วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

DC Comics TV-Series Preview / Review

DC Comics TV-Series Preview / Review

ณ ตอนนี้ที่อเมริกาทาง DC ก็กำลังคืบหน้าเข้าสู่วงการ TV-Series อย่างเต็มตัวเลยทีเดียว จาก Arrow ก็ต่อยอดไปสู่อีกสองซีรียส์ใหม่เรียบร้อยแล้วกับ The Flash และ Constantine (ที่ดันไปฉายช่อง NBC แทน CW ซึ่งมีหุ้นส่วนหนึ่งเป็นของ Warner Bros. อยู่แล้วซะงั้น) จริงๆยังมี Gotham อีกเรื่องหนึ่งแต่ผู้เขียนยังไม่ได้ชมเลยขอละไว้ ณ ที่นี้ก่อนครับ

หมายเหตุ * ผู้เขียนไม่เคยอ่านหนังสือ Comics TV-Series เหล่านี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็น Arrow , The Flash หรือ HellBlazer เพราะฉะนั้นการพรีวิวครั้งนี้จะมาจากการดูแบบสดๆล้วนๆ

- The Flash - 

ถือได้ว่าเป็นการเปิดตัวซีรียส์ได้โอเคในระดับหนึ่ง สนุก และน่าติดตาม ทำให้เรารู้จักที่มาของตัวละครชื่อดังอย่างแฟลชมากขึ้น ถึงแม้ว่าพล๊อตจะค่อนข้างเดิมๆและไม่น่าตื่นเต้นเท่าไรนักก็ตาม อาจจะเพราะความเวอร์เหนือพลังของมันด้วยส่วนหนึ่ง แต่ตัวนักแสดงนำก็รับบทได้ดีจนทำให้ตัวซีรียส์สนุกขึ้นเยอะ ถึงกระนั้นก็ตามต้องพูดเลยว่าจากใน 3 เรื่อง The Flash เป็นเรื่องที่ตัวละครรองน่าสนใจน้อยที่สุดน้อยชนิดที่แทบจะรู้สึกไม่แคร์เลย อาจจะเพราะนักแสดงด้วยรึเปล่าก็ไม่ทราบ

ระดับความน่าติดตาม : 3 / 5 

- Constantine -

ถึงแม้ว่าต้องพูดเลยว่าส่วนตัวค่อนข้างจะสนใจซีรียส์ HellBlazer อยู่เหมือนกันเนื่องจากชอบ Constantine เวอร์ชั่นหนังที่พี่คีนู รีฟมากๆ แต่ต้องพูดเลยว่าพอลดลงมาเหลือทีวีซีรียส์ก็น่าสนใจน้อยลงเยอะ ในด้านโปรดัคชั่นยังพอเข้าใจได้ แต่ในด้านของการเล่าเรื่องเรียกได้ว่าด้อยกว่า The Arrow และ The Flash ซีซั่นแรกพอสมควรทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน แต่ได้ยินมาว่าส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตอนแรกโดนตัดไปตัดมา แถมยังตัดนักแสดงออกในตอนถัดไปด้วย และยังมีตัดต่อเพิ่มไปตอนหลังอีก มันก็เลยกลายเป็นตอน Pilot เริ่มที่แปลกประหลาดสุดๆ แต่ก็ยังถือว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจ ก็ต้องดูต่อไปว่าตอนถัดๆไปจะทำออกมาเป็นอย่างไร ถ้าน่าเบื่อมากๆก็คงขอลา แต่จะว่าไปก็แอบเสียดายเหมือนกันได้ยินมาว่าตัว Comics จริงๆค่อนข้างแรงมาก ชนิดที่เอามาลงเคเบิ้ลปกติคงไม่น่ารอด ส่วนตัวแล้วถ้าถามผม ผมอยากดูแบบนั้นมากกว่า แต่ก็นะ หลังจาก Constantine ฉบับภาพยนตร์ภาค 2 มีข่าวลือแล้วก็หายไปชาติกว่า คงไม่หวังอะไรอีกแล้ว ณ ตอนนี้ = =

ระดับความน่าติดตาม : 2 / 5

- The Arrow Season 3 -

ต้องพูดเลยว่าในสอง Season แรกของ The Arrow ตอนแรกของ Season มักจะน่าเบื่อเสมอไม่รู้ทำไม แต่พอมา Season นี้น่าเบื่อน้อยลงเยอะ มีการแสดงถึงปมปัญหาอันใหญ่หลวงที่น่าสนใจเอามากๆขึ้น ทำให้ตัวซีรียส์น่าสนใจและน่าติดตามขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าตามภาษา TV-Series ส่วนใหญ่ที่มักจะเดินเรื่องแบบเดิมๆแต่ก็ยังทำออกมาได้สนุกและน่าติดตามอยู่พอสมควรจึงพอให้อภัยได้ ถือว่าเป็นซีรียส์ของ DC Comics หรือ Warner Bros. ตอนนี้ที่น่าติดตามที่สุดก็ว่าได้

ระดับความน่าติดตาม : 4 / 5

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Fury ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"นี้คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ที่พูดถึงความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่สองได้ดี แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่อาจที่จะนำเสนออะไรใหม่ได้เลย"

      ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นการมารวมตัวของดารานักแสดงดังมากมายอยู่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ไชอา เลอบัฟ (Transformers) , โจนาธาน เบิร์นธัล ( TV-Series The Walking Dead ) หรือ โลแกน เลอร์แมน ( Percy Jackson ) แต่แน่นอนว่านักแสดงท่านที่โดดเด่นมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น แบรด พิตต์ ซึ่งทำให้หลายๆคนถึงกับสับสนภาพยนตร์เรื่องนี้กับ Inglourious Basterds ของผู้กำกับเควนติน แทแรนติโนอยู่เหมือนกัน แต่ผู้เขียนรับรองเลยว่าทั้งสองเรื่องค่อนข้างจะแตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว

Fury เล่าเรื่องในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองของดอนกับลูกทีมของเขาที่จะต้องไปเผชิญกับภารกิจอันแสนลำบาก นอกจากจำนวนคนจะน้อยกว่าแล้ว กระสุนก็ยังมีจำกัดอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ตามดอนและลูกทีมก็ไมยอมแพ้

ก่อนอื่นต้องขอชมผู้กำกับเดวิด เอเยอร์ก่อนเลย ที่สามารถกำกับและถ่ายทอดความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่สองได้เป็นอย่างดี ซึ่งทำให้ Fury กลายเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะจริงจังพอสมควร

นอกจากนั้นแล้วการกำกับฉากแอ็คชั่นต่างๆของเขาก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว มันทั้งตื่นเต้นและสนุกอยู่ตลอด แถมยังเป็นฉากแอ็คชั่นที่ดูรู้เรื่องแทบจะตลอดเวลา จากการใช้จังหวะฉาบฉวยและการตัดอันรวดเร็วที่น้อยของภาพยนตร์

ถึงแม้ว่านักแสดงอย่าง แบรด พิตต์ จะยังคงรับบทนำแสดงได้ยอดเยี่ยมไม่เปลี่ยน แต่นักแสดงคนที่ผู้เขียนต้องให้เครดิตจริงๆเลยก็คือ ไชอา เลอบัฟ ซึ่งแสดงดีผิดคาดพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นฉากแอ็คชั่นหรือฉากดราม่าเขาก็แสดงได้น่าประทับใจ

แต่ถึงแม้ว่า Fury จะเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอภาพความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่สองได้ดีหรือมีฉากแอ็คชั่นที่สนุก ตื่นเต้นก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดนั้นก็เป็นเพียงสองสิ่งที่มันทำได้โดดเด่นจริงๆเท่านั้น

ส่วนอื่นๆของมันหลายส่วนก็ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่ค่อยน่าประทับใจซักเท่าไรนัก อย่างเช่นบทภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยจะแปลกใหม่ซ้ำยังเดาทิศทางได้ง่ายพอสมควรของมัน

หรือจะเป็นตัวละครต่างๆในภาพยนตร์ที่ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์ต้องการจะให้เราเห็นใจและเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้ก็ตาม แต่นอกจากพวกเขาจะไม่น่าสนใจซักเท่าไรแล้ว ตัวละครหลายๆตัวก็แสดงนิสัยและสันดานได้ไม่ค่อยน่าที่จะเอาใจช่วยซักเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะโทษจุดนี้ไปที่ความโหดร้ายของสงคราม แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ตัวละครเหล่านี้น่าสนใจมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากการเล่าเรื่องและปูตัวละครที่ค่อนข้างแย่ซ้ำยังให้เวลาในส่วนนี้ที่ค่อนข้างน้อยของ เดวิด เอเยอร์

และด้วยความที่ Fury เป็นภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด จึงทำให้มันยังคงพูดถึงความกล้าหาญและความยิ่งใหญ่ของประเทศสหรัญอเมริกาหรือคนอเมริกันอยู่เช่นเคย โดยปราศจากการพูดถึงเรื่องราวของสงครามในด้านอื่นๆ จนทำให้ผู้เขียนเกือบจะนึกว่าสงครามโลกครั้งที่สองคือการปะทะกันของ สหรัฐอเมริกากับเยอรมันเพียงสองชาติเท่านั้น ซึ่งแสดงถึงมุมมองอันคับแคบของตัวภาพยนตร์อยู่ไม่ใช่น้อย

ทำให้ในท้ายที่สุดภาพยนตร์เรื่อง Fury ก็กลายเป็นแค่อีกหนึ่งภาพยนตร์สงครามที่ไม่สามารถนำเสนออะไรใหม่ๆได้เลย ถึงแม้ว่ามันจะนำเสนอภาพความโหดร้ายของสงครามได้ดี มีฉากแอ็คชั่นที่สนุกตื่นเต้น หรือการแสดงที่ดีของไชอา เลอบัฟ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้เพียงแค่นั้น ด้วยบทที่เดาง่าย ตัวละครที่ไม่ค่อยน่าเอาใจช่วย และการถือหางประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ จึงทำให้มันไม่อาจที่จะสร้างความน่าจดจำได้แต่อย่างใดเลย

Final Score : [ B  ]

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

John Wick ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"John Wick ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะนำมาซึ่งบทภาพยนตร์อันน่าทึ่งหรือการเล่าเรื่องอันแปลกใหม่ แต่มันรู้ตัวมันเองดีว่ามันต้องการจะเป็นอะไรและทำสิ่งนั้นได้อย่างยอดเยี่ยมโดยไม่พยายามจะกลายเป็นสิ่งอื่นที่ตัวมันไม่ต้องการจะเป็น"


    หลังจากที่ลงไปกำกับภาพยนตร์รวมถึงแสดงเองใน Man of Taichi และไปสู้กับปีศาจใน 47 Ronin ซึ่งทั้งสองเรื่องไม่ค่อยจะน่าประทับใจซักเท่าไรนัก คราวนี้พระเอกสุดเท่ห์อย่างคีนู รีฟก็กลับมาเล่นภาพยนตร์แนวที่เคยทำให้เขาโดดเด่นอีกครั้งกับภาพยนตร์แอ็คชั่น ซึ่งภาพที่เขารับบทเป็นนีโอใน The Matrix หลบกระสุนเมื่อหลายปีก่อนก็น่าจะยังคงติดตาพวกเรากันอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ 

