วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Persona 4 : Golden ( PS VITA ) GAME REVIEW

GAME REVIEW
หนึ่งในเกมที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเล่นมาในชีวิต (พูดจริง)




Game Name : Persona 4 : Golden (P4G) RPG  [ US Version ]
Developer : Atlus
Platforms : PSVita Exclusive
Rating : M 






REVIEW

                                                                           Persona 4 : Golden นั้นต้องขอสารภาพเลยจริงๆว่า ตอนแรกที่เกมมีข่าวมาเรื่อยๆและออกมาตอนแรกๆนั้น ตัวผู้เขียนไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก เนื่องจากดูจากภาพ และ เกมเพลย์แล้วก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น(นั้นคือความคิดในตอนนั้น) จนวันหนึ่ง เนื่องจากได้ยินกระแสพูดถึงเกมนี้อย่างมากมาย จนอดไม่ได้ที่จะลองด้วยตัวเองซักครั้ง แบบไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไร จนรู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 70 กว่าชั่วโมงในรอบแรก โดยที่รู้สึกแบบเต็มๆเลยว่า ไม่อยากให้เกมจบเลย อยากจะให้มีต่อไปเรื่อยๆ อยากจะเล่นอีกเรื่อยๆ จึงไม่แปลกเลยที่ผมจะถึงขนาดคิดว่า Persona 4 : Golden เป็นเกมที่ดีที่สุดเท่าที่ได้เคยเล่นมาในชีวิตนี้  ต้องขอบอกเลยว่าผมไม่คิดว่าผมจะเขียนรีวิวอธิบายได้ถึงทุกๆส่วนจริงๆในเกมเลย เพราะ Persona 4 : Golden เป็นเกมที่มีอะไรหลายๆอย่างมากเหลือเกิน มากจนคิดว่า "ใส่ลงไปในแผ่น Memory Vita ได้ไงฟะเยอะขนาดนี้" มันมีอะไรหลายๆอย่างมากมายจริงๆ และบางส่วนก็กลัวเป็นการสปอยล์ไปด้วย และถ้าหากข้อมูลใดๆผิด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ



Persona 4 : Golden เป็นเกมที่ Re-release หรือ จะว่าเป็นฉบับเอาเกมเก่ามาพอรต์ลงเครื่องใหม่ก็คงจะไม่ผิดนัก ต้องขอสารภาพเลยว่า ตัวผมเองนั้นไม่เคยเล่นเกม Persona มาก่อนเลย ไม่ว่าจะภาคไหนๆก็ตาม แม้แต่เกมชุด Shin Meigami Tensei ก็ไม่เคยเล่นมาก่อนซักเกม จะรู้จักก็เพียงแค่การ์ตูนอย่าง Devil Children ที่เคยได้ดูตอนเด็กๆเท่านั้น (ทำให้จำ Jack Frost ได้) แต่จากเท่าที่ได้ฟังมา หลายๆคนที่ได้เคยเล่น Persona 4 บน Playstation 2 มาก่อนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทาง Developer Atlus ไม่ได้เพียงแค่พอรต์ลงให้ PSVita แบบหลายๆเกมเท่านั้น แต่เพิ่มหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง จนมันแทบจะเป็นคนละเกมเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าทาง Developer ได้ใจแฟนๆหลายคนไปเลยทีเดียว



Persona 4 : Golden ว่าด้วยเรื่องราวของ ตัวเอกของเรา (ที่ในเกมเขาให้เราตั้งชื่อเอง แต่มีหลายๆคนชอบเรียกเขาว่ Yu Narukami ) ที่พบว่าตัวเองมีพลังบางอย่างที่สามารถเรียกสิ่งที่เรียกว่า Persona ออกมาได้ และ เขากับเพื่อนๆของเขาจะต้องแก้ไขปริศนาฆาตกรรมอันลึกลับในเมือง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป....



Persona 4 : Golden ต้องขอบอกเลยว่าเป็นเกมที่ ส่วนตัวแล้วคิดว่า น่าจะเป็นหนึ่งในเกมที่มีอะไรหลายๆอย่างให้ทำมากมายจนผมไม่แน่ใจว่า จะสามารถทำทุกอย่างได้ภายในการจบเกมรอบแรกได้หรือไม่ (ถ้าไม่นับ GTA ที่เล่นเป็นพันชั่วโมงก็ยังได้) มีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างเหลือเกินในเกมที่ให้ใช้เวลา เช่น ตกปลา เข้าไปทานอาหารจีน สร้างความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆ จับแมลง อ่านหนังสือ ว่ายน้ำ และอีกมากมาย จนแทบจะเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียวว่าแต่ละวันเราจะทำอะไรดี และ แต่ละอย่างที่มีให้ทำ รู้สึกสนุก รู้สึกน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา ไม่มี Event ใดๆเลยทีทำให้รู้สึกถึงความขี้เกียจหรือไม่ตั้งใจของ Developer นอกจากนั้น Event หรือ Activity เหล่านี้ หลายๆ Activity มักจะให้อะไรกับตัวละครของคุณเสมอๆ เช่น ถ้าหากคุณไปตกปลาคุณก็จะได้ปลามาใช้ในการทำเควสต่างๆ หรือ ถ้าหากคุณอ่านหนังสือเล่มๆนึงจนจบ ค่าตัวละครของคุณก็จะเพิ่มขึ้นตามที่หนังสือนั้นบอก ทำให้คุณรู้สึกเสมอๆว่า คุณไม่ได้ทำ Event เหล่านี้ไปโดยเปล่าประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ยัง ยังไม่หมด ในภาค Golden นี้นั้น ยังจะมีในส่วนของ TV Listing มาให้คุณทำอีกมากมาย เช่น เล่นเกมตอบคำถามในเกม ซึ่งจะมีตัวละครในเกมมาแข่งกับเราจริงๆ แถมส่วนนี้ยังเป็นการพากษ์แบบเต็มๆอีกด้วย น่าประทับใจถึงความพยายามของทีมงานจริงๆ (ซึ่งเป็นเกมตอบคำถามที่สนุกมากๆ) มี Concert ให้ดู , Concept Art , เข้าไปฟังเพลง Soundtrack ต่างๆในเกม ซึ่งเป็น Soundtrack ที่ดีมากๆเลยทีเดียว , เข้าไปฟังอธิบายทฤษฏีที่ในเกมพูดถึง , เข้าไปดูฉาก Cut Scene ที่เคยได้ดูมาแล้วอีกครั้ง อื่นๆ ซึ่งแค่ในตัวเกมเท่านั้นก็เยอะจนเลือกอะไรไม่ถูกแล้ว ตัว TV Listing ยังเยอะมากมายขนาดนี้อีก เรียกได้ว่า กว่าจะทำทุกอย่างได้หมด ไม่นับเก็บถ้วย Platinum ก็คงจะไม่ต่ำกว่า 100 ชั่วโมงอย่างแน่นอน 


สำหรับ Plot หรือ บทใน Persona 4 : Golden นั้นเป็นบทที่ผมชอบมากๆเลยทีเดียว นอกจากมันจะสนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม พิศวง ลึกลับเหลือเกินแล้ว มันยังเป็นบทที่ให้ความรู้สึกว่าน่าสนใจ และ เข้าใจได้ไม่ยากสำหรับทุกๆคนไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ และ เนื่องจากส่วนตัวเป็นพวกบ้าแนวสืบสวนอยู่ด้วยแล้ว ก็เลยยิ่งชอบเข้าไปอีก ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า บทใน Persona 4 : Golden นั้น ไม่ได้เดายากอะไรมากมายนัก และ ดีไม่ดีคุณจะเดาตัวร้ายที่แท้จริงได้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลยด้วยซ้ำ(แบบผม) แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ตัวเกมนั้นสนุกน้อยลงเลยแม้แต่น้อย เพราะ ตัวบทมักจะมีอะไรให้คุณคอยคิดตาม และ คอยหลอกล่อคุณเสมอๆ ยังไม่นับถึงบทที่มี Layer หรือ หลายชั้นพอสมควรเลยทีเดียว เช่นโลกแห่งความจริง โลกแห่งทีวี ที่ทั้งสองโลกนี้ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่แล้ว แล้วยังทำมันออกมาให้ได้เข้าใจได้อย่างง่ายดายได้ ช่างเป็นอะไรที่น่าชื่นชมจริงๆ 



