วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

Les Miserables ( 2012 ) Movie Review


Movie Review





Movie Name : Les Miserables ( 2012 ) Universal Studios , Musical / Drama / Romance
Director : Tom Hooper ( The King's Speech )
Stars : Hugh Jackman ( Wolverine , X-Men ) , Russell Crowe ( The Gladiator ) , Anne Hathaway ( The Dark Knight Rises ) , Amanda Seyfried ( Mama Mia ! ) , Eddie Redmayne ( My week with Marilyn , The Pillars of the earth (TV-Series) ) 
Rating :  PG -13 ( Some Violence , Language , Sexual Content )







REVIEW (THAI)




                                       Les Miserables นั้นเป็นภาพยนตร์แนวละครเพลง ที่จริงๆแล้วเป็นหนังสือมาก่อน และหลังจากนั้นก็มาทำเป็นละครเพลงเวทีซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกมากๆ (ซึ่งคล้ายๆกับ The Phantom of The Opera ที่จะมาเปิดแสดงในเมืองไทยช่วง พฤษภาคมนี้)  จริงๆแล้วผมต้องขอบอกทุกท่านก่อนเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ร้องเพลงประมาณ 80-90% ของทั้งเรื่อง ซึ่งถ้าท่านใดที่ไม่ชิน หรือไม่ชอบ อาจจะพาเซ็งเอาได้ แต่ผมอยากให้ทุกๆท่านลองเปิดใจรับดู และตั้งใจฟังเพลง และความหมายของมันให้ดีๆ เพราะ แต่ละเพลงเนี้ยแหละ เป็นเอกลักษณ์ และ ความสุดยอดของ พวกละครเวทีทั้งหลาย ที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น The Phantom of The Opera (ที่ทำเวอร์ชั่นภาพยนตร์มาแล้ว และค่อนข้างทำออกมาดีซะด้วย) Mama Mia ! (เรื่องนี้บอกตามตรงห่วย......เน้นดาราดังๆมากเกินไป แต่มี Amanda Seyfried ที่ร้องสุดยอดมากๆ และ เธอก็เล่นเรื่อง Les Miserables เช่นกัน) จะว่าไปผมก็ต้องขอบอกก่อนอีกว่า โดยส่วนตัวผมค่อนข้างเป็นแฟนพวกแนวๆ ละครเพลงเวที จึงค่อนข้างชินกับการร้องแบบนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งอาจจะต่างกับหลายๆท่าน ที่ไม่เคย ดูละครเพลงเวที หรือ ภาพยนตร์แนว Musical เลย อาจจะทำใจยากนิดนึง 



Les Miserables นั้นถือว่าเป็นละครเวทีที่โชคดี ได้ตัวผู้กำกับระดับเทพ อย่าง Tom Hooper ที่ปี 2010 นั้น ได้เป็นผู้กุมบังเหียน คว้ารางวัลมามากมาย จากหลายเวที จากเรื่อง The King's Speech ซึ่งหลายๆท่านก็คงจะรู้จักดี จึงการันตีความเทพได้ระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมกังวล และหลายๆท่านกังวล ก็คือ The King's Speech เนี้ยมันเกี่ยวกับการพูดเฉยๆ แต่ Les Miserables เนี้ย มันทั้งต้องร้อง ต้องแสดงสีหน้าแบบสุดๆ จะไปรอดไหม ? (ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่าง Fail ๆ มาแล้วจาก Mamma Mia ! ที่แฟนเพลงทุกคนแทบจะเบินหน้าหนี....)



Les Miserables นั้นตอนแรกผมเห็นเวลาแล้วตกใจ 2 ชม. เกือบ 3 ชม. อีกแล้ว !! นี้ตกลงหนังสมัยนี้จะแข่งกันที่เวลารึไง ? (ถ้ามันดีก็แจ่มไป แต่ถ้ามันห่วยล่ะ..... โอ้ว ไม่อยากจะคิด...) 
แต่เหมือนหนังเรื่องนี้จะโชคดีหรือเพราะ Casting เทพก็ไม่แน่ใจ เพราะ นักแสดงแต่ละคน ค่อนข้างจะน่าวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็น Amanda Seyfried ที่ผมบอกตามตรง ในเรื่อง Mamma Mia ! ถ้าไม่มีเธอคนนี้ผมคงเลิกดูไปตั้งแต่ครึ่งเรื่องแล้ว เพราะ เธอเสียงดีแบบมากๆ ร้องไพเราะสุดๆ นอกจากนั้นยังมี Anne Hathaway ที่ตอนตัวอย่างที่เธอร้องเพลงออกมา ทำเอาผมแบบ เห้ย!! บ้าไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีคนร้องไพเราะอีก แถมยังมีดาราแม่เหล็กที่ขอยืนใบลากับทีม X-Men แปป แล้วโดดมาร้องเพลง อย่าง Hugh Jackman (ซึ่งในปีนี้เรายังจะได้ชมภาคต่อของ Wolverine อีกต่างหาก)  และ Russell Crowe ที่ด้านการแสดงไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว




Les Miserables  นั้นตอนแรกผมค่อนข้างห่วงเรื่องเพลงมาก เพราะถ้าร้องไม่ได้เรื่อง และ หน้าไม่ไปก็เฟลแบบ Mamma Mia ! แน่นอน แต่ที่ไหนได้ ทุกคนกลับร้องได้ดีเยี่ยมมาก โดยเฉพาะ Anne Hathaway ที่ร้องดีแล้วแสดงยังโคตรสุดยอด ไม่แปลกเลยที่จะคว้ารางวัลจากหลายๆเวทีได้ง่ายๆ หรือ Amanda Seyfried ที่ยังคงร้องได้สุดยอดเหมือนเดิม Huge Jackman ที่ถึงแม้จะร้องแปลกๆไปบ้าง แต่การแสดงนี้สุดยอดไม่แพ้กัน หรือ เฮีย Russell Crowe ที่มาแนวเท่ห์ๆ จริงๆจังและแม้แต่เสียงร้องก็ยังคงจริงจังไปด้วยซึ่งสมกับบทบาทมาก ถึงแม้ส่วนตัวจะคิดว่ามันแข็งไปนิดก็ตาม แต่ที่ผมแปลกใจที่สุดเลยก็คือ Eddie Redmayne ซึ่งจริงๆผมเคยดูหนังของเขาหลายเรื่องเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าพี่แกจะมีเสียงไพเราะแบบนี้แอบซ่อนไว้อยู่ แม้กระทั่งจะเรียกว่าตัวประกอบอีกตัว ? ดีไหม(แฟนๆ Les กรุณาอย่าฆ่าผมนะ >< ) Samantha Barks  ที่แม้จะไม่ได้เล่นเป็นตัวหลักซักเท่าไร แต่เสียงอันไพเราะของเธอ เรียกได้ว่า ขโมย ฉากไปหลายฉากมาก โดยเฉพาะผมที่ชอบเสียงของเธอมากๆ จนคิดว่าเพลงของเธอที่เธอร้องเนี้ยแหละ เพราะมากกว่า คนอื่นๆเสียอีก นอกจากนี้ยังแอบมีเซอร์ไพรซ์ เล็กๆน้อยๆให้แฟนๆ โดยการให้นักร้องชื่อดังอย่าง Colm Wilkinson มารับบทเป็น บิชอบ ซึ่งหลายๆคนคง งง มันเป็นคราย ? Colm Wilkinson นั้นเขาเป็นนักร้องพวกแนวๆละครเวทีเยอะมากครับ เช่น เขาเป็น Original Cast London เมื่อนานมาแล้วของ ละครเพลงที่อังกฤษ อย่าง The Phantom of The Opera ซึ่งในตอน ครบ 25ปี ของ Phantom เขาก็ไป และในตอน ครบ 25ปีของ Les Miserables เขาก็ไปแสดงอีกเช่นกัน จะเรียกได้ว่าเป็นตำนานก็ว่าได้นั้นแหละ ซึ่งแฟนๆหลายคนที่รู้จักเขาดี ดูแล้วคงแบบ เห้ย!!มาได้ไง (แบบผม) + กับ แอบฟินเล็กน้อยถึงปานกลาง ต้องขอบอกอีกอย่างว่าส่วนตัวชอบ Russell Crowne ในบทนี้มาก เพราะในหลายๆฉากนี้หามุมถ่ายได้ดีสุดๆ จนทำให้เขาดูเหมือนหยั่งกะคนคุมประเภทอย่างนั้นแหละ และดูเท่ห์โคตร (จริงๆยศไม่ได้เยอะขนาดนั้น = =)


