วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

Children of Men ( 2006 ) Quick Movie Review

Children of Men ( 2006 )Movie Review


Children of Men เป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดย Alfonso Cuaron แห่ง Gravity ซึ่งตัวภาพยนตร์ใช้ความคิด "What-If" เป็นหลัก โดยเป็นเรื่องราวของโลกในอนาคตซึ่งตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวังและโกลาหลเนื่องจากมนุษยชาติต้องพบว่าตนเองไม่สามารถจะสร้างและคงพันธ์ตัวเองได้ต่อไปเนื่องจากผู้หญิงทุกคนบนโลกไม่สามารถมีลูกได้อีก จนกระทั่งตัวเอกของเราไปพบผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดันตั้งท้องขึ้นมาและจะต้องส่งเธอคนนั้นให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัยให้ได้

ถึงแม้ว่าตัวบทภาพยนตร์จะเต็มไปด้วยความคิดและหลักการแนวเดิมๆ แต่ตัวผู้กำกับ Alfonso Cuaron ก็เล่าเรื่องมันออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือและทำให้เราฉุกคิดอยู่เหมือนกัน เพราะอัตราการเกิดของโลกปัจจุบันเรานั้นมันเยอะมากจนเราแทบจะไม่ได้ใส่ใจเลยว่ามันสำคัญมากเพียงใด และมันจะทำให้เกิดหายนะมากแค่ไหนถ้าหากเรื่องๆนี้อยู่ดีๆก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้


อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นมากๆของภาพยนตร์เรื่องนี้ และยังเป็นสิ่งที่พูดถึงกันมาจนถึงปัจจุบันเลยก็คือ การถ่ายฉาก Long Shot ของ Alfonso Cuaron ซึ่งแทบจะต้องตั้งฉายาเจ้าแห่ง Long Shot ให้เลยทีเดียว ด้วยการวาง Set-Up การเคลื่อนไหว คำพูด และสถานการณ์ต่างๆรอบข้างได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่สุด มันลื่นไหลจนแทบไม่รู้สึกติดขัดใดๆเลย ซึ่งการเคลื่อนไหวต่างๆก็ไม่ได้เล่นแบบ Play Safe แค่เดินไปเดินมา แต่วางการเคลื่อนไหวของกล้องได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด ยิ่งคิดว่าฉากที่ต้องพึ่งความสมบูรณ์แบบในทุกๆการเคลื่อนไหวไม่งั้นคงได้เริ่มถ่ายกันใหม่แล้ว ยิ่งทำให้ฉากเหล่านี้น่าทึ่งเข้าไปอีก

จริงๆแล้ว นี้เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ตัวอย่างของ Hollywood ที่ดีเลยทีเดียว สำหรับภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความสนุก ตื่นเต้น และคุณภาพพร้อมๆกัน ถึงแม้ว่าฉากภายในของมันจะเต็มไปด้วยฉากไล่ล่า หรือฉากยิงกันค่อนข้างจะบ่อย แต่ตัวภาพยนตร์ก็ไม่เคยเลยที่จะดูถูกผู้ชมด้วยการถาโถมฉากระเบิดตูมตาม หรือการตัดสินใจของตัวละครอันโง่เขลาซึ่งนำไปสู่สถานการณ์อันซ้ำซาก ฉากแต่ละฉากถูกกำกับออกมาด้วยความใส่ใจและค่อนข้างจะมีเหตุผล ไม่ใช่ใส่เข้ามาเพื่อความสนุกแล้วก็จบๆไปด้วยเหตุผลอันปัญญานิ่มแบบภาพยนตร์หลายๆเรื่อง

ในท้ายที่สุด Children of Men ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์คุณภาพของผู้กำกับ Alfonso Cuaron ซึ่งแสดงถึงความสามารถอันเหนือชั้นในการกำกับของเขา มันยังคงเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและคุณภาพไปพร้อมๆกัน ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่หายากเหลือเกินในตลาด Hollywood ปัจจุบัน
Final Score : [ A ]

