วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

The Room (2012) Game Review

The Room Game Review



"ด้วยปริศนาอันท้าทาย กราฟฟิคอันสวยงามและการเล่าเรื่องอันน่าสนใจ ทำให้The Room กลายเป็นเกมมือถือที่จะทำให้คุณติดหนึบกันจนวางไม่ลงอย่างแน่นอน"

Name: The Room
Platform: Android / iOS / PC
Rating: E

The Room เป็นเกมแนวแก้ไขปริศนาของทาง Fireproof ซึ่งลงให้กับเครื่องมือถือ Android,  iOS และแน่นอนว่า PC โดยมีราคาประมาณ 30 บาทเท่านั้น

The Room เป็นเกมค่อนข้างจะน่าสนใจทีเดียวด้วยแนวการเล่นซึ่งค่อนข้างจะเป็นเกมแก้ไขปริศนาแบบเต็มตัวแท้ๆ โดยในเกมเราจะละลายเวลาไปกับการแก้ไขปริศนาต่างๆมากมายเช่น หากุญแจ หาชิ้นส่วนของที่หายไป จนกระทั่งต่อชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งปริศนาส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างจะท้าทายและชวนให้คิดอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญก็คือตัวเกมไม่ช่วยเหลือเรามากเกินไปจนหมดสนุก ถ้าหากบางปริศนายากเกินไปตัวเกมก็ยังมีตัวช่วยบอกใบ้ให้ตลอดเวลาจึงไม่ต้องกลัวว่าตัวเกมจะยากเกินไป

นอกจากนั้นแล้วในทางด้านภาพกราฟิกต่างๆ ตัวเกม The Room ก็จัดว่าสวยงามมากเลยทีเดียวทั้งๆที่ผู้เขียนเล่นบนโทรศัพท์ Android แถม ตัวเกมก็ไม่ได้กินเนื้อที่มากมายประมาณ 250MB เท่านั้น ยังได้กลิ่นอายและอารมณ์ของเกมปริศนาอย่างแท้จริงอีกด้วยไม่ว่าจะจากแนวการเล่น การจัดแสง และวิธีการเล่าเรื่องซึ่งโดดเด่นมากๆ

ในท้ายที่สุด The Room ก็เป็นเกมอีกหนึ่งเกมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ด้วยแนวการเล่นไขปริศนาอันท้าทาย ภาพกราฟฟิกอันสวยงาม และวิธีการเล่าเรื่องอันน่าสนใจ นี้เป็นเกมที่รับประกันเลยว่าจะทำให้คุณติดหนึบวางกันไม่ลงเลยทีเดียว

Final Score: [ A ] & Must Play Badge

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Dragon Age : Inquisition ( 2014 ) Game Review

Game Review




"ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Dragon Age : Inquisition คือหนึ่งในสุดยอดเกม RPG แห่งปีนี้อย่างแท้จริง"


ชื่อ : Dragon Age : Inquisition ( 2014 )
ประเภท : Action RPG  / Open World
ผู้พัฒนา : Bioware
ลงให้กับเครื่อง : PC / PS3 / PS4 / Xbox360 / XboxOne
เรท : Mature 



                        Dragon Age : Inquisition เรียกได้ว่าเป็นเกมในปี 2014 ที่มีแฟนๆทั่วโลกรอคอยและตั้งความหวังมากที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียวเชียว ถึงแม้จะต้องสารภาพว่า นี้เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผู้เขียนกับเกม Dragon Age เลย แต่ก็เคยได้ยินชื่อเกมนี้มาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในภาคแรก Dragon Age : Origins ในปี 2009 ที่ยอดเยี่ยมจนกล่าวขานกันมาถึงทุกวันนี้


แต่พอภาคต่อมา Dragon Age II ในปี 2011 ตัวเกมก็กลับทำให้แฟนๆเกมผิดหวังอย่างร้ายแรงในหลายๆด้าน จนแฟนเกมหลายคนถึงกับเซ็งเป็ดกันไปตามๆกัน ซึ่งคาดว่าเพราะเหตุนี้เอง ทางผู้พัฒนา Bioware จึงใช้เวลาถึง 3 ปี ในการสร้างเกม Dragon Age : Inquistion นี้ออกมา เพราะแน่นอนว่าทางผู้พัฒนาเองก็คงไม่อยากจะให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกเป็นแน่แท้




    ต้องขอบอกก่อนเลยว่าท่านใดก็ตามที่ไม่เคยเล่นเกม Dragon Age มาก่อนเลยแบบผู้เขียน ก่อนที่จะแตะเกมนี้ แนะนำให้ไปหาอ่านบทความเนื้อเรื่อง คำอธิบายต่างๆในโลก Dragon Age มาก่อนเลย เพราะถ้าหากท่านไม่อ่านมาก่อนแล้วล่ะก็ คงจะงงกันเป็นไก่ตาแตกแน่ๆเวลาเล่นในเกมว่า The Chantry คืออะไร Circle of Magi คืออะไร แต่ละเผ่าพันธุ์ในเกมมีอะไรบ้าง Danish Elf คืออะไร และที่สำคัญเลยก็คือต้นเหตุแห่งความขัดแย้งต่างๆในเกม จะอ่านเรื่องราวของสองภาคที่แล้วหรือไปหาเกมมาเล่นเลยด้วยยิ่งดี ซึ่งทาง Bioware ก็ได้สร้างเว็ปไซต์ Dragonagekeep ขึ้นมาให้ผู้เล่นใหม่ชมเนื้อเรื่องย่อๆตั้งแต่ภาคแรกซึ่งทำมาเป็นแบบวิดีโอและถือว่าดีทีเดียว ส่วนผู้เล่นเก่าท่านใดที่เริ่มลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว จะกลับไปรับชมก็ไม่ว่ากัน แถมยังสามารถโอนเซฟจากภาคที่แล้วเข้ามาในเกมภาคใหม่นี้ได้ด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อสถานะโลกของภาคนี้พอสมควรเลยทีเดียว ในขณะที่ผู้เล่นใหม่ก็จะได้การปรับแต่งที่ผู้สร้างเกมให้มาแล้วไปแทนหรือจะปรับเองจาก Dragonagekeep เลยก็ได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามแค่ดูวิดีโอมันยังไม่พอจริงๆ ผู้เขียนแนะนำว่ายังไงก็ต้องไปหาอ่านคำศัพท์ต่างๆครับ อีกอย่างคือ Dragon Age เป็นเกมที่ค่อนข้างจะอาศัยภาษาอังกฤษระดับหนึ่งพอสมควร เพราะนี้เป็นเกมที่ต้องอาศัยการตัดสินใจสูง ถ้าหากท่านไม่เข้าใจว่าหลายๆอย่างแปลว่าอะไร แล้วกดมั่วซั่วคงจะไม่ดีแน่นอน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดจะเล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยซะทีเดียว


คราวนี้ถึงเวลามาพูดถึงเรื่องเนื้อเรื่องของ Dragon Age : Inquisition กันบ้าง ต้องพูดก่อนเลยว่าการดำเนินเรื่องส่วนใหญ่ค่อนข้างจะเป็นเส้นตรงและเดาได้ไม่ยากซักเท่าไรนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ตัวเกมน่าสนใจน้อยลงเลย ด้วยความที่ตัวเกมค่อนข้างจะเปิดเรื่องราวและแนวทางอื่นๆเอาไว้เยอะ กว้างและน่าสนใจมาก ตัวเกมเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆมากมายที่ชวนให้คิดอยู่ตลอดเวลา ในด้านหนึ่งก็สะท้อนถึงโลกที่เราๆอยู่กันได้เป็นอย่างดีทีเดียว เช่นเรื่องราวของศาสนา ความเชื่อ ความขัดแย้งของเชื้อชาติหรือเผ่าพันธ์ต่างๆ รวมถึงการเมืองอันดุเดือดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกนำเสนอออกมาในทั้งด้านที่ดีและด้านไม่ดีอยู่บ่อยครั้ง แถมในบางครั้งเส้นแบ่งแยกนี้มันก็ช่างเบาบางจนเรียกได้ว่าทำเอาแยกไม่ออกว่าตกลงอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ เช่นความขัดแย้งระหว่างเมจกับเทมพลาที่ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งที่อยู่ในทุกภาคของ Dragon Age เรื่อยมา ในด้านหนึ่งตัวผู้เขียนก็เห็นใจเมจ แต่กลับกันก็ไม่อาจพูดว่าสิ่งที่เทมพลาทำนั้นผิด เป็นต้น 





Dragon Age : Inquisition เป็นเกมที่หลายๆครั้งบังคับให้ท่านตัดสินใจเลือก โดยเฉพาะในเนื้อเรื่องที่มักจะเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก ในหลายครั้งคุณอาจจะตัดสินใจได้ไม่ยาก แต่ในบางครั้ง ผู้เขียนก็พบว่าตัวเลือกทุกตัวเลือกมันก็เลวร้ายพอๆกัน แต่คุณจำเป็นจะต้องเลือก แถมมันยังส่งผลต่อตัวเนื้อเรื่องคุณต่อจากนี้ไปอีกด้วย เพราะฉะนั้นจงเลือกให้ดี มิเช่นนั้นท่านอาจจะมาเสียใจภายหลัง



ที่น่าประทับใจสำหรับตัวผู้เขียนเลย ก็คือตัวเกมค่อนข้างให้ความรู้สึกเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตลอดเวลา อย่างเช่นเมื่อเรากระทำการอะไรที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นจับคู่กับตัวละครอื่น , เล่นเนื้อเรื่องสำคัญต่างๆ แม้กระทั่งเผ่าพันธุ์ที่คุณเลือกเล่น ตัวละครรอบข้างของเราก็จะพูดถึงเรื่องนั้นและเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นกัน แถมถ้าหากคุณไปไล่คุยกับตัวละครอื่นๆในเกมนอกจากคุณจะได้ฟังถึงเบื้องหลังที่มาที่ไปของพวกเขาแล้ว คุณยังได้ฟังความคิดของเขาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกด้วย ซึ่งมันให้ความรู้สึกว่าตัวเกมเคลื่อนที่ไปพร้อมๆกับเรา





อีกหนึ่งระบบของ Dragon Age ที่สำคัญมากๆเลยก็คือ ตัวละครเพื่อนร่วมทีมของเรา นอกจากตัวละครเหล่านี้จะสามารถช่วยเหลือเราต่อสู้ในเกมได้แล้ว แทบจะทุกตัวละครยังถูกเขียนออกมาได้ดีอีกด้วย แต่ละตัวละครเต็มไปด้วย ความคิด ทัศนะคติและหลายๆสิ่งอย่างที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ จนเสมือนพวกเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่สำคัญก็คือการตัดสินใจหลายๆอย่างของเราจะส่งผลต่อพวกเขาด้วย เช่นถ้าหากคุณตัดสินใจอะไรไปที่ตัวละครบางตัวไม่เห็นด้วย พวกเขาก็อาจจะไม่พอใจคุณก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าในส่วนนี้มันอาจจะไม่ได้ส่งผลรุนแรงมากมายต่อตัวเกมซักเท่าไรนัก แต่มันก็เพิ่มความลึกและน่าสนใจให้ตัวเกมไม่ใช่น้อย




และแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงตัวละครใน Dragon Age ไม่ใช่แค่คุณสามารถพูดคุยหรือนำพวกเขามาเป็นเพื่อนร่วมทีมได้เท่านั้น แต่คุณยังสามารถมีความสัมพันธ์กับพวกเขาได้อีกด้วย หรือสิ่งที่ในเกมเรียกว่า "Romance" ซึ่งเป็นระบบที่โดดเด่นมากๆในเกมนี้ เรียกได้ว่าใครชอบตัวละครไหนก็จับจองกันได้เลย ตั้งแต่คู่ปกติ ยันสายเกย์ก็มีให้ท่านได้ไปกันเต็มที่เลยทีเดียว ที่สำคัญคือนี้เป็นระบบที่ตัวผู้พัฒนา Bioware ดูจะจริงจังเอามากๆ เพราะนี้ไม่ใช่แค่ระบบที่นำตัวละครมาวิ่งไปวิ่งมาช่วยเหลือคุณรอบข้าง แต่คุณยังจับคู่กับตัวละครที่คุณชื่นชอบและเพิ่มบทบาทตัวละครนั้นๆขึ้นมาอีกด้วย



สิ่งที่ผู้เขียนสารภาพเลยว่าถูกใจมากๆในเกม Dragon Age : Inquisition ก็คือทุกๆตัวละครในเกมมีเสียงพากษ์ทุกตัวละคร แม้กระทั่งตัวละครเควสเล็กๆทั่วไปก็ยังมีเสียงพากษ์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวเกมน่าสนใจขึ้นเยอะ ตัวรายละเอียดของภารกิจ เนื้อเรื่องต่างๆน่าสนใจขึ้น น่าฟังขึ้นอย่างมาก รวมถึงเสียงพากษ์ต่างๆก็ทำได้ค่อนข้างดีมากอีกด้วย ในขณะที่เกม RPG บางเกมยังคงใช้ขึ้นมาแต่ตัวอักษรซึ่งไม่น่าสนใจชวนอยากกดๆข้ามไปอยู่ตลอดเวลา