มาพูดถึง Characters หรือ ตัวละครกันบ้าง สำหรับผมแล้ว Persona 4 : Golden ถือได้ว่าเป็นเกมที่มีการเขียนตัวละครมาได้ดีที่สุดเท่าที่เคยได้เล่นมาเลยทีเดียว และเป็นส่วนที่ชอบมากที่สุดในเกมเลยก็ว่าได้ ตัวละครทุกๆตัว ทุกๆตัวจริงๆในเกม รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง แต่ละคนมีความคิด มีนิสัยที่แตกต่างกัน มีการดีไซน์ที่ดียอดเยี่ยม การพากษ์เสียงที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ ดูสมจริงในทุกๆความคิด การพูด การกระทำ และ คุณจะรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครนี้มากเหลือเกิน มากจนบางคนอาจจะคิดเลยด้วยซ้่ำ ว่านี้คือเพื่อนของคุณในชีวิตจริงๆในโลกจริง จริงๆ นี้ผมไม่ได้พูดโม้หรืออะไร แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ยกตัวอย่างในกรณีของผม ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยจะอ่อนไหวเท่าไรนัก ในตอนจบของเกม ผมแทบจะเกือบน้ำตาไหลออกมา ที่รู้ว่าทุกอย่างมันจบลงแล้ว เราจะไม่ได้เจอเพื่อนหรือตัวละครเหล่านี้ในเกม ที่ผ่านสิ่งต่างๆนาๆมาด้วยกัน หัวเราะ สนุก ร้องไห้ เสียใจ สิ้นหวัง มีความหวัง ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้าย และเข้าใจซึ่งกันและกันมาด้วยกันตลอดทั้งเกม (ยิ่งฉากจบมันเป็น Cut Scene ยิ่งทำให้สมจริงเข้าไปอีก) นอกจากนั้นตัวละครแต่ละตัว ช่างมีความลึกแบบที่ไม่น่าเชื่อเหลือเกิน แต่ละคนนอกจากจะมีความคิดที่แตกต่างกันแล้ว เรายังจะได้รู้ถึงปัญหาในชีวิตของพวกเขา ความผิดหวังต่างๆของตัวละครเหล่านี้ ความหวังของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเสียใจมากที่สุด และอีกมากมาย ในตัวละครเหล่านี้ ผ่าน Dialog ที่เราจะคุยกับพวกเขาตลอดทั้งเกม และตัวเกมก็ทำได้ดีเหลือเกินที่ทำให้เราเข้าใจพวกเขา คอยเอาใจช่วยเหลือพวกเขา ทำให้เรา "Bond" หรือสร้างความสัมพันธ์ ผูกพันธ์กับพวกเขา เหมือนในเกมจริงๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องอะไรที่โคตรยาก ที่จะทำให้เราเข้าใจตัวละครๆหนึ่งได้ โดยเฉพาะที่ยังเป็นตัวละครในเกม ที่ไม่มีจริงแล้วอีกด้วย ยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่ Persona 4 : Golden ก็ทำได้ยอดเยี่ยมแบบไม่มีข้อสงสัยใดๆเลย เพราะ เรารู้สึกผูกพันธ์กับทุกๆตัวละคร ย้ำทุกๆตัวละครจริงๆ 



ส่วนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั้นก็คือ Gameplay ซึ่งเกม Persona 4 : Golden นั้น ถือได้ว่าเป็นเกมที่หนักไปในด้านบทพูดพอตัวเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าบทพูดหรือ Script ที่ร่างออกมานั้นจะหนาแค่ไหน เนื่องจากมีบทพูดในเกมที่มากมายเหลือเกิน นอกจากนั้น ยังมีการที่ให้คุณโต้ตอบกับตัวละครต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่ Dialog หรือ คำพูดต่อมาที่แตกต่างกันอีกด้วย (ยิ่งเพิ่มคุณค่าของการเล่นเกมซ้ำอีกรอบเข้าไปอีก) ซึ่งในทุกๆ Dialog ทุกๆ Dialog จริงๆ ช่างเขียนมาได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ซึ่งในตัวผมเองนั้นต้องขอบอกก่อนเลยว่าเล่นในเวอร์ชั่น US ซึ่งไม่รู้ว่าเวอร์ชั่น JP  Dialog จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในเวอร์ชั่น US นั้นเท่าที่ได้เล่น ก็น่าที่จะพอเดาได้ว่าแปลมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว หลายๆครั้งที่ Dialog เหล่านี้ทำให้คุณหัวเราะอย่างกับคนบ้า หรือ ทำให้คุณเข้าถึงเนื้อเรื่องได้มากขึ้นเข้าไปอีก บางครั้ง Dialog เหล่านี้ยังสร้าง Tension ในบางสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ที่สำคัญเลยก็คือ Dialog เหล่านี้เป็นตัวสร้างความสัมพันธ์ของคุณให้กับตัวละครอื่นๆที่คุณจะได้เจอในเกม ซึ่งผมต้องขอบอกเลยว่า ถ้าหากคุณเล่นเกมนี้แล้วคุณไม่อ่าน Dialog ใดๆเลย กดรัวๆๆๆข้ามอย่างเดียว ผมแนะนำให้ขายเกมทิ้งแล้วไปหาเกมอื่นมาเล่นเสียดีกว่า เพราะ Dialog ในเกมมันเป็นอะไรที่สำคัญมากกว่าที่หลายๆคนคิดเอาไว้มากมายนัก ถ้าหากข้าม Dialog เหล่านี้ไปหมด ส่วนตัวแล้วคิดว่า ที่เหลือในเกมในส่วนต่างๆแทบจะหมดความสนุกไปหมดเลยทีเดียว ตัวเกมนั้นใช้ระบบเป็นวันเป็นช่วงๆไปในแต่ละวัน เช่นช่วง เช้า ช่วงหลังเลิกเรียน ช่วงเย็น ซึ่งในช่วงเช้าก็อาจจะมี Event ที่ตอนคุณเรียนอยู่อาจารย์ก็อาจจะถามคำถามคุณซึ่งบางคำถามก็จะเป็นสิ่งที่อาจารย์คนๆนั้นพูดไปก่อนหน้านี้ หรือ เป็นคำถามรอบตัว (ที่ค่อนข้างจะรอบตัวแบบรอบโลกไปหน่อยยากพอตัวเลยทีเดียวถ้าไม่รู้จริงๆก็เปิด Google ก็ได้ครับ)  ซึ่งถ้าคุณตอบถูกคุณก็จะได้ค่าความรู้เพิ่มขึ้น หรือ ถ้าเพื่อนของคุณเป็นฝ่ายโดนถาม เพื่อนของคุณก็จะมาถามคุณว่าจะตอบข้อไหนดี และถ้าคุณบอกคำตอบเพื่อนได้ถูก คุณก็จะได้ค่าความสัมพันธ์กับตัวละครนั้นๆมากขึ้นอีกด้วย และ หลังช่วงหลังเลิกเรียนเป็นช่วงที่ส่วนใหญ่คุณจะทำยังไงกับช่วงนี้ก็ได้ อาจจะไปตกปลา จับแมลง ออกไปกับบางตัวละครในเกม ซึ่งบาง Event ที่คุณทำจะไม่กินเวลา แต่บาง Event จะกินเวลาทำให้ช่วงหลังเลิกเรียนของคุณจบลงและข้ามไปช่วงเย็น(ซึ่งคุณจะกลับบ้านเองอัตโนมัติ) ซึ่ง Event ส่วนใหญ่ที่จะกินเวลาก็จะเป็น Event จำพวก Event ที่เพิ่มค่าสัมพันธ์ของตัวละครในเกม ซึ่งถ้าหากคุณจะเก็บถ้วย Platinum เกมนี้ อาจจะต้องวางแผนกันหน่อยมิเช่นนั้นก็อาจจะไม่ทันในตอนจบเกม แต่ผมแนะนำว่าให้ไปเก็บรอบสองดีกว่า แล้วรอบแรกเล่นตามธรรมชาติไปจะสนุกกว่าครับ (เพราะตัวเกมมี New Game + ให้เล่นอยู่แล้ว)


ในเกมยังมีการที่เราสร้างความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆอีกด้วย ซึ่งการที่เราสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาเช่น นั่งคุยกับพวกเขา อ่านหนังสือด้วยกัน ออกไปหาอะไรทานด้วยกัน จะเพิ่มค่าความสัมพันธ์ของคุณกับตัวละครนั้นๆ และมันจะทำให้ตัวละครนั้นๆได้ความสามารถต่างๆ หรือ ทำอะไรบางอย่างพิเศษได้ในเวลาถึงฉาก Battle หรือตอนที่เข้าไปในโลกของทีวีสำหรับตัวละครที่เราควบคุมได้ หรือ ถ้าเป็นตัวละครที่เราควบคุมไม่ได้หรือเล่นไม่ได้ ถ้าหากเราพัฒนาความสัมพันธ์ไปจนสุดแล้วล่ะก็ เราก็จะสามารถสร้าง Persona หรือ มอนเสตอร์ที่แข็งแกร่งมากๆ ได้อีกด้วย



