วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

G.I. Joe: Retaliation ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
การกลับมาอีกครั้งของจีไอ้โจ๊  !




Movie Name : G.I. Joe: Retaliation ( 2013 ) , Action / Sci-Fi / Adventure
Director : Jon M. Chu ( Step Up 2 , Step Up 3D )
Stars : Dwayne Johnson "The Rock" ( Snitch , Fast Five ) , Jonathan Pryce ( G.I. Joe : Rise of Cobra , Pirates of The Caribbean ) , Bruce Willis ( Die Hard , RED ) , Byung-hun Lee ( I Saw The Devil , G.I. Joe: Rise of Cobra ) , Channing Tatum ( Magic Mike , G.I. Joe: Rise of Cobra )
Rating : PG-13 ( Bit of Violence )




(อาจมีการสปอย หรือ พูดถึงส่วนสำคัญของภาพยนตร์)
REVIEW THAI



                                                                             G.I. Joe : Retaliation (ต่อไปนี้จะขอเรียกว่า GIJOE 2 เฉยๆ) เป็นภาพยนตร์ภาคต่อจากภาคแรก แหมชื่อมันก็บอกอยู่คงไม่ใช่ภาคพิสดารเป็นแน่แท้ จากภาคแรก Rise of Cobra ที่บอกตามตรง ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไร.......... ออกจะแย่ด้วยซ้ำไป ด้วยฉากต่อสู้สุดตลก น่าขำสิ้นดี เนื้อเรื่องที่แทบจะหาความ Make Sense ไม่เจอ ตอนจบที่ง่ายซะหยั่งกะดูการ์ตูน 4 ช่อง ภาคต่อมานี้ ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่หลายๆคน ก็คงจะไม่หวังอะไรมากมาย อยู่แล้ว ผิดกับ A Good Day To Die Hard (อีกแล้ว) ที่ได้ทำลายหัวใจของแฟนๆ ไปเรียบร้อยแล้ว...



อีกจุดหนึ่งที่น่าห่วงของภาคใหม่ก็คือ ผู้กำกับ Jon M. Chu ที่ไม่เคยกำกับหนัง Action เลย แม้แต่เรื่องเดียว ยกเว้นคุณจะนับว่า Step Up 2 และ 3 มันเป็นหนังแอ๊คชั่นอะนะ แถมภาพยนตร์ที่ผ่านๆมาของเขาแต่ละเรื่องนั้น ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ก็คงอาจจะผ่านในด้านความสนุก ละมั้ง ? ซึ่งก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ คุณสามารถหาผู้กำกับมีฝีมือดีๆมากำกับยกระดับความเทพของ GI Joe 2 ได้ แต่กลับเลือกใครก็ไม่รู้ที่ไม่ค่อยจะดีแต่ก็ไม่แย่ มาซะงั้น !? ไม่แน่ใจว่า Producer คิดว่ายังไงมันก็คงต้องห่วยอยู่แล้ว ก็เลยไม่แคร์ หรืออย่างไรไม่ทราบ


ต้องขอบอกก่อนเลยว่า GI Joe 2 นี้นั้นมีเรื่องที่ต่อมาจากภาคแรกพอสมควร เพราะ ฉะนั้นท่านใดที่ยังไม่เคยชม ภาคแรก มาก่อน อาจจะงงได้พอสมควร แต่ถ้าถามว่าดูเอามันส์อย่างเดียวได้ไหม ก็คงได้... เพราะ เอาจริงๆเนื้อเรื่องมันก็ไม่ค่อยจะมีอะไรอะนะ (แต่ถ้ารู้ไว้ก่อนจะสนุกขึ้น 20-30%)



GI Joe 2 ต้องมาพูดถึงช่วงที่ก่อนจะนำมาฉายในโรงภาพยนตร์กันก่อน จริงๆแล้ว GI Joe 2 นั้นมีตารางฉายตั้งแต่ปีที่แล้วคือ 2012 แล้ว หลายๆคนคงอ่าวแล้วไหงมันมาอยู่ซะ 2013 ได้ล่ะนิ ก็เพราะว่า ในช่วงที่ GI Joe 2 นั้นได้ไปฉายรอบพิเศษหรือจะพูดว่า รอบทดลองก็คงได้ เมื่อปีที่แล้ว ผลคือ โดนด่ายับเละเทะ จนต้องถึงขนาดยกเลิกตารางฉายในปีที่แล้ว แล้วไปถ่ายทำแก้กันใหม่เลยทีเดียว ซึ่งตรงจุดนี้ 

**** นับจาก บรรทัดนี้ไปจนถึงรีวิว จะมีการสปอยเนื้อหา ****

นั้นก็คือ ตัวพระเอกอย่าง Channing Tatum ตายตั้งแต่ 10นาทีแรก ของหนัง !!! ซึ่่งต้องขอบอกเลยว่าเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมาก เพราะ Channing ตอนนี้ไม่ใช่ดารากิ๊กก๊อกอีกต่อไปแล้ว เขาเป็นดาราที่เรียกได้ว่า ฮ๊อต และ ดังมากๆในช่วงนี้ รวมถึงหนังของเขาปีที่แล้วอย่าง Magic Mike ที่คงทำให้คุณผู้หญิงหลายๆคน เสียกระดาษทิชชู่ไปหลายกล่องอยู่เหมือนกัน
แต่หลังจากที่ผมไปดูมา ปรากฏว่าสุดท้ายพี่แกก็ม่องอยู่ดี ก็เลยงงว่าสรุป ไอ้ 1 ปีที่แกหายไปคือ ไปทำ 3D อย่างที่เขาลือกันมา หรือว่า ไปแก้บทกันแน่ ...... เอาเป็นว่าจุดนี้ก็คงต้องให้ โคนันพิสูจน์ต่อไปนะครับ


***** จบ สปอย *****



มาเข้าถึง รีวิว จริงๆจังๆซะที ต้องขอเริ่มจากข้อดีก่อนละกัน..... GI Joe 2 นั้น ในด้านความสนุก ก็คงต้องขอบอกว่า ทำได้ค่อนข้างพอรับได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สุดเท่าไรนัก มีหลายๆฉากในหนังที่คุณรู้สึกเพลินดี ที่จะสนุกไปกับมัน รวมไปถึงแฟนๆการ์ตูน GI Joe ก็คงอยากจะไปดูตัวละครโปรดของเขาอยู่แล้ว (ละมั้ง ?) และ อีกจุดนึงเลยก็คือ ตัวหนังนั้นมีเนื้อเรื่องหลายๆจุดที่เรียกได้ว่า มี Potential หรือ มีโอกาสที่จะทำให้มันต่อยอดไปจุดที่มันดีๆได้ หลายๆอย่างในภาพยนตร์ในภาคนี้ ผมเห็นมันแล้วแทบจะมองภาพออกทันทีเลยว่า ถ้าหากเขาทำออกมาดี และ ตั้งใจจริงๆละก็ สามารถแทบจะยกระดับ G.I. Joe ได้หลายพันเท่าเลยทีเดียว รวมไปถึง Snake Eye กับ Storm Shadow เรื่องราวของสองคนนี้ มันช่างน่าสนใจเหลือเกิน เอาจริงๆนะ มันน่าสนใจยิ่งกว่าเนื้อเรื่องทั้งเรื่องเสียอีก... นอกจากนั้นยังมีการแสดงที่เรียกได้ว่า น่าสนใจจาก ท่านประธานาธิปดี (ในเรื่องนะ) ก็คือ Jonathan Pryce ที่แสดงได้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว




