วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Pixels ( 2015 ) Movie Review



Pixels ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"วิดีโอเกมล้างแค้น"



  ม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญที่โชคดีหรือโชคร้ายสำหรับภาพยนตร์จากวิดีโอเกมอย่าง Pixels และ Hitman: Agent 47 ที่ดันมาเข้าฉายในบ้านเราอาทิตย์เดียวกัน วันเดียวกัน แถมทั้งสองเรื่องก็โดนนักวิจารณ์ต่างประเทศรุมสับเละพอๆกันอีก ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับภาพยนตร์อย่าง Pixels ที่ได้ผู้กำกับ คริส โคลัมบัส เจ้าของผลงานสุดคลาสสิคอย่าง Home Alone และ Harry Potter ทั้งสองภาคแรก


Pixels ว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่ถูกมนุษย์ต่างดาวส่งวิดีโอเกมคลาสสิคมาทำลายล้างโลก ทำให้เหล่าเซียนเกมทั้งหลายจึงต้องมารวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือโลก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป



พูดตรงๆ Pixels เป็นภาพยนตร์ที่แทบจะหาลายเซ็นหรือเอกลักษณ์ของผู้กำกับ คริส โคลัมบัส แทบจะไม่ได้ เพราะแทบจะทุกส่วนของภาพยนตร์เต็มไปด้วยลายเซ็นของนักแสดงหลักอย่าง อดัม แซนเลอร์ ซะแทน


ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่บางเฉียบยิ่งกว่ากระดาษ A4 ตรรกะและสาระของภาพยนตร์ที่แทบจะหาไม่ได้ ซึ่งในด้านหนึ่งก็พอเข้าใจว่าเราไม่ควรไปหาสาระอะไรกับภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่แค่คิดว่าเหล่าเอเลี่ยนส่งวิดีโอเกมมาโจมตีโลกแล้วกลับจะต้องมานั่งตั้งกฏเหมือนในเกมแทนที่จะถล่มโลกแบบช่างหัวกฏในเกมไปเลย หรือนักแสดงอย่าง เควิน เจมส์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐก็รู้สึกอยากจะกุมขมับ


ในด้านของตัวละคร โดยรวมก็ยังเป็นตัวละครชุดเดิมๆจากภาพยนตร์ของ อดัม แซนเลอร์ ที่ใช้เทคนิค Copy / Paste มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เช่น เหล่าตัวละครกลุ่มผองเพื่อนตั้งแต่วัยเด็ก , นิสัย บุคลิกและความฝันเหล่าเด็กเนิร์ด , วัยเด็กที่เต็มไปด้วยความฝัน ความสุขแต่พอโตขึ้นมากลับตกอับ , การพยายามดึง/พิสูจน์ตนเองขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับ และอื่นๆอีกมากมาย นี้ยังไม่นับถึงเหล่ามุขตลกที่ก็ไม่ค่อยจะสร้างสรรค์เท่าไร เช่นตัวละครที่โหวกเหวกโวยวายอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้ไปไกลขนาดภาพยนตร์เรื่องก่อนๆของ แซนเลอร์ มากนัก



แต่ถึง Pixels จะมีปัญหามากมายเหล่านั้นก็ตาม สิ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย ก็คือความบันเทิง ความสดใหม่ หรือความ"ฟิน" ที่เหล่าอนิเมชั่นและวิดีโอเกมคลาสสิคนำมาให้กับผู้ชม


ใช่บทภาพยนตร์นั้นย่ำแย่ ตัวละครหรือมุขตลกก็ไม่น่าประทับใจ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ถูกทดแทนด้วยซีจีอนิเมชั่นอันอลังการ สวยงาม และในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นแฟนเกมตัวยง การที่ได้มาเห็นเหล่าวิดีโอเกมสุดคลาสสิคอย่าง Donkey Kong , Pac-Man หรือ Centipede บนจอภาพยนตร์แบบเต็มๆ ทำให้ดูไปก็ฟินไป เป็นอะไรที่เพลิดเพลิน บันเทิงสุดๆ และฉากสำคัญบางฉากยังทำอารมณ์ได้ลุ้นระทึก น่าติดตามใช้ความเป็นเอกลักษณ์ของเกมๆนั้นได้ดีอีกด้วย ทำให้ช่วงฉากวิดีโอเกมทั้งหลายรู้สึกสนุก ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา  