มาพูดถึงในส่วนของระบบต่อสู้กันบ้าง ระบบต่อสู้ใน Persona 4 : Golden นั้น ถือได้ว่าเป็นระบบต่อสู้ที่ค่อนข้างจะลึกพอตัวเลยทีเดียว โดยหลักๆก็คือ เราจะใช้สิ่งที่เรียกว่า "Persona" หรือ เข้าใจง่ายๆก็คิดซะว่ามันเป็น Pokemon ละกัน ในการต่อสู้กับมอนเสตอร์ต่างๆหรือบอสต่างๆตลอดทั้งเกม และ Persona เหล่านี้ ต่างก็มีธาตุที่ชนะหรือแพ้ และบางตัวที่จะไม่แพ้ธาตใดๆเลย หรือกระทั่ง สะท้อนธาตุนั้น ดูดพลังของธาตุนั้นเข้ามาเป็นพลังชีวิตของตัวเองก็ยังมีอีกด้วย เพราะ ฉะนั้นผู้เล่นควรจะใจเย็นและตั้งใจดูก่อนที่จะโจมตีด้วยท่าอะไรไปก่อนทุกครั้ง ไม่งั้นโจมตีท่ามั่วๆซั่วๆไป กลายเป็นเพิ่มพลังชีวิตให้แทนจะซวยนะจ๊ะ  ซึ่ง Persona เหล่านี้จะได้มาจากการที่เราฆ่าหรือชนะมอนเสตอร์ตัวอื่นๆ ที่จะมีโอกาสที่จะสุ่มมาเป็นการ์ด Persona ให้เราเลือกมาใช้ได้ หรือ เราจะนำการ์ดที่เราไม่ใช้แล้ว มารวมๆกันหลายๆใบแล้วผสมกันเป็นการ์ด Persona ที่แข็งแกร่งขึ้นได้ ก็สามารถจะทำได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งการที่เราผสมการ์ดหลายๆใบเข้าด้วยกัน จะสามารถถ่ายทอดท่าหรือพลังบางท่า เช่น ท่าปล่อยน้ำแข็งระดับ Medium ให้กับ Persona ตัวใหม่ที่เราจะผสมออกมาได้อีกด้วย ซึ่งยิ่งเพิ่มความน่าสนุกกับการผสมเข้าไปอีก ยังไม่รวมถึง Persona ในเกมที่เยอะเหลือเกิน และทุกๆตัวมีรูปร่างเวลาใช้ที่แตกต่างกันหมด ไม่ใช่เป็นแบบ Re-use เหมือนกันหมดทุกตัวแน่นอน ถึงแม้ว่าตัวมอนเสตอร์ที่เราจะเจอในตามฉากต่างๆในเกม อาจจะซ้ำกันไปบ้าง หรือ ใช้ทริคสุดแสนคลาสสิค เปลี่ยนสีเอานิดหน่อยบ้าง แต่ก็ถือว่าอยู่ในจุดที่พอรับได้ ไม่ซ้ำมากจนน่ารำคาญหรือรู้สึกได้ถึงความขี้เกียจแต่อย่างใด ถ้าหากคุณสร้างความสัมพันธ์ของคุณกับบางตัวละครไปถึงจุดๆหนึ่ง ตัวละครนั้นๆก็จะมีค่าความสามารถพิเศษที่ใช้ได้ในตอนต่อสู้ เช่น แก้สถานะผิดปกติบางอย่างให้กับตัวละครอื่นๆได้ หรือ บางครั้งที่คุณโจมตีและทำให้ศัตรูล้มลงแล้ว ตัวละครนั้นๆก็อาจจะส่งสัญญาณขอให้เข้าไปใช้ความสามารถพิเศษที่อาจจะทำให้ศัตรูตัวอื่นล้มลงด้วย หรือ กระทั่งลบศัตรูบางตัวออกจากสนามไปเลยก็ยังมี และ วิธีที่คุณจะทำให้ศัตรูของคุณล้มนั้นมีหลายวิธีด้วยการ เช่นใช้ธาตุที่ศัตรูตัวนั้นๆแพ้โจมตีใส่ เช่น Persona ตัวนี้แพ้ไฟ คุณก็โจมตีมันด้วยไฟ ก็จะทำให้ศัตรูตัวนั้นๆล้มลง , โจมตีติดคริติคอล หรือ สกิลบางสกิลที่่ทำให้ศัตรูล้มลงก็มี่เช่นกัน ถ้าหากคุณสามารถที่จะทำให้ศัตรูล้มลงได้สำเร็จคุณก็จะได้สิทธิที่จะสามารถใช้ท่าได้ต่ออีกรอบเลยทีเดียว (แต่ศัตรก็สามารถทำได้เช่นกันระวังด้วย) และ ถ้าหากคุณสามารถที่จะล้มศัตรูได้หมดทั้งสนามคุณก็จะสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะใช้ระบบ All-Out-Attack หรือไม่ ซึ่งระบบ All-Out-Attack นั้นจะเป็นเหมือนกับการที่ตัวละครทุกๆตัวของคุณ(ที่ไม่ติดสถานะผิดปกติบางอย่างอยู่) เข้าโจมตีศัตรูทั้งสนามพร้อมๆกับซึ่งสร้างความเสียหายรุนแรงมากๆเลยทีเดียว หรือ ถ้าหากคุณคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ทำอย่างอื่นเช่นฮิลรักษาเพื่อนของคุณก็ทำได้เช่นกัน (แต่คุณก็จะเสียโอกาสใช้ All-Out-Attack ไป) 


ระบบต่อสู้ในเกมนั้นจะให้ความท้าทายกับผู้เล่นอยู่ตลอดเวลาแม้ในระบบ Normal ก็ตามทีที่สนุก ตื่นเต้น พอตัวเลยทีเดียว (มาถึงกดท่ามั่วๆระวังจะได้เริ่มใหม่ทั้งชั้นนะเอ่อ) และ Boss Fight ก็เป็นอะไรที่ท้าทาย ตื่นเต้น มากเลยทีเดียว แต่เนื่องจาก Persona 4 : Golden เป็นเกมที่มีระบบ LV. เข้ามาเกี่ยวด้วย ถ้าหากคุณเป็นพวกบ้าฟารม์แบบผมหน่อย ก็อาจจะไม่ค่อยท้าทายเท่าไรนัก เพราะ กว่าเราจะไปสู้กับบอสเราก็ค่อนข้างจะโหดพอตัวอยู่แล้ว (แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะกดท่ามั่วๆได้นะ ตายนะเออ)  แต่เท่าที่ผมเล่นมา ถือว่าตัวเกมทำได้ดีในด้านการพัฒนาจากด้านต่างๆไปอีกด้านได้ดีพอตัวเลย เพราะถึงแม้จะฟารม์ EXP เท่าไรก็รู้สึกว่า ในการต่อสู้แต่ละครั้ง ท้าทาย และ สนุกเสมอๆ ไม่ใช่เราถล่มเขาฝ่ายเดียว


Stage หรือ ฉากต่างๆในแต่ละฉากก็ Design ออกมาได้ดีทั้งหมดเลยทีเดียว ไม่ใช้ฉากใช่แล้วซ้ำเลยแม้แต่น้อย และในหลายๆฉากจะมีอะไรพิเศษๆที่ทำให้แตกต่างจากฉากอื่นๆ เช่น ฉากฐานลับที่เวลาเราเปิดประตูในฉากมันจะเปิดแบบเหมือนเราเข้าไปในองค์กรลับอะไรจริงๆ หรือ ฉากคลับ ที่ประตูจะกลายเป็นเหมือนม่าน เหมือนเราเข้าไปดูโชว์อะไรจริงๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกสนุกตลอดเวลา และ ไม่รู้สึกซ้ำซาก กลับกัน รู้สึกอยากจะรู้ ว่าฉากต่อไปมันจะเป็นอย่างไร มีอะไรพิเศษเสียมากกว่า ในแต่ละฉากนั้นจะมีเป็นชั้นๆไป ซึ่งชั้นสูงสุดจะมีบอสรอคอยเราอยู่ ซึ่งในแต่ละชั้นๆ นั้นจะมีทางเดินที่แตกต่างกันเสมอๆ และคาดเดาได้ค่อนข้างจะยากพอตัว แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ถ้าคุณเป็นคนเดาเก่ง(หรือเปิดเว็ปดูว่าจะต้องเดินอย่างไร) คุณก็จะผ่านชั้นๆนั้นไปโดยไม่เสียเวลามากนัก แต่ถ้าหากคุณดวงซวยหน่อยสุดท้ายคุณจะก็ได้ผ่านชั้นนั้นแน่นอน แต่อาจจะเสียเวลาไปกับการเดินไปเจอทางตันพร้อมกับมอนเสตอร์แทน ทางขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งเราจะไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า สร้างความตื่นเต้น น่าค้นหาได้ดีเลยทีเดียว



สำหรับในส่วนของภาพถือได้ว่าเป็นเกมที่ค่อนข้างจะมีภาพที่สวยเลยทีเดียว สำหรับเกมที่เป็นการพอรต์มาลงใหม่ ไม่ได้เป็นเกมที่สร้างมาลงให้ PSVita ตั้งแต่แรก Cut Scene ที่สวยงาม น่าตื่นตา เลยทีเดียว (เสียดายที่น่าจะมีให้เปิด Subtitle ใน Cut Scene ซักหน่อย) 



Persona 4 : Golden เป็นเกมที่ในตอนนี้คงจะไม่มีใครเถียงได้ว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดในขณะนี้สำหรับเครื่อง PSVita เลยทีเดียว และเป็นเกมที่ถ้าหากคุณมีเครื่อง PSVita อยู่ในมือล่ะก็ ควรจะหามาเล่นซักครั้งในชีวิตจริงๆ ผมไม่รู้จะหาข้อเสียมาพูดยังไงสำหรับเกมนี้จริงๆ เพราะมันไม่มีจุดใดในเกมที่ผมรู้สึกว่าทำได้ไม่ดีเลยแม้แต่จุดเดียว ทุกอย่างดูจะลงตัวไปเสียหมด ในทุกๆจุดที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม และ พอมารวมกับเป็นเกมๆหนึ่งมันช่างลงตัวกันได้อย่างน่าทึ่งเหลือเกิน โดยเฉพาะ การสร้างความสัมพันธ์ของผู้เล่นกับตัวละครในเกม ที่ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ "เกม" อีกต่อไปแล้ว 




Final Score : [ S ] & [ Must Play Badge ] 

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

About Time ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
คุณเคยอยากที่จะย้อนเวลา กลับไปแก้ไขบางสิ่งบางอย่างบ้างไหม ?