อีกจุดหนึ่งที่สำคัญของละครเวทีนั้นก็คือ "ฉาก" ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากฉบับภาพยนตร์ปีนี้เลย แต่เลิกห่วงไปได้เลย เพราะในหนังนั้น แต่ละฉากค่อนข้างอลังการมาก และดีไซน์ออกมาเป็นอย่างดี แถมแอบๆให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งชมละครเวทีอยู่จริงๆอีกด้วย ในส่วนของด้านบทก็ทำออกมาได้น่าสนใจ เพราะ ตัวหนังจะพาเราเข้าไปในชีวิตของแต่ละตัวละคร ซึ่งในแต่ละตัวละครเนี้ย มีจุดหมายที่แตกต่างกัน หรือ บางคนอาจจะเหมือนกันก็ได้ ซึ่งก็อารมณ์ประมาณว่า สู้กับโชคชะตานั้นแหละครับ ซึ่งทำให้เราเหมือนดูหนังใหญ่ๆที่มีอะไรย่อยๆอยู่ข้างในอีกต่างหาก ซึ่งไอ้ย่อยๆที่ว่าเนี้ย ตัวหนังค่อนข้างให้ความสำคัญในทุกๆตัวละครมาก ทำให้จุดมุ่งหมายของตัวละครทุกๆตัวดูสำคัญ และไม่ด้อยไปกว่ากันเลย อารมณ์ประมาณ เค้กก้อนหนึ่งที่ภายนอกก็น่ากินอยู่แล้วพอกัดลงไปยังจะเจอไส้ในหลายๆอย่างที่สุดยอดอีกต่างหาก ประมาณนั้นเลยครับ



แต่ แต่ อย่างที่ผมพูดไปแล้วในครั้งที่แล้วนั้นก็คือ ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดที่เพอร์เฟ็ค ไม่มีจุดด้อย แต่ใน Les Miserables เนี้ยโชคร้ายที่มีค่อนข้างไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างแรกเลย ทุกๆท่านได้สังเกตุไหมครับว่ารีวิวนี้ผมไม่ได้เขียนเนื้อเรื่้องย่อของ Les Miserables เลย สาเหตุหรอ? ก็เพราะ หลังจากที่ผมดูจบ ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเอง สรุป เนื้อเรื่องหลักๆของหนังมันคืออะไรกันแน่ ? พระเอกหนีชะตากรรม ? ความหวัง ? สู้เพื่ออิสระ ? ตามหารักแท้ ? หรืออะไรกันแน่ ซึ่งผมก็หาคำตอบไม่ได้สักที ซึ่งมันก็เป็นดาบสองคมมาจาก การที่มีเรื่องหลายๆเรื่อง และยังให้ความสำคัญพอๆกัน ทำให้ผมงงว่า สรุปแล้ว ไอ้เนื้อเรื่องหลักๆ หรือ เส้นที่ใหญ่ที่สุดเนี้ย มันอยู่ตรงไหนกันแน่ ทำให้หนังดูเหมือนจะหลงทางไปเลย ต่างจาก The Avengers ที่ให้ความสำคัญของทุกๆตัวละครเท่าๆกัน แต่เรารู้ดีว่าทุกตัวละครนั้นมีเป้าหมายเดียวกันก็คือ ช่วยโลก แต่ใน Les Miserables มันไม่ใช่แบบนั้นเลย แต่ละคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง ซึ่งมันทำให้หนังถูกสับออกเป็นหลายๆส่วนเท่าๆกัน พอเราดูจบ เรามานั่งดูผลงานที่เหลือที่มี ผลงานหลายๆส่วนเท่าๆกัน มันทำให้ผมงงว่า เออ แล้วมันเท่ากัน แล้วตกลง อันไหนสำคัญสุด ? หรืออันไหนคือเป้าหมายของหนัง ? นั้นเป็นสาเหตุที่ทำไมผมถึงไม่สามารถที่จะเขียนเนื้อเรื่อง ย่อของมันได้เลย เพราะผมไม่เข้าใจ ว่าตกลงอันไหนมันสำคัญที่สุดกันแน่




นอกจากนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมต้องขอบอกตรงๆว่าไม่ชอบมากถึงมากที่สุด คือตัวละครของ  Helena Bonham Carter กับ Sacha Baron Cohen ที่พอเข้าใจว่าใส่เข้ามาเพื่อตลก ไม่ให้โทนของหนังมันเครียดเกินไป แต่ในบางฉากนั้น ตัวโทนของหนังกำลังบีบหัวใจคนดูได้อย่างดีอยู่แล้วกำลังจะทำลายหัวใจคุณได้แล้ว แต่กลับมีไอ้ตัวละครเหล่านี้ โผล่หน้ามา ทำให้บรรยากาศมันเสียหมดเลย จากการที่คุณซึ้งๆ หรือ กำลังลุ้นอยู่ หายวับไปหมด มันทำให้เสียอารมณ์ในการดูเป็นอย่างมาก แถมเท่าที่ดูจากบทของสองตัวละครนี้แล้ว สามารถตัดออกไปได้เลยด้วยซ้ำไป หรือ จะหาตัวละครอื่นมาแทนก็ยังได้ เพราะไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่กลับมากระทบถึงตัวหนังอย่างมากขนาดนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าให้อภัย ก็พอจะเข้าใจว่าไม่อยากให้โทนหนังมันมืดเกินไป แต่การที่ใส่มาผิดที่ผิดทาง ผิดฉากที่ไม่ควรจะใส่ มันช่างน่าผิดหวัง และ ไม่น่าให้อภัยเป็นที่สุด
นอกจากนั้นอีก สิ่งที่น่าผิดหวังอีกอย่างก็คือ หลายๆนักแสดงที่ร้องได้ไพเราะมากๆ อย่างเช่น หนูน้อย โคเซ็ตต์ ตอนเด็ก หรือ Anne Hathaway กลับมีบทบาทอยู่กระติ๊ดนึงในเรื่อง โดยเฉพาะหนูน้อย โคเซ็ตต์ ที่โผล่มารวมๆไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำมั้ง ทั้งๆที่ร้องไพเราะมาก ซึ่งมันค่อนข้างน่าผิดหวังมาก ยิ่งไปกว่านั้นฉากหลายๆฉากระหว่าง Hugh Jackman กับ Russell Crowne ที่ปะทะกันนั้น น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ซึ่งอันนี้ไม่น่าจะมาจากตัว นักแสดง แต่มาจาก Location และ หลายๆสิ่งเช่นมุมกล้องมากกว่า เพราะมันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเป็นอีกแค่เหตุการณ์เล็กๆนึง ซึ่งมันดูไม่อลังการเอาเสียเลย พูดตรงๆคือ อย่าง Russell Crowne ตอนไปร้องเดี่ยว ยังดูอลังการกว่าเลย ซึ่งอันนี้ไม่ทราบว่าเป็นมาตั้งแต่ละครเวทีแล้ว หรือว่า เป็นเฉพาะตัวหนัง 