John Wick ว่าด้วยเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจะสูญเสียคนรักไป โดยก่อนตายเธอได้ให้สุนัขกับเขาเอาไว้ แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีกลุ่มโจรลอบเข้ามาทำร้ายและฆ่าสุนัขของเขาโดยที่หารู้ไม่ว่าเขาคือ จอห์น วิค นักฆ่าสุดแสนอันตราย การล้างแค้นไล่ล่าตัวคนที่ทำเช่นนี้กับเขาและทำให้มันต้องชดใช้จึงบังเกิดขึ้น

สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ความที่มันรู้ตัวมันเองดี ว่ามันต้องการที่จะเป็นอะไร มันต้องการจะเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นที่เกี่ยวกับการแก้แค้น ยิงกันหูตับดับไหม้ ซึ่งเมื่อมันต้องสิ่งที่มันต้องการจะเป็นเอาไว้แล้ว มันก็ไม่พยายามที่จะบังคับหรือยัดเยียดบทดราม่าหรือส่วนที่ไม่จำเป็นต่างๆเข้ามาอีก ตัวภาพยนตร์จะให้สาเหตุเรามาเพียงเท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องนี้ควรจะเป็น เราเข้าไปชมภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องนี้เพราะต้องการชมฉากคีนู รีฟเปิดโหมดพระเจ้า ไล่ยิงคนร้ายอย่างเมามันส์หรือแสดงฉากเท่ห์ๆ การใส่ฉากดราม่าที่เกินความจำเป็นเข้ามาอาจจะนำไปสู่ความน่าเบื่อโดยไม่จำเป็นได้ ซึ่งนี้เป็นจุดเด่นที่ภาพยนตร์อย่าง Dracula Untold ไม่มี เพราะตัวมันเองไม่แน่ใจว่ามันต้องการจะเล่าเรื่องที่จริงจังของแดร็กคูล่าพูดถึงเบื้องหลังเบื้องลึก หรือ ต้องการจะเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นโคตรเวอร์กันแน่ จนทำให้มันผสมกันมั่วไปหมด ในขณะที่ John Wick ทราบตัวมันเองดี

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าบทภาพยนตร์ของ John Wick จะแย่หรือไม่ดี จริงๆแล้วมันเป็นบทภาพยนตร์ที่น่าสนใจเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าหลักๆมันจะพูดถึงเรื่องราวของการแก้แค้น แต่มันก็เล่าเรื่องราวของตัวละครอย่างจอหน์ วิคได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดของเขา หรือ สาเหตุความแค้นของเขาในครั้งนี้

ผู้เขียนต้องพูดเลยว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่เป็นการกลับมาของนักแสดงอย่างคีนู รีฟอย่างแท้จริง นอกจากการแสดงของเขาจะยอดเยี่ยมแล้ว เขายังเป็นนักแสดงที่ผู้เขียนคิดว่าเหมาะสมที่สุดในการรับบทนี้เลยทีเดียว ผู้เขียนไม่อาจจะคิดนักแสดงคนไหนได้อีกที่จะเหมาะสมกับบทบาทนี้ ภาพยนตร์แอ็คชั่นที่พูดถึงการกลับมาของบุคคลอันร้ายกาจ เท่ห์ คงไม่มีใครจะเหมาะมากไปกว่าเขาคนนี้ จะว่าไปแล้วถ้าหากดูจากบทภาพยนตร์เพียงอย่างเดียวมันแทบจะพาทำให้ผู้เขียนคิดไปว่า บทนี้เขียนมาให้เพื่อคีนู รีฟเล่นเพียงคนเดียวเท่านั้นซะอีก

ไม่ใช่แค่นั้นนักแสดงอีกท่านหนึ่งอย่าง ไมเคิล นีควิสต์ ซึ่งรับบทเป็นตัวร้ายของเรื่องก็แสดงได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลยทีเดียว ซึ่งเขาเคยมีผลงานภาพยนตร์อเมริกันในช่วงที่ผ่านมานี้อย่างเช่น Abduction , Mission Impossible : Ghost Protocal หรือแม้แต่ทีวีซีรียส์อย่าง Zero Hour แต่ต้องพูดเลยว่าผู้เขียนชื่นชอบการแสดงเป็นตัวละครร้ายของเขาใน John Wick มากที่สุด การแสดงของเขาทำให้ตัวละครของเขาน่าสนใจและน่าติดตามไม่ใช่น้อยว่าเขาจะมาต่อกรกับมหาเทพจอห์น วิค คีนู รีฟซึ่งเปิดโหมดพระเจ้าอย่างไร

นอกจากนั้นแล้ว John Wick ยังมีนักแสดงชื่อดังมาสมทบอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น วิลเลม เดโฟ (Spider-Man) , เอเดรียน พาลิคกี้ (G.I. Joe: Retaliation) , เอียน แม็คเชน (Death Race) และ จอหน์ เลอกิซาโม จาก Kick-Ass 2 อีกด้วย ถึงแม้ว่าแต่ละคนอาจจะไม่ได้มีบทบาทเด่นมากนัก แต่การมารวมตัวกันครั้งนี้ก็ถือว่ายิ่งทำให้คุ้มค่าตั๋วภาพยนตร์เข้าไปอีก

