วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ( 2015 ) Movie Review



The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ประกายไฟลุกโชน"



    เชื่อว่ามาถึงจุดนี้แล้ว ใครๆก็คงจะปฏิเสธได้ยากถึงความสำเร็จของแฟรนไชส์ The Hunger Games จากหนังสือนวนิยายชื่อดังสู่ภาพยนตร์ที่นอกจากจะสร้างชื่อเสียงของนักแสดง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ให้เป็นที่โด่งดังแล้ว ยังกลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์จากหนังสือนวนิยายที่มีคุณภาพเหนือแฟรนไชส์ประเภทเดียวกันอื่นๆ โดยเฉพาะใน Catching Fire 


ถึงแม้ว่าการตัดสินใจที่จะหั่นหนังสือเล่มเดียวในภาคสุดท้ายเป็นสองส่วนจนพาเอาส่วนแรกกลายเป็นหายนะไปจะเป็นการตัดสินใจที่น่าตั้งคำถาม แต่อย่างไรก็ตาม บทสรุปของแฟรนไชส์ที่แทบจะเรียกได้ว่าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่าง The Hunger Games ก็ได้ดำเนินมาถึงจุดจบเสียทีใน Mocking Jay Part 2 ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่น่าใจหายอย่างแปลกประหลาดอีกครั้ง เสมือนตอน Deathly Hallow ของ Harry Potter ในขณะที่เรากำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเสกเวทย์มนตร์คาถา หรือเคร่งเครียดไปกับการเมืองอันดุเดือด รู้สึกตัวอีกที เราก็ดำเนินมาถึงจุดจบของอีกหนึ่งแฟรนไชส์ชื่อดังเสียแล้ว



The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ว่าด้วยเรื่องราวต่อมาจาก 3 ภาคที่ผ่านมา สงครามระหว่างแคทนิส กับ สโนว์ ได้เข้ามาถึงจุดแตกหัก ถึงคราวที่เธอจะต้องต่อกรกับเขาและสะสางเรื่องราวที่ผ่านมาให้หมดสิ้น แต่หนทางกลับเต็มไปด้วยกับดักอันร้ายกาจและแสนอันตรายมากมาย แคทนิส จึงต้องทำทุกวิถีทางในการหยุดยั้งสโนว์ให้ได้



ถ้าหากเปรียบเทียบกับภาคล่าสุดอย่าง Mocking Jay Part 1 แล้ว Part 2 นี้ดูจะกลายเป็นการพัฒนาชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมืออยู่ไม่ใช่น้อย จากภาพยนตร์อันแสนน่าเบื่อชวนหลับ หาอะไรจับต้องแทบจะไม่ได้ กลายมาเป็น บทสรุปอันแสนลุ้นระทึก น่าตื่นเต้น เรื่องราวที่น่าค้นหาชวนติดตาม แต่อย่างไรก็ตาม Mocking Jay Part 2 ยังคงเต็มไปด้วยปัญหามากมายหลายประการ แม้ว่าตัวแฟรนไชส์จะดำเนินมาถึงจุดจบแล้วก็ตาม


ที่ดูจะส่งผลต่อหลากหลายส่วนของภาพยนตร์มากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นการกำกับของ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ที่ยังคงแสดงให้เห็นปัญหาจากภาคที่แล้ว การเล่าเรื่องของเขานั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ย่ำแย่อะไร แต่ก็ตรงไปตรงมาตามสูตรสำเร็จมากจนเกินไป ขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างรุนแรง ทำให้การดำเนินเรื่องคาดเดาง่าย และปราศจากความสดใหม่ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งชมภาพยนตร์สูตรสำเร็จเดิมๆ 


กระทั่งตัวภาพยนตร์หลายส่วนเอง ก็ถูกเล่าเรื่องและผลักดันอย่างเร่งรีบ ไม่เว้นแม้แต่ฉากสำคัญๆที่ควรจะกระทบต่อจิตใจผู้ชมอย่างรุนแรง แต่กลับกลายเป็นฉากที่ถูกยัดเยียดเข้ามาอย่างลวกๆ ทำให้ฉากที่ควรจะน่าจดจำ ควรจะกลายเป็นฉากที่เราจะพูดถึงไปอีกนานแสนนาน หายวับไปกับตา จนแทบจะหาอะไรที่น่าจดจำไม่ได้ซักอย่าง