พูดถึงความอลังการในหนังแล้ว หลายๆท่านที่ดูตัวอย่างของหนังมาก่อน ก็คงนึกว่าฉากต่อสู้มันอลังการใช่ไหมล่ะครับ แต่ไม่เลย !!! ขอบอกว่าฉากต่อสู้แทบทุกฉากล้วนแต่น่าผิดหวังทั้งนั้น ก็เข้าใจในบทของมันนะ แต่มันมีอีกตั้งหลายวิธีให้มันอลังการแต่กลับมาลดสเกลของฉากลง ให้เหลือนิดเดียว ซึ่งมันไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบในเทรลเลอร์เลย ซึ่งมันดูเหมือนเป็นการตบหน้าคนดูแล้วพูดประมาณว่า "เย้ ผมหลอกสำเร็จแล้วนะ !" (ซึ่งจริงๆฉากที่อยู่ในตัวอย่างมันมีครับ !! แต่มันไม่ใช่แบบที่คุณคิด !! เอาเป็นว่าไปดูเองละกัน)





Les Miserables เป็นภาพยนตร์ มิวสิคอล ที่มีจุดที่น่าไม่ให้อภัยอย่างมากในหลายๆจุด ไม่ว่าจะเป็น การโฆษณาหลอกๆในบางจุด บทที่หลงทาง และ ฉากต่อสู้ที่สุดจะน่าผิดหวัง แต่ ด้วยความตั้งใจของนักแสดงแต่ละคน ในการฝึกร้องเพลงอย่างหนักหน่วง แถมผลที่ออกมาก็สุดยอดจนคาดไม่ถึง การร้องเพลง + การแสดงที่สุดยอด จนไม่อาจที่จะเอ่ยคำพูดใดๆได้  เพียงแค่นี้ก็ทำให้คุณแทบจะลืมข้อเสีย(ที่พอดูจบแล้วลืมยาก...)นั้นไปเลย เพราะ คุณมาดูภาพยนตร์ มิวสิคอล คุณจะหวังอะไรไปมากกว่า น้ำเสียงอันไพเราะ กับ บทเพลงที่ไม่อาจที่จะลืมได้ลงอีก ?



The Best SONG from " Les Miserables ( 2012 ) "

" I Dreamed A Dream "  - Anne Hathaway 


There was a time when men were kind,
And their voices were soft,
And their words inviting.
There was a time when love was blind,
And the world was a song,
And the song was exciting.
There was a time when it all went wrong...

I dreamed a dream in time gone by,
When hope was high and life, worth living.
I dreamed that love would never die,
I dreamed that God would be forgiving.
Then I was young and unafraid,
And dreams were made and used and wasted.
There was no ransom to be paid,
No song unsung, no wine, untasted.

But the tigers come at night,
With their voices soft as thunder,
As they tear your hope apart,
And they turn your dream to shame.

He slept a summer by my side,
He filled my days with endless wonder...
He took my childhood in his stride,
But he was gone when autumn came!

And still I dream he'll come to me,
That we will live the years together,
But there are dreams that cannot be,
And there are storms we cannot weather!

I had a dream my life would be
So different from this hell I'm living,
So different now from what it seemed...
Now life has killed the dream I dreamed...




Final Score :   B    (แอบปวดใจ ใจจริงอยากให้ B+ มาก แต่มันทำไม่ได้จริงๆ เมื่อผมมานั่งคิดๆถึงข้อเสียที่ว่ามา)





(ENGLISH)



The Good : 
-  Great Acting and Singing with the work hard Acting & Actress
-  Amazing Music
-  Interesting Storyline
-  Lots of Beautiful Shot

The Bad : 
- Helena & Sacha Character are so annoying and this 2 character just come in the wrong scene and ruined your entire emotion in that scene
- confusing screenplay i mean there's so much storyline and character in here but which one is the main line ? huh ?  I have no idea and no clue which one is...
- the war / action scene are just so disappointed....


Suggestion : If you love Musical movies you have to see Les Miserables ( if you're already fan of Les miserables the musical you may be already saw it ) but if you're not you have to think a little bit because 80 - 90% of this movie is Singing so may be you don't like it.... But even so the music and the actor / actress in this movie is amazing you just feel like you're in a dream just like that


Totally Score : B  


Thank You to : Les Miserables ( 2012 ) Universal Studios , IMDB for information .

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

Life of Pi ( 2012 ) Movie Review

Movie Review





Movie Name : Life of Pi ( 2012 ) 20th Century Fox , Drama / Adventure
Director : Ang Lee ( Brokeback Mountain )
Stars : Suraj Shama , Irrfan Khan ( Slumdog Millionaire )
Rating :  PG







MOVIE REVIEW (THAI)


                                      Life of Pi เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งของปี 2012 ที่ชิงรางวัลเยอะมาก แถมได้มาเยอะด้วยซิ และ งานใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์อย่างเวที Oscar ก็เข้าชิงถึง 11 สาขา (เป็นรองแค่ Lincoin ที่เขาชิง 12 สาขาซึ่งเขาชิงเยอะที่สุดแล้ว ) ซึ่งคาดว่าคงกวาดไปได้อย่างต่ำ 2-3 สาขาเป็นแน่ หลายๆคนก็เลยสงสัย เอะ มันสุดยอดขนาดนั้นเลยหรอ ?? 