John Wick เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องล่าสุดของคีนู รีฟซึ่งเป็นการกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งของเขาอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่านี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มีบทอันน่าทึ่ง หรือการเล่าเรื่องอันยอดเยี่ยมแปลกใหม่ แต่มันก็รู้ดีว่าตัวมันเองต้องการจะเป็นอะไร โดยที่ไม่พยายามจะเป็นอื่น และให้สิ่งที่ผู้ชมต้องการจริงๆ โดยไม่ทำออกมาแบบครึ่งๆกลางๆ ยิ่งผนวกกับการแสดงอันสุดเท่ห์ของคีนู รีฟ และการแสดงบทตัวร้ายอันน่าติดตามของ ไมเคิล นีควิสต์ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่คอหนังแอ็คชั่นไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด

Final Score : [ B + ] & [ Must See Badge ]

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Dracula Untold ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีที่มาของเรื่องราวอันน่าสนใจ 
แต่ Dracula Untold ก็ล้มเหลวในการเล่าและถ่ายทอดมันออกมาอย่างสิ้นเชิง"

      นี้ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องของปีนี้ ที่นำตำนานภูตผีปีศาจมาสร้างเป็นตัวละครหลักชนิดไม่ต้องพึ่งพาใครอย่างแท้จริง จริงๆแล้วในต้นปีก็มีภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวคล้ายๆกันอย่าง I,Frankenstein ไปแล้ว ซึ่งมันก็หนีไม่พ้นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง คราวนี้ก็มาถึงทีของอีกหนึ่งตำนานที่คนทั่วโลกน่าจะรู้จักกันดีอย่างแดร็กคูล่ากันบ้าง 

Dracula Untold เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงเรื่องของวลาดเจ้าชายซึ่งเมืองและครอบครัวของเขากำลังตกอยู่ในภัยคุกคามอันใหญ่หลวง ท่ามกลางความสิ้นหวัง เขาจึงต้องตกลงรับข้อเสนอจากพลังอันลึกลับ ถึงแม้ว่าเขาจะได้พลังอันใหญ่หลวงแต่มันก็แลกมาด้วยความเป็นมนุษย์ที่ถูกกลืนกินไปเรื่อยๆของเขา

จริงๆแล้วเรื่องราวตำนานอย่างแดร็กคูล่าก็ไม่ใช่เรื่องราวที่ขี้เหร่อะไรเลยในการจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ซักเรื่องหนึ่ง จะว่าไปแล้ว มันเป็นเรื่องราวที่น่าจะดึงดูดผู้ชมได้เยอะมากกว่าปกติด้วยซ้ำไปถ้าหากมันทำออกมาได้มีคุณภาพและน่าประทับใจเพียงพอ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ล้มเหลวแทบจะสิ้นเชิง

ปัญหาอันใหญ่หลวงของ Dracula Untold เลยก็คือ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ที่ตั้งความคิดเอาไว้ว่าตนเองจะจริงจังกับบทและตำนานแดร็กคูล่ามากๆก็ตาม มันกลับแทบจะไม่ให้เวลาตัวมันเองในการเล่าเรื่องตัวละคร หรือ ตำนานต่างๆออกมาเท่าไรเลย เวลาส่วนใหญ่กลับถูกใช้ไปในฉากแอ็คชั่น และพอเข้าฉากเล่าเรื่องหรือสนทนากันของตัวละครตัวภาพยนตร์ก็มักจะพยายามรีบเร่งให้ฉากสนทนาจบไปอย่างรวดเร็วตลอด จนทำให้ผู้เขียนไม่สามารถที่จะจับหรือเข้าถึงตำนานและเรื่องราวอะไรได้เลยเพราะมันถูกถ่ายทอดออกมาอย่างลวกๆ

ไม่ใช่แค่นั้น ตัวละครก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ร้ายแรงพอๆกันกับการเล่าเรื่อง ตัวละครอื่นๆในภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากตัวหลักอย่างแดร็กคูล่าเอง มักจะไม่น่าสนใจ ซ้ำซากอย่างกับเป็นตัวละครที่ตัดแปะมาจากแม่แบบซึ่งไม่มีความลึกหรือความเป็นมนุษย์ เป็นตัวละครที่ใส่มาเพื่อเพียงบรรลุจุดประสงค์ของตัวละครเอกโดยไม่ได้มีความหมายหรือความน่าจดจำใดๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกกระจ๊อกของพระเอกที่จืดชืด ยันตัวละครร้ายที่ร้ายโดยไม่มีเหตุและผลใดๆ แม้กระทั่งตัวละครรองสองตัวสำคัญอย่างภรรยาและลูกชายของตัวละครเอกเองก็ช่างซ้ำซากและน่าเบื่อ แถมตัวภาพยนตร์ก็พยายามที่ยัดเยียดฉากต่างๆของตัวละครสองตัวนี้ ที่ควรจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจตัวละครสองตัวนี้เข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งมันกลับกลายเป็นว่าการทำเช่นนี้ มันยิ่งทำให้ตัวละครสองตัวนี้น่ารำคาญหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนถึงจุดที่ผู้เขียนอยากจะให้ตัวละครเหล่านี้หายๆไปได้ซักที ซึ่งสาเหตุของปัญหาจุดนี้ก็วนกลับมาที่ต้นเหตุเดิมที่ตัวภาพยนตร์ไม่เคยให้เวลาในการอธิบาย เล่าเรื่องและถ่ายทอดตัวละครเหล่านี้อย่างเพียงพอจนทำให้พวกเขาเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดอันไร้อารมณ์ที่ผู้เขียนไม่เคยจะใส่ใจถึงความเป็นอยู่ของพวกเขา