Movie Name : About Time ( 2013 ) , Drama / Comedy 
Director : Richard Curtis ( Love Actually )
Stars : Rachel McAdams ( The Vow , Midnight In Paris ) , Domhnall Gleeson ( Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2 , Dredd ) , Bill Nighy ( Underworld , Harry Potter and the Deathly Hallows Part 1 , Love Actually ) 
Rating : น 13 + 








REVIEW


                                                                              วกเราหลายๆคนนั้น น่าจะเคยมีความคิดกันบ้าง ว่า "จะเป็นอย่างไร ? ถ้าหากเราสามารถที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขบางสิ่งบางอย่างในอดีตได้" เช่น กลับไปแก้ไขบางคำพูดที่เราพูดออกไป บางการกระทำ หรือการตัดสินใจบางอย่างที่เราอาจจะทำผิดพลาดไป  ถ้าหากคุณเคยมีคำถามนี้ขึ้นมาล่ะก็ ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงเรื่องราวนี้ได้น่าสนใจสำหรับคุณพอควรเลยทีเดียว (ถึงขนาดที่ IMDB จัดภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในหมวด Sci-fi เฉย ฮ่าๆ)


About Time นั้นผู้กำกับเขามีชื่่อว่า Richard Curtis ซึ่งน่าจะพูดได้เลยว่า เขาเป็นทั้งผู้กำกับและนักเขียนบทภาพยนตร์แนวตลก หรือ โรแมนติก ที่มีความสามารถมากๆอีกคนหนึ่ง ดูจากได้ผลงานที่ผ่านๆมาของเขาอย่างเช่น Love Actually หรือ ภาพยนตร์/คาแรคเตอร์สุดโด่งดังอย่าง Mr.Bean เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับ Rowan Atkinson (Mr.Bean นั้นแหละ) ซึ่งน่าจะพอการันตีหลายๆอย่างในฝีมือการกำกับของเขาได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว



About Time ว่าด้วยเรื่องราวของ ทิม ที่่ค้นพบว่าตัวเขาเองนั้นมีพลังที่จะสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้พลังนี้ในการตามหาคนรักของเขาให้เจอให้จงได้ 



About Time นั้นต้องขอพูดเลยว่า เป็นภาพยนตร์ที่แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่อง Escape Plan อย่างเห็นได้ชัดมาก (ซึ่งมันก็ต้องแตกต่างอยู่แล้ว) นอกจากประเภทของตัวภาพยนตร์ที่แตกต่างกันแล้ว จุดที่แตกต่างกันอย่างมากซึ่งเป็นข้อเสียใน Escape Plan เลยก็คือ ด้าน Characters ใน About Time นั้น ทุกๆตัวละครนั้น เราช่างแคร์หรือใส่ใจพวกเขาเหลือเกิน เนื่องจากการปูตัวละครที่ยอดเยี่ยมของภาพยนตร์ในช่วงแรก ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตัวละครเหล่านี้จริงๆ โดยภาพยนตร์ใช้วิธีเล่าเรื่องที่ทำให้เรารู้สึก(เหมือนว่า)รู้ทุกอย่างในเรื่องราวของตัวละคร เช่น ครอบครัว นิสัย ความคิด ความหวัง อื่นๆอีกมากมาย ที่ผมใช้คำว่าเหมือนว่า ก็เพราะว่า มันคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีเวลาเพียง  2 ชั่วโมงที่จะอธิบายได้หมดทุกซอกทุกมุมของตัวละคร 100% แบบไม่มีข้อกังขาใดๆ แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะตัวภาพยนตร์ได้ทำให้คุณหลงเชื่อได้สำเร็จไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องสงสัย และผลที่ตามมาก็คือ ทำให้เรารักและเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้เหลือเกิน ในทุกๆเหตุการณ์ ทุกๆเหตุการณ์จริงๆ เราอยากที่จะให้เขาผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ลำบากไปได้ เหมือนเราได้แชร์ประสบการณ์นั้นกับตัวละครนั้นจริงๆ ซึ่งคงจะไม่แปลกเลยถ้าหากคุณจะเสียน้ำตาให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย  ยังไม่นับถึงตัวละครเองที่เขียนมาได้อย่างดี ลึก ช่างน่าสนใจ และ เป็นตัวของตัวเอง มีความสำคัญในทุกๆตัวละครในเรื่องจริงๆ ทุกๆตัวละคร ไม่มีตัวละครใดเลย ที่ทำให้รู้สึกว่า มีมาเพื่ออะไร หรือเป็นตัวละครแบบ Reuse ใช้แล้วทิ้งแบบในภาพยนตร์หลายๆเรื่อง



สำหรับตัวผมนั้น ต้องขอบอกเลยว่าผมไม่ชอบหรือไม่ถูกใจการใช้ Music หรือ Soundtrack ในภาพยนตร์บางเรื่องอยู่บ้าง เพราะ ภาพยนตร์นั้น Music หรือ Soundtrack ควรจะเป็นฉากหลังเท่านั้น ส่วนฉากหน้าควรจะเป็นภาพ แต่ภาพยนตร์บ้างเรื่องกลับใช้ Music หรือ Soundtrack มากจนเกินไปจนบัดบังในส่วนของภาพไปจนหมด ซึ่งแบบนั้นเขาจะไม่เรียกว่า ภาพยนตร์ แต่เขาจะเรียกว่า "Music Video (MV)" แทน สำหรับในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มีบางส่วนในภาพยนตร์ที่ผมรู้สึกว่าใช้ Music มาบดบังตัวภาพอยู่บ้าง แต่ในบางส่วนก็ใช้ Music นี้ช่วยในการเล่าเรื่องได้อย่างดี โดยไม่บดบังตัวภาพและเรื่องราวที่แท้จริงได้อย่างฉลาดไม่น้อยเลยทีเดียว


สำหรับในด้านนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น นักแสดงทุกๆคนถือว่าเล่นได้ดีเลยทีเดียว ทุกๆคนในเรื่องแสดงได้ดีจนให้ความรู้สึกที่เราเชื่อไปซะทุกๆอย่างในแต่ละการกระทำของพวกเขาโดยเฉพาะ Bill Nighy กับ Domhnall Gleeson ที่เคมีเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อในทุกๆฉาก


สำหรับภาพยนตร์เรื่อง About Time ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ สนุก น่าสนใจ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาใดเลยที่คุณจะไม่สนใจถึงการกระทำต่อๆไปของตัวละคร (ซึงเป็นอีกจุดที่มาจาก Characters ที่ดี) การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ และ น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังมีอารมณ์ขันอยู่ในหลายๆเวลาที่ทำให้คุณหัวเราะได้อย่างง่ายดาย จึงไม่แปลกเลยที่คุณจะรู้สึกเหมือนเป็น 2 ชั่วโมงที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้นั้นก็คือ Plot หรือ บทในภาพยนตร์ ซึ่งต้องขอยอมรับเลยว่า เป็นอีกบทภาพยนตร์หนึ่งที่น่าสนใจเอามากๆ เพราะ อย่างที่ผมกล่าวไปในข้างต้นแล้ว พวกเราหลายๆคน น่าจะเคยคิดกันบ้างล่ะ ว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปได้บ้าง ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็นำประเด็นหรือไอเดียในจุดนี้มาใช้ได้อย่างน่าสนใจเหลือเกิน และยังใช้จุดๆนี้มาบีบหัวใจผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยมในบางฉากอีกด้วย ในท้ายที่สุดแล้วถึงแม้ข้อความที่ภาพยนตร์ต้องการจะบอกกับผู้ชมจะไม่ค่อยแปลกใหม่อะไรมากนัก แต่ก็เป็นข้อความที่เต็มไปด้วยพลังพอสมควร ที่น่าจะทำให้หลายๆคนย้อนกลับไปดูชีวิตในแต่ละวันของตัวเอง และ ได้แรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง แรงผลักดันอะไรบางอย่างกลับมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เช่นเดียวกับตัวผมเอง อย่างแน่นอน