Life of Pi นั้นได้ผู้กำกับชาวไต้หวันชื่อดัง Ang Lee ซึ่งเราหลายๆคนน่าจะรู้จักฝีมือของเขาดีจากการกำกับภาพยนตร์ ทะลวงภูเขาหลัง หรือ Brokeback Mountain นั้นเอง หลายๆคนถึงจุดนี้คงตกใจ อ่าวเห้ย งี้ Life of Pi เป็นหนังเกย์อีกหรอ ? ไม่ต้องห่วงครับ Life of Pi ไม่มีเกี่ยวกับประเด็นนั้นแน่นอน แต่จะพูดถึงประเด็นที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งเอาเข้าจริงๆเรื่อง Brokeback Mountain ก็ไม่ได้เป็นหนังเกย์แบบที่เราคิด มันไม่ได้มีฉากอย่างว่าแบบ ช-ช เลยแม้แต่ฉากเดียว ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ มันไม่ใช่หนังเกย์ทางกายภาพ หรือ จะเรียกว่าหนังSex ก็ว่าได้ แต่ตัวหนังมันสื่อด้วยแบบอื่นซะมากกว่า


Life of Pi นั้นผมต้องขอบอกเลยว่าถ้าท่านใดที่หวังว่าจะเข้าไปดูฉากสู้กันดุเดือด อลังการงานสร้าง สงครามระเบิดตูมตาม แบบ Transformers (สงสัยจะล่องเรื่องไปเจอเมกาทรอน เอะ แต่มันขึ้นมาตอนภาคสองแล้วนี่หว่า....) หรือจะให้ผมพูดตรงๆ เข้าไปดูเอาแต่ความสนุกอย่างเดียว ผมไม่แนะนำอย่างรุนแรงครับ ยิ่งแนวๆระเบิดภูเขาเผากระท่อม ผมแนะนำให้คุณปิดรีวิวนี้ไปเลยซะดีกว่า เพราะมันไม่ใช่หนังของคุณอย่างรุนแรงครับ แต่ !! แต่ !! ถ้าหากคุณชอบหนังที่แฝงไปด้วยอะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการ ประชด เสียดสีสังคม หนังที่สื่อถึงชีวิต หนังที่ภาพสวยสุดๆสวยชนิดที่ โอ้แม่จ้าว... เอาตุ๊กตา Oscar ไปเลยดีกว่าก็ว่าได้ ไปถึงฉากที่กระฉากอารมณ์คนดูต่างๆมากมาย เรื่องนี้ คุณห้ามด้วยประการทั้งปวงครับผม



Life of Pi ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กผู้ชายชื่อ Pi ที่ครอบครัวของเขานั้นทำกิจการสวนสัตว์แต่วันหนึ่งครอบครัวของเขาต้องย้ายไปที่อื่นด้วยทางเรือ และเหตุที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะเรือลำนั้นได้โดนพายุเข้าโจมตีอย่างรุนแรงจนทำให้เรือจมลง (หยั่งกะ Titanic - - ) Pi เป็นคนเดียวที่รอดมาได้ และนี้เองก็เป็นจุดเริ่มต้น การผจญภัยที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดชีวิต



Life of Pi นั้นเรื่องที่ผมขอพูดเป็นอย่างแรกเลยก็คือ เรื่องภาพ ที่สวยมาก แบบ สวยไปไหน ? รวมไปถึง CG ที่ทำออกมาได้สวยจนอธิบายไม่ถูก รวมถึง สัตว์ต่างๆในเรื่อง ฉากต่างๆในเรื่องก็ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม และเข้ากับองค์ประกอบรอบข้างได้อย่างลงตัว ซึ่งแต่ละฉากต่างๆในเรื่องเราจะเห็นได้เลยว่าเป็นการสื่ออารมณ์ของ Pi ในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี
ในด้านบทของ Life of Pi นั้นดูเผินๆเหมือนก็แค่เป็นการผจญภัยแบบใหม่ธรรมดาๆ แต่มันกลับไม่ใช่เช่นนั้นสิครับ เพราะ ด้วยการเอาประเด็นต่างๆ ความกดดันต่างๆ และ Event ในเรื่องต่างๆ มารวมกัน มันทำให้ Life of Pi เป็นภาพยนตร์ที่สุดยอดมาก และสิ่งที่ผมชอบอีกอย่างในเรื่องมากๆก็คือ การ "กล้า" ที่จะตั้งคำถามกับสังคมในหลายๆสิ่ง เช่น ความเชื่อในเรื่องของพระเจ้า , ชนชั้น , ชาติ , สันดานดิบของมนุษย์ , ความถูกต้อง , วิทยาศาสตร์ , เรื่องจริง - เรื่องหลอก , มนุษย์ และ สัตว์ และคำถามที่สำคัญในความคิดของผมจากเรื่องนี้ก็คือ " มนุษย์กับสัตว์เนี้ย มันต่างกันตรงไหนหรอ ? อะไรมาเป็นตัวตัดสินว่า มนุษย์กับสัตว์มันต่างกัน ? " แถมถ้าคุณตั้งใจดูดีๆคุณจะทราบว่าตัวหนังยังแอบให้โอกาสคุณในการตัดสินใจด้วย (ซึ่งถ้าหากท่านใดเคยอ่านหนังสือมาก่อนแล้วก็คงจะทราบอยู่แล้ว) ถึงแม้ในหนังจากที่ผมทราบมา ตัดหลายๆส่วนที่โหดร้ายไปเยอะ จากในหนังสือ ก็ไม่ได้ทำให้หนังนั้นลดความสุดยอดลงไปเลย ซึ่งนี้ก็ถือเป็นการพูดได้ว่า ทำการบ้านมาดีจริงๆ ไม่ใช่แต่อ่านๆให้จบๆแล้วสักเอาแต่เอาจุดไหนๆก็ได้ที่ดูว่าน่าจะขายได้มาแล้ว สักๆเอาแต่ว่ารีบๆทำแล้วรีบๆส่งมันออกไปขาย
นอกจากนั้นตัวหนังยังแทนความหมายของตัวละคร และสิ่งต่างๆในชนิดที่คุณคาดไม่ถึง พูดมาขนาดนี้แล้ว ผมจึงอยากจะบอกให้ท่านที่อยากจะชมเรื่อง Life of Pi ว่าให้ตั้งใจชมดีๆ แล้วท่านจะพบอะไรหลายๆอย่างจริงๆในเรื่อง เพราะเรื่องนี้ รายละเอียด มันเยอะจริงๆ ต่างกับตอนแรกที่ผมว่าเข้าไปหลับแหงม หนังตั้ง 2ชมกว่า ที่ไหนได้กลับติดหนึบติดหนับ ซึ่งคำตอบต่างๆที่คุณเจอในเรื่องนั้นแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันก็เป็นได้ และมันไม่ใช่เรื่องผิดเลย เพราะตัวหนังนั้นให้อิสระกับคุณมาก ว่าคุณจะเชื่อแบบไหน 


ยังครับยังไม่จบ อีกจุดหนึ่งที่ผมชอบมากๆก็คือ การกดดันคนดู และบีบหัวใจคนดูที่ทำออกมาได้อย่างสุดยอดจริงๆ ในบางฉากนั้นมันกดดันจนคุณแทบอยากจะปิดตา (แต่ไม่แนะนำให้ปิดเพราะในแต่ละฉากเหล่านี้นั้นแฝงความหมายไว้อยู่) นอกจากนั้น การแสดงของ Suraj Sharma  หรือ Pi ในเรื่อง นั้นสุดยอดจริงๆ จนพาผมงงว่า เห้ยนี้เอ็งไม่เคยเล่นหนังมาจริงหรอ ? 