ถึงกระนั้นก็ตาม ตัวภาพยนตร์เองก็ยังมีบางสิ่งที่พอจะอยู่ในจุดให้อภัยได้อยู่บ้าง อย่างเช่นฉากแอ็คชั่นที่ต้องใช้คำว่า "โคตาระเวอร์"ของภาพยนตร์ที่อยู่ในจุดพอที่จะบันเทิงได้อยู่บ้างจากความเวอร์ของมัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นฉากที่ไม่ได้มีการออกแบบที่ดี และมีการเคลื่อนกล้องหรือตัดต่อที่รวดมากเกินไปหน่อยก็ตาม ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากภาพที่ถูกถ่ายออกมาได้อย่างสวยงาม ก็ต้องขอยกเครดิตให้กับผู้กำกับภาพไปใน ณ ที่นี้

หรือจะเป็นนักแสดงนำอย่างลุค อีแวนส์ซึ่งกำลังมีผลงานดังๆอย่าง The Hobbit ที่กำลังจะฉายตอนสุดท้ายในปีนี้ เขาก็รับบทแสดงนำอย่างแดร็กคูล่าได้ไม่เลวเลยทีเดียว จะว่าไปแล้ว ตัวละครและการแสดงของเขาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ลงต่ำไปสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวังลึกยิ่งกว่านี้

ผู้เขียนรู้สึกเสียดายโอกาสของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ไม่ใช่น้อย จากเรื่องราวตำนานที่น่าจะทำให้น่าสนใจได้อย่างแดร็กคูล่า กลับกลายเป็นว่าล้มเหลวไปแทบจะสิ้นเชิงจากผู้กำกับที่ไร้ประสบการณ์ ซึ่งก็เป็นที่คาดเดาได้จากความที่นี้คือการกำกับภาพยนตร์ใหญ่เรื่องแรกของผู้กำกับแกรี่ ชอว์ท่านนี้ ถึงแม้ว่าจะมีบางด้านของภาพยนตร์ที่กรีดร้องถึงเรื่องราวอันน่าสนใจเช่นการปะทะกันระหว่างความถูกต้อง กับ ความอยู่รอดอยู่บ้าง แต่ในเมื่อด้านอื่นๆของมันล้มครื่นลงมาอย่างไม่เป็นท่า จุดที่น่าสนใจจุดนี้ก็ถูกกลบมิดจนไม่อาจที่จะแสดงถึงศักยภาพของมันอย่างแท้จริงได้

Final Score : [ C - ] 

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Gone Girl ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"อีกหนึ่งผลงานการกำกับของเดวิด ฟินเชอร์ที่พาเราเข้าไปสู่โลกและสังคมอันเสแสร้งหลอกลวง"

     ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เรียกได้ว่า เป็นผลงานชิ้นล่าสุดจากผู้กำกับที่เก่งกาจมากๆคนหนึ่งของฮอลลีวู้ดอย่างเดวิด ฟินเชอร์เจ้าของผลงานการกำกับอย่าง Se7en , Fight Club , Zodiac ,The Social Network และ The Girl with the Dragon Tattoo ซึ่งฟินเชอร์นั้นถือได้ว่าเป็นผู้กำกับท่านหนึ่งที่โดดเด่นในการเล่าเรื่องเอาเสียมากๆ ไม่ว่าจะด้วยลูกเล่นที่ใช้กับผู้ชมหรือใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆในภาพยนตร์ของเขาก็ช่างเล่าเรื่องออกมาได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม จนทำให้ภาพยนตร์ของเขาที่แทบจะทุกเรื่องมักจะเป็นแนวสืบสวนสอบสวนหรือแนว "ใครเป็นคนทำ" กลายเป็นภาพยนตร์ที่รู้สึกสนุกและน่าค้นหาทุกครั้งที่ได้ชม

ภาพยนตร์เรื่อง Gone Girl ก็ว่าด้วยเรื่องราวของนิคที่อยู่มาวันหนึ่งภรรยาของเขาก็กลับหายตัวไปอย่างปริศนา และด้วยการเสนอข่าวอันหนักหน่วงของสื่อต่างๆ ทำให้เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกรเสียเอง 

Gone Girl ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ใช้การเล่าเรื่องอันยอดเยี่ยมของเดวิด ฟินเชอร์ได้แทบจะสมบูรณ์แบบอีกครั้ง ด้วยการเล่าเรื่องตัดสลับระหว่างมุมมองของแต่ละตัวละครอย่าง ตัวพระเอก ตัวภรรยา และตัวนักสืบ ซึ่งทำให้ภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวออกมาได้อย่างกว้างขวาง น่าสนใจ ผ่านมุมมองและความคิดอันแตกต่างของแต่ละตัวละคร ถึงแม้ว่าวิธีการเล่าเรื่องเช่นนี้อาจจะไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ซักเท่าไรนักก็ตาม

โดยหลักๆแล้วนี้คือภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อและเสียดสีสังคมอันเสแสร้งของอเมริกันอย่างหนักหน่วง เช่นการพูดถึงสื่อที่มักจะนำเสนอแต่สิ่งที่ผู้ชมหรือผู้เสพสื่อต้องการจะชมเพื่อสร้างกระแส โดยไม่ใส่ใจว่าข้อมูลนั้นอาจจะเป็นเท็จหรือข้อมูลเพียงด้านเดียว ส่วนในด้านของสังคมเองก็เป็นคนป้อนคำสั่งในการนำเสนอสิ่งต่างๆแก่สื่อและพวกเขายังต้องการที่จะได้ยินหรือได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาต้องการจะเห็นหรือในสิ่งที่พวกเขาเชื่อเท่านั้นถึงแม้ว่าสิ่งๆนั้นมันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเลยก็ตาม 