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

A Walk Among the Tombstone ( 2014 ) Movie Review

Movie Review




"อีกหนึ่งภาพยนตร์ของ เลียม นีสัน ที่ยังคงไม่มีวิวัฒนาการอันชัดเจนที่สามารถจะเปลี่ยนกรอบความคิดเดิมๆได้ ถึงแม้ว่ามันจะมีการดำเนินเรื่องกับตัวละครที่น่าสนใจ แต่มันก็ยังคงเดินวนอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆซึ่งทำให้มันไม่มีความโดดเด่นและความน่าจดจำใดๆ "

A Walk Among the Tombstones เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงนักสืบคนหนึ่งซึ่งถูกจ้างโดยคนๆหนึ่งให้ตามหาฆาตกรซึ่งลักพาตัวและฆ่าภรรยาของเขา 

         ถ้าหากจะพูดถึงดาราชายสูงวัยที่ยังคงเล่นภาพยนตร์แนวบู้ล้างผลาญหรือระทึกขวัญในช่วงนี้แล้ว หลายๆคนก็น่าจะนึกถึงดาราดังๆอย่าง เพียร์ซ บรอสแนน แห่ง The November Man , เดนเซล วอชิงตัน แห่ง 2 Guns หรือ บรูซ วิลลิสแห่ง Die Hard แต่บุคคลที่ดูเหมือนจะถูกใจหลายท่านจริงๆเลย ก็ดูเหมือนจะเป็นลุงเลียม นีสัน เสียมากกว่า โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง Taken ของเขา ที่ถูกใจคอหนังบู้ล้างผลาญทั่วโลกเสียจนทำให้ภาพยนตร์เรื่องถัดๆมาของเขาแทบจะเป็นแนวเดียวกันเสียหมด ไม่ว่าจะเป็น Unknown , The Grey , Taken 2 หรือกระทั่ง Non-Stop ที่เพิ่งจะเข้าฉายไปต้นปีนี้เอง 

แต่ปัญหาก็คือ จำนวนภาพยนตร์แนวเดียวกันที่เลียม นีสันเล่นนั้น มันเยอะมากจนเกินไป และแนวทางของมันก็ยังจะตกลงไปอยู่ในกรอบที่ผู้ชมต้องการจะเห็นเลียม นีสันเป็นเสมอๆทุกเรื่อง นั้นก็คือชายวัยกลางคน มีพละกำลังแข็งแรง ฉลาด เก่ง เท่ห์ สามารถต่อยแตะหรือไล่ล่า/สะกดรอยใครก็ได้ตามที่เขาต้องการ ถ้าหากกรอบนี้มันปรากฏขึ้นเพียงภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องก็คงจะไม่มีปัญหาเท่าไร แต่มันดันกลับกลายเป็นว่า กรอบนี้ถูกนำมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในภาพยนตร์แทบจะทุกเรื่องของเขาที่ต้องการนำเสนอแนวเดียวกัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้ชม"คาดหวัง"ว่าซื้อตั๋วเข้าไปชมภาพยนตร์ที่มีชื่อเลียม นีสันแปะอยู่มันจะต้องเป็นแบบนี้ และแนวนี้อย่างแน่นอน เมื่อนานๆเข้าไปมันก็ทำให้ตัวภาพยนตร์แนวเดิมๆที่เขาเล่นไม่มีความแปลกใหม่ และไม่สามารถยืดหยุ่นหรือขยายไปไหนได้เลย เพราะว่าภาพยนตร์เหล่านี้พยายามเล่นแบบปลอดภัยหรือ Play Safe นำจุดที่ขายได้แน่ๆมาขาย โดยไม่คำนึงถึงความซ้ำซาก จำเจที่เริ่มจะน่าเบื่อหน่ายขึ้นไปเรื่อยๆของตัวมันเอง