ที่ดูจะน่าเสียดายที่สุด ก็คือฉากแอ็คชั่นทั้งหลายในภาพยนตร์ที่เอาเข้าจริงน่าตื่นเต้น ลุ้นระทึก และเป็นจุดที่น่าจดจำที่สุดในภาคนี้ โดยเฉพาะฉากไล่ล่าใต้ดิน ที่ให้ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ถาโถมรายล้อมเหล่าตัวละครของเราเข้ามาเสมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง สร้างความรู้สึกที่เราไม่อาจจะหนีพ้นไปจากสถานการณ์เช่นนี้ จนเกิดอารมณ์ของความ 'สิ้นหวัง' ซึ่งเป็นจุดอารมณ์ที่สูงที่สุดของภาคนี้ และเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกได้ว่านี้คือภาคบทสรุปและสิ่งที่ Mocking Jay Part 2 ตั้งใจจะเป็นอย่างแท้จริง ความรู้สึกที่ว่าภัยอันตรายนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง และทุกย่างก้าวของเหล่าตัวละครอาจหมายถึงความตาย ไม่ต่างอะไรไปกับตอนที่พวกเขาอยู่ในสนามประลองในภาคก่อนๆ


แต่พอเมื่อฉากแอ็คชั่นเหล่านี้จบลง อารมณ์เหล่านี้ก็ถูกฉกฉวยไปจากผู้ชมอย่างรวดเร็ว และวนลูบกลับมาสู่การเล่าเรื่องอันแสนจืดชืดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าใน Mocking Jay Part 2  จนเป็นเหตุทำให้บทสรุปของ The Hunger Games ไม่เต็มอิ่ม และไม่น่าจดจำเท่าที่ควร




โชคยังดีที่ทางด้านเทคนิคและทีมโปรดัคชั่นยังคงอลังการ สมจริงเช่นเคย การถ่ายและวางเฟรมภาพในจุดต่างๆก็ยังคงยอดเยี่ยม ทำให้ตัวภาพยนตร์ออกมาน่าดูชมตลอดเวลา การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของแต่ละฉากก็ยังคงอยู่ในจุดที่น่าทึ่ง


ที่สำคัญคือการแสดงของ เจนนิเฟอร์ ลอวเรนซ์ ก็ยังคงยอดเยี่ยม น่าทึ่งและแทบจะโอบอุ้มตัวภาพยนตร์เอาไว้บนบ่าของเธอ ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่ยังคงโดดเด่นไว้วางใจได้ไม่เปลี่ยนสำหรับแฟรนไชส์นี้


ถึงแม้ว่า Mocking Jay Part 2 จะอยู่จุดกึ่งกลางระหว่างบทสรุปที่ยอดเยี่ยม และบทสรุปที่น่าผิดหวัง แต่ในท้ายที่สุด สิ่งที่แฟรนไชส์ The Hunger Games ได้รับ จากการฝ่าฟันได้มาถึงจุดนี้ ก็ไม่สามารถเป็นอื่นใดไปได้นอกจากความสำเร็จและกลายเป็นอีกหนึ่งเสี้ยวประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด



สุดท้ายแล้ว The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ก็ยังคงไว้ซึ่งการสอดแทรกเนื้อหาที่สะท้อนถึงวงจรแห่งบาปซึ่งไม่มีวันสิ้นสุดของมนุษย์ชาติ ไม่ใช่แค่ในด้านการเมืองที่เต็มไปด้วยเกมแห่งการแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเอง แต่ยังรวมถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ใช่แค่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ช่างหยิ่งผยองจองหองเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยข้ออ้างล้านแปดประการ สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็เพียงแต่หวังโลกในภายภาคหน้าจะเต็มไปด้วยความหวัง ความสงบสุข และใครซักคนที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านกับการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั้น เพื่อจุดประกายไฟให้ลุกโชน เสมือนสัญลักษณ์แห่งม็อกกิ้งเจย์


Final Score : [ 7 / 10 ]


วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Spectre ( 2015 ) Movie Review



Spectre ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"ยานอนหลับชั้นดี"


 ห็นได้ชัดเลย ว่าช่วงนี้ตลาดภาพยนตร์กำลังตื่นตัวกับกระแสภาพยนตร์สายลับมากทีเดียว โดยเฉพาะการนำมันมาพลิกกลับด้านกลายเป็นมุขตลกโปกฮาอย่างเช่นใน Spy หรือ Kingsman: The Secret Service ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพยนตร์เหล่านี้ต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์สายลับรหัสเลขสามตัว 007 หรือ James Bond


โดยเฉพาะหลังจากความสำเร็จของ Skyfall ในภาคที่แล้ว ซึ่งยอดเยี่ยมจนหลายต่อหลายคนถึงกับเอาไปวางบนหิ้ง ซึ่ง Spectre ก็เป็นภาคต่อที่พยายามจะสานต่อความสำเร็จนี้อีกครั้งหนึ่ง 


แต่น่าเสียดาย เมื่อเทียบกับ Skyfall แล้ว Spectre แทบจะเปรียบเสมือนเด็กน้อยปั่นจักรยานข้างทางที่ดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรซักเท่าไรนัก กล่าวคือนี้เป็นภาคต่อของสายลับมาดเท่ห์ 007 ที่ปราศจากซึ่งความโดดเด่น ความน่าจดจำใดๆ ซ้ำร้ายยังเต็มไปด้วยความจืดชืด น่าเบื่อ ชวนง่วงหงาวหาวนอน