แต่......... เฮ้อ ปัญหาคือมันไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิ ผมสามารถเห็นหลายๆจุดที่สามารถต่อยอดไปในจุดที่ดีกว่านี้ได้มากๆ แต่ปัญหาคือ สิ่งที่พวกเขาทำออกมากลับช่าง....ไร้สาระสิ้นดี บทที่ควรจะดีกลับกลายเป็นบทที่แม้แต่เด็ก อนุบาล 2 ยังเดาออก และ พวกเราก็เห็นบทแบบนี้มารอบที่ แสนล้านห้าหมื่นสีพันเก้าสิบเก้า ครั้งได้แล้วมั้ง แถมบทในหลายๆจุด ยังไม่แม้แต่จะสมเหตุสมผลด้วยซ้่ำไป ฉาก Action โอ้วก๊อด.... มันช่าง เลวร้าย เฮ้อ !! ฉาก Action แทบจะทั้งเรื่องมันช่าง Mindless Shooting สุดๆ นั้นก็คือ ยิงแบบไร้สาระ คิดหรอ จะคิดทำมายยย !! ยิงแม่มเบย !! ถ้าเป็นโลกความเป็นจริง ฝั่งพระเอกของเราคงจะตายตั้งแต่ 2 วินาทีแรกของหนังไปเรียบร้อยแล้ว
มันทำให้หนังดูไร้สาระ และ น่าขำสิ้นดีสุดๆ ยังโชคดีที่มีบางฉากยังพอที่จะ "ทน" ดูไปได้อยู่บ้าง  จุดต่อมานั้นเป็นจุดที่เป็นปัญหาของภาพยนตร์ฮีโร่กลุ่มแทบจะทุกเรื่อง ภาพยนตร์เรื่องเดียวที่ผมคิดว่าทำจุดนี้ได้ดี นั้นก็คือ The Avengers จุดนั้นก็คือ "การให้ความสำคัญกับตัวละครทุกตัว" ซึ่ง G.I. Joe แทบจะเป็น 0 ภาคแรกยังเรียกว่าทำจุดนี้ได้ยังจะดีเสียกว่าซะอีก 
ตัวหนังเน้นไปที่ The Rock มากจนเกินไป ทั้งๆที่ตัวละครของเขาก็แทบจะไม่ได้บอกอะไร และ ไม่น่าสนใจอยู่แล้ว ตัวละครอื่นก็แทบจะไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย ตัวละครบางตัวที่น่าสนใจ ก็กลับถูกทิ้งอย่างรวดเร็วหยั่งกับผู้กำกับพูดว่า "ยี้ไม่เอาอะ" แล้วก็โยนทิ้งหยั่งกะเศษขยะ พวกเขาไม่เข้าใจหรอว่า ภาพยนตร์ทุกเรื่อง โดยเฉพาะ ฮีโร่ทีม การที่ตัวละครแต่ละตัวจะมี บุคลิก ความคิด ต่างๆ ที่แตกต่างกันมันน่าสนใจและสำคัญแค่ไหน ยกตัวอย่าง The Avengers ฉากที่พวกฮีโร่เถียงกันบนยาน และ พ่ายแพ้ให้กับตัวละครๆเพียงตัวเดียวทั้งๆที่เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย และ โดนจับมาด้วยซ้ำไป ฉากนั้นมันช่างสุดยอดเหลือเกิน แต่คุณเลิกหวังอะไรแบบนั้นได้เลยใน G.I. Joe 2 แค่เนื้อเรื่องธรรมดาพื้นๆก็จะเอาไม่รอดอยู่แล้ว



มาสับกันต่อ ความ Make Sense เฮ้อ.... 90% ของภาพยนตร์แทบจะไม่มีอะไรที่คุณจะเชื่อมันได้เลย แม้กระทั่งฉากสำคัญต่างๆที่มันควรจะดูดี แต่มันกลับดูช่างน่าขำสิ้นดี ไม่ทราบว่า ผู้กำกับ อยากจะให้มีแต่เด็กๆ มาดูหรืออย่างไรไม่ทราบจึงทำได้แบบนี้
ฉากจบ โอ้ว ก๊อต มันช่าง...แย่เหลือเกิน เป็นฉากจบที่ไม่ได้แม้แต่จะทำให้คุณ "ว้าว" ได้เลย มันทำได้แค่เพียง "อ่อ อืมม์ แล้วไง ?"  มันช่างน่าเสียดายเหลือเกิน ทั้งๆที่ฉากหลายๆฉากมันช่างน่าสนใจ น่าติดตาม เรื่องราวของคนเหล่านี้มันช่างน่าสนใจ อย่างเช่น Snake Eye กับ Storm Shadow ที่ช่างน่าติดตามเรื่องของพวกเขาเหลือเกิน และเป็นเพียง ไม่กี่ตัวละครในเรื่องที่มีชีวิตจริงๆ แต่ฉากของพวกเขากลับถูกลืม และ ถูกตัดจบอย่างน่าอนาถอย่างรวดเร็ว.... ทั้งๆที่มันเป็นจุดที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องทั้งเรื่องที่พวกคุณปูมาเสียอีก !!



G.I. Joe: Retaliation เป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่เลวร้ายไม่แพ้จากภาคแรก ซึ่งดีไม่ดีเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำไป ทั้งๆที่มันมีประตูต่างๆที่จะสามารถนำพาภาพยนตร์เรื่องนี้ไปสู่ความสุดยอดได้ รวมถึง เนื้อเรื่อง และ ตัวละครที่น่าสนใจต่างๆ แต่สิ่งที่ออกมาสุดท้าย กลับกลายเป็นความขี้เกียจที่ไร้ที่สิ้นสุด ไม่อยากจะแก้ ไม่อยากจะทำอะไร อยากได้เงินอย่างเดียว ไม่ให้ความใส่ใจกับต้นฉบับ ดีไม่ดีไม่ได้ตั้งใจทำด้วยซ้ำไป G.I. Joe: Retaliation ถ้าหากคุณมองหาภาพยนตร์ที่"อาจ"จะหาความสนุกให้คุณและละลาย ซัก 2 ชม. ในชีวิตของคุณไปได้แล้วล่ะก็ คุณอาจจะชอบมัน แต่ถ้าหากคุณมองหาอะไรที่"มากกว่า" นั้น คุณควรจะหลีกเลี่ยงมันซะ ถึงแม้จะไม่ได้เลวร้ายและช่างสิ้นหวังแบบ A Good Day To Die Hard เพราะ เราสามารถเห็นอะไรหลายๆอย่างจากตรงนี้ได้ชัดเจน แต่... ปัญหาของมันคือมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดเนี้ยสิ...



The Best Quote from " G.I. Joe : Retaliation ( 2013 ) "

" - "



+ จุดที่ทำได้ดี
+ เนื้อเรื่องที่สามารถต่อยอดไปสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านี้
+ ตัวละครอย่าง Snake Eye และ Storm Shadow ช่างน่าสนใจในเรื่องราวของพวกเขาเหลือเกิน
+ พอที่จะให้ความสนุกกับคุณได้บ้าง
+ การแสดงที่น่าสนใจของ Jonathan Pryce 


- จุดที่ไปไม่รอด
- เนื้อเรื่องแทบจะไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากการยิงอย่างไร้สาระ
- เนื้อเรื่องหลังน่าสนใจน้อยกว่าเนื้อเรื่องย่อยด้วยซ้ำไป
- ความสมเหตุสมผลแทบจะเป็น 0 
- การโฟกัสไปที่ตัวละครผิดตัว ทั้งๆที่พื้นฐานตัวละครนั้นไม่ได้น่าสนใจอยู่แล้ว
- การทำลายโอกาสของตัวละครที่ช่างน่าสนใจ และ น่าติดตาม
- ฉาก Action แทบจะไม่ได้คิดออกมาอย่างดีด้วยซ้ำไป เหมือน แค่ประมาณว่า ยิงๆๆๆ จบ
- ตัวละครบางตัวที่น่าสนใจจากภาคแรกไม่ได้กลับมาด้วยในภาคสอง ทั้งๆที่บางตัวละครในภาคแรกยังน่าสนใจกว่าตัวละครภาคนี้ด้วยซ้ำไป
- ตัวละครในภาคนี้ช่างน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ และแทบจะไม่ได้มีความเป็นบุคลิกด้วยซ้ำไป เหมือนเป็นแค่หุ่นทหารเดินได้ซะมากกว่า




Final Score : [ C ] 





Thank You To : G.I. Joe : Retaliation ( 2013 ) , IMDB for information

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

Olympus Has Fallen ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
ปฏิบัติการถล่มโอลิมปัสที่ไม่มีซุส ไม่มีเทพ





Movie Name : Olympus Has Fallen ( 2013 ) , Action / Thriller
Director : Antoine Fuqua ( Shooter )
Stars : Gerard Butler ( 300 ) , Aaron Eckhart ( The Dark Knight ) , Morgan Freeman ( The Dark Knight ) 
Rating : R ( Violence )