ที่สำคัญเลยก็คือบทพูดต่างๆก็ถูกเขียนมาได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย พอยิ่งผสมผสานเข้ากับตัวเกมที่เต็มไปด้วยตัวเลือกและทางเลือกต่างๆให้ตอบมากมาย ก็ยิ่งทำให้มันน่าสนใจและเพิ่มคุณค่าในการหยิบตัวเกมมาเล่นซ้ำแต่เลือกตัวเลือกใหม่ๆเข้าไปอีก  ถึงแม้ว่าในรอบแรกที่ผู้เขียนเล่นจะใช้เวลาไปถึง 50 ชั่วโมงโดยที่ไม่ได้รู้ตัวไปแล้วก็ตาม ทั้งๆที่ผู้เขียนข้ามภารกิจหรือเควสย่อยต่างๆมากมาย ยังไม่นับถึงแผนที่ต่างๆที่ยังสำรวจไม่ครบอีก เรียกได้ว่าเอาเข้าจริง Dragon Age : Inquisition เป็นเกมที่เล่นได้มากกว่า 100 ชั่วโมงดีไม่ดีจะมากกว่านั้นอีกด้วยซ้ำไป





มาถึงในหัวข้อที่เรียกได้ว่าสำคัญที่สุดในทุกๆเกม ก็คือเกมเพลย์ของตัวเกม 
Dragon Age : Inquisition โดยในเรื่องของอาชีพและคลาสต่างๆในเกมแบ่งคลาสออกเป็น 3 คลาส Rouge , Mage และ Warrior และแต่ละคลาสยังแยกย่อยออกมาเป็นอาชีพพิเศษอีกอย่างละ 3 อาชีพ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคลาส แต่ละอาชีพก็จะมีสกิล แนวการเล่นที่แตกต่างกันออกไป โดยเราสามารถเลือกคลาสได้อย่างอิสระในขณะที่ตัวละครอื่นๆในเกมจะเป็นคลาสที่ถูกกำหนดมาแล้ว และเราจะเลือกตัวละครไหนมาเป็นเพื่อนร่วมทีมเราก็ได้ คุณจะจัดทีม Mage ซัก 3 คนแล้ว Warrior เอาไว้แทงค์หนึ่งคนก็ไม่ว่ากัน ถึงกระนั้นก็ตาม สกิลต่างๆใน Dragon Age : Inquisition ส่วนตัวแล้วผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจเท่าไร โดยเฉพาะ Rouge ที่รู้สึกน่าเบื่อไม่ใช่น้อยแม้จะเพิ่มอาชีพพิเศษแล้วก็ตาม ในขณะที่ถ้าหากเปรียบเทียบกับ Magick Archer ในเกม Dragons Dogma ยังมีสกิลที่น่าสนใจและเท่ห์กว่าเยอะ 


นอกจากนั้นแล้วในตอนที่คุณต่อสู้ คุณสามารถสลับโหมดปกติไปสู่โหมด Tactical View ได้อีกด้วย ซึ่งทำให้เวลาในขณะนั้นหยุดลงทั้งหมดเพื่อให้คุณสั่งคำสั่ง A.I ให้ใช้สกิลต่างๆหรือเดินไปโจมตีศัตรูที่คุณต้องการอีกด้วย ซึ่งเป็นโหมดที่ดูเหมือนจะสำคัญมากๆสำหรับท่านใดที่อยากจะเล่นโหมด Nightmare ซึ่งยากสุดๆ และการให้ A.I ที่ไม่ค่อยจะฉลาดเท่าไรนักไปต่อสู้ด้วยตนเองคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก





สำหรับใน Dragon Age : Inquisition นอกจากตัวเนื้อเรื่องหลักแล้ว ตัวเกมค่อนข้างจะเปิดกว้างเป็น Open World อยู่พอสมควร โดยเราสามารถเข้าไปสำรวจแผนที่ต่างๆได้ ซึ่งภารกิจหลักในแต่ละแผนที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการตั้งแคมป์ที่ต่างๆ ช่วยเหลือชาวบ้าน และทำลายปีศาจทั้งหลาย เพื่อเพิ่มแต้มของคุณ ซึ่งคุณสามารถนำแต้มนี้เพื่อไปเปิดสู่เนื้อเรื่องขั้นต่อไป และเปิดแผนที่ใหม่ๆได้ด้วย ในส่วนของแต่ละแผนที่ก็ถือว่าออกแบบมาได้น่าสนใจดี ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ถึงขนาดน่าประทับใจนัก แต่บางแผนที่ลับก็ถือว่าโดนใจไม่ใช่น้อย อย่างเช่นผู้เขียนที่บังเอิญเดินไปเจอกับสถานที่ลับเข้าให้ แล้วสถานที่นั้นเวลาถูกหยุดลง ตัวละครที่กำลังสู้กันอย่างดุเดือดก็ถูกแช่ค้างเอาไว้ด้วยท่าทางต่างๆ มันเป็นอะไรที่เท่ห์และน่าจดจำมากเลยทีเดียว


และแน่นอนว่าเมื่อชื่อเกมบอกซะขนาดนี้ ผู้เล่นหลายๆท่านก็คงอยากที่จะลงไปฟาดฟันกับมังกรในเกมไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยมังกรในเกมนี้ที่ค่อนข้างจะเก่งกาจและต้องอาศัยหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในการสู้ โดยเฉพาะธาตุและการหลบท่าต่างๆของมัน ยิ่งท่านที่เล่นโหมด Nightmare ต้องยิ่งระวังเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นท่านอ
าจจะลงไปกองนอนกับพื้นก่อนที่จะได้ทำอะไร แต่ถ้าหากท่านเอาชนะมาได้ ก็จะได้รางวัลของดรอปต่างๆที่คุ้มค่าต่อการสู้เลยทีเดียว 


มังกร !!


ในส่วนของการคราฟหรือสร้างของต่างๆในเกม ก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว โดยไอเดียที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษก็คือ ตัวเกมจะไม่มีพวกถุงมือ หรือว่า ด้ามของอาวุธให้เก็บ แต่เราสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้และใส่ประกอบเข้าไปในชุดที่ดรอปให้จากหลายๆวิธีในเกม หรือจะสร้างเองเลยก็ได้ ซึ่งมันเป็นไอเดียที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียวแถมหน้าตาของชุดและอาวุธต่างๆยังเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราใส่ไปอีกด้วย


นอกจากนั้นแล้ว ไม่ทราบว่าทาง Bioware คิดอะไรเหมือนกันถึงใส่โหมด Multiplayer เข้ามาในเกม ซึ่งเอาเข้าจริงผู้เขียนก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่ชอบอะไรมากมายนัก แต่โหมด Multiplayer ใน Dragon Age : Inquisition ให้ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆอยู่พอสมควร ตั้งแต่หน้าปรับแต่งตัวละครยันในตัวเกมเองที่ให้ความรู้สึกถูกรีบเข็นออกมาโดยไม่ได้ใส่เวลาเท่าที่ควรลงไป เซิฟเวอร์ที่ค่อนข้างจะมีอาการกระตุกอยู่บ่อยครั้ง แถมยังมีการใส่ประเภทขายของด้วยเงินจริงในเกมเข้ามาอีก ซึ่งถือได้ว่าเป็นอะไรที่น่าผิดหวังอยู่บ้าง ผู้เขียนแทบจะไม่รู้สึกว่าอยากที่จะเล่นโหมดนี้ต่อไปเลย เพราะในส่วนของโหมดธรรมดาก็ถือว่าทำได้ดีกว่าเยอะมาก ยกเว้นท่านจะอยากเล่นกับเพื่อนๆก็ยังถือว่าเป็นโหมดที่พอรับได้


เอ่อ......


สำหรับกราฟฟิคในเกม Dragon Age : Inquisition ก็เรียกได้ว่าสวยงามมากๆเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแสง รายละเอียดของสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงรายละเอียดตัวละครต่างๆก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าประทับใจมากๆ ทั้งๆที่ผู้เขียนปรับ PC อยู่ในระดับเพียงปานกลางถึงต่ำ แต่ก็ยังสวยงามไม่มีที่ติเลยทีเดียว โดยเฉพาะหน้าตาและชุดต่างๆของตัวละครที่สวยงามอลังการงานสร้างสุดๆ


ช่าง...งดงาม



แต่... ในเวอร์ชั่นที่ผู้เขียนเล่นซึ่งก็คือ PC นั้น เรียกได้ว่าเปิดตัวมาค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ต้องบอกก่อนว่า PC ของผู้เขียนเสปคต่างๆถือได้ว่าค่อนข้างธรรมดาพอสมควร แต่ถึงแม้ว่าจะผ่านเสปคขั้นต่ำของตัวเกมก็ตาม นั้นก็ไม่ได้ทำให้บัคทั้งหลายในเกมหายไปเลย


 Dragon Age : Inquisition เป็นเกมที่เปิดมามีบัคหรือปัญหาต่างๆอยู่มากมาย อย่างเช่น เดินๆอยู่ตัวละครก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้, ตัวละครเดินบนอากาศ , เวลาใช้แต้มสกิลหลายๆแต้มพร้อมกันจะทำให้ตัวเกมค้าง , การโหลด Texture ที่ช้า , เฟรมเรทในฉากคัดซีนที่ไม่รู้ทำไมตกลงมาเหลือ 30 fps , คอมพิวเตอร์ A.I ที่มักจะชอบเดินติดกำแพงอยู่บ่อยๆ แถมการปรับค่า A.I ก็ดูจะไม่ช่วยอะไรเท่าไรนัก , กดไปห้อง War Room ทำให้เกมค้าง ไปจนถึงเกมที่อยู่ดีๆก็ค้างตอนหน้าจอเมนูหลักเกือบพาเอาเล่นไม่ได้ ที่่สำคัญเลยก็คือเวลาโหลดระหว่างข้ามแผนที่ต่างๆของตัวเกมที่ดูเหมือนจะใช้เวลาอันยาวนานเหลือเกิน ถ้าคิดจากเวลาที่ผู้เขียนเล่นในเกม ซึ่งก็คือ 50 ชั่วโมง ผู้เขียนแน่ใจว่าอย่างน้อยก็ต้องเกือบๆ 30 นาทีหรือมากกว่าที่ใช้เวลาไปกับการนั่งดูฉากโหลดเกม แถมฉากโหลดเกมนี้ดันยังมีสองฉากอีก ฉากแรกก็คือฉากปกติซึ่งจะมีทริคหรือว่าข้อมูลในเกมให้เราอ่านฆ่าเวลา แต่พอโหลดไปได้ซักพักอยู่ดีๆตัวเกมก็ตัดสินใจจะตัดไปฉากจอมืดเฉยซึ่งก็เข้าไปนั่งรอโหลดเหมือนกัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงจะต้องโหลดถึงสองฉาก แล้วฉากจอมืดนี้มีมาเพื่ออะไรกันแน่



คาถานินจาวิชาลอยตัวกลางอากาศ


 ผู้เขียนไม่ทราบว่าเวอร์ชั่นอื่นๆอย่าง PS4 หรือ Xbox One มีปัญหาเช่นนี้หรือไม่ แต่แน่นอนว่าสำหรับบนเวอร์ชั่น PC เรียกได้ว่าตัว Bioware ค่อนข้างจะหลุดเรื่องบัคออกมาเยอะพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งปัญหาเหล่านี้อยากให้ผู้อ่านทุกท่านทราบไว้ว่า อาจจะเกิดเฉพาะกับเครื่องผู้เขียนอย่างเดียวก็เป็นได้ ถือว่าโชคดีที่ทาง Bioware เพิ่งจะปล่อยแพชแก้ไขออกมาเพียงไม่กี่วันนี้ ซึ่งคงจะแก้ปัญหาไปได้ส่วนหนึ่ง


ถ้าหากจะมีข้อเสียอีกซักข้อหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกเกี่ยวกับ Dragon Age : Inquisition ก็คือช่วงตอนจบของมัน ที่ให้ความรู้สึกรีบเร่งไปนิดหน่อย แต่ที่สำคัญเลยก็คือตัวหน้าบอสสุดท้ายที่น่าผิดหวังสุดๆ เอาเข้าจริงมันไม่ให้ความรู้สึกเหมือนบอสหัวหน้าใหญ่ตัวสุดท้ายของเกมเลย เหมือนแค่ศัตรูทั่วๆไปที่เลือดเยอะขึ้นมาหน่อย ในขณะที่มังกรในเกมต่างๆยังให้ความท้าทายที่มากกว่าเสียอีก จึงเป็นอะไรที่น่าผิดหวังเหมือนกัน 


