วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

The Place Beyond the Pines ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ วงเวียนแห่งกรรมที่ไม่จบสิ้น





Movie Name : The Place Beyond The Pines ( 2013 ) , Drama / Crime
Director : Derek Cianfrance ( Blue Valentine ) 
Stars : Ryan Gosling ( Blue Valentine , Drive ) , Eva Mendes ( Fast Five ) , Bradley Cooper ( Silver Lining Playbook ) , Ray Liotta ( Good Fellas ) , Dane DeHaan ( Chronicle )
Rating : R ( Drug Using , Violence , Strong Language)


**** อาจจะมี Spoil *****



REVIEW THAI



                                                                                    The Place Beyond The Pines เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องของ Ryan Gosling ที่พี่แกคนนี้เล่นหนังเรื่องไหน บทน่าจะมาสำคัญที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Drive , Blue Valentine ซึ่งพี่คนนี้เขาเคยมาเมืองไทยเพื่อถ่ายภาพยนตร์อีกด้วย (ไม่แน่ใจว่าเรื่องไหน แต่เรื่องล่าสุดที่ทราบก็คือ Only God Forgives ที่ถึงกับมีนักแสดงไทยเข้าไปร่วมแสดงด้วยอีกต่างหาก)  ยังยังไม่จบ ยังมี Bradley Cooper ที่เพิ่งจะเข้าชิงออสก้าสาขา ดารานำชายยอดเยี่ยมไปหมาดๆปีที่แล้วจาก Silver Lining Playbooks อีกต่างหาก อืมยังไม่หมดยังมี Eva Mendes ที่หลายๆคนอาจจะเคยเห็นเธอจาก Fast Five หรือ 2 Fast 2 Furious มาก่อน แถมยังมี Dane DeHann หนุ่มโรคจิต(ในบท) หลังจากใช้พลังไปแล้วใน Chronicle เรื่องนี้เขาจะมาทำอะไร คงต้องมารอดูกัน


The Place Beyond The Pines ต้องขอเปิดด้วยข้อดีก่อนเลย จุดที่เรียกได้ว่าแข็งที่สุด และเด่นที่สุดในเรื่องเลยก็คือ "ตัวละคร" ที่พวกเขาให้ความสำคัญอย่างมาก แม้กระทั่งตัวละครรองบางตัวที่ในเรื่องอื่นๆก็คงไม่มีบทอะไร ไม่น่าสนใจอะไร แต่เรื่องนี้กลับให้ความสำคัญ และ ทุกๆตัวละครมีความคิด มีนิสัยที่แตกต่างกัน รวมถึงพวกเขามีชะตาชีวิต และทางเดินต่างๆที่พวกเขาเลือกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขากลับมาร่วมทางเดินกันด้วยสาเหตุบางอย่าง อย่างไม่น่าเชื่อ ต้องขอชมทีมเขียนบท และ ผู้กำกับจริงๆ เพราะการเชื่อมโยงตัวละคร และ ตัวละครต่างๆ มันช่างน่าสนใจ 


อันนี้ไม่แน่ใจว่าสปอยล์รึเปล่าแต่ต้องขอบอกว่าอยากเขียนจริงๆในจุดนี้ ก็คือความเชื่อมต่อกันของ ตัวเอก ทั้งสองตัว ซึ่งขอบอกเลยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะเรียกใครว่า พระเอกกันแน่ ? ทั้งคู่มีทั้งด้านมืด และ ด้านดีแตกต่างกัน แต่ก็ยังเป็นตัวละครที่สำคัญพอๆกันทั้งเรื่องเลยอีกต่างหาก ตัวละครทั้งสองตัวนี้ก็คือตัวละครของ Ryan Gosling และ Bradley Cooper ที่ผมค่อนข้างชอบในการสร้างเรื่องราวของตัวละครสองตัวนี้มากๆ ชีวิตของพวกเขา แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พูดง่ายดูภาพรวม Ryan Gosling เล่นเป็น โจรปล้นธนาคาร ทั้งชีวิตของเขา ไม่เคยมีพ่อแม่ เขาจึงโตมาแบบเหลวแหลก ในขณะที่ Bradley Cooper มีพ่อคอยดูแล ชีวิตของเขาโตมาในฐานะค่อนข้างดี และเขาดันเป็นตำรวจอีกต่างหาก ดูภายนอกแล้ว ทั้งสองตัวละครนี้มันควรจะแตกต่างกันโคตรๆ หรือ ชัดเจนขนาดที่คุณจะสามารถพูดได้ว่า "ไอ้เนี้ยแหละ ตัวร้าย / คนนี้แหละ พระเอก" แต่เพราะความเชื่อมโยงหลายๆจุดที่เหมือนกันแทบจะไม่แตกต่างกันเลยของสองคนนี้ ถ้าหากตัวละครของ Bradley Cooper หรือ ตัวละครของ Ryan Gosling เปลี่ยนเพียงแค่จุดเล็กๆนิดเดียวเท่านั้น ทุกอย่างอาจจะกลับกันไปหมด Ryan Gosling อาจจะเป็นตำรวจ และ Bradley Cooper อาจจะเป็นโจรแทนก็ได้ ซึ่งในจุดนี้เหมือนเป็นการตั้งคำถามว่า ที่เราๆดูข่าวกันเนี้ย ตำรวจ จับผู้ร้าย คนส่วนใหญ่ก็ต้องคิดว่าโจรคนๆนั้นเลว ตำรวจเป็นฮีโร่ แต่คุณเคยถามไหม ? คุณเคยคิดบ้างไหม ? เบื้องหลัง เรื่องราวของ ผู้ร้ายคนนั้น ? คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า เขาเป็นคนเลวจริงๆ ? คุณรู้ได้อย่างไรว่า ผู้ร้ายคนนั้นแตกต่างจากตำรวจที่พวกคุณเรียกว่าเป็นฮีโร่ตรงไหน ?  คุณเคยสงสัยในตัวฮีโร่ของพวกคุณไหม ? การกระทำของคนที่คุณเรียกว่าเป็น ฮีโร่ นั้นถูกต้องแล้วหรือ ? ถ้าหากคุณตอบว่าใช่แล้วคุณทราบได้อย่างไรว่าคนร้ายคนนั้นเป็นคนเลวจริงๆ ?   ทุกอย่างเพียงแค่คุณเปลี่ยนนิดหน่อย เท่านั้น ทุกๆสิ่งจะเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นการเชื่อมโยง และความลึกของตัวละครที่ชาญฉลาดสุดๆ เป็นจุดที่ผมชอบมากที่สุดในภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ และ ต้องเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ค่อนข้างจะแข็งที่สุดในภาพยนตร์อีกด้วย