สุดท้ายแล้ว Pixels ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่เกือบจะผ่านฉลุยในด้านของความบันเทิง ความอลังการที่เหล่าอนิเมชั่น วิดีโอเกมนำมาสร้างสีสันและความสดใหม่ให้กับเหล่าองค์ประกอบส่วนอื่นๆที่ช่างจืดชืดไร้ชีวิตของตัวภาพยนตร์ก็เป็นอะไรที่ถือว่าโชคดี นี้เป็นภาพยนตร์ที่รู้ตัวดีว่าต้องการจะเป็นอะไร ซึ่งสิ่งๆนั้นก็คือความบันเทิง และในบางครั้งความคิดนั้นก็เป็นทางเลือกที่ดี กว่าเหล่าภาพยนตร์ที่พยายามอย่างมากในการจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม แต่กลับล้มเหลวมันทุกสรรพสิ่งและนำมาแต่ความทุกข์ให้แก่ผู้ชม


Final Score : 6 / 10

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Hitman: Agent 47 (2015) movie review



Hitman: Agent 47 (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


" God Mode Activated "


 ถือได้ว่าเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้ง กับภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากวิดีโอเกม ซึ่งอย่างที่น่าจะทราบกันดี ประวัติศาสตร์ของวงการนี้นั้นค่อนข้างจะมืดมนพอสมควร จากภาพยนตร์ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าหลายต่อหลายเรื่อง ส่วนเรื่องที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้แฟนๆเกมก็ตั้งคำถามถึงคุณภาพมันอยู่ทุกวัน (Reside....)


แน่ล่ะ สุดท้ายแล้วพอมีภาพยนตร์ใหม่ๆเหล่านี้ประกาศออกมาหรือมีตัวอย่างภาพยนตร์ออกมา เราก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ แถมยังมีภาพยนตร์อย่าง Warcraft หรือ Assassin's Creed ในปีหน้าที่หลายๆคนคาดหวังไว้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ทำลายคำสาปนี้ให้สิ้นไป  แต่สำหรับ Hitman: Agent 47 (ซึ่งจริงๆเคยเป็นภาพยนตร์มาก่อนแล้วครั้งหนึ่งในปี 2007) อนาคตนั้นดูจะลำบากเหลือเกิน 



Hitman: Agent 47 ว่าด้วยเรื่องราวของเอเจนท์หมายเลข 47 ซึ่งต้องร่วมมือกับผู้หญิงปริศนาคนหนึ่งเพื่อตามหาบุคคลสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่เขาต้องการ


บอกตามตรงเลย ว่าถ้าหากเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์ไปเป็นชื่ออะไรก็ได้อื่นๆ ต่อให้ชมภาพยนตร์จนจบก็แทบจะไม่รู้เลยว่านี้เป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากวิดีโอเกมชื่อดังอย่าง Hitman ยิ่งโดยเฉพาะผู้ชมบางท่านที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน ยิ่งแล้วใหญ่


ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะสภาพของตัวภาพยนตร์เอง ช่างจืดชืด ธรรมดา ปราศจากความสดใหม่ หรือความโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย เสมือนเป็นแค่อีกหนึ่งภาพยนตร์แอ็คชั่นธรรมดาๆทั่วไปที่โผล่ขึ้นมาในโรงภาพยนตร์ให้ชมไม่กี่อาทิตย์แล้วเราก็ลืมๆมันไปอย่างรวดเร็ว


ตั้งแต่ บทภาพยนตร์ ซึ่งดาษดื่น และพูดถึงเรื่องเดิมๆที่ภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นพูดมาแล้วไม่รู้กี่ล้านรอบ ไม่ว่าจะเป็น องค์กรลับอยู่เบื้องหลัง , โครงการสร้างสิ่งที่เหนือมนุษย์ สร้างกองทัพ , การท้าทายพระเจ้า , ตัวละครสูญเสียความทรงจำและต้องออกตามหาความทรงจำ บลาๆอื่นอีกมากมาย



