลใหญ่ๆจริงๆ ซึ่งถ้าเลือกมาคุมบังเหียน ภาพยนตร์อภิมหายักษ์ใหญ่แถมยังมีชาวเกมทั้งหลายคอยจับตามองอีก ถ้าดูจากตัวเลือกที่ผ่านๆมาแล้ว Zack Snyder หรือ Bryan Singer น่าจะเวิรค์กว่า เพราะทั้งคู่ ก็ทำหนังสเกลใหญ่ๆอยู่แล้ว (แต่ปัญหาคือทั้งคู่มีงานกำกับใหญ่ๆเข้ามาตลอด) ยังไงก็ต้องรอดูกันอีกทีว่า สรุป จะใช่คนนี้จริงๆหรือไม่ แล้ว ดารานำ จะเป็นใคร และคนที่มาเขียนบทจะเป็นใคร แถมยังต้องห่วงอีกว่าจะแปค อีกไหม (เพราะเราๆรู้กันดีว่า ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมมักจะเน่า)

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Zero Dark Thirty ( 2012 ) Movie Review

 Zero Dark Thirty "เที่ยงคืน สามสิบ" Movie Review



Movie Name : Zero Dark Thirty ( 2012 ) , Drama / History / Thriller
Director : Kathryn Bigelow ( The Hurt Locker ) 
Cast  :  Jessica Chastain ( The Help ) , Kyle Chandler ( Super 8 ) , Jason Clarke ( Lawless ) 
Rating : R  ( Lots of Violence , Sexual Theme )





REVIEW (THAI)


                                         Zero Dark Thirty หรือ บางท่านอาจจะเรียกหนังเรื่องนี้ว่า เที่ยงคืนสามสิบก็ได้ (ขอบอกว่าตอนแรกที่ได้ยินนั่ง งงตั้งนาน อะไรฟะ เที่ยงคืนสามสิบ ซักพัก อ๋อ เข้าใจละ - -*) ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องบอกว่า เป็นอีกเรื่องที่คว้ารางวัลมาหลายเวทีมากๆ รวมถึงยังเข้าชิง Oscar อีกเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้ชิงเยอะเป็นสิบกว่าสาขาแบบ Life of Pi หรือ ลินคอรน์ แต่ Zero Dark Thirty ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีคนพูดถึงมากใน อเมริกา และ นักวิจารณ์ก็ต่างชื่นชม ด้วยคะแนนใน IMDB ถึง 95/100 ที่ 90 ขึ้นก็หาโคตรยากแล้ว นี้ 95 เลยทีเดียว แสดงว่าต้องมีอะไรดีๆในหนังเรื่องนี้ แน่นอน




Zero Dark Thirty ว่าด้วยเรื่องของการไล่ล่าผู้ก่อการร้ายคนๆหนึ่งที่คนทั่วโลกรู้จักดี คนๆนี้ คือคนที่ทำให้ ตึก เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ ที่ นิวยอรค์ สหรัฐอเมริกา ต้องพัง ลงและทำให้มีคนเสียชีวิตมากมาย และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครลืมได้เลย นอกจากนั้นเขาก็ยังเป็นต้นตอที่ทำให้มีการ ก่อการร้าย มากมายบนโลก ทำให้คนยิ่งตายเพิ่มขึ้นไปอีก ใช่แล้วครับ เขาไม่ใช่ใครอื่น ผู้ร้ายคนนี้ก็คือ " โอซามะ บินลาเดน " นั้นเอง Zero Dark Thirty ว่าด้วยเรื่องของการสืบหา และตามตัว บินลาเดน และสังหารเขาเสีย จากการที่เรารู้ๆกันดีในตามข่าวใหญ่ตอนปี 2011 ( ซึ่งท่านใดจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน )



มาพูดถึงผู้กำกับของหนังเรื่อง เที่ยงคืนสามสิบกันดีกว่า (พูดชื่อนี้บ่อยๆมันชักจะกลายเป็นหนังอารมณ์ราวๆ แวมไพร์ / หมาป่าไปแทนละ = =) ผู้กำกับคนนี้ คอหนังน่าจะรู้จัก "เธอ" คนนี้อย่างดีจาก หนังเรื่อง The Hurt Locker ที่ปี 2008 ได้คว้ารางวัลไปเยอะมาก รวมไปถึงคว้ารางวัลออสก้าไปถึง 6 รางวัล รวมถึง Best Motion Picture of the Year เพราะฉะนั้นความเทพ ก็การันตีได้เลยว่า ไม่ธรรมดาแน่นอน สำหรับ เธอคนนี้ ใช่ครับ ผู้กำกับ เที่ยงคืนสามสิบ นั้นเป็นผู้หญิงนั้นเอง (ชักกลายเป็นหนังหมาป่าไปแทนจริงๆแล้ว)