Life of Pi ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่ดีเท่าไรก็ตาม แต่แน่นอนแหละ ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ Perfect จุดหนึ่งที่ผมไม่ชอบสำหรับเรื่องนี้เลยก็คือ Soundtrack ที่ตั้งแต่ต้นยันจบเรื่อง ผมไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีเพลงไหนที่ฟังแล้วรู้สึกว่ามันพาเราโลดแล่นไปเลย ต่างกับ Cloud Atlas หรือ ช่วงแรกของหนังที่แอบอืดหยั่งกะมาม่าไม่เอาดีกว่า ยำยำละกัน ค้างเดือน พาเอาแทบจะหลับตั้งแต่ต้นเรื่อง ยังดีที่ช่วงหลังจากนั้นตัวหนังน่าสนใจ ไม่งั้นคงหลับแน่นอน รวมไปถึงดีเทลต่างๆอีกหลายจุดที่คิดว่าน่าจะขยายไปได้มากกว่านี้ แต่กลับตัดจบซะดื้อๆ ไม่ทราบเพราะกลัวว่าหนังจะ 3 ชม. หรืออย่างไร รวมไปถึงบางจุดของหนังเช่นตัวคนเล่าสองคน ที่ช่วงต้นถึงกลางเรื่องนั้น มันค่อนข้างจะค่อนไปทางน่ารำคาญมากกว่า ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าสองคนนี้เป็นตัวละครที่สำคัญเลย นอกจากนั้นไม่ได้น่าสนใจเอาเสียเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นที่ Dialog ผิดพลาด หรือ เลือกนักแสดงผิดพลาดกันแน่ นอกจากนั้น ตัวละครหลายๆตัวนั้นดูค่อนข้างจะไร้ความหมายสุดๆ เพราะแต่ละคนโผล่มาคนละ 10นาที หรือ มากสุด 20นาที ก็หายไปหมดแล้ว ซึ่งก็เข้าใจนะว่ามันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าเราใส่ความสำคัญลงไปหน่อย เพิ่มอะไรบ้าง หรือ พูดถึงตัวละครเหล่านั้นในฉากที่มันกระทบจิตใจคนดูใหญ่ๆบ้างน่าจะดีกว่านี้ (อันนี้ไม่แน่ใจว่าทางผู้กำกับกลัวคนดูหลงทางรึเปล่าก็เลยไม่ได้ใส่มา) 



Life of Pi เป็นภาพยนตร์ที่ได้แทบจะทุกอย่างสำหรับคนที่ชอบหนังคุณภาพ คติดีๆ สิ่งที่เอาไปคิดต่อได้ รวมไปถึงการตั้งคำถามในสิ่งต่างๆ และให้คุณมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกับคำถามเหล่านั้น ซึ่งในแต่ละคนอาจจะตอบไม่เหมือนกันก็ยังเป็นไปได้อีก ซึ่งหายากนักภาพยนตร์แบบนี้ ยังไม่รวมถึงบทที่ทำออกมาได้ดี ตั้งใจเลือก และภาพที่สวยสุดๆ ซึ่งไม่ใช่สวยแบบคมชัดแจ๋วแบบ Transformers แต่สวยหยั่งกะภาพวาดแบบนั้นเลย ถึงแม้ตัวหนังจะมีข้อเสียบ้าง แต่หนังเรื่องไหนไม่มีล่ะครับ ? 



The Best Quote from " Life of Pi " 

" Above all : DON'T LOSE HOPE " - Pi





Final Score : A - 





Thank you to : Life of Pi ( 2012 ) 20 Century Fox , IMDB for information

Frankenweenie ( 2012 ) Movie Review

Movie  Review





Movie Name : Frankenweenie ( 2012 ) Walt Disney , Animation / Comedy / Horror
Director : Tim Burton ( Sweeny Todd , Alice in Wonderland )
Stars : Catherine O'Hara ( Home Alone ) , Martin Short ( Mardacascar ) 
Rating : PG






Movie Review (THAI)


                                      Frankenweenie ภาพยนตร์อนิเมชั่นอีกเรื่องของปี 2012 ด้วยฝีมือของผู้กำกับ Tim Burton ที่เรารู้ๆกันดีว่าเขานั้นชอบทำหนังแนวดาร์คๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น Sweeny Todd ที่เป็นละครเพลงแต่ดันโคตรโหดซะอย่างนั้น หรือ Alice in Wonderland ที่ไม่ได้รู้สึกถึงความสดใสน่ารักบ็องแบ๊วเลยแม้แต่น้อย (น่าจะจับไปทำ Alice in Wonderland ฉบับหลังจากที่ Alice โดนส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า ถ้าใครเป็นคอเกมน่าจะรู้จักดี คงมันส์เลือดเต็มจอแน่นอน)
หนังของป๋าแกช่วงนี้ต้องบอกตรงๆว่าค่อนข้างจะไม่ได้รับความนิยมซักเท่าไร (หรือตั้งแต่แรกแล้วฟะ ?) + กับ คะแนนก็ไม่ได้ดีซักเท่าไร ไม่ว่าจะเป็น Dark Shadows ที่ตัวหนังก็ได้รับคำวิจารณ์ไม่ค่อยจะดีนักตั้งแต่แรก แถมยังดวงซวยดันไปเข้าฉายในโรงใกล้ๆกับหนังยักษ์ใหญ่อย่าง The Avengers ไม่เจ๊งก็ให้มันรู้ไปสิครับ จะมีก็เพียงแค่ Alice in Wonderland ที่รายได้ถล่มทลาย (ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเองต้องขอบอกก่อนเลยว่า ไม่ประทับใจกับ Alice ผจญภัยของป๋า Tim Burton ซักเท่าไร)


พูดมาถึงขนาดนี้แล้วหลายๆท่านอย่าเพิ่งตกอกตกใจไป อ่าวเห้ยงี้หนังเรื่องนี้ก็ไม่ดีสิ ? เปล่าเลยครับ ผมหมายถึงหนังแกไม่นิยม และอยู่ในระดับกลางๆเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าแย่นะ และหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ดาร์คจนแบบเด็กดูไม่ได้อย่าง Sweeny Todd (แต่เคสนั้นก็บ้าจริงนึกว่าดูละครเพลงมืดๆนิดหน่อย มันไปซะมืดแบบสุดติ่ง 18+ ไปเลย  = = ) จะออกแนวเป็นแบบ ชาร์ลี กับโรงงานช็อคโกแลตมากกว่าครับ น่ารักๆ ดูได้ทุกวัย แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องที่ ทรมาณจิตใจคนรักสัตว์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสุนัข (ตัวผู้เขียนเองเลี้ยงสุนัขเหมือนกัน และค่อนข้างรักสัตว์มากๆ อันนี้ไม่ได้โม้นะ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เลยความอิง +10)




โม้กันมานานละอูยย เขาถึงรีวิวกันซักที Frankenweenie นั้นจริงๆแล้วต้นกำเนิดมันมาจาก ภาพยนตร์สัตว์ของป๋าแกในตอนปี 1984 (โหวโคตรนาน....) ในชื่อเดียวกัน จากนั้นวันนี้ก็เลยได้โอกาสสานต่อ เป็นภาพยนตร์ใหญ่ๆไปเลย