แต่ก็ต้องพูดเลยว่า Gone Girl ก็ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะสมบูรณ์แบบเสียทีเดียว มันยังคงมีบางด้านที่อยู่เพียงระดับพอใช้ได้เท่านั้น เช่นผลงานการแสดงนำของสองนักแสดงอย่าง เบน แอฟเฟล็ก กับ โรซามันด์ ไพค์ที่อยู่ในระดับไม่ได้น่าประทับใจอะไร รวมถึงทั้งคู่เองก็ไม่ได้ให้เคมีที่เข้ากันซักเท่าไรนัก 

นอกจากนั้นหลังจากที่ตัวภาพยนตร์เปิดเผยแล้วว่าใครเป็นคนทำ ตัวภาพยนตร์ก็มีความน่าสนใจน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่ามันก็พยายามที่จะดึงผู้ชมด้วยวิธีอื่นก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เพียงพอกับสิ่งที่มันสูญเสียไปซักเท่าไรนัก ยิ่งผนวกกับตัวละครบางตัวที่ค่อนข้างจะมีตรรกะอันประหลาดซึ่งทำให้น้ำหนักของตัวภาพยนตร์ลดลง ก็ทำให้ท้ายเรื่องของภาพยนตร์รู้สึกน่าเบื่อไปบ้างอย่างน่าเสียดาย

ในท้ายที่สุด Gone Girl ก็อีกหนึ่งผลงานการกำกับของเดวิด ฟินเชอร์ที่พาเราเข้าไปสู่โลกและสังคมอันเสแสร้งหลอกลวง ด้วยการเล่าเรื่องและบทภาพยนตร์อันน่าติดตามทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ที่สนุก น่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้นำมาซึ่งการแสดงอันยอดเยี่ยมน่าจดจำ หรือการนำเสนออะไรที่แปลกใหม่นัก แต่นี้ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ชื่นชอบภาพยนตร์สืบสวนด้วยประการทั้งปวง

Final Score : [ B + ]

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

The Host ( 2006 ) Movie Review

Movie Review



"ภาพยนตร์สัตว์ประหลาดที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ?"

           ถึงแม้ว่าในภายนอก The Host หรือในชื่อภาษาเกาหลีว่า "Gwoemul" จะเป็นเหมือนภาพยนตร์สัตว์ประหลาดสุดแสนธรรมดา เอาเข้าจริงถ้าหากดูจากคุณภาพ CG และโปสเตอร์แล้ว มันแทบจะกลายเป็นหนังเกรด B เมื่อเทียบกับ Hollywood อย่าง Godzilla ไปเลย 

แต่สิ่งที่ทำให้มันโกลาหลและน่าทึ่งเสียยิ่งกว่า Goldzilla ปี 2014 ซะอีกเลยก็คือ บทภาพยนตร์ของมันต่างหาก มันไม่ใช่แค่ภาพยนตร์สัตว์ประหลาดที่ใส่มาเพียงแต่ฉากถล่มเมืองหรือถล่มสิ่งต่างๆ แต่มันเต็มไปด้วยเนื้อหาการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเกาหลีใต้และรัฐบาลอเมริกาอย่างรุนแรงและหนักหน่วงเสียยิ่งกว่าฉากปล่อยพลังของ Godzilla ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์นี้ก็ดันมีเหตุมาจากส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงระหว่างประเทศเกาหลีใต้กับอเมริกาในปี 2000 อีกด้วย จะเรียกได้ว่าเป็นการตอบโต้ของผู้กำกับ บอง จุน โฮซึ่งไม่ได้เพียงวิพากษ์รัฐบาลอเมริกาที่สอดมือเข้ามายุ่ง แต่ยังวิพากษ์รัฐบาลเกาหลีใต้ที่ไม่รักษาผลประโยชน์และแก้ไขปัญหาของประเทศตัวเองอีกด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Gwoemul แตกต่างจากภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ ก็คือตัวละคร โดยส่วนมากตัวละครในภาพยนตร์แนวนี้จะไม่ค่อยน่าสนใจและซ้ำซาก หรือดีไม่ดีก็อาจจะพาน่าเบื่อไปเลยก็มีเช่นใน Godzilla ปี 2014 แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ตัวละครต่างๆกลับน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าแต่ละตัวละครจะมีแกนหลักคล้ายๆกันอยู่บ้างซึ่งก็คือการต้องการพิสูจน์ตนเอง หรือ การแก้แค้นสัตว์ประหลาด แต่ประเด็นเหล่านี้ ตัวภาพยนตร์ก็เล่าออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวละครเหล่านี้เป็นมนุษย์จริงๆ