ถึงกระนั้นก็ตาม...ผมก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ว่า มีเพียงจุดเดียวในภาพยนตร์จริงๆที่ยังคงทำได้ไม่ดีนัก และถือเป็นจุดที่ใหญ่ และร้ายแรงที่สุดของภาพยนตร์เลยก็ได้ นั้นก็คือ บทของภาพยนตร์ ใช่มันน่าสนใจ แต่มันก็ไม่ได้"ดี"ขนาดที่จะกลบจุดด้อยของภาพยนตร์จนหมด นั้นก็คือบทในส่วนของ พลังการข้ามเวลาของตัวละครในภาพยนตร์ ที่เอาเข้าจริง ตัวภาพยนตร์แทบจะไม่ได้บอกอะไรคุณมากหรือเจาะลึกลงในส่วนนี้มากเท่าไรเลย เช่น ทำไมครอบครัวนี้ถึงได้พลังนี้มาแต่แรก ? แล้วพลังนี้มันเป็นไปได้อย่างไร ?  จนถ้าหากคุณมานั่งคิดไปคิดมาจริงๆ ตัวภาพยนตร์ในจุดนี้ดูเหมือนจะโกงผู้ชมด้วยซ้ำไป ในการใช้มันกับผู้ชมในหลายๆจุด แต่กลับแทบไม่ได้บอกอะไรมากมายกับมันเลย ถึงแม้ในจุดนี้ตัวภาพยนตร์จะเล่นได้ดี ทำได้ดี ถูกใจผู้ชมได้ดีเท่าไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าในส่วนนี้จะดีเลย เหมือนกับการที่คุณ ทำข้อสอบได้เต็ม 100 คะแนน และคุณเขียนออกมาได้ดีจนทุกคนถูกใจ แต่ในท้ายที่สุดถ้าหากการที่คุณทำข้อสอบนั้น จริงๆแล้วคุณทำมันได้เพราะคุณ"โกง" ใช้ความสามารถของตัวคุณเองจริงๆเพียงบางส่วน หรือ พูดความจริงไม่หมด มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่คุณแทบไม่ได้ทำอะไรมันเลย เพียงแค่คุณทำออกมาถูกใจหรือได้ใจผู้ชมก็เพียงเท่านั้น เพราะถ้าหากไม่มีจุดนี้มาตั้งแต่แรก เรื่องราวหรือภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว 



About Time น่าเสียดายที่เกือบจะไปถึงเส้นชัยอยู่แล้วเชียว แต่กลับมาพลาดจุดที่สำคัญและร้ายแรงเสียก่อน แต่ถึงแม้ตัวภาพยนตร์นั้นจะพลาดในจุดนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยจริงๆ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กุมหัวใจของผู้ชมไปเรียบร้อยแล้ว ตัวละครแต่ละตัวที่ช่างเขียนมาได้น่าสนใจ น่าติดตาม การเล่าเรื่องที่ดี รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้เราเข้าถึงตัวละครเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันได้ผลอย่างไม่ต้องสงสัย การนำไอเดียที่หลายๆคนเคยคิดถึง ฝันถึงพูดถึง มาเล่าในภาพยนตร์ได้น่าสนใจ นักแสดงทุกๆคนที่แสดงได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนั้นยังเป็นภาพยนตร์ที่ให้อะไรกับผู้ชมได้กลับไปคิด ได้เป็นแรงบันดาลใจติดไม้ติดมือไปอีกด้วย About Time ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ Comedy / Drama ที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจในทุกๆช่วงวินาทีได้อย่างไม่ต้องสงสัย 




Final Score [ B + ] & [ Must See Badge ] 

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Escape Plan ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
พักสงคราม CG แล้วมาสนุกกับ Action Old Style กันดีกว่า !!






Movie Name : Escape Plan ( 2013 ) Action / Thriller / Mystery
Director : Mikael Hafstrom ( 1408 )
Stars : Sylvester Stallone ( Rambo , The Expendable ) , Arnold Schwarzenegger ( The Terminator , Predator ) 
Rating : R ( ความรุนแรงในระดับหนึ่ง , ภาษาที่รุนแรง )






REVIEW



                                                                                  นช่วงหลายๆปีที่ผ่านมานี้นั้น สำหรับวงการภาพยนตร์นั้น ถือได้ว่ามีการพัฒนามากมายในด้านเทคโนโลยีและการถ่ายทำ ซึ่งภาพยนตร์แนว Action หรือ Sci-fi ก็ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์สองชนิดที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ซึ่งสังเกตุได้จากช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ภาพยนตร์แนวนี้ส่วนใหญ่สมัยนี้จะแข่งกันที่ความอลังการทางด้าน Computer Graphics หรือ CG กันพอตัวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Avatar , Tron : Legacy , Pacific Rim หรือแม้กระทั่ง Gravity ที่ผู้กำกับต้องนั่งรอโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยมาถึง 4 ปีเพื่อที่จะรอให้เทคโนโลยีมันพร้อมกับสิ่งที่เขาต้องการจะนำเสนอ นอกจากนั้นภาพยนตร์บางเรื่องเหล่านี้ก็ยังมาพร้อมกับบทที่อลังการมากขึ้น ยิ่งใหญ่มากขึ้นอีกด้วย สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Escape Plan นั้น เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ Action ที่ค่อนข้างจะกลับมาสู่สามัญหรือยุคเก่าแต่เก๋าพอสมควร ที่ไม่ได้เน้นทางด้าน CG เลย แต่เน้นกันที่การต่อย เตะ อาละวาดกันแบบแสดงจริงไม่ได้พึ่ง Computer ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งสำหรับภาพยนตร์ Action ในช่วงนี้ที่น่าสนใจอยู่พอสมควร เพราะนอกจากจะถือว่าเป็นการได้พักสำหรับคนดู สำหรับภาพยนตร์ช่วงท้ายปีที่จะถาโถมใส่มากมายแล้วล่ะก็ การที่เราได้กลับมาสู่อะไรที่ธรรมดาๆบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยทีเดียว



Escape Plan ว่าด้วยเรื่องราวของ เบรสลิน (Stallone) เขาเป็นนักตรวจสอบโครงสร้างการรักษาความปลอดภัย หรือพูดง่ายๆว่า เขานั้นทำอาชีพที่ยอมโดนจับเข้าคุกไปเพื่อที่จะแหกออกมาและพิสูจน์ว่าคุกนั้นๆ ไม่ปลอดภัยพอ จนวันหนึ่งเขาพบว่าตัวเองนั้น อยู่ในคุกที่เรียกได้ว่าปลอดภัยทีสุด ลับที่สุด จนไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะแหกออกมาได้ เขาจะทำอย่างไรที่จะแหกคุกนี้ออกมาให้ได้ หรือเขาจะต้องติดอยู่ในคุกนี้ตลอดไป ?



Escape Plan ต้องขอบอกเลยว่า เป็นภาพยนตร์ที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแล้ว นั้นก็คือ"การสร้างความบันเทิง"ให้กับคนดู เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่ได้สร้างกะมาชิงรางวัลออสก้า(หรือคงไม่มีใครเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะเหตุผลนี้)อย่างแน่นอน สำหรับใครที่จะเข้าไปเพื่อที่จะผ่อนคลาย หรือ ชมภาพยนตร์ที่สนุก ดูไม่ยาก ก็น่าจะพอใจและคุ้มค่าตั๋วกับภาพยนตร์เรื่องนี้พอสมควร อีกสิ่งเลยที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดีมากกว่าปกติขึ้นไปอีก นั้นก็คือ นักแสดงอย่าง Stallone หรือ Arnold ที่เอาเข้าจริงถ้าหากคุณเป็นแฟนๆสองคนนี้หรือคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว คุณก็คงจะไม่เสียดายเงินซักเท่าไรนัก ทั้งสองคนนั้นมีฉากบางฉากที่ค่อนข้างน่าจะถูกใจแฟนๆอยู่ทีเดียว (โดยเฉพาะ Arnold ที่เท่จริงๆ) และ มี San Neill !! มาแสดงด้วยอีกต่างหาก (สำหรับผู้เขียนเข้าไปดู Sam Neill พอละฟิน) นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์นั้นเรียกได้ว่าหลายๆจุดก็ทำได้ไม่แย่เลยทีเดียว เช่น บทที่ค่อนข้างจะน่าสนใจ และ Unique อยู่บ้างหรือจะเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ Action ที่มี"บท"อยู่บ้าง รวมไปถึงการที่ภาพยนตร์ผสมความเป็น Mystery การแหกคุก ต่างๆนาๆที่น่าสนใจลงไปบ้างเรียกได้ว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวละครร้ายในภาพยนตร์ที่ถือว่าทำได้ในระดับพอรับได้ซึ่งก็พอจะเห็นความพยายามอยู่บ้างแล้ว(แต่มันไม่เพียงพอที่จะยกระดับไปมากกว่านี้) 