Frankenweenie นั้นพูดถึงเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรักสุนัขของเขามาก แต่วันหนึ่งเขาได้สูญเสีย สุนัขของเขาไปจากอุบัติเหตุ ทำให้เขาหาทุกวิถีทางที่จะเอาสุนัขกลับมา และเขาก็ทำสำเร็จจนได้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าเพราะการกระทำของเขาเนี้ยแหละทำให้เรื่องราวเริ่มวุ่นวาย


Frankenweenie นั้นในด้านบทนั้นก็ถือว่าไม่ได้แปลกมากมายอะไร จริงๆออกแนวจะแทบไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ต้องชมจริงๆนั้นก็คือการสื่ออารมณ์กับคนดู ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติของหนังของป๋า Tim Burton อยู่แล้ว ด้วยการใช้ดินน้ำมันในการสื่อความหมาย + กับโทนมืดทั้งเรื่อง ทำเอาคุณน้ำตาไหลได้ง่ายๆ พร้อมกับ ยังทำให้คุณรู้สึกสยองเล็กๆน้อยๆ ในบางฉากอีกด้วย (ซึ่งต่างลิบลับกับสิ่งที่หนังอนิเมชั่นควรจะเป็น) การสื่ออารมณ์ของแต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น วิคเตอร์ หรือ น้องหมาสปาร์คกี้เอง ก็ทำได้ดีเยี่ยม บทDialog ต้องขอพูดว่าเรียบเรียงออกมาได้น่าสนใจ ในหลายๆจุดมาก  รวมถึงในหลายๆจุดที่บีบหัวใจคนดูสุดๆ (ยิ่งคนรักสุนัขกรุณา X ความรุนแรงไป 10เท่า ผมดูแล้วแทบอยากจะปิดตา ) แต่ไม่ได้หมายความว่ามันรุนแรงนะครับแต่มัน เศร้าสุดๆไปเลย  Event เรื่องราวเล็กๆต่างในเรื่องก็ออกแบบออกมาได้แนวตามสไตล์ป๋าแกเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น ปลาล่องหน , เต่ายักษ์ , ปีศาจในหนองน้ำ และ ค้างคาวปีศาจ ? (รึเปล่าฟะ!!) ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถหาได้เลยจากหนังอนิเมชั่นเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะ ของดิสนีย์ ที่จริงๆจะออกไปแนวสดใสน่ารัก บ๊องแบ๊ว แต่ไม่ใช่สำหรับ Tim Burton
เพราะฉะนั้น เรื่องการกระฉากอารมณ์คนดูนั้นผมค่อนข้างชอบเอามากๆ และทำให้ผมรู้สึกอยากดูอีก อยากดูอีกรอบ  ต่างจาก ภาพยนตร์อนิเมชั่นปีเดียวกันของ Sony อย่าง Hotel Transylvania ที่ช่วงแรกค่อนข้างทำได้ดีแต่กลางกับจบเรื่องแผ่ว รวมไปถึงการใช้รูปแบบเดิมๆทั้งเรื่อง จนไม่รู้สึกที่อยากจะดูอีกเลย


แต่...มีหลายๆจุดในเรื่อง Frankenweenie ที่ทำออกมาได้ไม่ค่อยจะดีนัก โดยเฉพาะเรื่องราวย่อยๆของตัวละครประกอบอื่นๆ ที่ทำเสียเวลาไปซะเยอะ แถมพอเอาเข้าจริงมารวมกันในตอนจบ มันค่อนข้างไร้ความหมายมากๆ จนทำให้รู้สึกว่า ไม่ดีก็ได้มั้ง ? แถมเอาเข้าจริง ในเมื่อคุณจ่ายเงินเข้ามาดูเรื่องนี้ ไม่มีใครอยากจะมาดูตัวละครประกอบที่สติไม่สมประกอบ (พอๆกับตัวเอก  - - ) หรอก คุณเข้ามาดู สปารค์กี้ กับ วิคเตอร์ ต่างหาก อีกเรื่องที่สำคัญเลยคือตั้งแต่ต้นจนจบ ผมยังไม่เข้าใจเลยว่า ประเด็นที่ Tim Burton หรือ หนังเรื่องนี้กำลังจะสื่อคืออะไรกันแน่ ? ให้รักสัตว์ ? ให้ทำใจเมื่อสูญเสียสิ่งสำคัญไป ? ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ? อย่าทำอะไรที่ไม่สมควรทำ ? ซึ่งมันค่อนข้างมีผลอย่างมากกับคนดู คือเรารู้สึกร่วมไปกับหนังเพราะว่า อารมณ์ของมันที่พาเราไปเฉยๆ ไม่ได้มาจากตัวคุณภาพของหนังเลย เมื่อเทียบกับหนังอนิเมชั่นอันดับต้นๆของผมอีกเรื่องนึงเลยคือ Coraline ( 2009 )  ที่ใช้ดินน้ำมันเหมือนกัน โทนค่อนข้างคล้ายๆกัน ถึงแม้เนื้่อเรื่องจะต่างกันก็จริง แต่เรื่อง Coraline กลับใช้ความแปลกของตัวเองสื่อความหมายประเด็นหลักๆ ที่หนังต้องการจะพูดออกมาได้อย่างครบถ้วนและดีเยี่ยม แถมยังสามารถฉกเอาหัวใจของคุณไปได้อีก ทำให้คุณแทบจะรู้สึก Fin ทันทีที่ดูจบ และอยากจะดูซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะความสุดยอดของมัน  ซึ่งแตกต่างจาก Frankenweenie ที่เอาความสามารถมาใช้กับตัวละครประกอบที่ปกติพวกเราก็แทบจะไม่ได้สนใจอยู่แล้วซึ่งทำให้มันไร้ความหมาย และยังหยุดอยู่แค่นั้นอีกต่างหาก ซึ่งมันค่อนข้างน่าผิดหวังอยู่ไม่ใช่น้อย เมื่อเทียบกับผลงานเก่าของป๋าเอง อย่าง ชาร์ลีกับโรงงานช็อคโกแลต ที่ไม่หลงทิศทางเลยแม้แต่น้อย และทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม


ประเด็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะชมป๋า Tim Burton มากก็คือ การแอบ(ไม่แอบแล้วมั้ง ?) ด่าสังคม เกี่ยวกับ วัฒนธรรมสมัยเก่า และวัฒนธรรมสมัยใหม่ (เช่นการไม่ควรชุบชีวิตคนตายขึ้นมา) หรือง่ายๆก็คือ ความเชื่อ กับ วิทยาศาสตร์นั้นแหละ ซึ่งบทสรุปมันค่อนข้างคิดออกมาได้ดีพอสมควร   ยังไม่นับถึงมุขตลกฮาๆ ในหนังอีกมากมายที่ไม่เยอะจนไปกลบความเศร้าของตัวหนังเลยแม้แต่น้อย รวมถึงการดีไซน์ตัวละครออกมาได้ ทั้งฮา และน่ากลัวไปพร้อมกัน ก็ถือเป็นอีกจุดแข็งของ Tim Burton เช่นกัน