Spectre ว่าด้วยเรื่องราวต่อจาก Skyfall เจมส์ บอนด์ เดินตามรอยแห่งอดีตซึ่งทำให้เขาต้องพบกับศัตรูตัวร้ายคนใหม่ที่ร้ายกาจกว่าครั้งที่ผ่านๆมา


ที่ดูจะเลวร้ายที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นบทภาพยนตร์ ช่างน่าเบื่อ แทบไม่มีความเป็นเอกลักษณ์ใดๆของเจมส์ บอนด์อยู่เลย เต็มไปเรื่องราวซ้ำๆซากๆ ตั้งแต่ พระเอกต้องเผชิญกับองค์กรร้ายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ หัวหน้ากลุ่มที่มีความแค้นส่วนตัวกับพระเอก หรือ อดีตที่ตามมาหลอกหลอน  ที่แย่คือสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ซ้ำซาก แต่ยังขาดชั้นเชิงอย่างมาก ส่งผลทำให้เรื่องราวไม่มีความน่าจดจำใดๆเลย

แต่สาเหตุที่แท้จริง ซึ่งทำให้ Spectre กลายเป็นภาพยนตร์ที่แสนน่าผิดหวัง ก็คือตัวละครร้ายทั้งหลายของภาพยนตร์ โดยเฉพาะตัวละครของนักแสดงรางวัลออสการ์ คริสตอฟ วอลซ์ ที่ถูกวางมาให้เป็นคู่ปะทะที่สูสีและอาจจะเหนือกว่า เจมส์ บอนด์ ด้วยซ้ำไป ก่อให้เกิดเรื่องราวการปะทะอันแสนดุเดือด แต่สิ่งที่เราเห็นกลับมีเพียงตัวร้ายที่ทำอะไรแทบไม่ได้นอกจากพล่ามแล้วพล่ามอีก พอถึงเวลาจริงก็กระจอกงอกง่อย น่าผิดหวังไม่ต่างอะไรกับ อัลตรอน ใน Avengers: Age of Ultron จุดนี้ทำร้ายตัวภาพยนตร์อย่างมาก เนื่องจากทำให้เรื่องราวอันแสนอลังการที่ถูกสร้างมาทั้งเรื่อง ไร้ความหมายไปในทันที เสมือนสิ่งก่อสร้างอันแสนศักดิสิทธิ์นับร้อยชั้นที่พังครีนลงมาเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังไว้ให้ดูชมอย่างเจ็บปวดรวดร้าว




ในหลายส่วนก็ต้องตั้งคำถามถึงการกำกับของ แซม เมนเดส เช่นกัน ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เพราะการกำกับของเขาใน Spectre นั้นแทบจะเหมือนยานอนหลับ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องที่จืดชืด ไร้พลัง การวางตัวละคร ปูปมขัดแย้งในจุดต่างๆที่ขาดชั้นเชิง และฉากแอ็คชั่นที่กลายเป็นระเบิดภูเขาเผากระท่อมไม่มีความน่าสนใจใดๆเลย ต่างก็ได้ส่อถึงปัญหาอะไรบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากภาคที่แล้ว


มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ Spectre ยังคงทำได้ดี นั้นก็คือด้านโปรดักชั่นที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ถ่ายทำ ฉาก หรือการจัดแสงต่างๆที่น่าทึ่ง และฉากเปิดเรื่องที่คลอเพลง Writing's On the Wall ของ แซม สมิธ ไปด้วย ช่างไพเราะ งดงาม และดูจะอลังการ น่าจดจำเสียยิ่งกว่าตัวภาพยนตร์จริงๆทั้งเรื่องเสียอีก




จริงๆ Spectre มีความน่าสนใจ ความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งภาคของ เจมส์ บอนด์ ที่ยอดเยี่ยมได้ เช่นการจับเรื่องราวระหว่างตัวละครเอก เจมส์ บอนด์ กับ สาวบอน์ด ซึ่งเป็นหนึ่งเอกลักษณ์ของภาพยนตร์ชุดนี้อย่างจริงจัง พูดถึงการสูญเสียคนรักมากมาย บาดแผลในใจของ บอนด์ ที่อาจจะทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางสิ่ง เสมือนกับเพลง Writing's On the Wall 

ถ้าหากมองข้ามความเป็นจริง ว่านี้คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ของสายลับรหัส 007  Spectre ก็ดูจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวร้ายซักเท่าไรนัก แต่ในเมื่อความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น และผลงานที่ออกมาตอนนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่มันควรจะเป็น ท้ายที่สุดแล้ว Spectre ก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากความผิดหวัง


Final Score : [ 6 / 10 ]