REVIEW THAI



                                                                         งจะปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์แอ๊คชั่นปีนี้แทบจะดูดีไปหมดทุกเรื่อง เมื่อเทียบกับ A Good Day To Die Hard ที่แฟนๆทั่วโลกพร้อมใจกันพูดว่า "ห่วยแตก" อย่างพร้อมเพรียง เมื่อมาถึงคิวของ Olympus Has Fallen ที่แค่ชื่อก็โอ้วโคตรเท่ซะไม่มี แถมยังได้ดารานำอย่าง Gerard Butler ที่ช่วงหลายๆปีมานี้รู้สึกจะเล่นแต่หนังอะไรก็ไม่รู้หลังจาก 300 อย่าง Gamer ที่โคตรงงบอกตามตรง หรือ Aaron Eckhart จาก Two-Face ใน The Dark Knight หรือ แม้กระทั่ง Morgan Freeman ก็ยังจะอุส่าห์ตามมาจาก The Dark Knight อีก แหม่!! ช่าง(ไม่)บังเอิญจริงๆ



Olympus Has Fallen เป็นภาพยนตร์แนว Action / Thriller ที่ได้ผู้กำกับอย่าง Antoine Fuqua มาเป็นผู้ควบคุมทุกๆสิ่งในหนัง ซึ่งตัวเขานั้นเรียกได้ว่ามีผลงานมาค่อนข้างพอสมควรสำหรับภาพยนตร์แนว Action ยกตัวอย่างง่ายๆเลยก็ Shooter ที่อาจจะถูกใจหลายๆคน ซึ่งเรียกได้ว่าคนๆนี้อย่างน้อยคงไม่ทำหนังออกมาสุดจะกากจนคุณแทบจะอยากโดดตึกอย่าง John Moore ที่เพิ่งจับมือกับหนัง Die Hard โดดตึกตายไปพร้อมกัน แน่นอน



Olympus Has Fallen ว่าด้วยเรื่องของประธานาธิบดีของสหรัฐ ที่ถูกซ้อนแผน และถูกจับเอาไว้เป็นตัวประกันใน White House ซะเอง และพระเอกของเราก็ต้องหาทางช่วยให้ได้ อืมม์มันมีแค่นี้แหละจริงๆ......



แต่ !! อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป Olympus Has Fallen น้นเป็นหนังแอ๊คชั่นอีกเรื่องนึงที่คงไม่มีใครเข้าไปนั่งดูมันดราม่า หรือ เนื้อเรื่องสุดเทพกันหรอกมั้ง ? เพราะ ฉะนั้นเรามาว่ากันถึงเรื่อง Action กันก่อน โอ้ว ถ้าหากคุณได้ดู A Good Day To Die Hard แล้วล่ะก็ ผมว่ามันควรจะเอาชื่อนั้นมาใส่ในเรื่องนี้ยังจะดีซะกว่า เพราะ Action ในเรื่องนี้มันสนุกใช้ได้เลยทีเดียว มีฉากที่ทำให้คุณ"อู้ว ว้าว โอ้ว โห" เยอะแยะมากมาย และมันทำให้คุณลุ้นในหลายๆฉาก ซึ่งตัวหนังก็ค่อนข้างทำออกมาได้ดีเยี่ยม หลายๆฉากค่อนข้างดู Epic เล็กน้อย และมี Symbolic บ้างประปราย โดยรวมถือว่าฉาก Action ทำได้ดีเลยทีเดียว


อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะชมจริงๆก็คือ Gerard Butler ในที่สุดหลังจาก 300 และ Law Abiding Citizen แล้ว เขาก็หาหนังที่"เหมาะสม" กับตัวเขาเจออีกครั้ง ในเรื่องเขาช่างดูเท่ห์โคตร แสบ และ ดูสนุก จริงๆหาคำบรรยายยากจริงๆ ถ้าให้พูดเป็นภาษาอังกฤษก็คงจะไม่พ้นคำว่า " Bad Ass "อย่างแน่นอน 


แต่ยังไงก็คงไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับเรื่อง บท..... อืมม์ ตัวหนังพยายามอย่างมากที่จะทำให้มันมีอะไรมากขึ้น มี Conflict มีผลกระทบ มีเนื้อเรื่อง ความกดดันมากขึ้น แต่....แย่หน่อยที่มันไม่ได้ผล... เพราะการสื่อสารของตัวหนังค่อนข้างจะล้มเหลวในจุดนี้ เพราะ ฉะนั้นหากคุณเข้าไปเพื่อหาหนังบทเทพๆ ก็คงต้องบอกเลยว่าไปหาหนังเรื่องอื่นเถิด...(แต่คงไม่มีหรอกมั้งสำหรับคนที่จะเข้าไปดูหนังแอ๊คชั่นเพื่อบท ??)


 อีกจุดหนึ่งเลยที่เป็นปัญหาตลอดเวลาสำหรับหนัง Action คือ ความสมเหตุสมผล หรือ Make Sense ที่อีกเช่นเคย Olympus Has Fallen มีหลายๆจุดที่สำคัญที่ไม่มีความสมเหตุสมผลเอาเสียเลย แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้จับผิดอะไรมากมายก็ยังดูออกง่ายๆว่าไอ้ตรงจุดนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย และมันทำให้หนังดูค่อนข้าง Stupid สุดๆในบางมุม 


อีกจุดหนึ่งเลยที่ค่อนข้างไม่น่าถูกใจนักเลยก็คือ Casting นักแสดง อย่างตัวร้าย ที่แสดงโดย Rick Yune ไม่ค่อยจะดูร้ายสักเท่าไร แต่กลับดูจะฉลาดหรือก็ไม่ จะโง่เลยไหมก็คงไม่ แต่มันดูเหมือน "คนธรรมดา" มากกว่าคนร้ายหลายเท่านัก ไม่มีออร่า ไม่มีรังสีใดๆเลย จะให้เทียบกับ Joker ใน The Dark Knight ก็คงอาจจะไม่ยุติธรรมเกินไป แต่ถ้าเทียบกันจริงๆก็คงจะพูดได้เลยว่า ห่างกันหลายปีแสงนัก 


รวมไปถึง Aaron Eckhart ที่มารับบทเป็นประธานาธิปดี ทั้งๆที่หลายๆคนรวมถึงตัวผมเอง ติดตา จดจำเขาในฐานะ "Two-Face" ใน The Dark Knight ไปแล้ว ทุกๆครั้งในหนังที่เห็นหน้าของเขาทำให้ผมนึกถึง Two Face ตลอดเวลา มันทำให้คาแรคเตอร์ในเรื่องดูบิดเบี้ยว ไม่สมจริงลงไป แม้กระทั่ง Morgan Freeman เรื่องนี้ก็ดูเฉื่อยสุดๆ เหมือนชิวๆ งั้นๆ เรื่อยๆ ไม่มีอะไรเลย อาจจะเป็นผลมาจากบทที่ไม่ค่อยมีอะไรมากสำหรับ บทของเขาอยู่แล้วก็เป็นได้ แต่ระดับอย่าง Morgan Freeman ผมหวังอะไรที่มัน "มากกว่านี้"



Olympus Has Fallen เป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นที่เกือบจะเป็น 0 เรื่องความสมเหตุสมผล รวมไปถึงบทที่พยายามมากเกินไปแต่มันดันไม่เวิรค์ซะนิ แต่ด้วยความมันส์ระดับสุดยอด การแสดงที่โคตรเมพของ Gerard Butler และคุณภาพโดยรวมของตัวหนังที่ควรจะเอาป้ายชื่อ A Good Day To Die Hard มาแปะแทนเรื่องนี้แทนซะ ทำให้ Olympus Has Fallen ที่ไม่มีสายฟ้าฟาดจาก Zeus ก็ยังคงสนุกที่จะดู ถ้าหากคุณไม่คิดมากมายอะไรกับบทของมัน



The Best Quote from " Olympus Has Fallen (2013 ) " 

" I'm sorry but i think , I'm the best chance you've got " - Gerard Butler



[ + จุดที่ทำได้ดี ]
+ Action แบบ Non-Stop
+ Gerard Butler โคตรเมพ
+ สนุกได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
+ ฉาก Action หลายๆฉาก ดู Epic 
+ ดีกว่า A Good Day To Die Hard 100000 เท่า



[ - จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด ]
- ความสมเหตุสมผลแทบจะเป็น 0 แม้แต่คนธรรมดาๆยังมองออก
- นักแสดงหลายๆคนยังไม่ดีพอ อย่างเช่น ตัวร้าย 
- บทที่พยายามให้มันมีอะไรมากจนเกินไป ทั้งๆที่มันไม่เวิรค์
- ฉากหลายๆฉากและบทบางจุด ถ่ายทอดออกมาไม่ดี ทำให้คนดูสับสน




Final Score : [ B ] 





Thank You to : Olympus Has Fallen ( 2013 ) , IMDB for information

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

Django Unchained ( 2012 ) Movie Reivew

Movie Review
แดนโคตรโหดของคนโคตรเถื่อน และโคตรบ้า !?