ยังดีที่บทสรุปของเกมถือว่าจัดการได้ดีมาก ในขณะที่จบลงอย่างสวยงาม ด้วยการจบที่ขึ้นอยู่กับตัวเลือกต่างๆในเกมที่คุณได้กระทำลงไป แต่ก็ทิ้งท้ายอะไรเอาไว้โดยไม่เป็นการขายภาคต่อหรือ Expansion ต่อไปมากจนเกินไป ซึ่งตัว Bioware ถือว่าจัดการบทสรุปออกมาได้ลงตัวมาก น่าเสียดายถ้าหากช่วงตอนจบเกมกับบอสหัวหน้าใหญ่ของเกม มันท้าทายและน่าจดจำกว่านี้ ก็คงจะดี




แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ด้วยเนื้อเรื่องอันน่าสนใจน่าติดตาม ระบบต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น การออกแบบตัวละครที่ดี เสียงพากษ์อันยอดเยี่ยม ภาพและกราฟฟิคอันน่าประทับใจ รวมถึงโลกของ Dragon Age ที่ให้ความรู้สึกเคลื่อนที่กับเราไปอยู่ตลอดเวลา ทำให้ Dragon Age : Inquisition เป็นอีกหนึ่งเกม RPG แห่งปี 2014 โดยไม่ต้องสงสัยเลย

Final Score : [ A ] & [ Must Play Badge ] 

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Exodus : Gods and Kings ( 2014 ) Movie Review

Exodus : Gods and Kings ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz




"Exodus : Gods and Kings เป็นภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวของพระเจ้ามาตีความได้อย่างน่าสนใจ แต่การเล่าเรื่องของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าเบื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

 นอกเหนือจากตัวนักแสดงนำหลักอย่างคริสเตียน เบลล์และด้านเอฟเฟคตระการตางานสร้างแล้ว ดูเหมือนว่าอีกหนึ่งจุดขายหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือตัวผู้กำกับมากประสบการณ์ ริดลีย์ สก็อตต์ จากผลงานการกำกับสุดโด่งดังมากมาย เช่น Alien ( 1979 ) , Blade Runner ( 1982 ) , Gladiator ( 2000 ) Hannibal ( 2001 ) , Body of Lies ( 2008 ) จนถึงผลงานอย่าง Prometheus ( 2012 )   ถึงกระนั้นก็ตาม ผลงานเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง The Counselor ( 2013 ) ก็ผิดหวังแฟนหลายคนไปตามๆกัน จนทำให้ผู้เขียนรู้สึกเป็นกังวลต่อผลงานเรื่องใหม่เรื่องนี้ของเขาไม่ใช่น้อย


Exodus : Gods And Kings เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของโมเสส ท่ามกลางภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นและความโหดร้ายของฟาโรห์รามเสส เขาจึงต้องนำพากลุ่มทาสให้หนีรอดจากภัยอันตรายนี้ให้จงได้




สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ก็คือการตีความของตัวผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์เอง ถึงแม้ว่านี้จะเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงพระเจ้าอยู่มาก แต่ตัวริดลีย์ สก็อตต์เองกลับเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้า ซึ่งมันทำให้การตีความต่างๆของเขาในภาพยนตร์น่าสนใจและแปลกใหม่มากเลยทีเดียว เช่นการนำเสนอแง่มุมของผู้ไม่เชื่อในศาสนาแต่กลับต้องอยู่ในสังคมที่พึ่งพาศาสนา การเสียดสีความเชื่ออันงมงาย และโดยเฉพาะการนำเสนอภาพลักษณ์ของพระเจ้า ที่ในแง่มุมหนึ่งก็คือผู้มาโปรดและผู้ช่วยเหลือ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งผู้เขียนก็แทบจะไม่สามารถอธิบายถึงความถูกต้องในการกระทำของพระเจ้าที่แทบจะไม่ต่างอะไรกับตัวร้ายของเรื่องเลยทีเดียว


สำหรับในด้านนักแสดง จะว่าไปแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้นักแสดงชื่อดังมากมายมาร่วมงานพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น เบน คิงสลีย์ , แอรอน พอล แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานเก่าของริดลีย์ สก็อตต์อย่าง ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ ก็ยังมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย ซึ่งนักแสดงแต่ละท่านยังแสดงไม่โดดเด่นซักเท่าไรนัก ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากบทบาทที่น้อยด้วย 
แต่นักแสดงสำคัญที่สุดของเรื่องก็คงจะหนีไม่พ้นผู้รับบทสองพี่น้องตัวละครหลักในภาพยนตร์อย่าง โจล เอ็ดเกอร์ทอน กับ คริสเตียน เบล ในส่วนของ โจล เอ็ดเกอร์ทอนเองผู้เขียนยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนักกับการแสดงของเขา แต่ในส่วนคริสเตียน เบล เขาก็ยังคงแสดงผลงานและทุ่มเทกับบทบาทที่รับได้ดีเช่นเคย 


ช่างน่าเสียดายที่ Exodus : Gods and Kings มีปัญหาที่ดูเหมือนจะร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งนั้นก็คือการเล่าเรื่องของตัวริดลีย์ สก็อตต์เอง ถึงแม้ว่าตัวผู้เขียนจะค่อนข้างเคารพผู้กำกับท่านนี้อยู่มาก แต่ก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่าการเล่าเรื่องของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ เรียกได้ว่าน่าเบื่อเอาการเลยทีเดียว ด้วยการเล่าเรื่องที่ให้อารมณ์ความรู้สึกเสมือนเหนื่อย แห้งแล้งและหมดแรงแต่ต้องพยายามเข็นให้มันผ่านไปให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงแรกจนถึงกลางเรื่อง ซึ่งการที่ตัวภาพยนตร์ดันมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 20 นาทีก็ยิ่งผนวกความทรมาณในการรับชมเข้าไปอีก 


และด้วยการเล่าเรื่องอันหมดแรงนี้แหละ มันก็ไปกระทบส่วนอื่นๆของภาพยนตร์จนแทบจะล้มครืนอย่างกับโดมิโนไปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฉากบีบคั้นอารมณ์ต่างๆ ปมขัดแย้ง และโดยเฉพาะตัวละครต่างๆที่ถูกเล่าออกมาด้วยความเร่งรีบและไร้พลัง ซึ่งพาเอาตัวละครเหล่านี้เบาหวิว ไร้มิติจนหมดความน่าสนใจไปในที่สุดซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายอยู่ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะความสัมพันธ์และความขัดแย้งของสองตัวละครหลัก โมเสสกับรามเสสที่มีด้านอันน่าสนใจ แต่ตัวภาพยนตร์กลับไม่มีเวลาที่จะมานั่งให้รายละเอียดได้มากพอ  ถึงแม้ว่าจะมีการแสดงที่ดีของคริสเตียน เบลที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ก็ช่วยได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น



ยังดีที่ในด้านของเอฟเฟคและซีจีต่างๆยังถือว่าทำได้ดี โดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่องที่ค่อนข้างจะเต็มไปด้วยฉากหายนะวินาศต่างๆนาๆที่ทำให้ตัวภาพยนตร์กลับมาน่าดูชมอีกครั้งด้วยซีจีอลังการสมกับทุนสร้าง 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งพอที่จะปลุกผู้เขียนขึ้นมาจากสภาวะเกือบหลับได้อยู่บ้าง


ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าที่การเล่าเรื่องของตัวริดลีย์ สก็อตต์เป็นเช่นนี้ จะมาจากสาเหตุที่ว่าเรื่องราวของโมเสสกับรามเสสมันยิ่งใหญ่และยาวมากๆแต่กลับต้องถูกยัดให้จบภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที มันเลยเป็นการบีบคั้นมือของตัวริดลีย์ สก็อตต์ จนทำให้ต้องเล่าเรื่องอย่างรวดเร็วเพื่อให้ภาพยนตร์จบลงทันเวลา ถ้าหากภาพยนตร์ตัดสินใจที่จะตัดแบ่งออกมามากกว่าหนึ่งเรื่องเต็มๆ ตัวริดลีย์ สก็อตต์เองก็น่าจะมีเวลาในการสำรวจตัวละคร รวมถึงปูเรื่องราวต่างๆได้ดีกว่านี้ และไม่แน่ว่ามันอาจจะไม่ประสบชะตากรรมอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้ แต่แน่นอนว่านี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาของผู้เขียนเท่านั้น



สุดท้ายแล้ว Exodus : Gods and Kings ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวของพระเจ้ามาตีความได้อย่างน่าสนใจ แต่การเล่าเรื่องของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าเบื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะพยายามใส่ฉากหายนะต่างๆเข้ามาเพื่อฉุดตัวภาพยนตร์ขึ้นมาซักเท่าไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกอันแสนทรมาณในช่วงต้นเรื่องถึงกลางเรื่องเลยแม้แต่น้อย

Final Score : [ C + ]

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Big Hero 6 ( 2014 ) Movie Review

Big Hero 6 ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"ด้วยการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกากับวัฒนธรรมญี่ปุ่นและความเป็นอนิเมชั่นของดิสนีย์ทำให้ Big Hero 6 เป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ดาษๆทั่วไป"


Big Hero 6 เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดจากค่ายดิสนีย์ ซึ่งปีที่แล้วได้สร้างชื่อเสียงกลับมาโด่งดังอีกครั้งจากผลงานอย่าง Frozen ที่พาเอาใครหลายๆคนร้องเพลง Let It Go กันไปอีกนาน แถมเร็วๆนี้ก็จะมีการปล่อยเวอร์ชั่น Sing-Along ร้องเพลงตามตัวละครกันให้สมใจในโรงภาพยนตร์อีกด้วย งานนี้ค่ายดิสนีย์หวังที่จะประทับใจผู้ชมอีกครั้งด้วยภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องใหม่เรื่องนี้ของพวกเขา


Big Hero 6 ว่าด้วยเรื่องราวของฮิโระเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งผูกพันธ์กับหุ่นยนตร์ที่มีชื่อว่าเบย์แม็กซ์ แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้น จนทำให้เขาต้องรวมตัวกับเพื่อนๆและสร้างอุปกรณ์ต่างๆเพื่อกอบกู้โลกใบนี้




ต้องพูดเลยว่าในตอนแรก ส่วนตัวก็ไม่คาดคิดว่า Big Hero 6 จะเป็นภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่แบบจริงๆจังๆซักเท่าไรนัก อาจจะเพราะด้วยผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง Frozen ของดิสนีย์ที่ประสบความสำเร็จมากๆ จนคิดว่าผลงานเรื่องต่อมาก็น่าจะคล้ายๆกัน 




แต่พอสำรวจจริงๆแล้วกลับพบว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่นำเอารูปแบบของซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกา กับ วัฒนธรรมญี่ปุ่น มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะออกไปทางฝั่งอเมริกาเสียมากเนื่องจากว่าเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด แต่การผสมผสานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดแน่นอน เพราะมันมักจะแอบซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่งในตัวภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่อยู่กันเป็นกลุ่ม สีเสื้อผ้าที่ใช้ เมืองที่ตั้งชื่อว่าซานฟรานโตเกียว จนกระทั่งตัวละครร้ายที่ใส่หน้ากากคาบูกิแถมยังมีท่าทางการต่อสู้อย่างกับหลุดมาจากนารูโตะ






ที่น่าตลกขบขันเข้าไปอีกก็คือในด้านซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกาของมันนั้น มีความเป็นมาร์เวลคอมิกซ์ค่อนข้างจะสูงมาก ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยจะน่าแปลกใจซักเท่าไรนัก เพราะมาร์เวลตอนนี้เองก็คือส่วนหนึ่งของดิสนีย์ ยิ่งโดยเฉพาะการมาของตัวละครสุดดังอย่างแสตน ลี ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นมาร์เวลในตัวภาพยนตร์เข้าไปอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว


ถึงกระนั้นก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่ Big Hero 6 ดูเหมือนว่าพอนำเอารูปแบบของภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวมันก็ไม่สามารถจะหลุดพ้นไปจากวังวนแห่งความจำเจและซ้ำซากของบทภาพยนตร์ไปได้ซักเท่าไรนักเลย ถึงแม้ว่ามันจะผสมผสานวัฒนธรรมใหม่ๆเข้าไป แต่สุดท้ายแล้วบทของมันก็ยังคงเล่าและพูดถึงแต่เรื่องเดิมซ้ำๆซากๆ การดำเนินเรื่องที่เดิมๆ บทสรุป เหตุและผลของเรื่องที่ยังคงไม่มีอะไรใหม่สำหรับภาพยนตร์ประเภทนี้เลย ซึ่งปัญหาชนิดนี้ดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของภาพยนตร์ประเภทนี้ไปเสียแล้ว 




ถือได้ว่ายังโชคดีที่ตัวมันได้ความโดดเด่นจากด้านเทคนิคภาพยนตร์อนิเมชั่นซึ่งเป็นของถนัดของดิสนีย์เข้ามาช่วยโอบอุ้มเอาไว้บ้าง เช่นการเคลื่อนไหวของตัวละครและสิ่งต่างๆที่ยังคงลื่นไหลไม่มีที่ติ การออกแบบตัวละครที่น่าสนใจ หรืออารมณ์ความอบอุ่นของครอบครัวก็ช่วยส่งเสริมทำให้ตัวภาพยนตร์มีสีสันมากกว่าที่มันควรจะเป็นอยู่พอสมควร