ในด้านการเล่าเรื่อง ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมค่อนข้างจะชอบมากๆในเรื่อง เพราะเป็นการเล่าเรื่องในแบบที่ฉลาดมากๆ เป็นการเหมือนวิ่งรอบสนาม และส่งไม้ต่อไปให้คนต่อไป เพราะอะไรที่ทำให้การเล่าเรื่องแบบนี้ดีน่ะหรอ ? เปรียบเทียบกับการวิ่งแข่งมาราธอนสิครับ คนแรกวิ่งดีหรือห่วย มันก็จะส่งผลมาถึงทั้งทีม ไม่ว่ายังไงก็ตาม เช่นเดียวกับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ เรื่องราวตั้งแต่ 1 วินาทีแรกของภาพยนตร์ นั้นส่งผลมาถึงจนจบภาพยนตร์เลยทีเดียว ซึ่งมันไม่ได้แค่มีผลเฉยๆ แต่มันมีผลมากๆ ในทุกๆเรื่องราวของภาพยนตร์ 

การแสดงโหะ... คงแทบไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เพราะ แค่นี้เราก็ได้ดาราดีๆหลายคนมาแสดง ไม่ว่าจะเป็น Ryan Gosling และ Bradley Cooper ที่เป็นสองคนที่ผมไม่ค่อยจะแปลกใจสักเท่าไรสำหรับการแสดงระดับขนาดนี้ แต่แม้กระทั่ง Eva Mendes , Dane DeHaan  ก็แสดงได้ดีสุดๆ แม้กระทั่งนักแสดงรองก็ยังแสดงได้อย่างสุดยอด เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่นักแสดงทุกคน แสดงได้ถึงแก่นอย่างแท้จริง 

นอกจากนั้นตัวหนังยังมีการพูดถึงและตั้งคำถามต่อสังคมในอีกหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อฉล หรือ แม้กระทั่งตำแหน่งต่างๆ จริยธรรมมนุษย์ ตำรวจ/โจร ซึ่งแม้ในหลายๆเรื่องค่อนข้างจะมีภาพยนตร์หลายๆเรื่องเอามาใช้เยอะแล้ว แต่หลายๆจุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว


แต่...ยังมีบางจุดที่ทำให้ The Place Beyond The Pines พลาดไปสู่ดวงดาว อย่างแรกเลยก็คือ ตัวละครของ Ryan Gosling นั้นถึงแม้หลายๆคนจะบอกว่าหนังอืดมาก (แถมยังยาว 2 ชม. 20 นาที) แต่ผมยังคงคิดว่า ตัวละครของ Ryan Gosling นั้นถูกเร่งมากเกินไปมากๆในช่วงแรกๆ และ เหตุการณ์ต่างๆมันเข้ามาหาตัวละครของเขาเร็วไปหน่อย ทำให้ดูถูกเร่งมากไป และ ทำให้คนดูอย่างผมรู้สึกไม่ค่อยเชื่อในตัวละครของ Ryan ซักเท่าไร รวมไปถึงความรู้สึกและ Impact ที่มีต่อตัวละครก็น้อยลงด้วย ถ้าหาก....ตัวหนังให้เวลากับตัวละครของ Ryan มากอีกสักหน่อยคงจะไม่มีปัญหาเช่นนี้ 