                                                          ทีนี้มาพูดถึงตัวเนื้อผ้า ลายผ้าที่แท้จริงกันบ้างว่าเป็นอย่างไรสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้    อย่างแรกที่ทำได้ค่อนข้างจะไม่ดีนักก็คือ Characters ในภาพยนตร์ อย่าเข้าใจผิดไป Characters เหล่านี้นั้นน่าสนใจพอตัวเลยทีเดียว แต่ปัญหาคือ ภาพยนตร์นั้นให้เวลากับการเล่าตัวละครเหล่านี้น้อยมาก จนคุณแทบจะไม่รู้ถึง Back Story ของตัวละครเหล่านี้เลย ไม่มี Flashback ใดๆทั้งนั้น อย่างมากก็มีแค่คำพูดไม่กี่คำ ซึ่งมันเป็นสาเหตุที่ลากมาถึงสาเหตุที่จะทำให้คุณจะไม่รู้สึกผูกพันธ์หรือสนใจอะไรในตัวละครเหล่านี้ซักเท่าไรเลย เช่น ถ้าหากตัวละครบางตัวตายไปหรือเป็นอะไรไป คุณก็แทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะ คุณไม่รู้สึกผูกพันธ์ใดๆกับตัวละครเหล่านี้เลย ซึ่งมันเป็นส่วนสำคัญในภาพยนตร์ๆเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าตัวละครนั้นจะดีเลิศเลอแค่ใดก็ตาม หรือ นักแสดงดีเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าหากคนดูไม่รู้สึกร่วมใดๆเลยกับตัวละครนั้น เกือบทุกๆ Element ในภาพยนตร์ก็จะ Drop หรือ น้อยลงตามไปด้วย ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมีการถ่ายทำในช่วงแรกที่ค่อนข้างจะน่าสนใจ ด้วยการเล่าตัวละครด้วยภาพ แต่นั้นก็เป็นบางส่วนเท่านั้นของตัวละคร และ นั้นมันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าเพียงพอที่จะเป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบที่จะทำให้เรารู้สึกร่วมได้เลย 



ในช่วงกลาง-ท้ายเรื่องของภาพยนตร์ที่เร่งมากเกินไป จนทำให้ตัวละครบางตัวแทบจะแบน ไม่น่าสนใจ และคุณไม่สนใจใดๆเลย จนเรียกได้ว่าไม่มีเลยยังได้ ทั้งๆที่จากที่ดูแล้ว ถ้าหากภาพยนตร์ใช้เวลาในการเล่าเรื่อง ปูตัวละคร Back Story ที่ดีกว่านี้ มันจะทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับตัวละครเหล่านี้ได้ดีกว่านี้มาก เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้ มันไม่ใช่แบบนั้น.... สุดท้ายเลยก็คือ บางส่วนของตัวภาพยนตร์นั้นใช้เหตุผลในบางจุดที่นำตัวละครออกจากสถานการณ์ที่ลำบาก ได้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนักหรือน้ำหนักของเหตุผลมันยังไม่เพียงพอ เหมือนประมาณว่า "โอ้ เราจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้ตัวละครนี้รอดได้ เอาเป็นว่าอ้างแบบนี้ละกันจบ" ซึ่งมันทำให้รู้สึกถึงความขี้เกียจเสียมากกว่า



สุดท้ายนี้แล้ว Escape Plan ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ดี-ไม่แย่ ซะทีเดียว หลายๆสิ่งหลายๆอย่างเช่น บท หรือ ตัวละครร้าย ที่อยู่ในระดับพอรับได้ Characters หรือ ตัวละครที่ค่อนข้างจะแย่แต่ก็ไม่แย่ถึงขนาดที่จะทนดูไม่ได้ สาเหตุจริงๆที่คนหรือผู้ชมจะเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะมาจาก นักแสดงนำระดับแม่เหล็กใหญ่ทั้งสองคนเสียมากกว่า หรือ อย่างน้อยก็เพื่อที่จะเข้าไปชมภาพยนตร์เพื่อผ่อนคลาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็น่าจะถือได้ว่าสอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่าคงไม่ใช่ Top Class หรือ ใกล้เคียงกับ Top Class อย่างแน่นอน 




Final Score : [ C+  ] 

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Gravity ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
Gravity ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปี 2013 ?




Movie Name :  Gravity ( 2013 ) , Sci-Fi / Thriller / Drama , Warner Bros.
Director : Alfonso Cuaron ( Harry Potter and the Prisoner of Azkaban , Children of Men ) 
Stars :  Sandra Bullock ( The Blind Side , The Proposal ) , George Clooney ( Ocean's Eleven , Up In The Air )
Rating : PG -13








REVIEW




                                                                              Gravity เป็นภาพยนตร์ที่มีหลายๆคนรอคอยรวมถึงตัวผมเองอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากหลายสาเหตุ สาเหตุแรกก็คงจะเป็นเสียงชมจากนักวิจารณ์ต่างประเทศที่พูดไปทางเดียวกันหมดด้วยคะแนน Metacritic สูงลิ่วชนิดที่แทบจะนับเรื่องได้ถึง 96 คะแนน และ มะเขือเน่า Rotten Tomatoes ที่สูงถึง 98% สาเหตุต่อมาก็คงจะเป็นนักแสดงอย่างเช่น George Clooney ที่เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง และมีคนชื่นชอบอยู่มากเลยทีเดียว ซึ่งเขาคนนี้นั้น ได้รางวัลออสก้ามาแล้วถึง 2 ครั้งเลยทีเดียว ครั้งแรกเขาได้จากภาพยนตร์เรื่อง  Syriana ด้วยสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และ ครั้งที่สองเมื่อปีที่แล้วจากภาพยนตร์เรื่อง Argo ที่เขารับหน้าที่เป็น Producer นั้นเอง อีกคนนั้นก็คือ Sandra Bullock  ซึ่งเธอก็เป็นนักแสดงอีกคนที่มีชื่อเสียงค่อนข้างจะมากเลยทีเดียว นอกจากนั้นเธอยังได้รางวัลออสก้ามาคว้าไว้แล้วตัวนึงอีกด้วย จากภาพยนตร์เรื่อง The Blind Side  ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ก็คงต้องมานั่งคอยดูกันว่า ปีนี้ Gravity จะได้คว้ารางวัลอะไรกลับไปบ้าง



สำหรับผู้กำกับ Gravity นั้น เขาคือ Alfonso Cuaron ซึ่งถ้าพูดถึงผลงานกำกับเขาล่ะก็หลายๆคนก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว นั้นก็คือ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban หรือ Harry Potter ภาคที่ 3 นั้นเอง รวมถึงภาพยนตร์อย่าง Children of Men ที่ค่อนข้างจะเป็นภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว และเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างจะมุ่งมั่นมากๆอีกคนหนึ่งเนื่องจากภาพยนตร์ Gravity เรื่องนี้นั้น ถูกทิ้งเอาไว้โดยไม่มีอะไรคืบหน้าถึง 4 ปี (หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า Development Hell) เนื่องจากความมุ่งมั่นของภาพยนตร์ในด้านภาพ ความสมจริง และการถ่ายทำ ทำให้ผู้กำกับ Alfonso Cuaron ต้องรอจนกว่าที่เขาคิดว่าเทคโนโลยีน่าจะสามารถทำสิ่งที่เขาต้องการได้ จนเขาได้เห็น Avatar ของ James Cameron ในปี 2009 และในเวลาเหล่านี้เองก็มีการเปลี่ยนแปลงนักแสดงมากมายจนกว่าจะมาถึง Sandra Bullock และ George Clooney ในตอนนี้ อย่างเช่นตอนแรกที่ ทาง Universal ทาบทามบทนำแสดงให้กับ Angelina Jolie แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเนื่องจากคิดว่าน่าจะทำให้ภาพยนตร์มีต้นทุนที่สูงเกินไป (รวมไปถึง Angelina Jolie ปฏิเสธถึงสองครั้งในเวลาต่อมาอีกด้วย) และ ในเวลาต่อมา Warner Bros. จึงได้เข้ามารับ Project ต่อไป โดยผู้กำกับ Alfonso Cuaron ได้ Casting นักแสดงเอาไว้นั้นก็คือ Sandra Bullock กับ Robert Downey Jr. แต่เนื่องจาก Robert Downey Jr. ติดปัญหาทางด้านตารางที่ไม่ตรงกัน บทจึงตกไปอยู่ในมือของ George Clooney ในท้ายที่สุด (ยังไม่รวมถึงบทนำแสดงหญิงที่หลังจาก Angelina Jolie ปฏิเสธแล้ว ทำให้ตัวเลือกหลักตกไปอยู่กับ Natalie Portman จนในท้ายที่สุดต้องเปลี่ยนไปเพราะเธอประกาศว่าได้ตั้งครรภ์) ยังไม่รวมถึงการที่ตัวเขาเองนั้นเข้าไปมีส่วนร่วมเขียนบทภาพยนตร์ Gravity ด้วยตัวเองร่วมกับลูกชายของเขา จึงอาจจะพูดได้เลยว่า เขานั้นค่อนข้างที่จะเข้าใจถึงทุกๆส่วนในภาพยนตร์เลยทีเดียว



Gravity นั้นว่าด้วยเรื่องราวของ Ryan Stone ซึ่งเป็นวิศวกรแพทย์ กับ Matt Kowalski ซึ่งเป็นนักบินอวกาศ พวกเขาจะต้องเอาชีวิตรอดหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ท่ามกลางอวกาศที่เวิ้งว้าง ไร้ความปราณีนี้ พวกเขาจะเอาชีวิตรอดอย่างไร ?