หรือกระทั่งเหล่าฉากแอ็คชั่นเอง ก็ยังทำได้ค่อนข้างธรรมดา ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับภาพยนตร์ที่น่าจะได้อิทธิพลมาจากเกมอย่าง Hitman โดยรวมฉากแอ็คชั่นยังถือว่าพอดูได้ สนุกได้ แต่ก็ไม่มีฉากใดน่าจดจำหรือทำให้เราร้องว้าวเลยแม้แต่ฉากเดียว


แต่ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดของตัวภาพยนตร์จริงๆ ดูเหมือนจะเป็นตัวละครเสียมากกว่า ในขณะที่ตัวละครร้ายก็ช่างแสนจะแบนราบ ข้าร้าย ข้าอยากครองโลก ก็เพราะข้าเป็นตัวร้าย และยิงวืดมันได้ทุกนัด พระเอกของเรา เอเจนท์ 47 ก็ช่างมหาเทพเสมือนใส่สูตร เปิดโหมดพระเจ้า ปืนเล็งอัตโนมัติไม่มีวันพลาด กระสุนไม่มีจำกัด อย่างงั้นเลยทีเดียว ถ้าหากลุง เลียม นีสัน ใน Taken เปิดโหมดพระเจ้า , เอเจนท์ 47 ก็เหมือนเปิดโหมดพระเจ้าเวอร์ชั่นอัพเกรด 2.0 ซึ่งผลของตัวละครที่เป็นเช่นนี้ ก็คือภาพยนตร์ที่ปราศจากความตื่นเต้น หรือความน่าสนใจ เพราะตัวละครเอกของเราไม่เคยตกอยู่ในสภาวะลำบาก หรือสภาพที่กำลังเสี่ยงต่อชีวิตเลยแม้แต่ครั้งเดียว



ทำให้สุดท้ายแล้วภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากวิดีโอเกมชื่อดังเรื่องล่าสุด Hitman: Agent 47 นี้กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ปราศจากความน่าจดจำ นี้ยังคงเป็นอีกหนึ่งความล้มเหลวของฮอลลีวูดในการพยายามสร้างภาพยนตร์เหล่านี้ แต่อย่างน้อยนี้ก็ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่รู้สึกทรมาณหรือรู้สึกอยากเดินออกจากโรงระหว่างชม นี้ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่สามารถชมได้อย่างเพลินๆ เพียงแต่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวังสำหรับสภาพของภาพยนตร์ประเภทนี้ ที่เริ่มจะสิ้นหวังเข้าไปทุกวันทุกวัน


Final Score : [ 5 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Inside Out ( 2015 ) Movie Review


Inside Out ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"บิ่งบอง ฮีโร่ผู้ถูกลืม"



ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าภาพยนตร์อนิเมชั่นหลายต่อหลายเรื่องนั้นตราตึงอยู่ในใจเราไม่มีวันลืมจริงๆ ซึ่งเชื่อว่าหลายต่อหลายคน ก็น่าจะมีภาพยนตร์อนิเมชั่นจากค่ายอย่าง Pixar เข้าไปอยู่ในรายชื่ออย่างน้อยก็เรื่องสองเรื่องแน่นอน เช่นผลงานสุดประทับใจอย่าง Toy Story , Up , Finding Neemo และอื่นๆอีกมากมาย ที่น่าทึ่งก็คือภาพยนตร์ของ Pixar นั้นสามารถเข้าไปถึงห้วงลึกในจิตใจของเรา ทำให้เราต้องปาดน้ำตากันอย่างง่ายดาย


ซึ่ง Inside Out ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ของค่าย Pixar ที่พยายามนำความทรงจำกลับมาให้ผู้ชมอีกครั้ง และนี้ก็เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงตอบรับจากต่างประเทศอย่างยอดเยี่ยม จนหลายต่อหลายคนคาดกันว่า นี้อาจจะเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเจ้าของรางวัลอนิเมชั่นยอดเยี่ยมแห่งปี 2015 ก็ว่าได้ !!?