อีกจุดคือ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบที่เล็กจริงๆของหนัง ตัวหนังนั้นกลับเลือกที่จะไม่ถ่ายทอดมันออกมา ถึงแม้จะเป็นจุดที่คนดูเดาได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากถ่ายทอดออกมาคงจะดีกว่านี้ เพราะ มันทำให้หนังดูถูกเร่งๆไปนิดหน่อย

จุดสุดท้ายก็คือ Climax และตอนจบ ของเรื่อง ที่สุดแสนจะธรรมดาเกินเหตุ เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของบทภาพยนตร์ ในช่วงต้นเรื่อง จนถึงกลางเรื่อง แต่ตอนจบกับสุดแสนจะธรรมดา เนิบๆ ซะงั้น  อยู่ดีๆอยากจะจบแล้วก็จบเฉยๆซะงั้น มันทำให้เรื่องราวยิ่งใหญ่ และ ความสุดยอดของภาพยนตร์ที่ปูมาทั้งเรื่อง ค่อนข้างจะเสียเปล่าไปค่อนข้างมาก



The Place Beyond The Pines เป็นภาพยนตร์ที่สุดยอดอีกเรื่องของปี 2013 และ อาจจะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของปี 2013 ที่ประทับใจผมค่อนข้างมาก ถ้าไม่นับ Django : Unchained ที่ถือว่าฉายที่อเมริกาไปตั้งแต่ปี 2012 แล้ว (ถ้าเทียบกันผมว่าผมชอบ Django : Unchained มากกว่า) ด้วยบทที่สุดยอด ตัวละครที่ลึกและให้ความสำคัญมากๆแม้กระทั่งตัวละครเล็กๆเราก็ยังรู้สึกได้ถึง Impact  ตัวละครหลักทั้งสองตัวที่ลึกมาก และมีความเชื่อมโยงอย่างสุดยอดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะคิดออกมาได้ขนาดนี้ และ การแสดงระดับสุดยอด ถึงแม้ตัวภาพยนตร์เหมือนจะถูกเร่งมากไปในช่วงแรกๆ และ ฉากจบที่ค่อนข้างจะธรรมดาและน่าผิดหวังไปหน่อย จุดบอดเหล่านี้คงไม่เพียงพอที่จะแย่งคำว่า "Epic" ไปจากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เลย


The Best Quote from " The Place Beyond The Pines "


" If you ride like lightning , you're going to crash like thunder 
   ถ้าหากคุณซิ่งเหมือนสายฟ้า คุณจะชนเหมือนฟ้าผ่า"



+ จุดที่ชอบในภาพยนตร์
+ บทที่ลึก และเขียนมาได้ดี
+ ตัวละครที่ลึก มีความคิดเป็นของตัวเอง แม้กระทั่งตัวละครเล็กๆ
+ ตัวละครเอกทั้งสองตัวมีความแตกต่างและเหมือนกันไปพร้อมๆกันอย่างไม่น่าเชื่อ รวมไปถึงทั้งสองตัวละครเขียนมาได้อย่างดิบดีมาก ถึงมากที่สุด
+ การแสดงในระดับสุดยอด นักแสดงทุกๆคนในภาพยนตร์เรื่องนี้ แสดงได้ดีแทบจะทุกคน
+ การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม และน่าตื่นเต้น
+ การตั้งคำถามของสังคมในหลายๆเรื่องโดยเฉพาะเรื่อง คนดี กับ คนร้าย หรือ ตำรวจ กับ ผู้ร้าย



- จุดที่ไม่ค่อยจะชอบนักในภาพยนตร์
- ตัวละครของ Ryan Gosling ถูกเร่งมากเกินไปในช่วงแรก ทำให้ Impact ของตัวละครนี้ลดลง
- รายละเอียดเล็กๆน้อยๆถูกมองข้ามไปบ้างในภาพยนตร์
- Climax และ ฉากจบ ที่ธรรมดามากเกินไปเมื่อเทียบกับบทภาพยนตร์ที่ปูมาในช่วงแรก




Final Score :  [ B+ ] , [ MUST SEE BADGE ]





Thank You to : The Place Beyond The Pines ( 2013 ) , IMDB for information

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

Broken City ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
เมืองที่เงินซื้อได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตคน !?



Movie Name : Broken City ( 2013 ) , Crime / Drama / Thriller 
Director : Allen Hughes ( The Book of Eli )
Stars : Mark Wahlberg ( Ted ) , Russell Crowe ( Les Miserables , Robin Hood )
Rating : R 






REVIEW THAI

                                                                               Broken City เป็นภาพยนตร์แนว Crime / Drama
ที่ได้สองนักแสดงที่เรียกได้ว่าช่วงนี้เห็นหน้ากันบ่อยเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น Mark Wahlberg จาก Ted หรือ Russell Crowe ที่ขอเปลี่ยนจากการร้องเพลง มาเป็นนักการเมืองแทน แค่เพียงพลังของสองดารา สองคนนี้รวมถึงหลายๆคนในเรื่อง ก็อาจจะดึงดูดคุณไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ แต่... มันดีรึเปล่าล่ะ ? 