Movie Name : Django Unchained ( 2012 ) , Columbia Pictures (Sony Entertainment) , Adventure / Drama / Western
Director : Quentin Tarantino ( Kill Bill 1-3 , Pulp Fiction , Machete , Inglourious Basterds ) Also Write the screenplay
Stars : Jamie Foxx ( Miami Vice ) , Christoph Waltz ( Green Hornet , Inglourious Basterds , Three Musketeers ) , Leonardo DiCaprio ( Inception , Titanic ) , Samuel L. Jackson ( The Avengers )
Rating : R ( Lots of Violence , Nudity , Sexual Theme )





REVIEW THAI



                                                                                       Django Unchained เป็นภาพยนตร์ที่ต้องขอเริ่มด้วยจากผู้กำกับก่อนเลย นั้นก็คือ Quentin Tarantino ที่เรียกได้ว่าเขาคนนี้นั้นแทบจะเป็นปรามาจารย์แห่งภาพยนตร์อีกคนเลยก็ว่าได้ จากภาพยนตร์ที่ผ่านๆมาของเขาไม่ว่าจะเป็น Pulp Fiction , Kill Bill ตามล่าฆ่าอดีตผัว V.1-3 , Machete ฆ่าให้หมด (ซึ่งกำลังจะมีภาค 2 ) รวมไปถึงถลกหนังหัวนาซีอย่าง Inglourious Basterds ซึ่งเรียกได้ว่าภาพยนตร์ที่ผ่านๆมาของเขามักจะมีคุณภาพที่อยู่ในระดับสูงมาก เอาง่ายๆก็คือคะแนนใน IMDB มักจะเกิน 8 เสมอๆ ซึ่งหายากมากสำหรับผู้กำกับเพียงคนเดียวที่จะมีหนังคะแนนแทบจะทุกเรื่องเกิน 8 รวมไปถึง หนังทุกเรื่องที่เขากำกับ เขาจะเป็นคนเขียนบทด้วยตัวเองเสมอๆ รวมถึงเรื่อง Django Unchained นี้เช่นกัน


หลายๆคนอาจจะงงอีกว่าทำไมมันปี 2012 ล่ะ ผมเขียนผิดรึเปล่าแต่ไม่ใช่หรอกครับ บังเอิญเมืองไทยเข้าช้านิดนึง เพราะ ฉะนั้น ในส่วนนี้ขอพูดถึงรางวัลที่ Django Unchained ได้กวาดมา ที่ใหญ่ๆเลยก็คือ Oscar 2 รางวัล นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม Christoph Waltz และ บทยอดเยี่ยมสำหรับ Quentin นั้นเอง



ต้องขอบอกตรงนี้ไว้ก่อนเลยสำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่ทราบว่า หนัง Quentin ทุกเรื่องนั้นมักจะมีความรุนแรงในระดับที่ค่อนข้างจะมาก และ มีเนื้อหาออกจะรุนแรงนิดนึง รวมถึง Django Unchained เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะพาลูกๆหลานๆ ไปชมซักเท่าไรครับ



Django Unchained เป็นภาพยนตร์ที่หลังจากผมชมจบแล้ว มันแทบจะกลายเป็นหนังอันดับหนึ่งในใจของผมเลยทีเดียว ไม่ได้โม้จริงๆ อย่างแรกที่ผมขอพูดถึงเลยนั่นก็คือ นักแสดง ที่โอ้วบร๊ะเจ้า Christoph Waltz สมกับการได้รางวัล Oscar จริงๆ เขานั้นทำให้หนังน่าสนใจขึ้นมาแสนล้านเท่าได้ ด้วยมุขตลก คาแรคเตอร์ ทริคต่างๆ และคำพูดต่างๆ รวมถึง การแสดงที่เรียกได้ว่าน่าสนใจสุดๆ จริงๆนั้นผมเคยดูหนังที่ Christoph เล่นมาบ้างแล้ว เช่น Green Hornet (ที่ห่วยสุดๆสำหรับตัวหนัง) The Three Musketeers และ Inglourious Basterds เอาจริงๆแล้วก็พอจะทราบอยู่ว่าเป็นนักแสดงที่น่าติดตามคนหนึ่ง แต่พอหลังจากผมชม Django Unchained จบ ผมยกให้เขาตอนนี้เป็นนักแสดงอันดับ 1 ในใจผมเลยทีเดียว ด้วยการแสดงที่สุดยอด จนผมขอพูดเลยว่า "ได้โปรดมาเอาใจผมไปเลย !" และ ฉากไหนที่ไม่มีเขาในเรื่อง มันทำให้ตัวหนังแทบจะดร๊อปลงเลยทันทีเลยทีเดียว รวมถึงในหลายๆฉากที่เขาแทบจะบดบัง Jamie Foxx แทบจะมิดเลยทีเดียว คนต่อมาก็คือ Leonardo DiCaprio ที่เอ่อ....ก็คงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจไปแล้ว สำหรับการแสดงระดับเทพมาเกิด ไม่ว่าจะฉากต่างๆ เขาก็แสดงได้อย่างสุดยอดตลอดเวลา ฉากใส่อารมณ์ก็ถึงกับทำให้ผมแทบจะตะลึงเลยทีเดียว ถึงแม้บางฉากจะธรรมดาไปนิดสส์นึง แต่ฉากที่สำคัญๆและส่วนใหญ่ เรียกได้ว่า ทำได้โคตรสุดยอด แต่ถึงจุดนี้ จาก Inception , Titanic ผมคงไม่แปลกใจเท่าไรแล้วสำหรับการแสดงระดับนี้จาก DiCaprio


มาพูดถึงเรื่องบทกันดีกว่า อย่างที่ชื่อเรื่องบอก Django Unchained ก็คงจะเป็นเรื่องรางของ Django ตัวเอกของเราเป็นแน่แท้ ซึ่งบทนั้นเรียกได้ว่าไม่ผิดหวังและไม่แปลกใจเลยสำหรับ Quentin ที่ยังคงเขียนออกมาได้สุดยอด ใส่ใจในรายละเอียดแม้จะเล็กๆน้อยๆ ก็ตาม รวมไปถึงการที่จะเสียดสีสังคมรวมถึงวิพากษ์วิจารณ์สังคมสุดๆ อีกก็เช่นกัน แต่ที่ต้องขอชมจริงๆใน Django Unchained นั้นคือ Dialog ที่สุดยอด ถ้าหากเอาแต่เพียงบทเพียวๆมาอย่างเดียว หนังที่ยาวเกือบจะ 3 ชม. นี้นั้นก็คงจะอืดชืดเป็นมาม่าค้างมาแสนล้านปีอีกเป็นแน่แท้ แต่เพราะ Dialog ที่เขียนมาได้อย่างดีเยี่ยม และ สนุกตลอดเวลา ทำให้คุณแทบจะไม่รู้สึกเบื่อเลย ทั้งๆที่หนังมันยาวเกือบจะ 3 ชม !!!!