Zero Dark Thirty  ต้องขอบอกก่อนเลยว่า จุดเด่นของเรื่องนี้ ไม่ใช่ ระเบิดตูมตาม พระเอกนางเอก อย่างเทพ โดดไปโดดมา ไม่โดนกระสุนสักลูก ไม่ใช่เลยครับ เพราะ Zero Dark Thirty นั้นพูดถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ ในรูปแบบที่สมจริงที่สุด เพราะฉะนั้น จงเลิกหวัง หนังที่ทำตามสไตล์ ฮอลลิวู้ด ทั่วไป ที่เอาความมันส์เข้าว่า สมจริงช่างมัน ไปซะ  แต่เพราะความสมจริงของมันเนี้ยแหละ จะทำให้คุณนั่งตัวไม่ติด โดยเฉพาะ 30 นาทีสุดท้ายของหนัง ที่เป็นอะไรที่โคตร มันส์ และ กดดันมากๆ ทั้งๆที่ไม่มีแม้แต่เสียงระเบิด ซักแอะ ไม่มีเสียงแม้แต่เพลง และสิ่งที่คุณเห็นก็มีแต่ ทีมทหารที่ลอบเข้าไปสังหาร บินลาเดน ด้วยกล้องส่องในความมืดหรือ Night Vision ที่เรามีโอกาสได้เห็นผ่าน Night Vision บ่อยๆซะด้วย ทำให้เรารู้สึกหยั่งกะว่าเป็นหนึ่งในทหารเหล่านั้น นอกจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามจริงทั้งหมด เพราะ เวลาลอบฆ่าจริงๆไม่มีใครเขาทำเสียงดังๆให้ชาวบ้านเขารู้กันหรอกครับ นั้นเรียกว่า "โง่" แล้ว และเวลายิงฆ่ากันจริงๆ แค่เสี้ยววินาที ก็ฆ่ากันได้แล้ว ไม่ใช่วิ่งไล่กันโคตรเวอร์ ยิงกระสุนหมดแมค แบบหนัง แอ๊คชั่นทั่วไป



นอกจากความสมจริงแล้ว ในตัวหนังยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการไล่ล่าตัวบินลาเดน เยอะมาก ตั้งแต่ ญาติๆ ไปถึงสถานที่ต่างๆ เรียกได้ว่า ทีมงาน และ ผู้กำกับ หาข้อมูลมาเยอะจริงๆ นอกจากนั้น ในช่วงที่กำลังตามหาความจริงอยู่นั้น ตัวหนังก็ค่อยๆเริ่มกดดันคุณไปเรื่อยๆ รวมถึงให้คนดูพวกเรา เข้าใจสถานการณ์นั้นๆด้วย เช่น ความกดดันต่างๆ ที่เข้าหานางเอก เพราะ การโจมตีครั้งนี้ มันยิ่งใหญ่มาก ถ้าหากพลาด หรือ ข้อมูลผิดพลาดเพียงแม้แต่น้อยนิด ก็อาจเป็นเหตุทำให้ คนบริสุทธิ์ ต้องตายได้ง่ายๆ 




ถึงแม้เรื่อง Zero Dark Thirty จะได้คะแนนจากนักวิจารณ์ถึง 95 ใน IMDB  แต่สำหรับผมแล้วมีหลายๆข้อในหนังที่ไม่ถูกใจนัก อย่าแรกเลยคือ ความเนิบๆของหนัง ที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ก็เข้าใจอะนะ ว่ามันเน้นความสมจริง แต่ หนังมันดัน 2 ชม. ครึ่ง (อีกแล้ว) แถมอืดเยี่ยงนี้ ก็แทบจะพาหลับ กว่าจะถึงจุดที่เราอยากดูจริงๆ บางท่านอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ นอกจากนั้น ข้อมูลในหนังที่มากมาย แถมยังแทบไม่ได้อธิบายในหนังเลย พาเอางงง่ายๆสำหรับท่านที่ไม่ได้ติดตาม ข่าว สารเรื่อง บินลาเดน แบบเยอะๆ หรือ อ่านมาเยอะๆ และ พอคุณงง มันก็จะพาเบื่อไปได้ง่ายๆ อีกข้อนึงเลยที่ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไร ก็คือ การแสดงของนางเอก Jessica  Chastain ที่ได้รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากหลายเวทีมากๆ ส่วนตัวคิดว่า ก็แสดงดีนะครับ แต่ไม่ได้ถึงขนาดที่จะทำให้ผมขนลุกได้ขนาดนั้นเลย ถ้าหากเทียบกับ Anne Hathaway จาก Les Miserables ก็แทบจะต่างกันลิบลับเลย เพราะ Anne Hathaway แสดงได้ยอดเยี่มจริงๆ แต่อาจจะเป็นมาจากที่ใน Les Miserables นั้น Anne Hathaway นั้นเล่นเป็นตำแหน่ง Supporting Actress หรือก็คือ ไม่ได้เล่นตำแหน่งหลักนั้นเอง (แต่ได้รางวัลในตำแหน่งนี้มาเยอะเช่นกัน) มิเช่นนั้น Jessica Chastain ก็คงต้องมีหนาวบ้างแหละ 




Zero Dark Thirty ต้องขอชมในจุดความสมจริง จริงๆ และเป็นจุดที่ผมค่อนข้างชอบมากๆ เพราะ ภาพยนตร์สมัยนี้ เน้นความเวอร์ อลังการ จนมากเกินไป จนความสมจริง ความโหดร้ายที่โลกเป็นอยู่จริงๆ มันหายไปหมดแล้ว แต่เรื่องนี้ก็สวนทางและทำได้อย่างดีเยี่ยม แถมยังหาข้อมูลมาได้อย่างดีเยี่ยม หนังเรื่องนี้จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้ ถ้าหากมันไม่พาคุณหลับเสียก่อน เพราะในหลายๆช่วง มันก็ช่างอืดเรื่่อยเปื่อยจริงๆ 



เกร็ดความรู้จาก " Zero Dark Thirty "

ชื่อเรื่อง Zero Dark Thirty นั้นมาจากการที่ช่วงปฏิบัติการลอบสังหารบินลาเดิน นั้นอยู่ในช่วงเวลา เที่ยงคืน ถึง ตีสอง นั้นเอง นอกจากนั้น ยังหมายถึง การที่ทั้งโลกต้องมืดมน กับการตามหาตัว บินลาดินมานานหลายปี 



The Selected Quote from " Zero Dark Thirty ( 2012 ) "

" I know if i said this you guys are going to freakout but it's a 100% " - Maya






Final Score : B+







Thank You to : Zero Dark Thirty ( 2012 ) , IMDB for Information