Frankenweenie เป็นภาพยนตร์ที่มีจุดหลายๆจุดที่ไม่น่าจะพลาด...แต่ก็ดันพลาดไปซะนี้...แต่ถึงกระนั้น ความสามารถในการกระฉากอารมณ์คนดู รวมถึง การดีไซน์แปลกใหม่ ก็เป็นอีกเหตุผลใหญ่ๆที่ทำไมควรถึงไม่ควรจะพลาดที่จะลองสัมผัสมันดูสักครั้ง




The Best Quote from " Frankenweenie ( 2012 ) "

" I don't want him in my heart , I want him with me " - Victor


Final Score : B





Thank you to : Frankenweenie ( 2012 ) Disney Pictures , IMDB for information

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

Hotel Transylvania ( 2012 ) Movie Review

Movie Review





Movie Name : Hotel Transylvania ( 2012 ) Sony Animation , Animation
Director : Genndy Tartakovsky ( Samurai Jack , Star Wars : Clone Wars )
Stars : Adam Sandler ( Grown Ups ) , Andy Samberg ( That's My boy ) , Selena Gomez ( Monte Carlo )
Rating : PG





Review Thai


Hotel Transylvania เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่น่าสนใจเรื่องนึงเพราะว่า ผู้กำกับอย่าง Genndy Tartakovsky นั้นค่อนข้างจะมีชื่อเสียงมาก แถมยังค่อนข้างมีฝีมือด้านอนิเมชั่นไม่แพ้ใครเสียด้วย ซึ่งถ้าใครที่ดูการ์ตูนบ่อยๆก็น่าจะรู้จักชื่อเขา เช่น Samurai Jack ที่ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างชอบมากๆตอนเด็กๆ 


Hotel Transylvania ต้องขอบอกว่าเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่น ที่ภาพสวยมากๆ ซึ่งจะว่าไปก็ถือเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของ อนิเมชั่นสมัยนี้ไปแล้ว ตัวหนังนั้นดูจากตัวอย่างและโปสเตอร์ให้ความรู้สึกซ้ำซากยังไงชอบกล แต่พอดูจริงๆ ตัวหนังกลับมีตัวละครที่น่าสนใจหลายตัวละคร วิธีการนำเสนอ และลูกเล่นที่ไม่เหมือนใคร แถมยังดูแล้วสนุกอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือ หนัง อนิเมชั่นส่วนใหญ่จะพูดถึง สัตว์ประหลาดมักจะเป็นตัวร้าย แต่เรื่องนี้กลับสลับกัน คือ ตัวเอกเป็นปีศาจแทน ซึ่งก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย


จุดเด่นจริงๆของ Hotel Transylvania จริงๆนั้นก็คือการเล่าเรื่องที่ลื่นไหลสุดๆ ฉากต่างๆที่น่าสนใจและน่าประทับใจ และยังเพลิดเพลินอีกด้วย ซึ่งหลายๆวิธีการเล่าเรื่องนั้นไม่ค่อยจะหาเจอได้ง่ายๆนัก 


แต่ปัญหาของ Hotel Transylvania หลักๆก็คือบทที่พูดตามตรงก็ไม่ได้ใหม่เอาเลย ยังคงคอนเซปเดิมๆอยู่ ตัวหนังช่วง 1 ชม. แรกค่อนข้างสนุก และเพลิดเพลินมาก แต่ช่วงท้ายๆกลับดรอปลงอย่างมาก จนทำให้รู้สึกน่าเบื่ออยู่บ้าง นอกจากนั้นบทสรุปโดยรวมเองก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกประทับใจ หรือ รู้สึกว่ามันเป็นหนังที่น่าจดใจแต่อย่างใดเลย เหมือนดูจบแล้วผ่านไปเท่านั้น แตกต่างจากหนังอย่าง Toy Story ที่พูดถึงของเล่นที่ถูกลืม นอกจากนั้น จุดเด่นของ Hotel Transylvania นั้นนอกจากภาพ กับ การเล่าเรื่องก็แทบจะไม่ได้มีอะไรเป็นจุดเด่นได้เลย แถมภาพก็ไม่ได้ถึงขนาดที่จะเรียกได้ว่าแตกต่างจากอนิเมชั่นชาวบ้านมากนัก ซึ่งถือว่าค่อนข้างเสียเปรียบมากในตลาด ที่ Disney มีจุดเด่นที่เพลงอันไพเราะ การเล่าเรื่่องที่ผสมผสาน หรือ อนิเมชั่นของ Tim Burton ที่พูดถึงแนวๆดาร์กๆผสมน่ารักๆ และความเศร้า หรือจะเทียบง่ายๆก็คือ Animation ปี 2012 ของ Disney อย่าง Brave หรือของ Tim Burton อย่าง Frankenweenie นั้นสร้างความน่าประทับใจมากกว่า และ น่าจดจำกว่าเยอะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ค่าย Sony Animation ควรจะทำคือหาจุดเด่นที่ได้เปรียบของตัวเองซะ มิเช่นนั้นก็คงยากที่จะสู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับค่าย Disney ที่ด้านหนัง Animation ไม่เคยที่จะเป็นรองใครอยู่แล้ว


Hotel Transylvania นั้นถือเป็นหนังที่ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่าเขียนยากนิดนึงเพราะปัญหาหลักๆคือ มันไม่รู้จะเขียนอะไรนี้สิ เพราะตัวหนังนั้นแทบไม่มีความเป็นจุดเด่นที่จะสามารถหยิบจับมาพูดได้แบบจริงๆจังๆ เลย อย่าง Disney เราก็มักจะพูดถึงเรื่องเพลงอันไพเราะกัน อย่างของ Tim Burton เราก็จะพูดถึงบทกัน แต่ ของ Hotel Transylvania นี้ต้องขอบอกว่าแทบจะหาอะไรมาเขียนยากจริงๆ แต่อย่าเข้าใจผิด ตัวหนังนั้นไม่ได้แย่ เอาจริงๆค่อนข้างจะดีด้วยซ้ำ ดูสนุก และน่าสนใจดี แต่การที่ไม่มีจุดเด่นในหนังเลยทำให้เรารู้สึกว่าดูแล้วผ่านไปเฉยๆ มันค่อนข้างจะน่าเสียดายเล็กน้อย




Final Score : B -

Cabin in the woods ( 2011 ) Movie Review

Movie Review





Movie Name : The Cabin in the Woods ( 2011 ) Horror / Thriller , Lions Gate Studio
Director : Drew Goddard ( Writer at Lost TV.Series , Clover field )
Stars : Chris Hemsworth ( Thor , The Avengers ) , Kristen Connolly ( The Happening ) , Anna Hutchison , Fran Kranz ( The Village ) , Jesse Williams ( Grey's Anatomy ) , Richard Jenkins ( The Visitors )
Rating : R ( Violence , Gore , Sexual Content )




Review ( THAI) บทความนี้มีสปอยหรือมีการพูดถึงเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์บางส่วน


คุณเบื่อไหมกับหนังผีดาดๆทั่วไปในตลาดที่จะออกมาซักกี่พันเรื่องหมื่นเรื่องก็คงคอนเซปแสนน่าเบื่อเดิมๆ ?  คุณเบื่อไหมกับการนั่งดูหนังผีที่คุณแทบจะชี้แล้วบอกได้ว่าผีจะออกมาตรงไหน ?  คุณเบื่อไหมกับการนั่งดูหนังผีที่คุณเดาฉากต่างๆได้ตั้งแต่ต้นยันจบเรื่อง แถมบอกได้อีกว่าใครจะตายก่อนใครจะตายหลัง !! คุณเบื่อไหมกับหนังผีที่ซ้ำทั้งปีทั้งชาติ ไม่เคยที่จะฉลาด ไม่เคยที่จะมีเนื้อเรื่อง ? หยุด !! หยุด !! พอกันทีกับหนังแบบนี้ คุณไม่ต้องทนมันอีกต่อไป เพราะ Cabin in the Woods ทำมาเพื่อสิ่งนั้น !! 