มาถึงด้านการถ่ายทำที่อู้ยยยไม่พูดไม่ได้สำหรับหนังของ Quentin ที่ก็ยังคงความเป็นลายเซ็นอยู่เช่นเคย เรียกได้ว่าหนัง Django Unchained นี้มีลายเซ็นของ Quentin อยู่เต็มไปหมด เต็มจนมองไปทางไหนก็เจอแต่ลายเซ็น ซึ่งในจุดนี้ถ้าใครไม่เคยดูหนังของ Quentin มาก่อนอาจจะเสียเปรียบอยู่บ้างก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็น ตัวอักษรต่างๆ เพลง Soundtrack ย้อนยุค บทที่วิพาษ์วิจารณ์ เสียดสีสังคม แต่ในเรื่องนี้ในด้านการถ่ายทำ มุมกล้อง สี และ โลเคชั่นต่างๆ ต้องขอชม Director of Photography จริงๆ เพราะมันช่างสวยงามเหลือเกิน ในหลายๆฉาก รวมไปถึงมุมกล้อง แสงต่างๆ สีต่างๆ ที่ชวนให้นึกถึงหนังสมัยเก่าๆ และเป็นการเคารพไปในตัวด้วย ซึ่ง DP คนนี้นั้นเป็นคนเดียวกับที่เคยกำกับภาพใน Inglorious Basteds รวมไปถึง Kill Bill 1-2 และ Shutter Island มาแล้วเช่นกัน


คาแรคเตอร์ของตัวละครก็เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำได้ดีมากๆในเรื่องนี้ แทบจะทุกตัวละคร มีคาแรกเตอร์เป็นของตัวเองอย่างมาก และหลายๆตัวละครก็ช่างน่าสนใจจนคุณแทบอยากจะนั่งดูตัวละครเหล่านี้คุยกันได้ทั้งวันโดยที่ไม่เบื่อเลย เป็นอีกจุดหนึ่งในหนังที่เรียกได้ว่า Quentin นั้นให้ความสำคัญค่อนข้างจะมาก และ มันก็ออกมาดีซะด้วย



จุดหนึ่งที่เรียกได้ว่าอาจจะพิเศษซักนิดนึง คือ ความสนุกของหนัง ที่หลายๆคนอาจจะกลัวว่ามันจะกลายเป็นหนังสุดอืด ดราม่าไป แต่ไม่ใช่เลย หากคุณหาหนังดวลปืนสไตล์ Western จัดไป หากคุณหาหนังที่บทเทพๆ จัดไป หากคุณหาหนังที่นักแสดงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม จัดไป ถือเป็นอีกจุดเด่นจุดหนึ่งของหนังของ Quentin ที่มีคุณภาพแต่ไม่เคยที่จะไม่ลืมให้ความสำคัญกับการที่คนดูทุกๆคน(ที่ไม่ใช่เด็ก - -* ) จะสนุกกับมันได้ โดยที่คนที่ไม่ได้สนใจดีเทลมากนั้น แต่ความสนุกมาก่อน ก็พอใจได้ และ คนที่ดีเทลมาก่อน ความสนุกมาทีหลัง ก็ยิ่งพอใจสุดๆเข้าไปใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นหนังดูง่าย ดูสนุก แต่เต็มไปด้วยรายละเอียด


Django Unchained นั้นเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ยากเหลือเกินในการที่จะหาจุดจับผิดเจอ เพราะทุกอย่างมันดูเหมือนจะดูดีไปเสียหมด แต่.... มันก็คงยังเป็นภาพยนตร์อยู่ดี ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดที่ Perfect รวมถึง Django Unchained เช่นกัน


จุดที่ตัวหนังดูเหมือนจะไปไม่รอดอย่างแรกเลยคือ Jamie Foxx ที่อย่าเข้าใจผิดผมว่าเขาเล่นได้ดีมากๆแล้ว แต่ในหลายๆฉากการแสดงของเขานั้นไม่สามารถที่จะสู้กับคนอื่นได้เลย จนทำให้ถูกบดบังรัศมีเสียหมด ทำให้คนดูอย่างผมแทบจะหันไปสนใจตัวละครอื่นแทนเลยทีเดียว โดยเฉพาะตอนที่เขาอยู่กับ Christoph Waltz หรือ Leonardo DiCapiro นั้นแทบจะถูกบดบังจนมิดเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงดีแล้ว แต่มันยังคงไม่เพียงพอ และ ในช่วงที่ไม่มี 2 คนที่กล่าวมาแล้วนั้น ตัวเขาการแสดงก็ดูเหมือนจะดร๊อปลงมาอีก ทำให้ตัวหนังถูกฉุดลงไปอยู่บ้าง

รวมไปถึงความ Make-Sense ของหนังที่ในบางจุดก็ไม่ค่อยจะ Make-Sense ซักเท่าไรนักแต่ในส่วนใหญ่ 80-90% ยังคงทำได้ดีอยู่



Django Unchained เป็นภาพยนตร์แห่งปี 2012 ที่เต็มไปด้วยการแสดงระดับเทพ การประชันบทบาท จากนักแสดงอย่างเช่น Christoph Waltz และ Leonardo DiCaprio และรวมไปถึงคนอื่นๆด้วย การให้ความสำคัญกับบทอย่างมาก และไม่ลืมที่จะใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ รวมไปถึงความสนุกของตัวหนังที่ยังคงไม่ถูกลืมแต่อย่างใดทั้งๆที่คุณภาพของหนังมันช่างล้นจอเหลือเกิน ตัวหนังก็ยังคงมีบางจุดที่ถูกฉุดลงบ้าง แต่นั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีแรงใดๆเลย เมื่อเทียบกับคุณภาพของหนังทั้งหมด


The Best Quote from " Django Unchained " 

" What's your name ? "
" Django. The D is silent. " - Django

"Normally, Monsieur Candie, I would say "Auf wiedersehen." But since what "auf wiedersehen" actually means is "'till I see you again", and since I never wish to see you again, to you sir, I say, goodbye. " - Dr.King 




+ จุดที่ทำได้ดี :
+ บทที่เขียนออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
+ ใส่ใจแม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
+ การแสดงระดับสุดยอดจาก Christoph Waltz และ Leonardo DiCaprio
+ ถึงแม้ตัวหนังจะเต็มไปด้วยคุณภาพ แต่ไม่ลืมถึงความสนุก และสนุกมากจนเหลือเชื่อ
+ คาแรคเตอร์ที่น่าสนใจ น่าติดตาม
+ ภาพของหนังที่สวยสดงดงามมากๆในหลายๆฉาก จนคุณแทบจะร้อง "ว้าว"
+ Dialog ที่เขียนได้ดีมาก น่าสนใจ สนุก 
+ เต็มไปด้วยลายเซ็นของ Quentin Tarantino และ ยังคงลายเซ็นเอาไว้อย่างชัดเจน
+ เป็นภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่สามารถทำให้ผมสนใจมากๆและแทบจะลุ้นอยากติดตามไปเรื่อยๆจนจบ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่ม


- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- การแสดงของ Jamie Foxx ที่แสดงได้ดีมากๆแล้ว แต่ มันไม่เพียงพอทำให้ตัวหนังถูกฉุดลงไปโดยเฉพาะเมื่อในฉากๆนั้นไม่มีนักแสดงอย่าง Christoph Waltz หรือ Leonardo DiCaprio แล้ว
- ความสมจริง และ สมเหตุสมผลในหนังที่มีเพียงจุดเล็กๆเท่านั้นที่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลซักเท่าไรนัก....



Final Score : [ A+ ] & [ MUST SEE BADGE ]




Thank you to : Django Unchained ( 2012 ) , Columbia (Sony) Pictures , IMDB for information

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

Oz The Great And Powerful ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
พ่อมดออซผู้ซึ่งไร้เวทย์มนตร์ แต่มีเวทย์มนตร์ !?





Movie Name : Oz The Great And Powerful ( 2013 ) , Disney , Adventure / Fantasy
Director : Sam Raimi ( Spider Man Trilogy )
Stars : James Franco ( 127 Hours ) , Mila Kunis ( Ted , Black Swan ) , Rachel Weisz (  The Mummy )
Rating : PG






REVIEW THAI



                                                                        Oz The Great And Powerful เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี ครอบครัวอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ใหญ่อีกเรื่องของปี หลังจากปรากฏการณ์ Jack The Giant Killer ที่พาผมเฟลไปรอบแล้ว ผมก็ช่างกลัวเหลือเกินว่า Oz The Great And Powerful จะซ้ำรอยเจ็บเดิมของผมอีกรอบ.........



Oz The Great And Powerful เรียกได้ว่าได้ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากๆอีกคนหนึ่งมาควบคุมทุกๆอย่าง นั้นก็คือ Sam Raimi ที่เราคงจะรู้จักกันดีจาก Spider Man Trilogy ( ไม่ใช่ Amazing Spider-man นะ = =) หรือ หนังลากลงนรกอย่าง Drag Me To Hell  ซึ่งในด้านดราม่า มืดๆ ผมไม่ค่อยจะเป็นห่วงเท่าไรจากที่ดูมาจาก Spider-Man แล้ว แต่ปัญหาคือ Oz มันค่อนข้างจะสว่างสดใส น่ารักนี้สิ จะไปรอดรึเปล่า ??