น่าแปลกใจไม่ใช่น้อยที่เมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ผู้เขียนกลับพบว่าตัวเองประทับใจกับอนิเมชั่นสั้นๆเรื่อง "Feast" ที่ฉายตอนก่อนจะเข้าตัวภาพยนตร์ Big Hero 6 เสียมากกว่าตัว Big Hero 6 เองเสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม Big Hero 6 ก็ยังเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ทำได้ไม่เลวอีกครั้งของดิสนีย์ ด้วยการผสมผสานวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และเทคนิคทางด้านอนิเมชั่นที่ยังคงยอดเยี่ยม แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหากสิ่งเหล่านี้มันไม่ถูกฉุดลงมาด้วยบทภาพยนตร์อันซ้ำซากเสมือนวังวนอันไม่มีที่สิ้นสุดของภาพยนตร์ประเภทนี้

Final Score :  B + 

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Horns ( 2014 ) Movie Review

Horns ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"นอกจาก Horns จะเป็นภาพยนตร์ที่เสียดสีบรรทัดฐานของสังคมและแฝงไปด้วยตลกร้ายอันเจ็บแสบแล้ว มันยังเป็นภาพยนตร์ที่นำเอาเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับพระเจ้า เทพ และปีศาจมาพลิกแพลงได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย"


Horns เป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยายในชื่อเดียวกันของ โจ ฮิลล์ ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งคู่รักของเขาถูกฆ่าอย่างปริศนาและทั้งเมืองก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนทำเสียอีก แต่อยู่มาวันหนึ่งเขากลับพบว่าตัวเองได้รับพลังที่แปลกประหลาดและน่ากลัวบางอย่าง ซึ่งพลังนี้อาจจะนำความจริงที่เขากำลังค้นหาอยู่มาให้ก็เป็นได้ ?


Horns เป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยการท้าทายและเสียดสีบรรทัดฐานทางสังคมที่ตัวละครเหล่านี้ถูกใส่ไว้ในกรอบอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพศที่สามซึ่งต้องพยายามแอบซ่อนจากสังคม  , เรื่องราวของการโกหก โป้ปด และหน้ากากที่คนในสังคมใส่เข้าหากัน , ความคิดชั่วร้ายที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ , การหาตัวแทนของความชั่วร้าย หรือเรื่องราวของการต้องการทางเพศที่แอบซ่อนไว้ของมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งตัวภาพยนตร์นำประเด็นเหล่านี้มาเล่าด้วยมุขตลกร้าย และมันก็เล่นมุขต่างๆอย่างเจ็บแสบและตั้งคำถามต่อสังคมถึงเส้นที่แบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่วได้เป็นอย่างดี


อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากไม่แพ้กันก็คือเรื่องของการนำเรื่องเล่าหรือตำนานมาใช้ในภาพยนตร์ เช่นเรื่องราวของเทพเจ้า เทวดา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือซาตาน ซึ่งตัวมันก็ไม่ใช่ว่าเล่นกับจุดนี้แบบหลงๆลืมๆ เอาเข้าจริงมันก็ถือได้ว่าเล่นได้หนักหน่วงและจริงจังกว่าภาพยนตร์หลายๆเรื่องด้วยซ้ำไป ซึ่งมันก็นำจุดนี้มาเสียดสีประเด็นทางศาสนาถึงเรื่องความเชื่อได้เป็นอย่างดี  ถึงแม้ว่าบทสรุปของมันอาจจะขัดกับสิ่งที่มันกำลังเล่นอยู่ไปบ้าง แต่ตัวภาพยนตร์ก็นำจุดเด่นจุดนี้มาเล่น บิดเบี้ยว และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจสุดๆ 

ซึ่งประเด็นการเสียดสีบรรทัดฐานของสังคมและการนำเรื่องเล่าหรือตำนานมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เอาเข้าจริงมันนำเสนอได้น่าสนใจกว่าบทในส่วนของการคาดเดาว่า "ใครเป็นคนทำ" ซึ่งโดยปกติควรจะเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์แนวนี้เสียอีก จะมีก็เพียงช่วงท้ายเรื่องเท่านั้นที่ตัวภาพยนตร์ค่อนข้างจะกลับมาสู่ความเป็นภาพยนตร์ปริศนา จะว่านี้เป็น Gone Girl เวอร์ชั่นเหนือธรรมชาติและหลุดโลกก็ว่าได้ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่พอสมควร

แต่ในด้านของการเล่าเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องยอมรับว่าค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่บ้างพอสมควร อาจจะเพราะด้วยการกำกับของ อเล็กซานเดร อาจา ซึ่งเคยมีผลงานชื่อดังอย่าง Piranha3D , The Hills Have Eyes หรือ P2 ที่ก็ยังคงวางจังหวะภาพยนตร์บางฉากไม่ค่อยดีซักเท่าไรนัก โดยเฉพาะการเปิดเรื่องที่เร่งจนเกินไป กับการตัดฉากเล่าเรื่องอดีตที่จังหวะอาจจะหลุดๆไปบ้างจนบางครั้งพอตัดกลับมา ทำให้รู้สึกถึงความไม่ลื่นไหลของความต่อเนื่อง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เพราะเขานี้แหละที่พาตัวภาพยนตร์สำเร็จไปในจุดหนึ่งก็คือด้านความตลกร้ายและความรุนแรงในภาพยนตร์ซึ่งมันเป็นอะไรที่ท้าทายสังคมเอามากๆ


ถึงแม้จะต้องยอมรับว่าตัวภาพยนตร์จะมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะจังหวะในการเล่าเรื่องที่ติดๆขัดๆของผู้กำกับ อเล็กซานเดร อาจา แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้เขียนก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เช่นกัน ว่าก็เพราะเขานี้แหละทำให้ Horns กลายเป็นภาพยนตร์ที่เสียดสีประเด็นทางสังคมด้วยตลกร้ายได้อย่างเจ็บแสบ แถมยังนำเรื่องเล่าและตำนานของเทพเจ้ากับซาตานมาปรับใช้และเล่นได้อย่างน่าสนใจเหนือคาดสุดๆเลยทีเดียว

Final Score : [ A - ] 

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Before I Go to Sleep ( 2014 )

Before I Go to Sleep ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz 



"ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นการร่วมงานกันของสองดาราออสการ์ชื่อดัง แต่นั้นก็ไม่ได้ฉุดตัวภาพยนตร์ขึ้นมาจากกับดักที่มีชื่อว่า "ความซ้ำซาก" ได้เลยแม้แต่น้อย"


  ในปีนี้หรือในหลายๆปีที่ผ่านมา สำหรับตัวผู้เขียนเอง ต้องพูดเลยว่ารู้สึกเสียดายกับภาพยนตร์หลายๆเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อมองจากเนื้อผ้าหรือแนวทางที่มันกำลังจะไป มันดูเป็นอะไรที่น่าสนใจเอามากๆ แต่ในท้ายที่สุดภาพยนตร์เหล่านี้หลายๆเรื่องก็ล้มเหลวในการถ่ายทอดมันออกมา ถึงแม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยโอกาศหรือความเป็นไปได้ซักเท่าไรก็ตาม 


อย่างเช่น Dracula Untold ที่นำเสนอเรื่องราวของแดร็กคูล่าในฉบับจริงจังและบิดเรื่องเล่าหรือตำนานได้อย่างน่าสนใจ แต่พอเอาเข้าจริงตัวภาพยนตร์กลับเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นเหนือจริงแทบจะทั้งเรื่อง โดยไม่มีเวลาให้ตัวมันเองได้นั่งลงแล้วเล่าเรื่องจริงๆจังๆเสียที ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายเสียทีเดียว


Before I Go to Sleep เป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยายในชื่อเดียวกันของ เอส.เจ วัตสัน (ซึ่งผู้เขียนไม่เคยอ่าน) ที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งสามารถจะเก็บความทรงจำได้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้นเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นเธอจะจำอะไรไม่ได้ในวันก่อนหน้าอีก วันหนึ่งเธอได้พบว่าเหตุการณ์ในอดีตของเธออาจจะเต็มไปด้วยความลับอันน่าสะพรึ่งกลัวกว่าที่เธอคาดคิดเอาไว้


ต้องสารภาพก่อนเลยว่า ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของตัวภาพยนตร์ เอาเข้าจริงมันก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว ด้วยการเล่าเรื่องที่พอไปวัดไปวาได้ของผู้กำกับโรแวน จ็อฟฟ์ รวมถึงตัวบทที่น่าสนใจในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าดึงดูดความสนใจของตัวผู้เขียนได้มากที่สุด ก็คือสองนักแสดง นิโคล คิดแมน กับ โคลิน เฟิร์ธ ซึ่งทั้งคู่ก็นำแสดงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโคลิน เฟิร์ธที่จัดได้ว่าแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมถึงขนาดที่ผู้เขียนอยากให้ตัวละครของโคลิน เฟิร์ธมาเป็นตัวเอกแทนเสียด้วยซ้ำไป 


ในช่วงแรกของตัวภาพยนตร์จริงๆแล้ว ในด้านดราม่าชีวิตมันก็ถือได้ว่าถ่ายทอดเรื่องราวได้น่าสนใจทีเดียว ด้วยเรื่องราวที่ว่าถึงความเจ็บปวดของสามีที่ทุกๆวันจะต้องตื่นมาพบว่าภรรยาของตัวเองลืมตัวเขารวมถึงอดีตต่างๆไปทั้งหมด โดยเฉพาะเวลาเมื่อภรรยาของเขาถามถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดมันเป็นอะไรที่คอยกัดกินและทำร้ายจิตใจของเขาทุกวัน ลองนึกดูสภาพถ้าหากคุณจะต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับตัวเอกในเรื่องนี้มันคงจะเป็นความเจ็บปวดที่เกินคำบรรยายน่าดู รวมถึงการแอบแฝงผสมผสานความเป็นปริศนาเข้าไปสนับสนุนบทที่เป็นดราม่าก็เป็นอะไรที่ฉลาดและสร้างความน่าสนใจให้กับตัวภาพยนตร์ขึ้นได้เยอะ


แต่พอตัวภาพยนตร์เข้าช่วง 30 นาทีสุดท้าย เมื่อตัวมันเปลี่ยนเกียร์จากภาพยนตร์ดราม่าชีวิตมากลายเป็นภาพยนตร์ปริศนาและระทึกขวัญเต็มตัวเท่านั้นละ ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างก็เริ่มที่จะพังทลายลงมาอย่างรวดเร็ว เพราะบทในส่วนนี้เรียกได้ว่า น่าเบื่อ และซ้ำซากสุดๆ ซ้ำในช่วงนี้ก็เป็นจุดที่แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสบการณ์ในการกำกับของโรแวน จ็อฟฟ์ในทันทีด้วยการเล่าเรื่องที่ตกลง น่าเบื่อและมุขต่างๆที้เดาทางง่าย


ที่น่าเสียดายก็คือพอตัวภาพยนตร์เปลี่ยนมาเป็นปริศนาและระทึกขวัญเต็มตัว ตัวมันเองก็เหมือนได้มัดมือปิดตาตัวเอง เพราะเมื่อย้ายมาเป็นภาพยนตร์แนวนี้แล้ว ตัวมันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากที่จะต้องยัดเยียดจุดหักมุมและการพลิกบทบาทเข้ามา ซึ่งผลของการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือ ตัวละครและเนื้อหาที่น่าสนใจในช่วงแรกก็ถูกพัดหายไปกับสายลมในทันใด ชนิดที่ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย 


ทำให้ในท้ายที่สุด Before I Go to Sleep ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ถึงแม้ว่ามองจากภายนอกจะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ แต่ด้วยการตัดสินใจอันผิดพลาดอย่างร้ายแรงก็ทำให้มันเปลี่ยนจากภาพยนตร์ที่มีตัวละครและเนื้อหาอันน่าสนใจในช่วงแรก กลายเป็นได้แค่ภาพยนตร์ดาษๆอีกเรื่องที่ซ้ำซากและไม่มีความน่าจดจำแต่อย่างใดเลย

Final Score : [ C ] 

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

The Hunger Games : Mockingjay Part 1 Movie Review

The Hunger Games 3 : Mockingjay Part 1   Movie Review



"Mockingjay Part 1 ยังคงเป็นภาพยนตร์ในชุด The Hunger Games ที่เราหลงรักและชื่นชอบ แต่การหั่นมันออกมาเป็นสองตอนดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าแค่ต้องรอ Part 2 อีกหนึ่งปี"

บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

    The Hunger Games ณ ตอนนี้ก็เรียกได้ว่ากลายเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่มีต้นแบบมาจากนวนิยายและประสบความสำเร็จไปทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย คล้ายๆกับ Harry Potter หรือ Twilight ที่ทั้งสองเรื่องหลังก็จบลงไปกันเรียบร้อยแล้ว มันเป็นภาพยนตร์ชุดที่เรียกได้ว่าฮิตขนาดกลายเป็นกระแสอะไรบางอย่างที่วัยรุ่นทั่วโลกจะต้องพร้อมใจกันจับมือไปดูถ้าหากไม่อยากคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องในวันรุ่งขี้นเลยทีเดียวเชียว

ซึ่งในคราวนี้ตัวภาพยนตร์ชุดนี้ก็ได้ก้าวมาสู่ภาคที่สาม ซึ่งตามหนังสือควรจะเป็นภาคสุดท้ายอย่าง Mockingjay นั้นเอง แต่แน่นอนว่าตัวภาพยนตร์ก็อดไม่ได้ที่จะต้องตามเทคนิคทางการตลาดที่กำลังฮอตฮิตในขณะนี้ด้วยการหั่นเป็นสองตอน Part 1 กับ Part 2 แบบ Harry Potter and the Deathly Hallows หรือ Twilight Saga Breaking Dawn ซึ่งการทำเช่นนี้ใน Mockingjay ดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าที่คาดคิดเอาไว้พอสมควร

The Hunger Games 3 : Mockingjay Part 1 ว่าเรื่องราวต่อเนื่องจากใน The Hunger Games : Catching Fire แคทนิสได้ทำลายเกมลงในภาคที่แล้ว จึงทำให้เกิดกระแสลุกฮือขึ้นมาอย่างรุนแรง ในขณะที่เธอได้มาอาศัยอยู่ในเขตที่ 13 เธอจึงถูกขอร้องให้มาเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของกลุ่มต่อต้านแคปปิตอล ท่ามกลางความกดดันอันใหญ่หลวง สถานการณ์อันรุนแรง และตัวพีต้าที่ถูกแคปปิตอลจับตัวไป แคทนิสจะสามารถผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่ ?

Mockingjay Part 1 ต้องพูดก่อนเลยว่าไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่แต่อย่างใดเลย มันยังคงเป็นภาพยนตร์บทสรุปของ The Hunger Games ที่เราหลายๆคนหลงรักและชื่นชอบ แต่ในเมื่อ Part 1 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของภาคจบและภาคสรุปทุกๆสิ่งอย่างแล้ว ผู้เขียนก็คาดหวังเอาไว้ว่ามันจะปูทางไปสู่ Part 2 อย่างประทับใจได้บ้าง ยิ่งโดยเฉพาะในภาค Catching Fire ที่ตัวผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์ทำผลงานเอาไว้ได้ยอดเยี่ยมมาก ก็ยิ่งทำให้ความคาดหวังสูงยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างที่บอกไปแล้วว่าปัญหาที่ผู้เขียนคิดว่าร้ายแรงที่สุดของ Mockingjay Part 1 เลยก็คือ การหั่นหนังสือเพียงเล่มเดียวออกมาเป็น 2 Part ซึ่งมันทำให้การกำกับของตัวฟรานซิส ลอว์เรนซ์เองถูกจำกัดลง จากการที่ตัวเขาเคยเล่าเรื่องอย่างน่าสนใจ น่าตื่นเต้นในภาคก่อนๆ ก็ต้องถูกบังคับให้เล่าช้าลงเนื่องจากมิเช่นนั้นมันจะไปทับเวลาที่จะเอาไปใส่ใน Part 2 พาเอา Part 1 ในครั้งนี้รู้สึกน่าเบื่อและยืดยาดในหลายๆฉากที่ตัวภาพยนตร์พยายามจะยืดเรื่องมากจนเกินไปทั้งๆที่บางทีก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น

นอกจากนั้นจุดที่ผู้เขียนรู้สึกได้เลยว่าหายไปและเป็นจุดที่สำคัญมากๆของตัวภาพยนตร์ชุดนี้ก็คืออารมณ์ของการประลองกันในเกมแบบในภาคแรกหรือภาคสอง การประลองหรือ"เกม"ในภาพยนตร์ชุดนี้ เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าทำให้ตัวชุดภาพยนตร์โดดเด่นและแตกต่างออกมาจากภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากนวนิยายเรื่องอื่นๆที่คล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด เฉกเช่น Divergent ใช่มันยังคงพูดถึงโลกแบบดิสโธเปีย เสียดสีสังคมและการต่อต้านอยู่เช่นเคย แต่เมื่อ The Hunger Games ได้ใส่เรื่องราวของโลกแห่งเกมเข้ามามันก็ได้ทำให้ตัวมันเองน่าสนใจขึ้นมาอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องราวของการเอาชีวิตรอด ในการเอาใจผู้สนับสนุนนอกเกมเพื่อที่พวกเขาจะได้ส่งของมาให้ในเกม ความเชื่อใจ การทรยศ การเอาชีวิตรอดและโดยเฉพาะการที่ผู้ชมรู้ดีว่าจะต้องมีภัยอันตรายมากระทบตัวละครอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกเอาใจช่วยและตื่นเต้นไปพร้อมๆกับตัวละคร ซ้ำยังด่านต่างๆก็ยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจและเพิ่มความเข้มข้นของตัวเกมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นี้เป็นจุดที่ทำให้ภาพยนตร์ชุด The Hunger Games โดดเด่นอย่างแท้จริง ด้วยเกมที่กดดัน จริงจังและเคร่งเครียด ที่ภัยอันตรายจะมาจากทางใดก็ได้ และภัยอันตรายนี้ก็ถูกห่อหุ้มด้วยโลกภายนอกเขตต่างๆและแคปปิตอลที่อันตรายไม่แพ้กันอีกชั้นหนึ่ง 

ซึ่งอารมณ์ ความรู้สึกและสิ่งเหล่านี้มันได้หายไปหมดใน Mockingjay Part 1 เหลือเพียงแต่เรื่องราวของการต่อต้าน สงครามและความรักอันสุดแสนจะน่าเบื่อ ซ้ำซาก ทั้งๆที่พูดเลยว่าตัวผู้เขียนไม่เคยประทับใจการเล่าเรื่องในโลกภายนอกเขตต่างๆรวมถึงแคปปิตอลของผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์เลยตั้งแต่ภาคแรกๆ คือน่าสนใจแต่เทียบอะไรไม่ได้กับตอนที่เขากำกับฉากช่วงที่อยู่ในเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคสองที่การเล่าเรื่องและปูเรื่องในโลกภายนอกดูจะเป็นจุดอ่อนแอที่สุดของภาค แล้วเมื่อใน Mockingjay Part 1 มันถูกยัดเข้ามาเต็มๆ 2 ชั่วโมงแบบตัดเรื่องราวของเกมออก มันก็เหมือนการเอาเปลือกนอกของผลไม้ที่ไม่สำคัญเท่ากับเปลือกในมาให้เรารับประทานแทนที่จะให้เนื้อในที่ทำให้ตัวผลไม้เอร็ดอร่อยและน่าทานอย่างแท้จริงมาให้

ถึงกระนั้นก็ตามตัวนักแสดงนำอย่างเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ก็ยังคงรับบทแคทนิส เอเวอร์ดีนได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคยถึงแม้ว่าตัวบทอาจจะไม่ได้ดีซักเท่าไรนักก็ตาม และโดยเฉพาะในภาคนี้ที่แฟนๆหลายคนก็คงจะจับตานักแสดงอย่างฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาซึ่งเป็นนักแสดงมากฝีมือคนหนึ่งในโลกได้จากพวกเราไปแล้วในต้นปีที่ผ่านมานี้ ยังถือว่าเป็นที่โชคดีของตัวผู้สร้างที่ในช่วงนั้นตัวภาพยนตร์ Part 1 ได้ถ่ายทำในส่วนของเขาจบลงไปแล้ว เราก็คงจะต้องมาดูกันอีกทีว่าใน Part 2 จะกระทบต่อตัวภาพยนตร์มากน้อยแค่ไหน คาดว่าก็อาจจะต้องใช้เทคนิคดิจิตอลเข้าไปแทนที่กันไป

ในท้ายที่สุด The Hunger Games 3 : Mockingjay Part 1 ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ในชุด The Hunger Games ที่เราหลงรักและชื่นชอบ แต่การหั่นมันออกมาเป็นสองตอนดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าแค่ต้องรอ Part 2 อีกหนึ่งปี ด้วยบทส่วนที่ถูกหั่นออกมาทั้งซ้ำซากจำเจและไม่น่าสนใจ ส่วนการกำกับของฟรานซิส ลอว์เรนซ์เองก็อืดอาดยืดยาดจนจะพาหลับ ยังไงก็ตามนี้ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่แฟนๆไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ถึงกระนั้นผู้เขียนก็คงได้แต่หวังว่าใน Part 2 ทุกอย่างจะลงตัวและจบลงได้อย่างสวยงามมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้


Final Score : [ B ]



ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆในอนาคต และอัพเดทข่าวหรือตัวอย่างวงการภาพยนตร์/เกมได้ที่แฟนเพจเลยครับผม :)
Facebook

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

The Hundred-Foot Journey ( 2014 ) Movie Review

The Hundred-Foot Journey  Movie Review 
บทวิจารณ์ภาพยนตร์ โดย FallsDownz



"รูปลักษณ์ภายนอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนมื้ออาหารอันแสนโอชะอลังการงานสร้างทั้งสีและกลิ่น แต่เมื่อได้รับประทานเข้าไปจริงๆแล้วทำให้ผู้เขียนทราบว่านอกจากมันจะไม่สุกดีแล้ว มันยังไร้รสชาติและจืดชืดสิ้นดีอีกด้วย"

   เมื่อพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก มาจับมือกับโอปราห์ วินฟรีย์ ในฐานะโปรดิวเซอร์ แถมยังได้ตัวผู้กำกับอย่าง ลาซเซ ฮัลสตรอม แห่ง Hachi : A Dog's Tale  และ Dear John มาสมทบ ปิดท้ายด้วยนักแสดงนำหญิงสุดสง่าเจ้าของรางวัลออสการ์อย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำ ในเมื่อชื่ออันดับต้นๆมารวมตัวกันขนาดนี้ มันจะประสบความล้มเหลวได้อย่างไรกัน ? 
ซึ่ง The Hundred-Foot Journey ก็พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ (ไม่เกี่ยวกับปราปริก้า)

The Hundred-Foot Journey เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวอินเดียกลุ่มหนึ่งซึ่งย้ายไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส และพวกเขาก็ได้เปิดร้านอาหารตรงข้ามกับร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่งโดยที่หารู้ไม่ว่าการเปิดร้านครั้งนี้จะนำมาซึ่งเรื่องราวมากมายกว่าที่พวกเขาได้คาดคิดเอาไว้


ก่อนอื่นต้องขอพูดก่อนเลยว่า The Hundred-Foot Journey เป็นภาพยนตร์ที่มีภาพสวยงามเอามากๆ พูดจากใจเลยว่านี้เป็นด้านที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยมุมกล้องและการจัดแสงที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ ผสมผสานกลิ่นไอของภาพยนตร์ยุโรปกับเอเชียได้ดี แถมยังถ่ายภาพอาหารต่างๆได้อย่างน่ารับประทานมากๆเลยทีเดียว ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องขอยกเครดิตให้กับผู้กำกับภาพอย่างไลนัส แซนด์เกรนไป ณ ที่นี้

แต่ก็นั้นแล การถ่ายภาพก็ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ดีจริงๆ ในขณะที่ส่วนอื่นๆของตัวมันเอง ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะน่าผิดหวังและครึ่งๆกลางๆพอสมควร

เฉกเช่นการกำกับ และโดยเฉพาะการเล่าเรื่องของผู้กำกับลาซเซ อัลสตรอมซึ่งจัดอยู่ในขั้นหนักหนาสาหัสเอาการ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องไม่เป็น แต่วิธีการเล่าเรื่องของเขามันเก่าและซ้ำซากจนเกินไป รวมถึงยังไร้ซึ่งชั้นเชิงสุดๆ เรียกได้ว่าเล่ากันแบบเหมือนตำราบอกมายังไงก็เล่าแบบนั้นเลยถึงแม้ว่าตำรานั้นมันอาจจะเก่าแก่เป็นสิบๆปีแล้วก็ตาม ซึ่งมันทำให้แทบจะทุกฉากในภาพยนตร์รู้สึกจืดชืด น่าเบื่อและเดาง่าย แถมยังไร้อารมณ์สุดๆ บางฉากก็ถูกเล่าเรื่องออกมาได้แข็งทื่อจนพาเอาผู้เขียนอดหัวเราะไม่ได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่องที่เล่าเรื่องได้ลวกมากๆจนทำให้ตัวภาพยนตร์จบลงแบบไม่มีความน่าจดจำอะไรเลย