มาเข้าถึงรีวิวภาพยนตร์กันจริงๆล่ะ Gravity นั้น สำหรับตัวผมแล้ว ต้องขอบอกไว้เลยว่า นี้คือภาพยนตร์ที่พูดถึง สื่อถึง เล่าถึง อวกาศที่"แท้จริง และ สมจริง" อย่างที่สุด เท่าที่เคยได้ดูมาในภาพยนตร์เรื่องไหนๆเลยทีเดียว อวกาศที่ช่างดูสวยงาม งดงาม แต่เต็มไปด้วย ความอันตรายทุกเสี้ยววินาที ความไร้ปราณี ไร้อากาศหายใจ ไร้แรงโน้มถ่วง และ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆที่จะสามารถมีชีวิตได้อยู่ท่ามกลางอวกาศนี้ ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างจากภาพยนตร์ Sci-Fi ในหลายๆช่วงที่ผ่านมาอยู่พอสมควรเลยทีเดียว และ ต่อให้ไม่แตกต่างกันมาก ก็คงไม่สมจริงเท่าใน Gravity อย่างแน่นอน



จุดแรกที่ผมอยากจะขอชมแบบสุดหัวใจเลยนั้นก็คือ CG หรือ ภาพในภาพยนตร์ ที่ช่างสวยงาม อลังการ สมจริง น่าทึ่งเป็นที่สุด ในทุกๆ Shot ทุกๆ Scene นั้น เต็มไปด้วยรายละเอียดที่มากเหลือเกิน มากจนขนาดไม่น่าเชื่อว่า CG ในตอนนี้จะทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นโลกของเราที่มองมาจากอวกาศที่สวยงามอย่างที่สุด และเต็มไปด้วยรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นเมฆ ภูเขา พื้นที่ต่างๆมากมาย ที่เก็บรายละเอียดได้สุดยอดจริงๆ เรียกได้ว่าหลายๆครั้งมากในภาพยนตร์ที่ผมถึงกับขนลุกกับ CG ที่สำคัญเลยก็คือ CG ใน Gravity แทบจะทุกๆสิ่งมันดูจะสำคัญ หรือ อาจจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างเสมอๆ ซึ่งต่างกับภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ใช้ CG เพียงเพื่อความสวยงาม อลังการเท่านั้นแต่ไม่มีความสำคัญและไร้ซึ่งความหมายใดๆซึ่งมันเท่ากับไร้ประโยชน์ 


สำหรับตัวผู้กำกับ Alfonso Cuaron นั้นเรียกได้ว่าเขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม และทำการบ้านมาดีสุดๆจริงๆ หลายๆฉากที่เขาใช้เทคนิค Long Shot ที่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงห่วงอวกาศอันเวิ้งว้างได้อย่างน่าทึ่ง สมจริง เหมือนเราไปอยู่บนอวกาศจริงๆ และในหลายๆฉากที่ตัวละครตกอยู่ในสถานการลำบาก เขาก็ถ่ายแต่ละ Shot และใช้เทคนิคได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น บางฉากเขาใช้มุมมองแบบ First Person ที่เหมือนคุณเป็นตัวละครนั้นๆ คือใช้มุมมองที่ตัวละครนั้นเห็นอยู่จริงๆ แถมในฉากๆนั้นๆยังเต็มไปด้วย รายละเอียดอีกต่างหาก ถ้าหากเขาใช้มุมมองแบบ First Person นอกจากคุณจะเห็นเหมือนที่ตัวละครเห็นแล้ว เสียงพูด และ เสียงต่างๆที่คุณได้ยินจะเหมือนเสียงที่ตัวละครได้ยินในชุดจริงๆ ซึ่งแตกต่างจากเสียงแบบมุมมองแบบปกติอย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งแสดงได้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดในแต่ละฉากอย่างแท้จริงซึ่งเนื่องจากการใช้เทคนิคที่ยอดเยี่ยมของเขาเนี้ยแหละ ทำให้หลายๆส่วนในภาพยนตร์นั้นสมบูรณ์ไปด้วยอย่างง่ายดายเลยทีเดียว ยังไม่รวมถึงบาง Shot และ การเล่าเรื่องที่สื่อความหมายบางอย่างที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลาในภาพยนตร์



Gravity นั้นเป็นภาพยนตร์ที่สนุก และที่สำคัญ ตื่นเต้นที่สุดอีกเรื่องในปีนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจากหลายๆสาเหตุเช่น เทคนิคของผู้กำกับ CG ที่สวยงาม สมจริง ชวนให้เชื่อ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือตัวละคร ที่ทั้งเรื่องนั้นเอาเข้าจริงเราจะได้เจออยู่จริงๆก็แค่ 2 ตัวละครเท่านั้น แต่ 2 ตัวละครนี้นั้นช่างน่าสนใจ ลึก น่าเชื่อถือเหลือเกิน และช่างเป็น 2 ตัวละครที่คุมทั้งเรื่องได้อย่างไร้ข้อกังขาใดๆเลย นอกจากนั้นยังสมจริงอย่างที่สุดในทุกๆการกระทำที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ทั้งเรื่องอีกด้วย โดยเฉพาะตัวละครอย่าง ดร.สโตน ที่ภาพยนตร์ทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอดในการให้เธอกับผู้ชมผูกพันธ์กันอย่างโดยไม่รู้ตัว ทุกครั้งและทุกครั้งจริงๆ ที่ตัวละครนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก คุณมักจะเอาใจช่วยเธออย่างสุดใจทุกๆครั้งให้ผ่านเหตุการณ์นั้นๆไปให้ได้ เนื่องจากตัวละครนี้ช่างน่าเชื่อถือ สมจริง และเหมือนมนุษย์จริงๆเป็นที่สุด ยังไม่รวมถึงเทคนิคการถ่ายทำของภาพยนตร์อย่างเทคนิค First Person ที่ทำให้เราเห็นเหมือนที่เธอเห็น ยิ่งทำให้คุณซึ่งเป็นผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเธอ และเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครนี้ ง่ายเข้าไปอีกซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งเป็นที่สุด นี้ยังไม่นับถึงนักแสดงทั้งสองคนในภาพยนตร์ที่แสดงได้อย่างสมจริงเป็นที่สุด โดยเฉพาะ Sandra Bullock ที่นำผลงานการแสดงระดับสุดยอดมาอีกครั้ง



สำหรับตัวผมนั้นได้โอกาสชม Gravity ในระบบ 3D (Third Dimension) หรือ สามมิติ เพราะ ฉะนั้นไม่พูดถึงไม่ได้เลยทีเดียว สำหรับระบบ 3D ใน Gravity นั้นเรียกได้ว่าสร้างมาได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ ไม่เหมือนภาพยนตร์ 3D 90% ของสมัยนี้ที่ โยนๆอะไรเข้าใส่คนดูหน่อยก็เรียกว่า 3D แล้ว แต่ 3D ใน Gravity นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ในทุกๆฉากคุณจะรู้สึกถึง Depth of Field หรือ ความลึก ความติ้นอยู่ตลอดเวลา ในฉากหลายๆฉากก็ทำได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจรวมไปถึงเรื่องราวจากตัวภาพยนตร์ที่พูดถึงอวกาศเองด้วยก็ทำให้เหมาะสมแล้วกับการเป็น 3D  อย่างที่สุด


ถึงแม้ว่าภายนอกตัวภาพยนตร์เหมือนจะมีบทที่พื้นๆทั่วไปก็ตาม แต่นั้นไร้ความหมายไปเลย ถ้าหากผู้กำกับนั้น เข้าใจบทอย่างแท้จริง และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะสื่อมันออกมา จึงสามารถดึงศักยภาพของมันออกมาได้ 100% หรือ เกิน 100% เก็บได้ทุกรายละเอียด สื่อมันออกมาได้อย่างถูกต้องและแท้จริงเป็นที่สุด มันกลับกลายเป็นทำให้บทที่ดูพื้นๆนั้น ช่างดูยิ่งใหญ่ อลังการ น่าเชื่อถือ สมจริงไปในทันที 