Inside Out นำเราไปสู่ภายในจิตใจ ไรลีย์ เด็กหญิงที่ต้องย้ายบ้านมาอยู่ที่ ซานฟรานซิสโก ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่แปลกใหม่ และปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น อารมณ์ของเธอไม่ว่าจะเป็น ความสุข , ความกลัว , ความโกรธ , ความขยะแขยง หรือ ความเศร้า จึงต้องพยายามหาทางพาเธอผ่านวิกฤตนี้ไปให้จงได้



เป็นอีกครั้งหนึ่งของผลงานจากค่าย Pixar  ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์อันน่าทึ่ง น่าตื่นตาตื่นใจ โดดเด่นด้วยการพยายามอธิบายอารมณ์ของมนุษย์ ประสบการณ์ต่างๆในชีวิตซึ่งหล่อหลอมเราออกมาเป็นตัวเรา ผ่านตัวละครอนิเมชั่นอันสนุกสนาน และการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม โดยเฉพาะการใช้เทคนิค ลูกเล่น ผสมกับเรื่องราวในภาพยนตร์ เช่นการเปลี่ยนตัวละครให้เป็นสองมิติ ก็เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจทีเดียว


ทางด้านเหล่าตัวละครซึ่งแทนอารมณ์ต่างๆของ ไรลีย์ ทั้ง 5 ตัว ถึงแม้ว่าจะจืดๆซ้ำซาก และน่ารำคาญไปบ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าน่าสนใจ สะท้อนถึงสภาวะอารมณ์และประสบการณ์ของมนุษย์อย่างแท้จริง เช่น ชีวิตมนุษย์ไม่อาจขาดความทุกข์ หรือความโศรกเศร้าได้  เพราะความโศรกเศร้านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ความสุขมีคุณค่า น่าจดจำนั้นเอง



สิ่งที่ดูจะน่าแปลกใจที่สุดเลย ก็คือตัวละครที่ผู้เขียนชอบที่สุด สนใจมากที่สุด ไม่ใช่เหล่าตัวละครห้าอารมณ์ของภาพยนตร์ แต่เป็นตัวละครเพื่อนในจินตนาการวัยเด็กของไรลีย์อย่าง บิงบอง ซึ่งเป็นตัวแทนของการก้าวไปสู่การเติบใหญ่ของตัวละครเอกอย่าง ไรลีย์ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนถึงการทิ้งความเป็นเด็กเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้อย่างเจ็บปวด น่าเศร้า แต่ช่างงดงาม ซึ่งด้วยสัญญะทางภาพยนตร์อันยอดเยี่ยม และเรื่องราวอันน่าสนใจของตัวละครนี้เองทำให้ บิงบอง กลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว


ถึงกระนั้นก็ตาม ทัศนะคติบางด้านของตัวภาพยนตร์ก็อาจจะดูสวยงามและ play safe อยู่บ้าง เช่นประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวของตัวละครเอกที่ถูกปูมาในต้นเรื่อง ก็กลับถูกคลี่คลายได้อย่างง่าย คาดเดาง่ายแสนง่าย ปราศจากความน่าจดจำ นอกจากนั้นแล้วตัวภาพยนตร์ก็มีโอกาสหลายต่อหลายครั้งในการที่จะก้าวไปไกลกว่าที่เป็นอยู่  แต่ก็กลับหันหลังกลับเสียก่อน ซึ่งในด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  แต่ในอีกด้านก็คงจะหลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับภาพยนตร์อนิเมชั่นจากค่ายอย่าง Pixar / Disney  ที่ต้องคำนึงถึงตลาดกระแสหลักอยู่มาก



สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่า Inside Out  อาจจะยังคงมีจุดซ้ำซากเดาง่าย และยังไม่กล้าที่จะออกจากกรอบที่คุ้นเคยของตนเองซักเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ก็คือความคิดสร้างสรรค์ในการพยายามถ่ายทอดสิ่งต่างๆออกมาได้อย่างน่าสนใจ ความบันเทิงในระดับสนุกได้ทุกเพศทุกวัย และตัวละครที่น่าจดจำอย่าง บิงบอง ก็ทำให้ Inside Out กลายเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่น่าจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี 2015 นี้