ตัวบทภาพยนตร์เองเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรมากมายนัก แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีหรือใกล้เคียงคำว่าดีเลยแม้แต่น้อย เพราะในท้ายที่สุดตัวบทภาพยนตร์เองก็หลีกหนีพ้นจากความซ้ำซากจำเจและเดาง่ายในภาพยนตร์ประเภทนี้ไม่ได้เลย ด้วยบทที่เริ่มต้นแบบเดิม แล้วก็จบแบบเดิม ชนิดที่จะไม่มีฉากไหนที่จะทำให้คุณประหลาดใจได้อีกต่อไปแล้ว 

ในด้านของตัวละครเองก็ไม่ได้ถูกเขียนมาได้ดีซักเท่าไรนัก มันเป็นตัวละครที่คุณมักจะเห็นในภาพยนตร์แนวนี้อยู่ตลอดเวลา เช่นป้าขี้วีน ขี้โวยวาย ชายแก่ซึ่งไม่ยอมใคร หรือหนุ่มผู้ช่างฝันต้องการจะพิสูจน์ตนเอง ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะได้นักแสดงชื่อดังและมากฝีมืออย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำก็ตามแต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายซักเท่าไรนักจากเหตุผลของบทภาพยนตร์และการกำกับ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองก็นำแสดงได้ไม่เลวเลยทีเดียว  แต่ตัวภาพยนตร์ก็ดันถ่ายทอดและเล่าตัวละครของเธอได้ลวกสุดๆซะอีก

แต่ก็ต้องขอบอกเลยว่าตัวผู้เขียนค่อนข้างจะสนใจในประเด็นของภาพยนตร์เรื่องนี้พอสมควร เช่น สภาวะชนชาติและชนชั้นในช่วงหลังยุคล่าอานานิคม  เรื่องราวระหว่างชนชาติอินเดีย กับ ฝรั่งเศส หรืออาจจะพูดในอีกด้านหนึ่งได้ว่า การต่อสู้ของชนชาติที่ต่ำกว่ากับชนชาติสูงกว่า จุดที่แบ่งกั้นความสูงหรือต่ำมันอยู่ที่ใด  ใครเป็นคนตัดสินชนชาติฝรั่งเศสซึ่งสร้างสรรค์เมนูอาหารที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนั้นเป็นชนชาติซึ่งเต็มไปด้วยอารยธรรมอันสูงส่งจริงหรือ 
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามและประเด็นที่น่าสนใจเอามากๆ แต่น่าเสียดายที่ตัวภาพยนตร์กลับไม่สามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีซักเท่าไรนัก กลับกันเลยคือหลายๆคำถามก็ถูกตอบแบบครึ่งๆกลางๆ เพราะด้วยความย่ำแย่ของบทภาพยนตร์และการเล่าเรื่องที่แม้แต่การนำตัวภาพยนตร์ให้ผ่านแต่ละจุดไปได้ก็ดูจะย่ำแย่หนักหนาสาหัสแล้ว

ในท้ายที่สุดแล้ว The Hundred-Foot Journey ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆในแทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ การกำกับ ตัวละคร หรือแม้แต่กระทั่งการถ่ายทอดประเด็นอันน่าสนใจ มันไม่ได้อยู่ในขั้นเลวร้ายซะทีเดียวแต่มันก็ดีกว่านี้ได้มาก ยังดีที่ตัวมันเองได้ผู้กำกับภาพอันมากฝีมือช่วยถ่ายทอดภาพอันงดงามเอาไว้ได้บ้าง มิเช่นนั้น นี้คงจะกลายเป็น 122 นาทีแห่งความน่าเบื่อชวนหลับเป็นแน่แท้

Final Score : [ C ] 




เพื่อนๆพี่ๆสามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจกันได้ที่นี้ครับ :)  โดยแฟนเพจ Facebook จะมีอัพเดทข่าวสาร/ตัวอย่างวงการภาพยนตร์และเกมเป็นประจำด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Interstellar ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"ถึงแม้ว่า Interstellar จะเป็นภาพยนตร์ที่มีเทคนิคทางด้านภาพและความสนุกตื่นเต้นที่น่าประทับใจ แต่หัวใจหลักที่แท้จริงของมันอย่างตัวละครกับแก่นเรื่องก็กลับถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย"


          ถ้าหากจะพูดว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่มีคนทั่วโลกตั้งตารอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ก็คงจะไม่ดูเป็นการพูดเหนือจริงไปซักเท่าไรนักเลย
เพราะหนึ่งในสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นตัวผู้กำกับมากฝีมืออย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน เจ้าของผลงานในดวงใจหลายๆคนอย่าง The Dark Knight , Inception หรือ Memento เขาเป็นผู้กำกับท่านหนึ่งในฮอลลีวูดที่ค่อนข้างจะใส่ใจในรายละเอียดมากกว่าผู้กำกับทั่วๆไป และเทคนิคต่างๆของเขาก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับเก่งกาจเลยทีเดียว


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ Interstellar ในตอนแรกควรจะไปอยู่ในมือการกำกับของพ่อมดฮอลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์กแทนที่จะเป็นตัวโนแลนซึ่งตัวสปีลเบิร์กก็ได้ตัดสินใจถอนตัวไปในภายหลัง และเนื่องจากความที่ว่าผู้เขียนบทภาพยนตร์เป็นน้องชายของคริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งก็คือโจนาธาน โนแลน เขาก็เลยได้ทาบทามให้พี่ชายมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี 2012  เราก็จึงได้เห็นคริสโตเฟอร์ โนแลนมานั่งแท่นเป็นผู้กำกับเต็มตัวแทนที่จะเป็นตัวสปีลเบิร์ก


Interstellar ว่าด้วยเรื่องราวของโลกมนุษย์ในอนาคตที่กำลังตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนักและกำลังจะสูญพันธ์ในไม่ช้า กลุ่มนักสำรวจกลุ่มหนึ่งจึงต้องออกไปสู่อวกาศเพื่อตามหาดาวดวงใหม่ที่สามารถจะเป็นที่อยู่ใหม่ของมนุษย์ให้ได้


ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีภาพอวกาศอันสวยงามมากเรื่องหนึ่ง ด้วยบรรยากาศของอวกาศอันกว้างขวางไร้ที่สิ้นสุดหรือภาพดาวดวงต่างๆที่เรียกได้ว่าน่าทึ่งไม่ใช่น้อย ยิ่งผนวกกับเพลงประกอบภาพยนตร์ของฮันส์ ซิมเมอร์ซึ่งเป็นนักแต่งเพลงขาประจำของโนแลนก็ยิ่งทำให้ฉากต่างๆในภาพยนตร์รู้สึกตื่นเต้นและน่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา


และแน่นอนว่าเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ตกมาอยู่ในมือของคริสโตเฟอร์ โนแลน ตัวภาพยนตร์ก็มักจะใส่ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ต่างๆมามากมายเพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของอวกาศ แรงโน้มถ่วง หรือหลุมดำ ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว


นอกจากนั้นแล้ว Interstellar ยังเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะสนุกและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป มันเป็นภาพยนตร์ที่มักจะกระแทกผู้ชมด้วยฉากอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างตัวละคร ปมปัญหาของตัวละคร หรือ ตัวละครที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งตัวโนแลนก็จับผู้ชมได้อยู่หมัดพอสมควร ถึงแม้ว่าในหลายๆครั้งมันอาจจะฟูมฟายมากไปหน่อยก็ตาม


แต่ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะเต็มไปด้วยการสอดแทรกทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆที่ค่อนข้างจะลึกมากมายซักเท่าไรก็ตาม
ตัวมันเองก็กลับลืมจุดที่สำคัญที่สุดของตัวมันอย่าง ตัวละคร กับ แก่นเรื่องหลักที่มันต้องการจะพูดจริงๆไปอย่างน่าเสียดาย ในขณะที่ตัวมันเองเสียเวลาไปกับการพูดถึงและตั้งข้อสมมุติฐานทฤษฎีต่างๆมากมาย ตัวละครในภาพยนตร์ก็กลับถูกปูออกมาอย่างลวกๆ แบน ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร โดยเฉพาะตัวละครหญิงซึ่งถูกบรรยายออกมาในลักษณะของเพศซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์และไร้เหตุผล 


การที่ตัวภาพยนตร์เปลี่ยนตัวผู้กำกับจากสตีเวน สปีลเบิร์กมาเป็นคริสโตเฟอร์ โนแลน ในภายหลังก็ได้สร้างปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะในด้านที่พูดถึงครอบครัว ผลประโยชน์ส่วนรวมกับส่วนตัวซึ่งคือแก่นเรื่องที่แท้จริงของตัวภาพยนตร์และเป็นจุดเด่นของสปีลเบิร์ก แต่พอสลับมือมาเป็นโนแลน ตัวเขาก็ยัดเนื้อหาทฤษฎีวิทยาศาสตร์อันหนักแน่นเข้าไปมากจนกลายเป็นว่ามันตบตีแถมยังเบียดพื้นที่กันเอง และการยัดทฤษฎีต่างๆเข้ามาในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวแก่นเรื่องหนักแน่นหรือน่าจดจำมากกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่พูดถึงประเด็นเดียวกันซักเท่าไรเลย แตกต่างจากในผลงานเรื่องก่อนของเขาอย่าง Inception ที่นำเรื่องของโลกความฝันมาอธิบายสภาวะทางจิตใจของตัวละครซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ Interstellar ไม่มีอย่างน่าเสียดาย 


ในท้ายที่สุด Interstellar ก็เป็นภาพยนตร์ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีภาพอวกาศอันสวยงาม ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อันน่าค้นหา สนุกและตื่นเต้น แต่ตัวมันเองก็กลับหลงลืมจุดที่เป็นหัวใจหลักอย่างตัวละครและแก่นเรื่องที่ไม่ได้ก้าวหน้าตามทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่มันเอ่ยถึงไปด้วยเลย จึงทำให้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับการนั่งเครื่องบินจากจตุจักรไปสยามพารากอนแทนที่จะนั่งรถไฟฟ้า ถึงเป้าหมายเหมือนกันแต่แค่เปลี่ยนมุมมองก็เท่านั้น

Final Score : [ B + ] 


สามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจกันได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ

https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Whiplash ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



" Whiplash เปรียบเสมือนอภิมหาสงคราม 107 นาทีระหว่างศิษย์กับอาจารย์ที่ปราศจากโดยกระสุนหรืออาวุธใดๆ แต่ใช้เพียงแค่กลอง ร่างกาย จิตใจและความฝันเท่านั้นเป็นตัวขับเคลื่อน "

  เมื่อใกล้สิ้นปีเข้ามาเรื่อยๆแล้ว นอกจากภาพยนตร์กระแสหลักจะปล่อยภาพยนตร์ใหญ่ยักษ์ที่หลายๆคนรอคอยมาให้เราชมส่งท้ายปีกันแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่พยายามจะมาเปิดตัวสร้างความประทับใจให้กับนักวิจารณ์และผู้ชมทั้งหลายจนส่งผลต่อไปถึงงานรางวัลใหญ่ๆในปีหน้าอย่างเช่นออสการ์เช่นกัน ซึ่งปีนี้ก็มีภาพยนตร์ที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยมนำหน้าไปก่อนแล้วอย่าง Boyhood และเสียงตอบรับก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะดีมากๆ คราวนี้ก็ถึงตาภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า Whiplash จะได้เฉิดฉายสู่สายตาชาวโลกกันบ้าง

สิ่งที่น่าประทับใจมากสุดสำหรับตัวผู้เขียนในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ ความสนุก ตื่นเต้นและเข้มข้นของตัวมัน Whiplash เป็นภาพยนตร์ที่รู้สึกสนุก น่าติดตาม และตรึงผู้ชมได้อยู่หมัดตลอดเวลา ด้วยการดำเนินเรื่องที่ไม่หวือหวาจนน่ารำคาญ แต่ยังคงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นอย่างเข้มข้นและไม่ปล่อยมันไป โดยเฉพาะฉากการปะทะกันระหว่างสองตัวละครเอกอย่างแอนดรูว์กับเฟลชเชอร์ที่ดุเดือดเลือดพล่านซะอย่างกับเป็นภาพยนตร์อภิมหาสงครามเจ็ดทัพ มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่ผู้เขียนได้ชมภาพยนตร์ไทยอย่างโหมโรงแต่เปลี่ยนเครื่องดนตรีมาเป็นกลองแทน ผู้เขียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แค่การฝึกซ้อมตีกลองวงดนตรีวงหนึ่งมันจะเข้มข้น ดุเดือด และเคร่งเครียดได้ขนาดนี้