ผู้เขียนต้องขอชมการกำกับของผู้กำกับมากความสามารถ บอง จุน โฮคนนี้จริงๆ นอกจากเขาจะเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องเก่งมากๆคนหนึ่งแล้ว ผู้เขียนยังชื่นชอบแนวทางการสร้างภาพยนตร์ของเขาอย่างมากอีกด้วย ถึงแม้ว่า Gwoemul จะเป็นภาพยนตร์สัตว์ประหลาด ซึ่งโดยปกติมันจะต้องอลังการ ยิ่งใหญ่ และเต็มไปด้วยฉากหายนะทุก สิบนาที ซึ่งในหลายๆครั้งฉากเหล่านี้มันกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงของภาพยนตร์เหล่านี้ ที่มีแต่อาหารทางภาพแต่ดันไม่มีความหมายหรือสื่อไปถึงอะไรได้เลยนอกจากความซะใจส่วนตัวอย่างเดียว แต่บอง จุน โฮ เลือกที่จะจำกัดความเป็นภาพยนตร์สัตว์ประหลาดของเขาลงให้เหลือแต่ด้านที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งเป็นผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ของเขาไม่รู้สึกถึงเวลาที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เลยสักวินาทีเดียว ซ้ำการกำกับที่แอบแฝงความตลกปนทุกข์เอาไว้อย่างแนบเนียนก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าทึ่งเข้าไปอีก

ในท้ายที่สุด The Host หรือ "Gwoemul" ก็กลายเป็นภาพยนตร์สัตว์ประหลาดที่น่าทึงที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยการกำกับที่น่าทึ่งของบอง จุน โฮ ที่ถ่ายทอดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเกาหลีใต้และตอบโต้รัฐบาลอเมริกาอย่างรุนแรงได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์สัตว์ประหลาดที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมาของผู้เขียนเลยทีเดียว

Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

The Babadook ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review 



"ด้วยการเลือกวิธีนำเสนอเนื้อหาของตนเองได้อย่างชาญฉลาดและโดดเด่นของผู้กำกับเจนนิเฟอร์ เคนท์ ทำให้ The Babadook กลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่น่าทึ่งที่สุดแห่งปีนี้ และดูท่าทางว่าคงจะยากนักที่จะหาใครมาแย่งตำแหน่งนี้ไปจากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้"


            ณ ช่วงเวลานี้ก็เข้าเดือนตุลาคมกันแล้ว แน่นอนว่าเดือนๆนี้สำหรับวงการภาพยนตร์จะต้องมีมาไม่ขาดสายสำหรับภาพยนตร์สยองขวัญทั้งหลายทั้งปวง โดยมีภาพยนตร์อย่าง Annabelle หรือ As Above , So Below เปิดตัวไปก่อนแล้ว และแน่นอนว่าเราคงจะได้ชมภาพยนตร์แนวสยองขวัญกันอีกต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะสิ้นเดือนนี้


แต่มีภาพยนตร์สยองขวัญอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งสะดุดตาผู้เขียนเข้าให้มากที่สุด จากเสียงวิจารณ์ด้านบวกในต่างประเทศอย่างล้นหลามแถมด้วยความที่มันยังเป็นภาพยนตร์ออสเตรเลียอีกด้วย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนั้นก็คือ The Babadook  ซึ่งต้องพูดเลยว่าถึงแม้ว่าจะเป็นชื่อภาพยนตร์ที่แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้ชมมันด้วยสายตาตัวเองน้อยลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งด้วยความที่ภาพยนตร์สยองขวัญที่มีคุณภาพและนำเสนออะไรแปลกใหม่หายากเข้าไปทุกวัน ทั้งยังรวมถึงตัวอย่างของความล้มเหลวที่มีอยู่ให้เห็นอยู่เนืองๆเฉกเช่น Annabelle ยิ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากชมภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าไปอีก


The Babadook เล่าถึงเรื่องราวของสองแม่ลูกคู่หนึ่งซึ่งสูญเสียผู้เป็นพ่อไปเมื่อ 6 ปีก่อน ความปวดร้าวของทั้งสองที่่หนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำพวกเขายังพบหนังสือนิทานเด็กประหลาดที่เริ่มจะกลายเป็นต้นตอของความน่ากลัวซึ่งเริ่มที่จะรุนแรงและสาหัสขึ้นไม่ต่างอะไรไปจากจิตใจของพวกเขา


สิ่งที่ทำให้ The Babadook แตกต่างจากภาพยนตร์สยองขวัญทั่วๆไป ก็คือความเป็นจิตวิทยาและการเล่าเรื่องของมัน มันไม่ใช่ภาพยนตร์ทีตั้งกรอบว่าตัวมันเองคือภาพยนตร์สยองขวัญแล้วจึงใส่เนื้อหาเข้าไป แต่มันนำเนื้อหาของมันซึ่งก็คือความเป็นจิตวิทยา มาเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์สยองขวัญต่างหาก โดยมันเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงจิตใจอันเจ็บปวดและแหลกสลายมาเป็นระยะเวลายาวนานของผู้เป็นแม่ซึ่งต้องสูญเสียสามีไป ไม่ว่าจะด้วยจากแรงกดดันจากสังคมหรือคนรอบข้าง และที่สำคัญคือตัวลูกชายของเธอเอง ซึ่งแรงกดดันนี้มันเริ่มจะกัดกินจิตใจของเธอไปเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ในภาพยนตร์


จริงๆแล้วเมื่อผู้เขียนมานั่งวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้เขียนได้พบว่าตัวบทภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์ดราม่ากับภาพยนตร์สยองขวัญอยู่มาก ซึ่งผู้กำกับเจนนิเฟอร์ เคนท์เลือกที่จะถ่ายทอดและเล่าเรื่องจิตใจของตัวละครออกมาด้วยรูปแบบภาพยนตร์สยองขวัญ นอกจากเธอจะใช้จุดเด่นของภาพยนตร์สยองขวัญได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เธอยังทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจนด้วยการเล่าเรื่องที่ใช้ความสยองขวัญเป็นเครื่องมืออธิบายถึงเนื้อหาที่แฝงอยู่ภายในภาพยนตร์ได้อย่างชาญฉลาดมากเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วด้วยความที่เธอเป็นผู้หญิงซ้ำยังกำกับและเขียนบทภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องของภรรยาผู้สูญเสียสามีด้วยตัวเธอเอง ก็ทำให้ The Babadook กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความเป็นสตรีนิยมอยู่ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะมุมมองการเล่าเรื่องที่มาจากตัวละครผู้ซึ่งเป็นแม่แทบจะเต็มร้อย


อีกสิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมไม่ใช่น้อยสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ การกำกับฉากสยองขวัญของผู้กำกับและเขียนบท เจนนิเฟอร์ เคนท์ ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่เพิ่งจะกำกับภาพยนตร์เรื่องใหญ่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็ตาม แต่เธอก็รู้จักวิธีที่จะถ่ายทอดฉากสยองขวัญในภาพยนตร์ออกมาให้น่าสนใจและไม่เป็นการดูถูกผู้ชม ด้วยการใช้ความกดดันจากฉาก เสียง หรือ มุมกล้องที่วางได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ เป็นการสร้างความกลัวให้กับผู้ชม ที่สำคัญเลยก็คือมันไม่เต็มไปด้วยฉากประเภทกระแทกผู้ชมด้วยเสียงเอฟเฟคทั้งหลายหรือที่เราเรียกติดปากกันว่า "ผีตุ้งแช่" ซึ่งมันคืออารมณ์ตกใจ ไม่ใช่ความกลัวอย่างแท้จริง 


ทั้งสองนักแสดงนำใน The Babadook เองก็ทำหน้าที่ได้ค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น เอลซีย์ เดวิส ผู้รับบทเป็นแม่ หรือโนอาห์ ไวส์แมน ซึ่งรับบทเป็นลูก โดยเฉพาะ เอลซีย์ เดวิสผู้ซึ่งรับบทเป็นแม่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ และเธอได้แสดงผลงานออกมาได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด แต่ในด้านของตัวลูกอย่างโนอาห์ ไวส์แมนอาจจะเพราะด้วยอายุและประสบการณ์รวมถึงตัวบทที่ได้รับเอง การแสดงของเขาในบางฉากจึงอาจจะสร้างความน่ารำคาญเกินไปหน่อยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงให้อภัยหรือทนดูไม่ได้ซะทีเดียว เรียกได้ว่าทั้งสองคนนี้เป็นแกนกลางหลักของเรื่องที่สำคัญและจะขาดไปไม่ได้เลยทีเดียวเชียว เพราะอย่างน้อยเกือบจะทั้งเรื่อง เราก็แทบจะได้เห็นเพียงแต่สองนักแสดงคนนี้


ถ้าหาก The Conjuring คือภาพยนตร์สยองขวัญอันดับหนึ่งแห่งปี 2013 ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า The Babadook จะได้รับฉายาภาพยนตร์สยองขวัญอันดับหนึ่งแห่งปี 2014 ไปครอง เพราะด้วยการกำกับและเขียนบทอันยอดเยี่ยมของเจนนิเฟอร์ เคนท์ซึ่งนำไปสู่การถ่ายทอดเนื้อหาทางจิตวิทยาของผู้เป็นแม่อันน่าติดตาม และยิ่งการที่เธอเลือกที่จะเล่าเรื่องราวจิตใจของตัวละครด้วยรูปแบบภาพยนตร์สยองขวัญก็ยิ่งทำให้ The Babadook กลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่น่าทึ่งที่สุดแห่งปีนี้ และดูท่าทางว่าคงจะยากนักที่จะหาใครมาแย่งตำแหน่งนี้ไปจากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้


Final Score [ A  ] & [ Must See Badge ]

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Old Boy ( 2003 ) Quick Movie Review


Oldboy ( 2003 ) Quick Movie Review :



Oldboy เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาอันรุนแรง และฉากอันรุนแรงโหดร้ายมากมาย แต่มันก็ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าติดตาม ท้าทายสังคมในประเด็นที่น้อยเรื่องจะกล้าเล่าได้หนักหน่วงเช่นนี้ ในท้ายที่สุดแล้วต้องพูดเลยว่าไม่มีภาพยนตร์เรื่องใด ที่จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้อันสิ้นเชิงของทั้งตัวละครเอกและตัวละครร้ายมากไปกว่านี้อีกแล้ว 

Final Score : [ A ] & [ Must See Badge ]

Lost in Translation ( 2003 ) Quick Movie Review

Lost In Translation (2003) Quick Movie Review :



ถึงแม้ว่าตัวบทภาพยนตร์อย่างเดียวของมัน จะไม่ได้น่าตื่นเต้นหรือมีอะไรแปลกใหม่ซักเท่าไรนัก แต่เพราะสไตล์การกำกับและเล่าเรื่องของ Sofia Coppola ทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ชวนหลงใหลไม่ใช่น้อย 
นอกจากนั้นแล้วประเด็นที่ตัวมันเองพูดถึง"ความรักอันไม่สามารถเกิดขึ้นได้"และประเด็นสภาพสังคมอันวุ่นวายก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน ผู้กำกับหญิงท่านนี้ก็นำประเด็นนี้มาเล่นกับผู้ชมได้เป็นอย่างดี จนทำให้เรารู้สึกได้ถึงมนตร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่จะอยู่ติดตัวเราต่อไปแม้ว่าตัวภาพยนตร์มันจะจบลงไปแล้วก็ตาม นี้เรียกได้ว่าเป็นการถ่ายทอดความคิดในมุมมองของผู้หญิงได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียวเชียว

Final Score : [ A ] & [ Must See Badge ]