Final Score: [ 7.5 / 10 ]

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Our Little Sister ( 2015 ) Movie Review


Our Little Sister ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ตัวอย่างชั้นเลิศของภาพยนตร์ 'ฟิลกู้ด' "



จริงๆ บอกตามตรงเลยว่าไม่ค่อยอยากที่จะใช้คำ 'ฟิลกู้ด' ซักเท่าไรนัก เพราะดูจะเป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายถึงภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันเพื่อความเข้าใจที่ง่าย มากกว่าจะเป็นอีกหนึ่งประเภท (Genre) ของภาพยนตร์จริงๆ แต่เพื่อการเปรียบเทียบและเข้าใจได้ทันทีจะยกผลประโยชน์ให้ครั้งนี้ละกันเนอะ


Our Little Sister ว่าด้วยเรื่องราวของเหล่าสามสาวพี่น้องที่พบว่าพวกเธอมีน้องสาวฝั่งพ่ออยู่อีกคนหนึ่ง พวกเธอจึงตัดสินใจชักชวนน้องสาวคนใหม่มาอยู่ด้วย ท่ามกลางปัญหาและอดีตอันแสนขมขื่นอาจมีความสุขอยู่ปลายอุโมงค์ก็เป็นได้



สึ่งแรกที่รู้สึกได้ทันทีเมื่อภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเลย ก็คือความรู้สึกที่เสมือนเราถูกดูดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ด้วยในเวลาไม่กี่นาที  จากการกำกับอันน่าทึ่งของ ฮิโรคาสุ โคริเอดะ ที่นอกจากจะเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม สบายๆเข้าถึงง่ายแล้ว จังหวะในการเล่าเรื่อง หรือสลับอารมณ์ในแต่ละฉาก ก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่มีสะดุดติดขัด แถมเพลงประกอบภาพยนตร์ก็ช่างไพเราะน่าหลงใหล ชวนให้เราตราตรึงไปกับภาพยนตร์ตั้งแต่แรกเริ่ม


เหล่าตัวละครทั้งหลายเอง ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Our Little Sister เป็นภาพยนตร์ที่ช่างเข้าถึงได้ง่ายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเหล่าสี่สาวพี่น้องที่ต่างก็มีบุคลิกที่โดดเด่นน่าสนใจแตกต่างกันไป สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ด้วยมุมมองที่แตกต่าง แต่กลับน่าสนใจมากพอๆกันหมดทุกคน ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา เพราะเรารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นพวกเธอตอบรับกับสถานการณ์อันลำบากต่างๆในเรื่อง และคอยที่จะนั่งลุ้นเอาใจช่วยอยู่ทุกครั้งไป


แต่ที่สำคัญที่สุดเลย ก็คือความจริงที่ว่า Our Little Sister ไม่ได้เป็นแค่ภาพยนตร์ซึ่งโดดเด่นจากภายนอกอันสดใส น่ารัก น่าติดตาม เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่แฝงไปด้วยประเด็น การสะท้อนหรือสอดแทรกเรื่องราวอันหนักหน่วงได้อย่างมีชั้นเชิงอีกด้วย





นี้ไม่ใช่ภาพยนตร์ 'ฟิลกู้ด' ที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างจอมปลอม ปราศจากเนื้อหาหรือเรื่องราวหนักแน่นรองรับ และตรรกะอันน่ากุมขมับ ได้แต่แถไปเรื่อย อย่างภาพยนตร์หลายๆเรื่องในปีที่ผ่านมาหรือปีนี้
Our Little Sister ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสามารถยกเรื่องราวปัญหาอันหนักหน่วงมาพูดได้อย่างมีชั้นเชิง น่าเชื่อถือ(ถึงในบางมุมจะดูโลกสวยไปนิดก็เถอะ)ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูจะสุดแสนจะสบายๆ เฉกเช่น สะท้อนถึงปัญหาในครอบครัวที่บิดา-มารดาแยกทางกัน การหาทางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตั้งคำถามต่อศีลธรรมในการไปรักคนที่มีคู่อยู่แล้ว เสียดสีชะตากรรมอันไม่ยุติธรรม และประเด็นอันซับซ้อนอื่นๆอีกมากมายที่ต่างก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม น่าจดจำ ลึกซึ้ง