มาเข้าสู่ช่วงรีวิวกันเลยดีกว่า Broken City ต้องขอบอกเลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่ "พยายาม" เหลือเกินที่จะกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ Crime / Drama การเมืองที่ดีที่สุด รวมไปถึงบทภาพยนตร์ที่ "ดูเหมือน" จะซับซ้อน แต่ปัญหาคือ เมื่อเราชมภาพยนตร์จบ เราแทบจะไม่รู้สึกถึงพลังสักเท่าไรเลยจากภาพยนตร์เรื่องนี้ บางท่านอาจจะเดาตอนจบ หรือ หลายๆจุดได้ตั้งแต่ กลางเรื่องด้วยซ้ำไป รวมไปถึงบทที่พยายามจะผู้เงื่อน สิบห้าแสนล้านหมื่นแปดตลบ แต่เมื่อเรามาวิเคราะห์จริงๆแล้ว สิ่งที่เขาผูกมาเนี้ยแทบจะไม่ได้มีอะไรเลย และแทบจะไม่ได้มีความซับซ้อนใดๆเลย


จุดที่ค่อนข้างน่าผิดหวังที่สุดในตัวภาพยนตร์เลยก็คือ ความตื่นเต้น ตกใจ เซอร์ไพรซ์คนดู เหมือนพุ่งหมัดฮุคใส่คนดู Broken City แทบจะเป็น 0 ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณตื่นเต้น หรือ ตกใจได้มากนัก เพราะ บทที่แทบจะไม่ได้พลิกแพลงอะไรเลย (แต่พยายามจะพลิก แต่ต่อให้คุณไม่ได้เดา ผลที่ออกมาคุณก็ยังไม่ตกใจอยู่ดี) เพราะ ฉากเหล่านั้นมันแทบจะไร้ซึ่ง Impact เหลือเกิน
มันดูยิบย่อย ธรรมดาๆ รวมไปถึงตัวละครที่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าใดนัก เพราะ ตัวหนังชอบใช้เรื่องราวของตัวละครที่เดิมๆซ้ำซาก แถมยังทำออกมาได้ไม่ค่อยดีนักเสียด้วย


ยังไม่นับถึงการแสดงของสองดารา Mark กับ Crowe  ที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่มีการแสดงใดที่จะทำให้คุณ โอ้วมายก๊อด ได้เลย คุณจะรู้สึก อืมม์ ก็ดี แต่ก็ไม่ได้แย่


แต่ตัวหนังก็ยังมีจุดที่เรียกได้ว่าน่าสนใจหลายๆจุด ถึงแม้มันจะไม่ค่อยน่าสนใจมากนัก อย่างที่กล่าวไปแล้ว แต่คุณก็ยังสนุกไปกับมัน ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป 


Broken City โดยรวมถือเป็นภาพยนตร์ที่พอดูได้ถ้าหากคุณไม่มีอะไรจะดูจริงๆช่วงนี้ และ คุณอยากใช้เวลาซัก 1 ชม เกือบ 2 ชม เพื่อที่จะมานั่งขบคิดอะไรบางอย่าง ที่ไม่ยุ่งยากจนเกินไป แต่ถ้าหากคุณไม่ใช่คนที่ชอบภาพยนตร์แนวนี้ หรือ ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว คุณก็อาจจะมองข้ามมันไปเรื่องอื่น 



The Best Quote from " Broken City "

"  - "



+ จุดที่ทำได้ดี :
+ เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ
+ การปะทะกันของสองดาราขั้นเมพ
+ สามารถดูได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากมายนัก
+ ดาราชั้นนำมากมาย


- จุดที่ไปไม่รอด :
- บทภาพยนตร์ที่พยายามจะทำให้มันมีอะไร แต่มันกลับไม่มีอะไรเลย
- จุด Climax ในแต่ละช่วงของภาพยนตร์ ทำได้ค่อนข้างแย่ ไม่รู้สึกตื่นเต้นใดๆเลย และ ไม่สามารถจะตรึงคนดูเอาไว้ได้
- สามารถเดาฉากต่อๆไปได้ แม้กระทั่งฉากจบก็ยังสามารถเดาได้ไม่ยากนัก
- การแสดงที่เรื่อยๆของสองดารา
- ฉากจบที่ค่อนข้างสุดแสนจะธรรมดา ในแบบที่แย่




Final Score : [ C ] 





Thank You to : Broken City ( 2013 ) , IMDB for information

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

Oblivion ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
ปฏิบัติการโลกกู้คน !?