เนื่องจากประเด็นจาก Jack The Giant Slayer ผมต้องขอเริ่มจากความเจ็บปวดที่มีต่อหนังก่อนนะครับ  ปัญหาหลักๆและเลวร้ายที่สุดของ Oz The Great And Powerful นั้นก็คือ บท ผมไม่ได้พูดว่ามันไม่ได้น่าสนใจนะ มันน่าสนใจมากๆ และในหลายๆจุดก็ดึงดูดคนดูได้ดี แต่ปัญหาคือ แทบจะทุกๆอย่าง มันดูเหมือนถูกจับมาวางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีตกใจ ไม่มีเซอรไพรซ์ ใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างมันดูเหมือนถูก Set เอาไว้แล้วมากจนเกินไป จนทำให้ดูแปลกๆ และไม่สนุกซักเท่าไรนัก ต่อให้คุณไม่ได้ดูภาพยนตร์ปี 1939 มาก็แทบจะเดาได้ออกทั้งหมด ซึ่งออกจะแปลกไปซักนิดสำหรับ Sam Raimi จากที่ผมดูเรื่อง Drag Me To Hell มาค่อนข้างจะเซอร์ไพรซ์พอสมควร เพราะ ฉะนั้นถ้าคุณหวังว่ามันจะมีเนื้่อเรื่องแปลกตาสุดขีด โอ้วว้าว ไม่น่าเชื่อ เลิกหวังเถอะครับ แถมบทในบางจุดค่อนข้างจะเป็นดาบสองคมสำหรับคนที่ดูภาพยนตร์ในปี 1939 มาแล้ว เพราะ คุณจะเดาบางอย่างได้ จนบทบางจุดมันค่อนข้างจะไร้ความหมายไปซะอย่างงั้น


อีกอย่างคือ ในหลายๆจุดมันไม่ค่อยจะ Make Sense ซักเท่าไรเลยแม้กระทั่งในโลกของ Oz เองก็ตาม ตัวหนังก็ไม่อธิบายในจุดนี้อีกต่างหากทำให้ปล่อยให้เรานั่งเกาหัวต่อไป


ส่วน CG ในด้านของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ตึก ต้นไม้ สัตว์ประหลาดต่างๆ ต้องขอบอกว่าค่อนข้างจะน่าผิดหวังอยู่บ้าง เพราะ มันไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย ยิ่งคนที่ดูหนัง Fantasy เยอะๆ นี้เรียกได้ว่าเฉยๆสุดๆ ไม่รู้ว่าหนัง Fantasy สมัยนี้ Copy / Paste กันมารึเปล่า ขนาด Journey 2 ยังแทบจะเหมือนกันเปะๆ รวมถึงความมีมิติของฉากทำออกมาได้ไม่ค่อยจะดีนัก บางจุดของฉากดูเป็นกระดาษ Wallpaper สุดๆ โอ้วไม่อย่าลอกแบบมาจาก Journey 2 นะ..... รวมถึง CG เอฟเฟคฉากต่อสู้ต่างๆ ดูแปลกๆ และไม่ค่อยเนียนเท่าไรเลย อย่างเช่น สายฟ้าของแม่มดตัวร้าย ที่ดูแบบ เอ่อ..... นั้นสายฟ้าใช่ไหม ? หรืออะไร ? 




หมดละครับ ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด หมดละครับ ผมแทบจะน้ำตาไหลเมื่อชม Oz The Great And Powerful จบ อย่างน้อยหนังแฟนตาซีในช่วงนี้ สองเรื่อง เรื่องหนึ่งก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง 
Oz The Great And Powerful นั้นเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์แฟนตาซี อีกเรื่องหนึ่งที่ทำได้ดีในหลายๆจุดมากๆ เช่น ตัวละคร ที่เรียกได้ว่าทุกตัวน่าสนใจมากๆ แต่ละตัวละคร ก็มีความน่ารัก ความคิดที่แตกต่างออกไป แม้กระทั่งตัวร้ายก็ช่างน่าสนใจ และน่าติดตามสุดๆ โดยเฉพาะแนวคิดที่ปูเนื้อเรื่องให้ตัวร้ายว่าทำไมเธอถึงมาเป็นแบบนี้ถึงแม้ว่ามันจะดู Rush หรือเร็วมากไปหน่อย แต่ก็ถือว่าน่าสนใจ และ ถูกใจผมมากๆ


บทในเรื่องนี้ใช่ครับมันเดาได้ แต่ต่อให้เดาได้คุณก็ "อดไม่ได้ที่จะสนุกไปกับมัน" ด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจของตัวพ่อมดออซ เอง การเอาชนะตัวร้ายต่างๆ เรื่องราวยิบย่อยต่างๆมันช่างน่าติดตาม และน่าสนใจ แม้เราจะรู้ว่าต่อไปมันจะจบยังไง เราก็อดไม่ได้ที่จะมานั่งคิดว่า ต่อไปมันเป็นยังไงฟะ ? ทั้งๆที่ตัวเราเองก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไง ในบางจุดของหนังตัวหนังเองก็แอบใช้ความรู้มากของคนดู มาเป็นเครื่องมือ ในการหลอกคนดูอีกต่ออีกต่างหาก เรียกได้ว่าค่อนข้างจะ น่าสนใจเลยทีเดียว


ในด้านฉาก ไคลแมกซ์ ที่ผมกลัวว่าจะเฟลแบบ Jack The Giant Slayer แต่ Oz ไม่เคยทำให้คุณผิดหวัง ฉากไคลแมกซ์เรียกได้ว่า อลังการพอสมควรเลยทีเดียว อาจจะไม่มากซักเท่าใดนัก แต่ก็เพียงพอที่จะให้คุณ สนุกไปกับมันได้ แต่ความอลังการของมันไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ความฉลาดของ ไคลแมกซ์ มันต่างหากที่เรียกได้ว่าถูกอกถูกใจผมเป็นที่สุด 



ฉากดึงคนดูต่างๆ โอ้วจ๊อช มันเป็นอะไรที่ผมชอบมากๆในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากแม่มดปรากฏตัว ฉากต่อสู้กันระหว่าง แม่มดดี กับ ชั่ว (ที่ออกแนวจะเหมือน Harry Potter โคตร) หรือ กระทั่งฉากมือแม่มดเขียวขจีที่ขรูดกับโต๊ะ ก็ตามมันช่างทำออกมาได้ดูดี มีมนตร์ขลังสุดๆ น่าเสียดายที่หลายๆฉากมันค่อนข้างจะสั้นไปหน่อย ถ้าเพิ่มความยาวอีกซะนิดดดดดนึงจะถูกใจกว่านี้มากมาย


CG ในส่วนของตัวละครอย่าง ตุ๊กตากระเบื้อง และ ลิงแล้ว ถือว่าทำออกมาได้ดี เช่น ตุ๊กตากระเบื้องที่แอบถูกใจเป็นการส่วนตัวก็ว่าได้ เรียกได้ว่าถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ และกระฉากใจคนดูสุดๆ รวมถึงเราสามารถรู้สึกได้เลยว่ามันกระทบถึงตัวละครในเรื่อง แม้เราจะไม่ใช่ตัวละครนั้นจริงๆ


อีกจุดหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยนั้นก็คือ นักแสดงที่เรียกได้ว่าเหมาะสมจริงๆ อย่าง James Franco ที่เหมาะกับบทบาทจอมทะเล้น ขี้โกหก อย่าง Oz สุดๆ แม่มดตัวร้ายที่เรียกได้ว่าถ้าให้พูดเป็นละครไทยก็อารมณ์ประมาณ น่าตบจริงๆนะเธอวว์ หรือ กระทั่ง Mila Kunis ที่เรียกได้ว่าช่วงนี้รู้สึกจะเห็นเล่นหนังบ่อยเหลือเกิน หลายๆคนอาจจะจำเธอได้จาก Black Swan หรือ หนังหมีจอมแสบ Ted ซึ่งในเรื่องเธอจะต้องเล่นเป็นตัวละครที่เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมาก แต่เธอกลับทำได้ดีมากๆในจุดนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากๆ



Oz The Great And Powerful นั้นสิ่งที่หยุดความ Great และ Powerful เอาไว้นั้นก็คือ บทที่ถูกจัดวางมามากจนเกินไป CG ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ใดๆเลย รวมถึงดีเทลเล็กๆน้อยๆที่ยังถูกลืมอยู่
แต่เราก็อดที่จะสนุกกับมันไปไม่ได้เลย ต่อให้เราจะรู้ฉากจบแล้วก็ตาม ด้วยตัวละครที่น่ารัก น่าสนใจ ทั้งตัวร้ายและตัวดี บทบางจุดที่ปูออกมาได้น่าสนใจ ฉากหลายๆฉากที่เรียกได้ว่าทำออกมาได้ดีเยี่ยม ตราตรึงคนดูได้เป็นอย่างดีและสมกับเป็น "OZ" อย่างแท้จริง



The Best Quote from " Oz The Great And Powerful " 

" NO! I don't want to change , I want him to look at me to know that he's why i look like this ! "
-  Witch



[ จุดที่ดี ]
+ ตัวละครที่น่าสนใจ น่าติดตามสุดๆ
+ ฉากไคลแมกซ์ และ ฉากหลายๆฉากในภาพยนตร์ที่ทำออกมาได้ดี
+ นักแสดงที่เหมาะสมกับบทบาท
+ เนื้อเรื่องที่น่าติดตาม แม้ว่า คุณจะรู้ตอนจบแล้ว
+ มุขตลกในภาพยนตร์ที่ช่วยให้คุณไม่รู้สึกน่าเบื่อ
+ ความฉลาดของฉากไคลแมกซ์

[ จุดที่ไปไม่รอด.... ]
-  บทที่ถูกจับวางมามากจนเกินไป จนทำให้คุณเดาออก
-  ไร้ซึ่งความแปลกตา แปลกใจ หรือ อะไรที่คุณไม่คาดคิดที่จะได้เจอ
-  ไม่ให้ความสำคัญใน Details เล็กๆน้อยๆ
-  CG ที่ไม่มีอะไรให้น่าตื่นตาเท่าไร เดิมๆทั่วไป


Final Score : [ B+ ]




Thank You to :  Oz The Great And Powerful ( 2013 ) , Disney , IMDB for information

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

Jack The Giant Slayer ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
นิทานก่อนนอนฉบับใหม่ ที่ควรจะเป็นแค่นิทานต่อไป !?




Movie Name : Jack The Giant Slayer ( 2013 ) ,Warner bros. , Fantasy / Adventure / Drama
Director : Bryan Singer ( X-Men , X-Men 2 , Superman Returns )
Stars : Nicholas Hoult ( X-Men : First Class , Warm Bodies ) , Eleanor Tomlinson ( Alice in wonderland ) , Ewan McGregor ( Stars Wars , The Impossible ) , Stanley Tucci ( Captain America : The First Avenger ) , Ian Mcshane ( The Pirates of The Caribbean : On Stranger Tides ) 
Rating : PG-13







REVIEW THAI



                                                                        Jack The Giant Slayer  คงจะกล่าวไม่เกินจริงที่ก็คงจะเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ ที่หลายๆคนรอคอย ไม่ว่าจะมาจากเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ ที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับ นิทาน แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งในครั้งนี้จะเอามาดัดแปลงเล็กน้อย หรือ สาวๆบางคนอาจจะตาม Nicholas Hoult มาจากการเป็นซอมบี้ จากเรื่อง Warm Bodies ก็ไม่ว่ากัน



อีกจุดหนึ่งเลยของตัวหนังที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ตัวผู้กำกับ อย่าง Bryan Singer ที่หลายๆคนอาจจะรู้จักเขาคนนี้ดีจาก X-Men ภาคแรก และ ภาคสอง รวมถึง Superman Returns ซึ่งก็ต้องพูดได้ว่า งานแนวๆแฟนตาซีเยี่ยงนี้ เหมาะกับเขาเป็นที่สุด แต่ปัญหาก็คือ..... หนังที่ผ่านๆมาของเขานั้น ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไร อย่าง X-Men ภาคแรก กับ ภาคสอง พอมาเทียบกับ X-Men : First Class ที่ตัวเขาเกือบจะได้เป็นผู้กำกับอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ได้ทำแค่นั่งแท่น Producer 
(จากบทสัมภาษณ์ใน Blu-ray ของ  X-Men : First Class นั้นเคยได้พูดเอาไว้ว่าเขาติดสัญญากับ Warner Bros. กับหนังอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคาดว่าก็คือเรื่องนี้นั้นแหละ Jack The Giant Slayer)
ซึ่งเมื่อเอา X-Men ภาคแรก กับ ภาคสอง ของเขามาเทียบกับ X-Men : First Class นั้น คุณภาพของมันต่างกันจนขนาดที่หลายๆคน รวมถึงตัวผมต้องขอพูดว่า ลืมๆไอ้ X-Men ภาคแรกๆไปเถอะ ซึ่งไม่แน่ใจว่านี้อาจจะเป็นชะตาฟ้าลิขิตก็เป็นได้ เพราะถ้าหาก Bryan Singer ไม่ได้ติดกำกับเรื่อง Jack แล้วไปได้กำกับ X-Men : First Class อาจจะ...ออกมาห่วยแตกกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันก็เป็นได้ แล้วเราก็คง(อาจจะ)หมดโอกาสได้เห็น X-Men : First Class ภาคต่อไป (ซึ่งลือกันว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนเขียนบทอยู่)




Jack The Giant Slayer ต้องขอเริ่มด้วยความปวดใจก่อนเลย จุดที่ช่างไม่น่าให้อภัย และ เลวร้ายที่สุดของเรื่องก็คือ "บท" ตัวหนังโฆษณาไว้ซะใหญ่โต ว่าจะเป็นเรื่องราวแบบใหม่ ที่คุณคาดไม่ถึง แต่เมื่อเอาเข้าจริงแล้ว ตัวบทกลับแทบไม่ได้ต่างจากนิทานต้นฉบับอย่างที่เราฟังกันมาเป็นรอบที่แสนล้าน เลย มีเปลี่ยนบ้างนิดหน่อย แถม ปัญหาที่ตามมาก็คือ การเปลี่ยนนั้นๆ มันช่างห่วยแตกสิ้นดี อะไรที่เป็นมนตร์คลัง ที่ทำให้นิทานเรื่องแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ มันอยู่มาหลายร้อยปี มันแทบจะหายไปหมด แล้วกลายเป็นหนังตูมตามไร้สาระเข้าว่า แบบ X-Men 3 ไปแทน (เอาจริงๆนะ X-Men 3 ยังดีกว่าอีก....) บทของตัวหนังนอกจากจะแย่แล้ว มันยังดูเด็กน้อย ไร้สาระเป็นที่สุด เหมือนหนังมันสร้างมาให้เด็ก 2 ขวบดูยังไงอย่างงั้นเลย ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ หรือ ดาร์ค เลยแม้แต่น้อย  เพราะ ฉะนั้นอะไรที่คุณๆหวังว่ามันจะมีแบบใน X-Men : First Class ก็เลิกหวังได้เลย ผมเข้าใจดี ว่ายังไง มันก็ยังเป็นนิทานสำหรับเด็ก แต่ตัวบทมันช่างไม่น่าให้อภัยจริงๆ มันมีอีกตั้งหลายพันวิธี ที่จะทำให้ตัวหนังมันน่าสนใจ ทั้งมีความเป็นผู้ใหญ่ และ ไร้เดียงสา ไปพร้อมๆกัน   ถ้าจะอ้างว่าขายให้เด็กดู ก็เชิญไปเปิดที่ Disney Land เถอะครับ อย่ามาฉายในโรง 




อีกจุดหนึ่งที่ตัวหนังทำได้แย่มากคือ การตัดต่อ โดยเฉพาะในต้นเรื่อง ที่ตัดได้งงไปหมด ทำให้คนดูไม่เข้าใจว่าตกลงมันเป็นยังไงกันแน่ แถมไอ้จุดที่แย่ มันดันเป็นจุดที่เป็นเรื่องราวใหม่ที่ไม่ได้มีอยู่ในต้นฉบับนิทานเก่าซะด้วย ยิ่งแล้วใหญ่   ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ไอ้จุดที่มันตัดไม่ได้เรื่องเนี้ย มันดันเป็นจุดที่เรียกได้ว่า น่าสนใจที่สุดแล้วในทั้งเรื่อง !!  