สำหรับ A Walk Among the Tombstones สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างไปจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของลุงเลียมอยู่บ้าง ก็คือการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างจะหนักไปทางการสืบสวนสอบสวนเหมือนภาพยนตร์แนวอาชญากรรมเสียมากกว่าการบู้ล้างผลาญยิงกันทุก 5 นาทีแบบภาพยนตร์อย่าง Taken 
ทำให้ฉากบู้ต่างๆถูกลดลงค่อนข้างเยอะและถูกแทนด้วยฉากสืบสวนต่างๆ แต่ด้วยบทภาพยนตร์ที่พูดถึงเรื่องราวซึ่งค่อนข้างจะรุนแรงและสถานการณ์อันกดดันของมัน ผสมกับความเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญ ทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์สืบสวนที่ค่อนข้างจะน่าค้นหาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าท่านใดที่เข้ามาชม หวังว่าจะได้เห็นฉากยิงกันหูดับตับไหม้ก็อาจจะผิดหวังกันไปได้เหมือนกัน

ในด้านของตัวละครเองก็ถือได้ว่าพัฒนาขึ้นมาอยู่บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะยังคงเป็นตัวละครตัวเดิมที่เลียม นีสันเล่นในภาพยนตร์ทุกเรื่อง แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ตัวละครนี้ก็ถูกขยายไปในด้านความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะจิตใจของตัวละครหลักได้อย่างน่าสนใจทีเดียว 

ถึงแม้ว่าจะต้องขอชมว่า อย่างน้อยตัวภาพยนตร์และผู้กำกับสก็อต แฟรงค์จะพยายามขยายรวมถึงพัฒนากรอบๆนี้ให้กว้างมากขึ้นก็ตาม แต่ส่วนต่างๆที่เขาขยายมันก็ไม่ได้ใหญ่มากพอหรือชัดเจนมากพอที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์เรื่องนี้ กับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเลียม นีสันได้ซักเท่าไรนัก ใช่มันแตกต่าง แต่ในหลายๆส่วนตัวภาพยนตร์เองก็ยังคงเอากรอบที่มันจงใจจะขยายนั้น มาจำกัดพื้นที่และความคิดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่ยังคงแนวเดิมๆ ตัวละครเดิมๆ การดำเนินเรื่องเดิมๆ  และตัวร้ายที่ยังคงเป็นกระสอบทรายให้ลุงเลียมที่เปิดโหมดพระเจ้าซ้อมมือเล่นเช่นเคย ทำให้ตัวมันเองก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ของลุงเลียม นีสันที่ยังคงวนเวียนอยู่ในกรอบเดิมๆที่ขยายขึ้นเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นเอง 

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่แย่หรือไม่สนุกแต่อย่างใดเลย จริงๆแล้วผู้เขียนต้องพูดเลยว่า มันยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ตื่นเต้นและสนุกในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยฉากสืบสวนที่น่าติดตามและฉากไล่ล่าเท่ห์ๆของลุงเลียม นีสัน เพียงแต่ว่าความซ้ำซากของมันเริ่มที่จะย้ำอยู่กับที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้เขียนไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่ากรอบที่ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากรอบนี้ จะถูกใช้ได้ไปอีกนานเท่าใด

ในท้ายที่สุด  A Walk Among the Tombstone ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ของ เลียม นีสัน ที่ยังคงไม่มีวิวัฒนาการอันชัดเจนที่สามารถจะเปลี่ยนกรอบความคิดเดิมๆได้ ถึงแม้ว่ามันจะมีการดำเนินเรื่องกับตัวละครที่น่าสนใจ แต่มันก็ยังคงเดินวนอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆซึ่งทำให้มันไม่มีความโดดเด่นและความน่าจดจำใดๆ ถึงกระนั้นก็ตาม มันยังคงเป็นภาพยนตร์ที่บันเทิงในระดับหนึ่งพอที่จะทำให้แฟนๆลุงเลียม นีสันสนุกไปกับมันได้บ้าง

Final Score : [ B ] 

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

The Maze Runner ( 2014 ) Movie Review (ENG)

Movie Review (ENG)
The Maze Runner



"The Runner Without a Maze"
Well another movie that based upon another best-selling novel , it seems that Hollywood are full of this kind of movie now days such as Beautiful Creatures , Mortal Instrument , I Am Number Four or even The Hunger Games .