Gravity เป็นภาพยนตร์ Sc-Fi แห่งปีหรืออาจจะพูดได้ว่า แห่งทศวรรษเลยอีกเรื่องหนึ่งก็คงจะไม่เกินจริงเท่าไรนักด้วยการใช้ CG อย่างชาญฉลาด สร้างออกมาได้อย่าง น่าทึ่ง สวยงาม อลังการ สมจริง ในแต่ละฉากที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่มากจนเหลื่อเชื่ออย่างที่สุด การถ่ายทำและการใช้เทคนิคที่เหมาะสมอย่างสุดยอดเป็นที่สุด ส่งเสริมให้ส่วนอื่นดีตามไปด้วย การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม ลุ้นระทึกและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ตัวละครที่ช่างน่าสนใจรวมไปถึงนักแสดงทั้งสองคนที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ระบบ 3D หรือ สามมิติ ที่ทำออกมาได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน ใช้คุณภาพของสามมิติได้เต็มศักยภาพและเหมาะสมเป็นที่สุด นี้คือเหตุผลที่ทำไม Gravity คือภาพยนตร์ที่สุดยอดที่สุดอีกเรื่องหนึ่งแห่งปี และ แห่งทศวรรษนี้



 + จุดที่ทำได้ดี :
+ CG ที่สวยงาม อลังการ สมจริง และน่าทึ่งเป็นที่สุด 
+ ภาพในภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่มากจนน่าทึ่ง
+ การกำกับและการใช้เทคนิคในการถ่ายทำอย่างยอดเยี่ยมในการถ่ายทอดเรื่องราว
+ สนุก ตื่นเต้น ระทึก ตลอดเวลา
+ ตัวละครที่ช่างน่าสนใจ สมจริง และดูเป็นมนุษย์จริงๆอย่างที่สุด ทำให้ผู้ชมเอาใจช่วยอยู่ตลอดเวลา
+ ระบบ 3D ที่ทำศักยภาพของ 3D เอามาใช้ได้อย่างเต็มที่ 
+ บทที่นำมาใช้ได้อย่างเต็มที่่ ดึงศักยภาพของบทออกมาได้ทุกส่วน 


- จุดที่ไปไม่รอด :


Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ] 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Rush ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
หนึ่งภาพยนตร์แข่งรถที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ? 



Movie Name : Rush ( 2013 ) Drama / Action / Biography 
Director : Ron Howard ( Angles & Demons , The Da Vinci Code ) 
Stars : Chris Hemsworth ( Thor , The Avengers , Cabin in the woods ) , Daniel Bruhl ( Inglourious Basterds ) , Olivia Wilde ( Tron : Legacy , In Time ) , Alexandra Maria Lara ( Control ) , Pierfrancesco Favino ( Angels & Demons , World War Z ) 
Rating :  R









REVIEW




                                                                                 Rush เป็นภาพยนตร์แนวแข่งรถที่น่าจะเป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากภาพยนตร์แนวแข่งรถเรื่องอื่นๆอยู่มาก อย่างเช่น Fast and Furious เป็นต้น ซึ่งถ้าหากดูจากภายนอกแล้วมันอาจจะดูเหมือนเป็นภาพยนตร์แข่งรถคล้ายๆเรื่องอื่นทั่วๆไป นอกจากความจริงที่ว่า Rush นั้นสร้างมาจากเรื่องจริง และเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติ


Rush นั้นได้ตัวทีมนักแสดงและผู้กำกับที่เรียกได้ว่า หลายๆคนน่าจะรู้จักอยู่พอสมควรเลยทีเดียว อย่างเช่นนักแสดงอย่าง Chris Hemsworth ที่ตอนนี้คงไม่มีใคร ที่จะไม่รู้จักเขาคนนี้แล้วจากบทอย่าง เทพเจ้าสายฟ้า Thor หรือในภาพยนตร์อย่าง Cabin In The Woods และ Daniel Bruhl ที่บางคนอาจจะเคยเห็นเขามาจากในภาพยนตร์เรื่อง Inglourious Basterds ของ เควนติน ทารันติโน่ มาแล้ว นอกจากนั้น Rush ยังได้ตัวผู้กำกับอย่าง Ron Howard จากผลงานกำกับ The Da Vinci Code และ Angels & Demons มาอีกด้วย


Rush ว่าด้วยเรื่องราวที่สร้างมาจากเรื่องจริง ในปี 1970s ในการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวันอันไร้ความปราณี ของ James Hunt และ Niki Lauda 



Rush จุดแรกที่น่าจะเป็นจุดที่สำคัญที่สุดและแข็งแรงที่สุดของภาพยนตร์เลย ก็คือตัวละครของ James Hunt และ Niki Lauda ซึ่งเป็นสองตัวละครหลักที่เราจะได้ชมตลอดทั้งเรื่อง สองตัวละครนี้นั้นจากจะน่าสนใจสุดๆแล้ว ยังเป็นสองตัวละครที่ช่างสมเหตุสมผล และน่าเชื่อถือเหลือเกิน ไม่ว่าจะเหตุผลที่ทำไมเขาถึงรักอาชีพนักแข่งรถที่ช่างเสี่ยงอันตรายนี้ ทำไมเขาถึงมาเป็นคู่แข่งกันได้ และเป็นอีกสองตัวละครที่ค่อนข้างจะมีความลึกมากๆเลยทีเดียว เรียกได้ว่าช่างเป็นสองตัวละครคู่แข่งอีกคู่ที่น่าจะเรียกได้ว่าดีที่สุดเท่าที่เคยได้ชมมาเลยทีเดียว



ในด้านบทนั้นก็ช่างสุดยอดเหลือเกิน ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม น่าเชื่อถือ และที่สำคัญ เขาใช้กีฬารถแข่งฟอร์มูล่าวัน ไม่ใช่แค่เพียงสร้างความสนุกเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือต่อไปถึงข้อความ หรือ บางสิ่งบางอย่างที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่ออย่างแท้จริง ได้อย่างดีเยี่ยม ฉลาด น่าตื่นตาตื่นใจ เป็นที่สุด รวมไปถึงตอนจบที่ช่างน่าเชื่อถือ และ เพอร์เฟ็คเป็นที่สุด


ส่วนในด้านนักแสดงนั้นทั้ง Chris Hemsworth กับ Daniel Bruhl ทั้งสองคนนั้น ช่างเล่นได้ดีเหลือเกิน ในบทที่ช่างแตกต่างกันขนาดนี้ แต่ทั้งสองคนกลับเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม เข้าถึงจุดลึกของตัวละครได้อย่างสุดยอดเลยทีเดียว ถึงแม้จะมีหลายๆฉากที่ค่อนข้างจะยากเลยทีเดียวก็ตาม


ผู้กำกับ Ron Howard นั้นเขาทำได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ มีมุมกล้องหลายๆ Shot ที่ถ่ายได้อย่างสวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ การเล่าเรื่องและการตัดต่อก็ช่างน่าสนใจ น่าติดตามเหลือเกิน ทั้งยังหลายๆครั้งที่เขาสามารถทำให้คุณมีอารมณ์ร่วม และ เอาใจช่วยตัวละครได้อย่างสุดๆ แบบอยู่หมัดเลยทีเดียว ถึงแม้จะมีตัวละครรองบางตัวที่อาจจะดูไม่ค่อยจะมีบทบาทเท่าไรนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้จุดเด่นและจุดหลักของภาพยนตร์เสียไปเลยแม้แต่น้อย



Rush เป็นภาพยนตร์แข่งรถที่น่าจะดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยบทที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม ใช้กีฬาฟอร์มูล่าวัน ในการสื่อความหมายที่แท้จริงได้อย่างดี และ ใช้มันได้อย่างคุ้มค่า ดีเยี่ยม ตัวละครคู่แข่งสองตัวที่ช่างน่าสนใจ น่าเชื่อถือ และเป็นคู่แข่งที่น่าจะดีที่สุดในโลกภาพยนตร์ อีกสองตัวละครเลยทีเดียว การกำกับที่สุดยอด มุมกล้องที่ช่างสวยงาม ตื่นตา การเล่าเรื่องและตัดต่อที่ทำให้คุณมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครได้อย่างง่ายดายและอยู่หมัด นักแสดงทั้งสองคนที่แสดงได้ถึงจุดลึกของตัวละครจริงๆ ทำให้ไม่แปลกใจเลย ถ้าหาก Rush จะเป็นภาพยนตร์ที่ใครหลายๆคน น่าจะชอบมากที่สุดในปีนี้



The Favorite Quote from " Rush "

" ชัยชนะจะมีประโยชน์อะไร ? ถ้าหากเราไม่มีความสุขกับมันเลย " - James Hunt 


+ จุดที่ทำได้ดี :
+ บทที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม ใช้กีฬาฟอร์มูล่าวันเป็นเครื่องมือได้อย่างสุดยอด คุ้มค่า น่าสนใจ
+ ตัวละครคู่แข่งทั้งสองตัวละคร ที่ช่างน่าสนใจ สมเหตุสมผล และเป็นตัวละครคู่แข่งที่น่าจะดีที่สุดอีกคู่นึงเลยทีเดียว
+ การกำกับที่ดี มุมกล้องที่ช่างสวยงาม ตื่นตา
+ การเล่าเรื่อง การตัดต่อที่ช่างน่าติดตาม และทำให้คุณมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครอย่างง่ายดาย
+ การแสดงที่ดีของ Chris Hemsworth และ Daniel  Bruhl 



- จุดที่ไปไม่รอด :
- ? 



Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]