Movie Name :  Oblivion ( 2013 ) , Action / Sci-Fi / Adventure , Universal Pictures
Director : Joseph Kosinski ( Tron : Legacy ) Also Work with Screenplay
Stars : Tom Cruise ( MI4 , Valkyrie ) , Morgan Freeman ( Olympus Has Fallen , Wanted ) , Olga Kurylenko ( Hitman , Quantam of Solace ) , Andrea Riseborough ( W.E. )
Rating : PG -13  






REVIEW THAI




                                                                       Oblivion เป็นภาพยนตร์ แนว Action / Sci-Fi / Adventure  อีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะใหญ่มาก นอกจาก พลังดาราอย่าง Tom Cruise ที่ช่วงนี้รู้สึกจะมีแต่หนังดีๆแหะ แถมยังเป็นแนวใกล้ๆเคียงกันซะด้วย เช่น Jack Reacher หรือ Mission Impossible : Ghost Protocal รวมไปถึง Morgan Freeman ที่เราเพิ่งจะได้ชมเขาเล่นใน Olympus Has Fallen หมาดๆนี้เอง



ในคราวนี้ Oblivion ได้ตัวผู้กำกับอย่าง Joseph Kosinski มาเป็นผู้กำกับ แถมยังเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทเองด้วยอีกต่างหาก ซึ่งเขาคนนี้เคยมีฝีมือมาแล้วจาก Tron : Legacy นั่นเอง แถมเขายังถูกทาบทามให้เป็นผู้กำกับ Tron ภาคต่อไปที่มีลือๆกันว่าจะเข้าฉายในปี 2014 นี้อีกต่างหาก เพราะ ฉะนั้น ก็คงวางใจได้ระดับหนึ่งว่าคงไม่ออกมาเน่าเละเทะ(มาก)นัก



Oblivion ว่าด้วยเรื่องราวของ แจ๊ค ที่เขาเป็นหน่วย"เก็บกวาด" โลกหลังจากที่โลกนั้นมีสงครามกับต่างดาวจนทำให้โลกตอนนี้เต็มไปด้วยซากไปหมดแล้ว แต่เขาก็เริ่มตั้งข้อสงสัยในตัวของเขาเอง และ การที่เขาทำเช่นนั้นอาจจะนำพาหายนะมาสู่ตัวเขาเอง หรือ อาจจะเป็นเพียงโอกาสเพียงไม่กี่ 1 ในล้าน ก็เป็นได้ !?




ต้องขอเริ่มจากของหวานชิวๆกันก่อน จุดแรกที่ผมประทับใจกับ Oblivion มากๆเลยก็คือ ด้านภาพ ที่ต้องขอชม Director of Photography จริงๆ ว่าแทบๆจะทุกช๊อตต่างๆมันช่างสวยงาม และ วางเสกล ได้เปะๆสุดๆ ถึงแม้ว่ามันจะมาก...ไปนิดสสส์นึง จนดูเหมือนทุกอย่างมันถูกจัดฉากมากเกินไป แต่ก็ขอชมจริงๆว่ามันสวยสุดๆ ยิ่งดูในโรง Imax นี้แบบ โอ้ว !
ต่อมาเลยก็คือ ฉากต่อสู้ในเรื่องแหม่หลายๆคนอาจจะรอจุดนี้้อยู่ ใน Oblivion ทำฉากต่อสู้ออกมาได้น่าสนใจ สนุก น่าตื่นเต้นสุดๆ แถมยังไม่ดูโง่ๆ ปยอ. ยิ่งแบบช่างหัวทุกสรรพสิ่งบนโลก แบบหนังบางเรื่อง ถึงแม้ฉากบางจุดแทบจะ Copy / Paste กันมาจาก Star Wars ก็ตาม (จะว่าไป Oblivion มี กลิ่นอายของ Star Wars เยอะมาก .... )


การเริ่มเรื่องนั้นทำได้ค่อนข้างจะดี ทำให้คุณรู้สึกสนใจ และ รู้สึกอยากจะติดตามไปเรื่อยๆว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น อีกจุดนีงเลยที่ต้องขอชมและอาจจะชอบเป็นการส่วนตัว เลยก็คือ การออกแบบ หุ่นต่างๆ ยานต่างๆ สถานที่ต่างๆ มันช่างดูสมจริง เคลื่อนไหวแบบมีชีวิต แต่ก็ยังคงเป็นหุ่นยนตร์ได้ดี (งงไหมนี้) ผมค่อนข้างชอบการออกแบบมากๆ



แต่.........สิ่งที่หยุด Oblivion เอาไว้สำหรับกลายเป็นภาพยนตร์ Sci-Fi แห่งปี จุดที่ร้ายแรงที่สุดเลยก็คือ การที่ตัวหนังนั้นตั้งเป้าเอาไว้สูงเกินไปมากกว่าตัวบทที่จะสามารถไปถึงจุดนั้นได้จริงๆ โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า "โลกมีค่าควรให้ต่อสู้" ในคำพูดมันช่างดูทรงพลัง น่าสนใจ น่าติดตาม และ ดูยิ่งใหญ่สุดๆ แต่เมื่อเอาเข้าจริง กลับแทบจะไม่มีอะไรมากมายนัก แถมคำพูดนั้นดูเหมือนจะไปไกลและสูงกว่าที่หนังเป็นจริงๆเอาไว้ค่อนข้างมาก