The Cabin in the Woods เป็นหนังผี ตกใจ ที่"จงใจทำให้ดูเหมือน" หนังผีดาษๆทั่วๆไปที่เราดูกันจนพรุนทะลุจนบอกตอนจบได้มันทุกเรื่องแล้ว แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ดีเยี่ยมที่สุดคือการที่ "กล้า" ที่จะฉีกแนวแบบสุดขีด ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ฉากน่าเบื่อ เดาแพทเทิรน์ มันได้ทั้งเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความสยอง ความคาดไม่ถึงนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นจุดเด่นของ The Cabin in the Woods เลยก็ว่าได้ เพราะมันจะทำให้คุณช็อคสุดๆแม้คุณจะดูหนังผีมาแล้วเป็นพันๆเรื่องก็ตาม ที่สำคัญคือใครๆที่รอคอยหนังแนวฉีกกรอบแบบนี้ล่ะก็คุณได้สมใจแน่นอน เพราะ เรื่องนี้ต้องยกให้จริงๆเรื่องความบ้า  โดยในตอนแรกๆหนังจะทำเป็นเหมือนหนังผีที่เกือบจะธรรมดาทั่วไปแต่หลังจากนั้นพอเข้าช่วง 30 ที่ใกล้จบ มันจะกลายเป็นหนังที่คุณคาดไม่ถึงสุดๆ เพราะมันแทบจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย หนังที่มีแต่ผีไม่กี่ตัวน่าเบื่อๆ คราวนี้ยำรวมกันมีผี ปีศาจ หรืออะไรก็ไม่รู้ไม่ทราบได้ เป็นร้อยๆตัว หรือดีไม่ดีมากกว่านั้นอีกมั้ง !!  แถมถ้าดูดีๆแต่ละตัวนั้นมาจากหลายที่มาก ไม่ว่าจะจากเกม FEAR , Left 4 Dead หรือหนังผีเรื่องอื่นๆ มากมาย มายำรวมกันวิ่งไล่ ปล่อยพลังกันให้หนำใจ ถามจริงๆเถอะ ไอ้แบบเนี้ย คุณจะหาได้จากหนังเรื่องไหนหรอ !! 


ทางด้านบทก็ไม่แพ้กันที่น่าสนใจและถือว่า "มีบท" อย่างแท้จริง ไม่ใช่หนังผีทั่วไปบทคือไปติดที่ๆนึงหาทางออกไม่ได้จากนั้นก็ไปเจอฆาตกรโรคจิตคนก็ตายๆๆๆๆจบ ไม่เอา ไม่ใช่อีกแล้ว
ใน The Cabin in the Woods บทนั้นค่อนข้างจะออกไปแนวทางเสียดสีสังคมตั้งแต่ต้นเรื่องเลยทีเดียว แถมมีบางจุดที่บททำได้สุดยอดในเรื่องของการ "ยื่นความหวังให้คนดูจากนั้นก็ขว้างมันลงพื้นและกระทืบมันให้จมดินต่อหน้าต่อตาของคุณ" แถมคุณยังคาดไม่ถึงอีกต่างหาก ทำให้ตัวหนังยิ่งทวีความสุดยอดเข้าไปอีก



แต่ถึงกระนั้น The Cabin in the Woods ยังมีหลายๆจุดที่ยังไปไม่ค่อยถึงซักเท่าไร อย่างแรกคือเรื่องแพทเทิรน์ ที่เราทราบๆกันดีว่าหนังผีทั่วไปก็คือ คู่ไหนมีอะไรกัน คู่นั้นมักจะตายก่อน คนสวยๆหุ่นดีๆแต่นิสัยแย่ๆ มักจะตายก่อนเสมอๆ และคนที่รอดมักจะเป็น นางเอกสุดจะบ๊องแบ๊วเสมอๆ ซึ่งในจุดนี้ The Cabin in the Woods ยังทำได้ไม่ถึงใจซักเท่าไรนัก อาจจะกลัวว่าถ้าจะฉีกมากไปคนจะงงรึเปล่า หรือ ตั้งใจหลอกคนดูก็ไม่ทราบ (จะว่าว่ากลัวจะฉีกมากไปคงจะไม่ใช่เพราะ 30 นาทีสุดท้ายนี้ยิ่งกว่าคำว่าฉีกอีก) นอกจากนั้นบทสรุปก็อยู่ในระดับพอรับได้ โอเค และแปลกดี แต่ไม่ถึงขนาดที่จะทำให้โอ้ว ว้าว ได้มากกว่านั้นเลย อีกเรื่องคือ ในช่วงกลางๆเรื่อง ตัวหนังเร่งให้ไปถึงช่วง 30 นาทีสุดท้ายมากเกินไป จนมันดูมั่วๆไปหมด คงจะดีกว่านี้ถ้าหาก เพิ่มเวลาซักนิดนึง 5-10นาที จะช่วยได้บ้าง หรือ เรื่องบทที่น่าแปลกใจ และแปลกใหม่ก็จริง แต่ถ้าคุณดูหนังแนวอื่นๆเช่นพวก Sci-Fi อย่างแนวๆ Alien หรือ Prometheus ล่ะก็ คุณจะไม่ค่อยจะตื่นตาซักเท่าไร เพราะมันก็คล้ายๆกันอยู่บ้าง 



The Cabin in The Woods เป็นภาพยนตร์ Horror ที่ถูกสร้างออกมาฉีกกรอบหนังผีเดิมๆที่เราดูกันจนเบื่อแล้ว และสิ่งที่น่าปรบมือให้มากที่สุดก็คือ "ความกล้า" ที่จะฉีกกรอบแบบสุดโต่ง โดยไม่กลัวที่ว่าหนังจะเจ๊ง หรือ ไม่มีใครยอมรับ และตัวบทก็เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงสุดๆ โดยเฉพาะ 30 นาทีสุดท้าย ที่บอกตามตรง โคตรมันส์ มันส์กว่าหนัง Action ซะใจกว่าหนัง Action เสียอีก หรือว่านี้จะเป็นการเบิกทางไปสู่ หนัง Horror / Thriller ยุคใหม่กันแน่ ? (แต่คาดว่าคงไม่ใช่ช่วงนี้เพราะ นี้ก็ 2013 แล้ว ปีที่แล้วยังเห็๋นหนังแพทเทิรน์เดิมๆอย่าง House at the end of the street อยู่เลย) 


The Best Quote from " The Cabin in the Woods ( 2011 ) "

" I'm sorry i let you get attacked by werewolf and the ended the world. "






Final Score : B+