จะว่าไปจุดหนึ่งที่ตัวหนังทำได้ล้มเหลวมากคือการดึงคนดูเอาไว้ ในช่วง 1 ชม. 30 นาที แรก หรือ 70-80% ของตัวหนัง มันช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน ยิ่งช่วงเริ่มต้นของหนังที่เรียกได้ว่าสำคัญที่สุดของหนัง ก็ไม่ได้มีความน่าสนใจเลยซักกะติ๊ด แถมยังกลับกัน ช่างน่าเบื่อ และ ต้องใช้ความพยายาม อย่างมากในการทนดู..... ทำให้ 1 ชม. ต่อมาหลังจากนั้น แทบจะไร้ความหมาย ยิ่งกว่านั่งดูหนังดราม่าเสียอีก ตัวหนังมันช่างอืดยิ่งกว่ามาม่าค้างปีมาแล้ว 10ปี    และไม่มีจุดใดในช่วง 1 ชม. 30 นาที แรกของหนังเลยที่ทำให้คนดู "ว้าว" ได้เลย ซึ่งมันแทบจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดเด่น ของหนังแฟนตาซี ที่ล้มเหลวไปแล้วเรียบร้อยโรงเรียนจีน คุณกลับรู้สึกสุดแสนจะน่าเบื่อ นั่งดูนาฬิกา ภาวนาให้มันถึงจุด ไคลแมกซ์ ซะที....   



ช่วงต้นเรื่องราวๆ 10-20 นาทีแรกของหนังมันช่างเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดแล้วในตัวหนัง นอกจากความอืดที่ยิ่งกว่ามาม่าค้างปีมาแล้ว 10 ปี อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้ว แล้วยังจะมี CG ในช่วงการเล่าเรื่องที่ โอ้วพระเจ้า มันช่างน่าเกลียดเหลือเกิน ยิ่งพอมาเทียบกับ CG ช่วงหลังๆหลังจากนั้นแล้ว มันก็ไม่ได้ดูแย่อะไรนัก แต่มันยิ่งทำให้เรางงว่า เห้ยแล้วไอ้ CG ในช่วงแรกมันคืออะไรฟะ !!?  หรือ เอ็งจะบอกเป็นนัยๆว่า เก็บงบเอาไว้ช่วงหลัง !! หนำซ้ำ CG ที่มัน"ควร" จะทำให้ตัวหนังมันสร้างจุดน่าสนใจมากขึ้นในช่วงต้นเรื่อง กลับทำให้งงกว่าเดิม และ CG ช่วงแรกที่ควรจะดูเป็นอะไรที่ Epic ยิ่งใหญ่ อลังการ เพื่อให้เรารู้สึกว่า โอ้ว มาย ก๊อต ขนาดต้นเรื่องยังขนาดนี้ แล้ว ตอนท้ายจะขนาดไหน !!! แต่...เก็บคำถามนั้นไว้กับตัวคุณเองเถอะครับ เพราะ มันไม่มีอะไร Epic เลย ใน CG ช่วงต้น หยั่งกะนั่งดูหนังอนิเมชั่นไร้สาระเรื่องนึง ที่ตัดต่อก็ห่วยแตกแล้ว ยังจะอธิบายไม่รู้เรื่อง ซ้ำยังไม่ Epic อีก จากใจเลยนะ ตัดไปเถอะ CG ช่วงแรกหนะ แล้วเปลี่ยนเป็นพูดแทน ยังจะดีซะกว่า !!!



ยัง...ยังไม่หมด ตัวละครใน Jack The Giant Slayer นั้นเรียกได้ว่าแทบจะไร้ความน่าสนใจทุกตัว รวมถึง พระเอก และ นางเอก เองด้วย ยิ่งตัวละครอื่นๆไม่ต้องพูดถึง นอกจากการแบ่งความสำคัญของตัวละคร ยังเป็น 0 แล้ว กลับขว้างทิ้งตัวละครอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น ความรู้สึกที่เราร่วมกับตัวละคร คอยเอาใจช่วย แทบจะเป็น 0 เนื้อเรื่องบางจุดที่ปูให้ตัวละครบางตัวมาซะดิบดี พอมาถึงกลางเรื่องก็โยนทิ้งซะงั้น ? เหมือน Bryan Singer บอกว่า ค่าตัวนายแพงอะ ไม่เอาละ เอาเป็นว่าให้บทมันจบตรงนี้ละกัลล์ !! ทำให้บทที่ปูมาบางส่วนของเรื่อง สรุปก็แทบจะไร้ความหมายไม่รู้จะนั่งดูส่วนนั้นมาทำไม ตั้ง 1 ชม หากในหนังแฟนตาซี หนึ่งเรื่อง ตัวละครก็ไม่น่าสนใจ CG ในช่วงต้นที่สุดแสนจะขี้เกียจ บทก็แสนจะน่าเบื่อ แถมก็ยังเด็กน้อย ปยอ. อีกต่างหาก ซ้ำยังสุดจะอืด แล้วพวกเราจะดูไปใย ?



ยัง... ยังดี ครับ ยังดี ฮ่าๆ ยังดี ที่ตัวหนังยัง "พอ" จะมีบางจุดให้คุณ "อาจจะ" พอที่จะทนดูไปได้บ้าง อย่างเช่น CG ยักษ์ (ไม่นับช่วงแรก) ที่เรียกได้ว่า ดีเทลค่อนข้างพอใช้ได้ และ น่าสนใจอยู่บ้าง แถมในหนัง ยังมีภาพสวยๆมากมายหลายจุด รวมไปถึง แหม มันแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ อะ ใครจะไม่อยากดู !?   ช่วง 30 นาทีสุดท้ายของหนัง ที่เริ่มจะน่าสนใจขึ้นมาบ้าง และ ฉากต่อสู้ในตอนช่วงท้าย ที่พอจะให้อภัยได้บ้าง (แต่มันไม่ค่อย Epic เลยนะจริงๆ) จริงๆ บทไม่ต้องไปปรับไม่ต้องไป Twisted อะไรมันมากหรอก บทดั้งเดิมเอาให้มันรอดเกินเถอะ พี่........



ยิ่งเห็นแบบนี้แล้ว ยิ่งอยากจะส่ง Bryan Singer กลับไปนั่งดู X-Men : First Class ใหม่อีกซัก 100 รอบ ฉากไคลแมกซ์ ที่แมกนีโต้ หยุดขีปนาวุธ เป็นสิบๆ(หรือ ร้อยๆ ?) ลูก ที่มันแทบจะทำให้หัวใจคุณหยุดเต้น บทที่ตึงเครียด น่าสนใจ เป็นผู้ใหญ่ ตัวละครที่น่าสนใจ และมีความสำคัญ(อยู่บ้าง) รวมไปถึงคำคมเท่ๆ และ เนื้อเรื่องที่แตกแยกออกไปได้ไม่รู้จบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่ใน X-Men : First Class หนังที่พี่ Bryan นั่งแท่น Producer เองแท้ๆ มี แต่ใน Jack The Giant Slayer ดันไม่มีเลยซักข้อ.... หรือจะพูดว่านี้เป็นจุดเด่นของตัวเองหว่า ? 



Jack The Giant Slayer เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องของปีนี้ที่ช่างน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน ด้วยบทที่แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย (แต่ดันโฆษณาซะเวอร์) แถมยังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายกว่าเดิมอีกต่างหาก การตัดต่อที่แย่ทำให้คนดูสับสนในบทเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ ทั้งเรื่องมันก็น่าสนใจแค่นั้นแหละ 80% ของตัวหนังที่สุดแสนจะเรื่อยๆ น่าเบื่อเป็นที่สุด แม้กระทั่งอีก 20% สุดท้ายก็ไม่ได้ดีขนาดที่จะช่วยฉุดให้หนังดีขึ้นมาได้เท่าไรเลย สิ่งที่ช่วยตัวหนังเอาไว้มีเพียงแค่ สิ่งที่ยังคงเดิมอยู่คือ เนื้อเรื่องนิทานเดิมๆ และ CG ที่พอรับได้ (อีกครั้ง ไม่นับช่วงต้นเรื่อง)
และอีกครั้ง อย่างน้อย ตัวหนังมันก็ไม่ได้แย่จนขนาดที่จะทำให้คุณอยากจะโดดตึกตาย และทำลายโอกาสทุกอย่างบนโลก อย่างที่ A Good Day To Die Hard ทำเอาไว้เยอะ !!!        



The Best Quote from " Jack The Giant Slayer "

" I'm i die ? " - Jack 
" Not Just Yet " - Elmont                



Final Score : [ C ] 





Thank You to : Jack The Giant Slayer ( 2013 ) , Warner Bros. , IMDB for information