อีกจุดก็คือ ความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆ ช่วงแรกมันค่อนข้างจะน่าสนใจมากๆ แต่พอหลังจาก 1 ชม. หรือ 2 ชม. ผ่านไป มันจะโคตรน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อยสุดๆ แถมยิ่งแย่มันกลับฉุดตัวหนังให้ดูน่าสนใจน้อยลงไปอีก


การตัดต่อ/เล่าเรื่อง ของหนังที่ค่อนข้างแย่ในหลายๆจุด ทำให้คนดูแม้กระทั่งผมที่ดูหนังมาเยอะ ยัง งง สุดๆว่าตกลงมันยังไงกันแน่ การตัดสลับไปสลับมา ในบางจุดดูเร่งมากจนเกินไป ทำให้สับสน และ ทำให้เสียอารมณ์ในการดูอย่างมาก สำหรับคนที่สนใจในเนื้อเรื่อง


ตอนจบ...ฉากจบ... เป็นอะไรที่อืมม์...จริงๆมันก็ไม่ได้แย่มากมาย แต่มันเหมือนถูกจัดวางมามากเกินไป ทำให้ฉากจบที่ควรจะเป็นอะไรที่เราควรที่จะ ตื่นตา ตกใจ ตลึง เหมือนถูกสะกดเอาไว้ และทำให้เกิดอาการอยากที่จะ ซื้อ Blu-Ray / DVD มาดูที่บ้านอีกซัก 10 - 20 รอบ แต่ Oblivion ฉากจบกลับแทบจะถูกเดาได้ในช่วง เกือบๆ 2 ชม. ของหนัง (ซึ่งจริงๆมันก็ใกล้จะจบแล้วล่ะ) แถมฉากจบ ดูเหมือนไม่ได้ถูกขัดเกลามาอย่างดีนัก มันช่างดูเหมือนออกแนวขี้เกียจ และ ไม่ได้ตื่นตาอะไรเลย กลับดู ธรรมดา ทำให้ตอนจบคุณดูจบแล้วก็ "อืม... อืม... แล้ว ??"
เทียบกับฉากต่อสู้ในบางจุด เอามาสลับกันตอนจบ ยังน่าสนุกกว่าเยอะ



Oblivion เป็นภาพยนตร์ Action / Sci-Fi / Adventure ที่ภายนอกมันช่างดูดีไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพที่สวยงาม และ ถูกจัดมาอย่างดีสุดๆ ฉาก Action ที่สนุก ตื่นเต้น น่าลุ้น การออกแบบสถานที่ หุ่นต่างๆ ยานต่างๆ ที่ทำออกมาได้ดี การเริ่มเรื่องที่น่าสนใจ และ คำโฆษณาที่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่สิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปจริงๆแล้ว กลับไม่ค่อยมีอะไรมากซักเท่าใดนัก เต็มไปด้วย เนื้อเรื่องที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง ตัวละครที่ไร้ความน่าสนใจหลังจากช่วงแรก การตัดต่อที่แย่ทำให้สับสนในการเล่าเรื่องอย่างมาก และ ฉากจบที่สุดแสนจะงั้นๆสำหรับหนังแนวนี้และขนาดใหญ่ขนาดนี้




The Best Quote from " Oblivion "

"Are you still the effective team ? "
" No , we're not the effective team. "




+ สิ่งที่ทำได้ดี :
+ ภาพที่สวยงามสุดๆ ฉากต่างๆที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี
+ การออกแบบหุ่น สถานที่ ยานต่างๆ ที่น่าสนใจ และ ดูมีชีวิต
+ การเล่าเรื่องในช่วงแรกที่น่าสนใจ
+ ฉาก Action ที่สนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม



- สิ่งที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- การตัดต่อที่แย่ ทำให้หลายๆฉากที่เป็นเนื้อเรื่อง ไม่เข้าใจ สับสน และ พางงสุดๆ
- ความสัมพันธ์ของตัวละครหลังจากช่วงแรก จะเป็นอะไรที่ลากหนังดิ่งลงเหว เพราะ มันน่าเบื่อไม่น่าติดตาม สุดๆ
- เนื้อเรื่องที่โฆษณาเอาไว้ยิ่งใหญ่เกินจริง ในเมื่อความเป็นจริงแล้วตัวหนังไม่ได้มีอะไรมากมายซับซ้อนนัก แค่ทำให้มันดูเหมือนมีมากมายและซับซ้อนก็เท่านั้น
- ฉากจบสุดแสนจะธรรมดา และน่าผิดหวัง สำหรับภาพยนตร์ที่ใหญ่ในระดับนี้



Final Score :  [ C+ ]




Thank You to : Oblivion ( 2013 ) , IMDB for information

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

The Host ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
"เลือกที่จะเชื่อ   เลือกที่จะสู้  เลือกที่จะสิง !?"