และที่สำคัญเลย คือตัวภาพยนตร์ที่ไม่พยายามยัดเยียดความคิด หรือตัดสินว่าสิ่งใดผิดหรือถูกแล้วยัดเยียดความคิดให้ผู้ชมเห็นด้วย แต่กลับเบลอเส้นระหว่างสิ่งถูกกับสิ่งผิด แสดงโลกอันเป็นสีเทาให้ผู้ชมเห็น แต่ยังคงให้ความหวังให้กำลังใจในการต่อสู้กับสิ่งต่างๆแก่ผู้ชม ซึ่งสุดท้ายแล้วก็เป็นอิสระของผู้ชมในการที่จะเชื่อ หรือตัดสินอะไรด้วยตัวเอง และนี้เป็นจุดที่ภาพยนตร์น้อยเรื่องนักจะกล้าและสามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้





ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลมานี้ สุดท้ายแล้วก็ทำให้ Our Little Sister กลายเป็นสุดยอดตัวอย่างของภาพยนตร์ 'ฟิลกู้ด' ได้อย่างเหมาะสมและยอดเยี่ยมที่สุด นี้คือภาพยนตร์ที่เคารพความคิดเห็นและทัศนคติของผู้ชม โดยไม่พยายามบังคับให้เห็นด้วยกับสิ่งที่ตนเองต้องการจะถ่ายทอด นำเสนอเรื่องราวอันแสนหนักหน่วงที่แม้แต่ภาพยนตร์ซึ่งมีอารมณ์จริงจังกว่านี่ยังทำไม่ได้  และถึงแม้ว่าท่านอาจจะต้องการชมภาพยนตร์เพียงเพื่อความบันเทิง อย่างน้อยการกำกับอันยอดเยี่ยม การเล่าเรื่องที่สนุก น่าติดตาม และเหล่าตัวละครที่น่ารัก น่าหลงใหลก็ยังคงทำให้เวลาที่คุณใช้ไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่เสียเปล่าเลยแม้แต่เสี้ยววินาที 


Final Score: [ 9 / 10 ]

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Fantastic Four ( 2015 ) Movie Review



Fantastic Four ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"Failtastic Four"



 ชื่อเลยว่าท่านใดที่พอจะติดตามข่าวสารในวงการภาพยนตร์กันเป็นประจำอยู่บ้าง ก็น่าจะได้ยินเรื่องราวของภาพยนตร์ Fantastic Four ฉบับรีบู้ทนี้อยู่ไม่ใช่น้อย เพียงแต่ว่าเรื่องราวที่ว่านั้นกลายเป็นกระแสที่ตัวภาพยนตร์ถูกถล่มและสับอย่างเละเทะจากนักวิจารณ์ต่างประเทศด้วยคะแนนอันต่ำเตี้ยเรี้ยดินซะมากกว่า จนตัวผู้กำกับ จอรช์ แทรงค์ ต้องถึงกับออกมาบ่นอุบและเกิดเป็นกระแสดราม่าระหว่างเจ้าตัวกับสตูดิโอกันเลยทีเดียว


Fantastic Four ฉบับรีเมค ยังคงว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่เดินทางข้ามไปสู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งก็ดันเกิดเหตุร้ายขึ้นมา เมื่อพวกเขารู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็ได้รับพลังพิเศษมา แต่ในระหว่างนั้นเองภัยอันตรายใหม่ก็กำลังคืบคลานเข้ามา พวกเขาจึงต้องรวมพลังกันเพื่อหยุดภัยอันตรายนี้ให้ได้



เอาจริงๆ สิ่งหนึ่งที่อดเห็นด้วยไม่ได้สำหรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ด้านลบของ Fantastic Four เลย ก็คือความล้มเหลวของการเป็นภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ และเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของมัน


ตั้งแต่ฉากแอ็คชั่นที่น้อยแสนน้อย น้อยจนไม่แน่ใจว่าฉากต่อยตีปล่อยพลังทั้งเรื่องจะร่วมกันเกิน 5 นาทีไหม ยันฉากแอ็คชั่นเวลาเล็กกระจิ๊ดริดเหล่านี้ก็ยังทำออกมาได้จืดชืด สุดแสนจะธรรมดาไม่สมกับการปูเรื่องมาซะอลังการงานสร้าง ซึ่งเป็นผลทำให้ครึ่งหลังของภาพยนตร์ซึ่งเป็นจุดรวมฉากแอ็คชั่นกลายเป็นช่วงรวมพลังฮีโร่ที่ดูไปหลับไป ปราศจากซึ่งความน่าตื่นเต้นหรือกระทั่งรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายของเหล่าตัวละครแต่อย่างใด


หรือกระทั่งการสร้างโลกของเหล่าฮีโร่ทั้ง 4 และโลกอีกมิติ ก็ช่างดูเล็กนิดเดียวอย่างกับแค่เดินไปอีกห้องหนึ่ง  ไม่มีความอลังการหรือความน่าทึ่งใดๆเลย หนำซ้ำตัวละครผู้ใหญ่โลกมนุษย์ในภาพยนตร์ก็ดูจะมีแต่พวกประเภทความคิดไดโนเสาร์เต่าล้านปี ที่คิดอะไรก็ชั่วร้ายหรือล้าหลังไปซะหมดโดยปราศจากเหตุและผลที่ฟังขึ้นมารองรับ นี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนประสบการณ์ของผู้กำกับ จอรช์ แทรงค์ ที่ไม่สามารถควบคุมงานภาพยนตร์ที่มีขนาดใหญ่ได้เลยแม้แต่น้อย



อีกสิ่งหนึ่งที่หลายๆคนพูดถึงสำหรับ Fantastic Four ฉบับใหม่นี้ ก็คือตัวละครอย่าง ด็อกเตอร์ดูม หรือ วิคเตอร์ วอน ดูม ซึ่งพูดตรงๆเลยว่านี้เป็นอีกหนึ่งตัวละครร้ายที่สุดแสนจะแบนรายอย่างกับพื้นถนน ปราศจากความน่าสนใจ หรือ ความน่าเห็นใจแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเหตุมาจากการที่ตัวละครถูกยัดๆเข้ามาระหว่างกลางเรื่องโดยขาดการปูเรื่องราวของตัวละครอย่างจริงจัง 


โชคยังดีที่ Fantastic Four ยังคงมีบางด้านที่พอจะคลายความง่วงนอนได้บ้าง อย่างเช่นเหล่าตัวละครเอกทั้ง 4 ที่ต่างมีความสัมพันธ์อันน่าสนใจ เช่น ความเชื่อใจและความสัมพันธ์ตั้งแต่วัยเยาว์ระหว่าง รี้ด รีชารต์ กับ เบน กริมม์ หรือ การยอมรับในซึ่งกันและกันแม้จะไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันของ ซูซาน กับ จอหน์นี่ สตอร์ม ทั้งสองสายสัมพันธ์นี้ถูกเล่าและปูออกมาได้อย่างน่าติดตาม และเหล่านักแสดงก็ถ่ายทอดอารมณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ไมลส์ เทลเลอร์ ซึ่งเคยสร้างความประทับใจให้เรามาแล้วใน Whiplash 




สุดท้ายแล้ว Fantastic Four ฉบับรีบู้ทใหม่ล่าสุดนี้ของค่าย 20 Century Fox ก็ไม่ได้เป็นภาพยนตร์ระดับยอดแย่แห่งปี อย่างที่กระแสหลายทิศทางได้พูดไว้ นี้ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่จัดว่ายังคงดูได้ในระดับหนึ่งถ้าหากไม่คาดหวังในด้านของความเป็นภาพยนตร์บล็อคบัสเตอร์มากนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าคุณภาพที่ออกมานั้น ต่ำกว่าที่คาดไว้มากพอสมควร อย่างน้อยก็ในด้านของโปรดัคชั่นที่ล้มไม่เป็นท่าเอาเสียเลย ณ เวลานี้ก็คงจะต้องดูกันต่อไปว่าอนาคตของภาพยนตร์ชุดนี้จะเป็นอย่างไร


Final Score : [ 5.5 / 10 ]