ไม่ใช่แค่นั้น ตัวบทภาพยนตร์ของมันเองก็น่าทึ่งสุดๆ แต่มันไม่ได้น่าทึ่งในด้านของความสร้างสรรค์หรือความแปลกใหม่ เอาเข้าจริงๆ Whiplash เป็นภาพยนตร์ที่มีบทและเป้าหมายที่ชัดเจน ง่ายดายสุดๆ แต่ทั้งๆที่เป็นเช่นนั้นมันกลับหลบหลีกความซ้ำซากจำเจหรือการคาดเดาอันง่ายดายไปได้ตลอดเวลา มันเป็นภาพยนตร์ที่รู้เป้าหมายของตนเองดี โดยไม่พยายามที่จะยัดเยียดบทและตัวละครหรือฟูมฟายกับมันมากจนเกินไป ทั้งยังหลบหลีกความซ้ำซากที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆในภาพยนตร์แนวนี้ได้อีก ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ

ตัวนักแสดงนำอย่างไมล์ เทลเลอร์เองก็ถือได้ว่ายกระดับการแสดงขึ้นมามากจากภาพยนตร์เรื่องก่อนที่ผู้เขียนได้เห็นเขาอย่าง Divergent ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาค่อนข้างจะรับบทที่หนักพอสมควร โดยเฉพาะการที่เขาจะต้องปะทะกับตัวละครอย่างเฟลชเชอร์ ซึ่งหมายถึงการโดนตะโกนด่าทอใส่หน้าตลอดเวลา จึงไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายอย่างแน่นอน และเขาก็ถือได้ว่าแสดงผลงานได้น่าประทับใจทีเดียว

แต่บุคคลที่เป็นพระเอกและโดดเด่นอย่างแท้จริงทางด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ เจเค ซิมมอนส์ ซึ่งรับบทเป็นเฟลชเชอร์ การแสดงของเขาใน Whiplash เรียกได้ว่าทรงพลังและน่าทึ่งเป็นที่สุด ผู้เขียนไม่อาจที่จะนึกนักแสดงท่านใดที่จะเหมาะสมไปกว่าเจเค ซิมมอนส์ได้เลยในบทบาทนี้ ซึ่งนั้นก็ทำให้ตัวละครของเขายิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เพราะนี้คือการแสดงในระดับที่ควรจะถูกนำเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในเวทีต่างๆเลยทีเดียว 

ในท้ายที่สุดแล้ว Whiplash ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์คุณภาพที่อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีถ้าหากว่ามันไม่ได้เป็นอยู่แล้วในตอนนี้ มันเป็นภาพยนตร์ที่คอหนังทุกคนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความเข้นข้นของมัน หรือบทภาพยนตร์อันน่าทึ่งของมัน และโดยเฉพาะการแสดงอันน่าจดจำของเจเค ซิมมอนส์ที่สอนให้รู้ว่า ความฝันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไขว่คว้ามาง่ายๆ แต่มันจะต้องแลกมาด้วยจิตใจ วิญญาณ ร่างกายและเลือด เสมือนกับประโยคที่เขาได้พูดเอาไว้ในภาพยนตร์ว่า "ไม่มีสองคำในภาษาอังกฤษคำไหนจะโหดร้ายมากไปกว่าคำว่า Good Job"

Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Valiant Hearts: The Great War ( 2014 ) Game Review

Game Review



"ถึงแม้ว่า Valiant Hearts : The Great War จะไม่ได้นำมาซึ่งระบบการเล่นอันแปลกใหม่หรือความท้าทายที่มากมายนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้มันหลุดพ้นจากการเป็นเกมที่พูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่คุณจะจดจำไปในจิตใจคุณไปอีกยาวนานเลยแม้แต่น้อย"


   Valiant Hearts : The Great War เป็นเกม 2D แนวไขปริศนา/ผจญภัยของค่าย Ubisoft ซึ่งเล่าเรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่าน 5 ตัวละครหลัก โดยเกมนี้ปล่อยลงเครื่อง PS3 , PS4 , XBOX 360 , XBOX ONE , iOS และแน่นอนว่า PC ผ่าน Steam ซึ่งเป็นเครื่องที่ผู้เขียนใช้ในการเล่น(ที่ดันมาบังคับให้ใช้อีกหนึ่งโปรแกรมอย่าง Uplay ของ Ubisoft ในการเล่นอีกตัว ซึ่งน่ารำคาญอยู่เหมือนกัน)

จริงๆแล้วต้องพูดเลยว่าผู้เขียนค่อนข้างจะสนใจในตัวเกมนี้มาตั้งแต่ได้เห็นตัวอย่างเกมตั้งแต่ต้นปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของสงคราม และการเล่าเรื่องในรูปแบบ Comics หรือหนังสือการ์ตูนของมัน แล้วเผอิญว่าทาง Steam นำเกมมาลดช่วงเดือนที่ผ่านมาพอดี ก็เลยได้โอกาสในการหยิบมาเล่นเสียที

ต้องขอพูดก่อนเลยว่า ถ้าหากท่านใดที่หวังว่า Valiant Hearts : The Great War จะเป็นเกมที่เต็มไปด้วยระบบการเล่นหรือเกมเพลย์อันแปลกใหม่ ท้าทาย หรือโดดเด่น คุณก็คงจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน เกมๆนี้เอาเข้าจริงในด้านระบบการเล่นของมัน ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ซักเท่าไรนัก มันเป็นเกมที่เต็มไปด้วย การแก้ไขปริศนาต่างๆ เช่นเราอยู่ตึก A จะหาทางข้ามไปตึก B อย่างไร หรือเราจะไปหาของที่ตัวละครอื่นๆต้องการมาได้อย่างไร ถึงกระนั้นก็ตาม มันก็เป็นเกมที่มักจะท้าทายให้ผู้เล่นคิดตามและแก้ไขปัญหาอยู่เสมอๆ ถึงแม้ว่าตัวปริศนามันเองก็ไม่ได้ท้าทายอะไรซักเท่าไรก็ตาม แต่สำหรับท่านใดที่อาจจะไม่ถนัดเกมแนวนี้ก็ไม่ต้องห่วงไป เพราะตัวเกมจะมีตัวช่วยให้กดดูอยู่ตลอด โดยเมื่อกดอันแรกเราจะต้องรอสักพักในการกดคำใบ้อันต่อไป ซึ่งเป็นการกันให้ผู้เล่นกดเฉลยหมดโดยที่ไม่ได้ลองด้วยตัวเองเลย

สิ่งที่อาจจะทำให้รูปแบบการเล่นในเกมนี้โดดเด่นขึ้นมาบ้างก็คือการที่เราได้ควบคุมถึงสองตัวละครนั้นก็คือตัวละครหลักและอีกตัวละครซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสุนัขในเกมที่มีชื่อว่า วอลท์ ที่เราสามารถสั่งให้สุนัขเดินไปเก็บของที่เราเดินไปเก็บไม่ได้ หรือสั่งให้มันกดสวิทในขณะที่เราเดินไปที่อีกจุดหนึ่งได้ด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่สนุกและทำให้ตัวเกมท้าทายขึ้นนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน

นอกจากนั้นแล้วตัวเกมก็ยังผสมมินิเกมเล็กๆน้อยๆ เช่นกดตามจังหวะให้ตรง วิ่ง/ขับรถหลบกระสุนและหลบระเบิด หรือมินิเกมที่ให้คุณหลบซ่อนจากศัตรูโดยพยายามไม่ให้โดนจับได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แทบจะทุกมินิเกมในเกมนี้จะเน้นการกะจังหวะซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้ยากนัก แต่บางทีมันก็อาจจะนำมาซึ่งความน่าโมโหอยู่เหมือนกันสำหรับมินิเกมบางอันที่ตัวเกมค่อนข้างจะถาโถมใส่ผู้เล่นพอสมควร ยิ่งท่านที่ใจร้อนหน่อยก็คงจะยิ่งเซ็งเข้าไปอีก แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเกมเพลย์มันจะไม่สนุก โดยรวมมันค่อนข้างจะสนุกและเพลินอยู่พอสมควร เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ท้าทาย นำเสนออะไรใหม่หรือโดดเด่นเพียงพอที่จะพูดว่านี้เป็นเกมแก้ปริศนาที่ท้าทายสุดๆเลยแม้แต่น้อย

Valiant Hearts : The Great War อย่างที่บอกไปในตอนต้นแล้ว ว่าเป็นเกมที่เล่าเรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 1 และมันก็ทำได้ดีเสียด้วย เพราะเนื้อเรื่องของมันถูกเขียนมาค่อนข้างจะดีในระดับหนึ่ง จึงทำให้ผู้เขียนรู้สึกสนุกและอยากที่จะเล่นต่อไปเรื่อยๆอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นจริงๆเลยก็คือ มันค่อนข้างจะเป็นเกมที่เล่าถึงความโหดร้ายและความโศกเศร้าของสงครามเสียมากกว่าการวิ่งไปแรมโบ้ชาวบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรูปแบบการเล่นที่ไม่เน้นให้เราได้ต่อสู้กับศัตรูแต่เน้นหลบหลีกและแก้ไขปัญหาเสียมากกว่า จริงๆแล้วในเกมนี้ส่วนใหญ่เราโดนอะไรทีเดียวก็ตายหมดไม่ว่าจะเป็นระเบิดหรือปืนคุณจึงลืมเรื่องการวิ่งไปแรมโบ้ชาวบ้านได้เลยเพราะเอาเข้าจริง 99% คุณไม่มีแม้แต่ปืนในมือคุณด้วยซ้ำไป

โดยความโหดร้ายและความโศกเศร้าของสงครามใน Valiant Hearts: The Great War ก็ถูกเล่าผ่าน 5 ตัวละครหลักที่เราจะได้เล่นสลับกันไปมาในแต่ละช่วง ซึ่งต้องพูดเลยว่าตัวละครเหล่านี้ก็ไม่ค่อยจะน่าสนใจหรือถูกเขียนมาได้ดีซักเท่าไรนัก ถ้าถามผู้เขียนจริงๆ ผู้เขียนคิดว่าเหมือนเป็นสิ่งที่ทางผู้สร้างตั้งใจอย่างนั้นเลย เพราะทั้งเกมเราจะเห็นตัวละครพูดหรือถ่ายทอดอารมณ์ออกมาจริงๆเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายของผู้สร้างที่พยายามทำให้ตัวเกมเป็นกลางมากที่สุดทั้งในด้านของภาษา,เนื้อหาที่จะทำให้เข้าถึงทุกเพศทุกวัยและคนทุกชาติได้มากกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามันกระทบถึงด้านความสัมพันธ์ของผู้เล่นกับตัวละครหลักเหมือนกัน ที่ผู้เขียนก็ไม่ได้ใส่ใจหรือแคร์ตัวละครเหล่านี้เท่าที่ควร ยกเว้นอาจจะตัวละครสุนัขสุดน่ารักอย่างวอลท์เท่านั้นเอง

Valiant Hearts: The Great War ก็เป็นเกมที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากราฟฟิคค่อนข้างจะสวยงามทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะถูกนำเสนอรูปแบบหนังสือการ์ตูนแต่มันก็ถือได้ว่าทำกราฟฟิคได้น่าประทับใจทีเดียว ซึ่งตัวเกมใช้ Engine UbiArt Framework ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในเกมอย่าง Rayman Legends , Rayman Origins และ Child of Light นั้นเอง 

ไม่ใช่แค่นั้นตัวเพลงประกอบหรือซาวน์แทรคของตัวเกม เป็นอะไรที่พาผู้เขียนขนลุกทุกครั้งที่ได้ฟัง มันช่างแสนไพเราะและแสนเศร้าไปพร้อมกัน ทุกๆเพลงประกอบในเกมก็ดูจะไพเราะและน่าประทับใจทุกเพลงรวมถึงเข้ากับตัวเกมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เรียกได้ว่าเล่นเกมจบก็ต้องไปหาซื้อเพลงประกอบเกมนี้กันเลยทีเดียว (ซึ่งดันมีเฉพาะแบบดาวน์โหลดจากเน็ตเท่านั้น)

ส่วนนอกจากนี้ตัวเกมก็จะมีของสะสมให้เก็บในเกมซึ่งของสะสมเหล่านี้ก็เป็นของที่ถูกใช้ในสงครามจริงๆอีกด้วย โดยส่วนใหญ่ของสะสมต่างๆก็ไม่ได้หาเก็บยากมากนัก แต่ถ้าจะเอาให้ครบก็คงต้องเล่นอย่างน้อยสองรอบเป็นอย่างต่ำ
นอกจากนั้นแล้วตัวเกมยังแถมภาพและประวัติศาสตร์สงครามจริงๆมาให้ผู้เล่นได้ศึกษาและอ่านเล็กๆน้อยๆในแต่ละด่านอีกด้วย ซึ่งประวัติศาสตร์และภาพเหล่านี้เป็นของจริงอีกด้วย ก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่ผู้เล่นที่สนใจในเรื่องราวของสงครามก็น่าจะชื่นชอบหรือถูกใจอยู่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มากมายนัก เช่นผู้เขียนที่นั่งอ่านข้อมูลนี้ทุกครั้งที่ตัวเกมขึ้นฉากใหม่ แต่สำหรับท่านใดที่ไม่ได้สนใจก็ไม่ต้องสนใจมันเลยก็ได้