Movie Name : The Host ( 2013 ) , Romance / Adventure 
Director : Andrew Niccol ( In Time )
Stars : Saoirse Ronan ( Hanna , The Lovely Bones ) , Diane Kruger ( Troy , Unknow )
William Hurt ( The Incredible Hulk , Vantage Point ) , Max Irons ( Dorian Gray ) , Jake Abel ( I Am Number Four , Percy Jackson And The Lightning Thief ) 
Rating : PG-13






REVIEW THAI



                                                                         The Host เป็นภาพยนตร์แนวรักโรแมนติกเทือกๆนั้นอีกเรื่องจากฝีมือของ Stephenie Meyer  จากภาพยนตร์ Twilight Saga ที่เพิ่งจะจบไปหมาดๆนี้เอง ซึ่งก็ไม่รู้เพราะสาเหตุบ้าบออะไร หนังแนวนี้มักจะเฟลเสมอๆ อย่างล่าสุด Beautiful Creatures ที่มีบทที่เรียกได้ว่าน่าสนใจมากๆ แต่กลับทำออกมาล้มเหลว..... ยิ่งรวมกับการแอนตี้หนังแนว Twilight ของหลายๆคน ยิ่งแล้วใหญ่ 



The Host ได้ตัวผู้กำกับอย่าง Andrew Niccol มาเป็นผู้กำกับ ซึ่งหลายๆคนอาจจะจำเขาได้จาก In Time ซึ่งจริงๆแล้วภาพยนตร์เรื่อง In Time ก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายนัก แต่ด้านบทค่อนข้างจะไม่ดีนักซักเท่าไร ก็ต้องมาคอยดูกันว่าเรื่อง The Host จะเป็นอย่างไร



The Host นั้นว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่ถูกครอบครองโดยมะนาวเอ้ย มนุษย์ต่างดาว และมนุษย์แทบจะทุกคนบนโลกได้ถูกสิ่งที่เรียกว่า " Soul " เข้าไปสิงสู่ในร่างแทน ทีนี้ก็ถึงคิวนางเอกของเรา โดนบ้าง แต่เธอกลับไม่ยอมที่จะตกเป็นทาสของ Soul เธอต่อสู้ เพื่อที่จะกลับไปหาคนที่เธอรักอีกครั้ง



ต้องขอเริ่มจากข้อดีก่อน จุดเด่นของ The Host เลยก็คือ เรื่องราวที่มันช่างน่าสนใจเหลือเกิน เรื่องราว การต่อสู้ระหว่าง ตัว Soul ของนางเอก และตัวเธอเอง แถมยังมีอุปสรรคความรักเข้ามายุ่งเกี่ยวอีก แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดในภาพยนตร์เลยก็คือ การออกแบบที่กบดานของกลุ่มต่อต้าน และ คาแรคเตอร์ของพวกเขา มันช่างดูมีชีวิตสุดๆ ทั้งยังมีเรื่องปมที่ว่าควรจะไว้ใจ นางเอกที่โดน Soul สิงไปแล้วด้วยหรือไม่ ทั้งความคิดที่แตกต่างและแตกแยก กันมันช่างทำให้สถานที่และคนเหล่านี้ช่างน่าสนใจที่จะติดตาม


นอกจากนั้นการแสดงของนักแสดงแต่ละคนในเรื่อง เรียกได้ว่าทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ไม่ใช่มาแบบหน้าชาแบบนางเอกพระเอก Twilight แน่นอน อย่างนางเอก Saoirse เรียกได้ว่า เล่นได้น่าสนใจมากๆ รวมไปถึง William Hurt ที่จะว่าไปก็ไม่ค่อยจะแปลกล่ะมั้งเพราะลุงแกเคยได้ Oscar มาครั้งนึงแล้ว แต่เพราะ William Hurt เนี้ยแหละ ทำให้ตัวหนังมันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก นอกจากนั้นยังมี Jake Abel ที่เห็นมาหลายเรื่องเหลือเกิน สำหรับผม อย่างเช่น I Am Number Four (ภาคต่อของตู !!!) หรือ Percy Jackson And The Lightning Thief ซึ่งในปีนี้ Percy ภาคใหม่ก็กำลังจะเข้าฉายอีกด้วย