ในท้ายที่สุด Valiant Hearts: The Great War ก็อาจจะไม่ใช่เกมที่นำมาซึ่งระบบการเล่นอันแปลกใหม่หรือระบบการเล่นอันสุดแสนจะท้าทายซักเท่าไรนัก แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวของสงครามอันแสนโหดร้ายและโศกเศร้า รวมถึงภาพและเพลงประกอบที่ลืมไม่ลง ก็ทำให้มันกลายเป็นเกมที่ผู้เขียนคงจะลืมไม่ลงไปอีกยาวนานอย่างแน่นอน


Final Score : [ B + ] & [ Must Play Badge ]

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

The Equalizer ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"ถึงแม้ว่าบทภาพยนตร์หรือการปูเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะถูกยัดเยียดมาเกินความจำเป็นไปบ้าง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้มันสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมน้อยลงเลยแม้แต่น้อย รวมถึงเดนเซล วอชิงตันที่ยังคงเท่ห์และร้ายกาจเช่นเคย"

         สำหรับใครที่เป็นคอหนังแอ็คชั่นหรือแม้กระทั่งคอหนังทั่วๆไป เมื่อท่านได้เห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่มีนักแสดงอย่างเดนเซล วอชิงตันอยู่ซักเรื่องแล้วล่ะก็ ผู้เขียนคาดว่าหลายๆคนก็มักจะเดาออกได้ทันทีว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นจะเป็นภาพยนตร์แนวอะไร จริงๆแล้วเขาเป็นนักแสดงอีกท่านหนึ่งที่ยังคงแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าอายุก็เริ่มจะเยอะแล้วก็ตาม และด้วยความที่ว่าเขาเป็นนักแสดงที่ไม่ว่าจะไปจับหนังแอ็คชั่นเรื่องอะไร เขาก็มักจะทำให้หนังเรื่องนั้นสนุกและน่าจดจำ จากสไตล์การแสดงอันสุดเท่ห์ลืมไม่ลงของเขาเสมอๆ 


The Equalizer เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องถึงโรเบิรต์ แมคคอล ชายลึกลับที่ดูภายนอกก็เหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป แต่วันหนึ่งเมื่อเด็กสาวที่เขาพบได้ถูกทำร้ายโดยคนกลุ่มหนึ่ง เขาจึงไม่อาจจะอยู่เฉยได้อีกต่อไป 


ไม่แน่ใจว่าการที่ The Equalizer ดันมาเข้าฉายใกล้กับภาพยนตร์แนวเดียวกันที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จพอสมควรอย่าง John Wick ในบ้านเรา จะเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่ เพราะมันก็ทำให้เกิดการเปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่เป็นจุดเด่นของ John Wick แต่กลับเป็นจุดอ่อนของ The Equalizer 

ในขณะที่ John Wick ไม่พยายามที่จะยัดเยียดบทและเหตุผลหรือเสียเวลาไปกับมันมากจนเกินไป The Equalizer กลับไม่เป็นเช่นนั้นและค่อนข้างจะประสบปัญหากับจุดนี้พอสมควร พูดก็พูดเลยว่านี้คือจุดอ่อนที่หนักที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะช่วงแรกของภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยน่าสนใจและจะพาเบื่อเอาง่ายๆ เพราะตัวภาพยนตร์พยายามจะยัดเยียดบทและตัวละครเข้ามา แถมยังเล่าได้อย่างช้า เอื่อย เฉื่อย ไม่มีชั้นเชิงทั้งๆที่ตัวบทภาพยนตร์เองก็ไม่ได้แข็งแรงพอที่จะอยู่ด้วยตัวมันเองได้ซักเท่าไรเลย

เอาเข้าจริงแล้วบทและตัวละครของมันเป็นอะไรที่ซ้ำซากสุดๆ คุณไม่ได้ใส่ใจหรือแคร์อะไรในตัวพวกเขาซักเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าตัวบทภาพยนตร์เองจะมีความคิดรวมถึงทัศนะคติที่น่าสนใจ แต่มันก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างครึ่งๆกลางๆ ไม่มีพลังหรือชั้นเชิงมากพอจนทำให้มันไร้ความหมายไปในที่สุด และมันยังเป็นบทภาพยนตร์ชนิดที่ต่อให้คุณไม่ได้ชมภาพยนตร์คุณก็รู้ว่ามันจะจบลงอย่างไร ซึ่งการพยายามลากและยัดเยียดจุดที่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ได้ผลเข้ามา มันก็จะมีแต่ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจน้อยลงเรื่อยๆ เสมือนกับนมหมดอายุที่ตัวภาพยนตร์พยายามยัดเยียดให้เราดื่มมัน ทั้งๆที่ตัวมันเองก็รู้ดีว่ามันหมดอายุ


แต่..เมื่อตัวภาพยนตร์ผ่านจุดต้นเรื่องมาได้และเข้าสู่ช่วงที่ตัวเดนเซลได้เข้าสู่โหมดพระเจ้าไล่กระทืบชาวบ้านจริงๆ ตัวภาพยนตร์ก็เหมือนเดินกลับเข้าสู่แสงสว่างและทางที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง เพราะนอกจากฉากแอ็คชั่นเหล่านี้จะสนุกและตื่นเต้นแล้ว หลายๆฉากก็ออกแบบมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว โดยเฉพาะในฉากท้ายเรื่องที่ค่อนข้างจะถูกใจผู้เขียนพอสมควร ถึงแม้ว่าบางฉากตัวภาพยนตร์อาจจะชี้ทางผู้ชมมากไปหน่อยก็ตาม แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

ตัวเดนเซลในภาพยนตร์เรื่องนี้เอง ก็ยังคงเท่ห์ โหดและร้ายกาจเช่นเคย ด้วยการแสดงอันแสนจะเยือกเย็นของเขา ทำให้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะได้เห็นเขาฆ่าใครซักคนด้วยวิธีการอันสุดเท่ห์ในฉากต่อไป นี้ยังไม่รวมถึงฉากแสดงสีหน้าอันเย็นยะเยือกหรือบทพูดอันสุดเท่ห์ของเขาที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกซะใจอย่างมาก

นักแสดงชื่อดังอีกคนอย่างโคลอี มอเรตซ์เองก็แสดงผลงานได้ดีเลยทีเดียวในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าบทบาทของเธออาจจะไม่ได้เยอะหรือน่าประทับใจมากซักเท่าไรนัก ด้วยสาเหตุจากบทและการเล่าเรื่องช่วงต้นที่ไม่ค่อยจะดีนัก แต่เธอก็ถือได้ว่าทำได้ดีแล้วถ้านับจากเวลาและโอกาสที่ให้เธอมาเท่านี้

ซึ่งเมื่อเทียบสรุปกันระหว่าง John Wick กับ The Equalizer กันแล้ว John Wick ดูจะเน้นไปทางด้านฉากแอ็คชั่นยิงกันหูตับดับไหม้ ในขณะที่ The Equalizer จะมีรูปแบบที่ช้ากว่าและแอ็คชั่นแบบหยิบจับอะไรใกล้ตัวเสียมากกว่า
The Equalizer ก้าวเหนือกว่า John Wick ก้าวหนึ่งในด้านของฉากแอ็คชั่นที่ฉลาด ตื่นเต้น และน่าประทับใจมากกว่า แต่ตัวมันเองก็ก้าวถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่งเนื่องจากบทภาพยนตร์ที่ซ้ำซากและการยัดเยียดบทเข้ามามากจนเกินไป


ทำให้ในท้ายที่สุด The Equalizer ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แอ็คชั่นของเดนเซล วอชิงตันที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรนักด้วยสาเหตุที่บทภาพยนตร์ไม่น่าประทับใจแต่ยังพยายามยัดเยียดมันเข้ามา แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เช่นกันว่าฉากแอ็คชั่นของมันเมื่อไปผสมผสานกับความเท่ห์ชนิดสุดจะบรรยายของเดนเซล วอชิงตัน ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คอหนังแอ็คชั่นหรือแม้กระทั่งผู้ชมทั่วไปไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Final Score : [ B + ] & [ Must See Badge ]

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

DC Comics TV-Series Preview / Review

DC Comics TV-Series Preview / Review

ณ ตอนนี้ที่อเมริกาทาง DC ก็กำลังคืบหน้าเข้าสู่วงการ TV-Series อย่างเต็มตัวเลยทีเดียว จาก Arrow ก็ต่อยอดไปสู่อีกสองซีรียส์ใหม่เรียบร้อยแล้วกับ The Flash และ Constantine (ที่ดันไปฉายช่อง NBC แทน CW ซึ่งมีหุ้นส่วนหนึ่งเป็นของ Warner Bros. อยู่แล้วซะงั้น) จริงๆยังมี Gotham อีกเรื่องหนึ่งแต่ผู้เขียนยังไม่ได้ชมเลยขอละไว้ ณ ที่นี้ก่อนครับ

หมายเหตุ * ผู้เขียนไม่เคยอ่านหนังสือ Comics TV-Series เหล่านี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็น Arrow , The Flash หรือ HellBlazer เพราะฉะนั้นการพรีวิวครั้งนี้จะมาจากการดูแบบสดๆล้วนๆ

- The Flash - 

ถือได้ว่าเป็นการเปิดตัวซีรียส์ได้โอเคในระดับหนึ่ง สนุก และน่าติดตาม ทำให้เรารู้จักที่มาของตัวละครชื่อดังอย่างแฟลชมากขึ้น ถึงแม้ว่าพล๊อตจะค่อนข้างเดิมๆและไม่น่าตื่นเต้นเท่าไรนักก็ตาม อาจจะเพราะความเวอร์เหนือพลังของมันด้วยส่วนหนึ่ง แต่ตัวนักแสดงนำก็รับบทได้ดีจนทำให้ตัวซีรียส์สนุกขึ้นเยอะ ถึงกระนั้นก็ตามต้องพูดเลยว่าจากใน 3 เรื่อง The Flash เป็นเรื่องที่ตัวละครรองน่าสนใจน้อยที่สุดน้อยชนิดที่แทบจะรู้สึกไม่แคร์เลย อาจจะเพราะนักแสดงด้วยรึเปล่าก็ไม่ทราบ

ระดับความน่าติดตาม : 3 / 5 

- Constantine -

ถึงแม้ว่าต้องพูดเลยว่าส่วนตัวค่อนข้างจะสนใจซีรียส์ HellBlazer อยู่เหมือนกันเนื่องจากชอบ Constantine เวอร์ชั่นหนังที่พี่คีนู รีฟมากๆ แต่ต้องพูดเลยว่าพอลดลงมาเหลือทีวีซีรียส์ก็น่าสนใจน้อยลงเยอะ ในด้านโปรดัคชั่นยังพอเข้าใจได้ แต่ในด้านของการเล่าเรื่องเรียกได้ว่าด้อยกว่า The Arrow และ The Flash ซีซั่นแรกพอสมควรทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน แต่ได้ยินมาว่าส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตอนแรกโดนตัดไปตัดมา แถมยังตัดนักแสดงออกในตอนถัดไปด้วย และยังมีตัดต่อเพิ่มไปตอนหลังอีก มันก็เลยกลายเป็นตอน Pilot เริ่มที่แปลกประหลาดสุดๆ แต่ก็ยังถือว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจ ก็ต้องดูต่อไปว่าตอนถัดๆไปจะทำออกมาเป็นอย่างไร ถ้าน่าเบื่อมากๆก็คงขอลา แต่จะว่าไปก็แอบเสียดายเหมือนกันได้ยินมาว่าตัว Comics จริงๆค่อนข้างแรงมาก ชนิดที่เอามาลงเคเบิ้ลปกติคงไม่น่ารอด ส่วนตัวแล้วถ้าถามผม ผมอยากดูแบบนั้นมากกว่า แต่ก็นะ หลังจาก Constantine ฉบับภาพยนตร์ภาค 2 มีข่าวลือแล้วก็หายไปชาติกว่า คงไม่หวังอะไรอีกแล้ว ณ ตอนนี้ = =

ระดับความน่าติดตาม : 2 / 5

- The Arrow Season 3 -

ต้องพูดเลยว่าในสอง Season แรกของ The Arrow ตอนแรกของ Season มักจะน่าเบื่อเสมอไม่รู้ทำไม แต่พอมา Season นี้น่าเบื่อน้อยลงเยอะ มีการแสดงถึงปมปัญหาอันใหญ่หลวงที่น่าสนใจเอามากๆขึ้น ทำให้ตัวซีรียส์น่าสนใจและน่าติดตามขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าตามภาษา TV-Series ส่วนใหญ่ที่มักจะเดินเรื่องแบบเดิมๆแต่ก็ยังทำออกมาได้สนุกและน่าติดตามอยู่พอสมควรจึงพอให้อภัยได้ ถือว่าเป็นซีรียส์ของ DC Comics หรือ Warner Bros. ตอนนี้ที่น่าติดตามที่สุดก็ว่าได้

ระดับความน่าติดตาม : 4 / 5