แต่ช่างน่าเสียดายเพราะ มันมีก้อนเหล็กอันใหญ่ๆมว๊าก ถ่วง The Host ไว้ซะก่อน นั้นก็คือ การปูบท และ ฐานของบท ที่แทบจะเป็น 0 มาถึงตัวหนังก็ดันพูดถึงโลกที่ถูกยึดซะแล้ว แทบจะไม่มีการพูดถึง ว่าทำไมเราถึงสูญเสียมันเลยแม้แต่น้อย มันทำให้เรานั่งเกาหัวแล้วพูดว่า "เอ่อ....ห่ะ !? " ตัวหนังนั้น Rush หรือ เร่งมากจนเกินไป จนแทบจะไม่ได้ปูอะไรไว้ก่อนเลย นอกจากนั้น ตัวละครต่างๆก็ถูกเล่าแบบรวดเร็วมากจนเกินไป เพื่อจะเร่งไปสู่จุดที่เอ่อ....พวกเขา จุ๊บุ๊กัน มันทำให้เราไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมมากซักเท่าไร และจุดที่ผมว่าเป็นสิ่งที่จะว่าดีหรือไม่ดีก็ไม่ทราบนั้นก็คือ การที่ตัวหนังมันดูเป็น TV-Series มากเหลือเกิน ผมแทบจะจินตนการได้เลยว่าถ้าหาก The Host ไปทำเป็น TV-Series มันจะเป็น TV-Series รัก ผจญภัย ที่เรียกได้ว่าน่าสนใจโคตรๆ เพราะ มันมี Potential หรือ โอกาสที่จะแตกกิ่งออกไปได้เป็น พันๆทาง หรือ มากกว่าด้วยซ้ำไป เพราะ ลองคิดดู ตัวหนังนั้นพูดว่าโลกนั้นถูกยึดหมดแล้ว แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ต่อต้านอยู่ ซึ่งมันแทบจะไม่ได้แตกต่างอะไรกับ The Walking Dead TV-Series เลย แค่เปลี่ยนจาก ซอมบี้มาเป็นกลุ่มเอเลี่ยนก็แค่นั้นเอง ซึ่งในจุดนี้อาจจะเป็นจุดที่ดีที่สุด และ แย่ที่สุดก็เป็นได้เลยในหนัง เพราะ มันทำให้ตัวหนังดูมีชีวิตมากขึ้นหลายเท่า แต่ คุณต้องไม่ลืมว่า นี้มันคือ "ภาพยนตร์" ไม่ใช่ TV- Series การมาทำ TV-Series ในภาพยนตร์เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์มาก ไม่ว่าจะเป็นการ Voice Over หรือ การเล่าเรื่อง มันช่างแทบจะเป็น TV-Series ซะ 60-70% 


อีกปัญหานึงเลยก็คือ ตัวหนังเหมือนจะอธิบายได้ไม่ค่อยดีพอในหลายๆเรื่อง เช่นความคิดต่างๆของเหล่าเอเลี่ยน ในบางจุดตัวหนังเหมือนจะบอกอย่าง แต่บางทีก็บอกอีกอย่าง ก็เลยพางงว่า อืม สรุปยังไง จุดเสียอีกเรื่องเลยก็คือ ถ้าหากคุณเป็นพวกประเภทบ้าหนัง Action และ ทนอะไรอืดๆไม่ได้ คุณจะเบื่อสุดๆ บอกไว้เลยว่าทั้งเรื่องนั้นมีฉาก Action เพียงกระติ๋วเดียวเท่านั้นเอง (แต่ใน IMDB ดันใส่ว่าเป็นหนังแนว Action / Adventure / Romance ) แต่นั้นแหละมันทำให้ตัวหนังโฟกัสไปที่ความมีชีวิตชีวา ของตัวละครมากกว่าปกติ และสำหรับตัวผม ผมค่อนข้างชอบมากกว่า ยิงๆกันแน่นอน



The Host เป็นภาพยนตร์แนวรัก โรแมนติก อีกเรื่องที่ผสมความเป็น Adventure เข้าไปด้วยหน่อยๆ ด้วยความมีชีวิตชีวาของตัวละคร และ ตัวภาพยนตร์ ความที่ตัวหนังมันช่างน่าติดตามอย่างอธิบายไม่ได้ และการแสดงที่ค่อนข้างอยู่ในระดับที่ดี ทำให้ The Host เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เลวเลยที่จะลองเสี่ยงไปชมสักครั้ง แต่ปัญหาที่ตัวหนังแทบจะไม่มีฐานรองรับใดๆเลย การปูเรื่องราวที่กระติ๊ดเดียวจริงๆ และการที่ตัวหนังเป็น TV-Series ซะมากกว่าภาพยนตร์ อาจจะทำให้คุณจะต้องคิดให้ดีซักหน่อย และหวังว่าเราอาจจะได้ชม The Host ฉบับ TV-Series ในภายหน้า



The Best Quote from  " The Host " 

" Our world has never been this peace , except it's not ours "




จุดที่ทำได้ดี :
- ตัวละครที่มีชีวิตชีวาและน่าสนใจสุดๆ
- เรื่องราวของกลุ่มผู้ต่อต้าน และ The Seeker ที่ช่างน่าสนใจ และ มีชีวิต
- การแสดงที่จัดอยู่ในระดับดี
- มี Potential มากมายแตกแขนกได้เป็น พันๆ เรื่องราวในภาพยนตร์
- มีฉากตลกพอให้สนุกอยู่ได้บ้าง


จุดที่ไปไม่รอด :
- ตัวภาพยนตร์ ดูเหมือน TV-Series มากกว่า ภาพยนตร์
- บทที่แทบไม่ได้ปูอะไรเลยให้คนดู 
- บางจุดที่ยังไม่เคลียร์ และ อธิบายได้ไม่ดีพอ
- ฉากเลิฟซีนที่เยอะจนน่ารำคาญอยู่บ้าง




Final Score : [ C+ ] 




Thank You To : The Host ( 2013 ) , IMDB for information