The Problem is yes some of this type of movie works but much more of it fails to deliver for example Beautiful Creatures that actually has an interesting idea but the way it tell the story is just not working when it on the screen and it's pretty much failed.

I have to say that i haven't read the book before so this review will come from my experience entirely on the movie (Even though i know before go to see it that it actually has a sequel) .

The Maze Runner is a movie that's actually has an interesting idea like others Bases upon Novel movies , It talks about Thomas who trapped in this Huge Maze and they has to find the way out of this Maze.

So the idea of unique and complicated Maze is there but the problem with this movie is it's has a really bad mindset of which way it's going to go , it's like the movie know that it have to have another sequel so they focus and spend a lot of time to set-up the sequel and that's okay but the problem is when they focus too much and spend too much time on set-up the sequel , they actually forget to spend time in this movie as well which mean everything in this movie feel rush and half-ass instantly , everything just come and goes really quickly without you really knowing why and that's not only affect on the story telling it also affect everything in this movie.

Such as the characters that feels rush and you just barely even know anyone at all you maybe remember 3 or 4 characters but that's actually it , meanwhile when other characters dies you will just like "who the hell is that" and the main character Thomas even call their name which makes me think " Exactly when did they even talk to each other ?" .

Another Hugh Problem with this movie is the main reason behind all of this event that happen in the movie is just "Absurd" i'm not sure when you read the book you maybe can understand and get that but when it actually on the movie it's just feels so over the top non-sense and when you top that up with rushing storytelling it become even worst.

Even though the movie has a pretty good chasing/running scene that pretty exciting and the leading actor Dylan O'Brien doing pretty good job , it's just not enough to make up for really rushing storytelling that just ruined everything in the movie especially The Maze that feels nothing like a Maze it's has no complicated and mystery what so ever in the last 30 minutes of the movie you will even see the characters just walk in and out like shopping mall this is by far the most unforgiving thing in this movie , if your movie call "The Maze Runner" make sure you make the Maze actually a Maze not just some hallway stuff that have no unique to each area and boring as much as possible.

When i'm reviewing this it's actually announced that this movie will have at least another sequel coming 2015 and that's makes me concern , i have to say that The Maze Runner have a HUGE potential but it just failed really hard to deliver because of how much they rush the storytelling to set-up another sequel , i hope they will spend more time on next one and actually make it works or else it will fall to the same problem over and over again.

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

Danganronpa 2 : Goodbye Despair ( 2014 ) Game Review

Game Review
Danganronpa 2 : Goodbye Despair



"ภาคต่อของ Danganronpa : Trigger Happy Havoc ที่พัฒนาขึ้นในทุกด้านอย่างชัดเจน ท่ามกลางความสิ้นหวัง คุณจะเชื่อใครได้ ?!!"


                                 ถ้าหากจะมีเกมภาคต่อเกมใด ที่ผู้เขียนตั้งตารอคอยจะได้เล่นแบบแทบจะนับวันซักเกมเลย เกมๆนั้นก็คงจะเป็น Danganronpa 2 : Goodbye Despair นี้แหละ จากภาคแรก Trigger Happy Havoc ที่เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเครื่อง PSVita เกมหนึ่ง สู่ภาคต่อนี้ ที่ต้องพูดเลยว่าน่าประทับใจเสียยิ่งกว่าภาคแรกซะอีก



Danganronpa 2 : Goodbye Despair เป็นเกมแนว Visual Novel โดยเนื้อเรื่องหลักๆก็ยังคงความคล้ายคลึงเดิมจากภาคแรก คุณจะได้เล่นเป็น ฮาจิเมะ ฮินาตะเด็กนักเรียนที่เข้าเรียน Hope's Peak Academy แต่เขากลับพบว่า ตัวเขาเองไปอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ซ้ำยังมีหมีที่ชื่อว่า "โมโนคุมะ" ห้ามเขาไม่ให้ออกไปจากเกาะ โดยมีข้อแม้ว่าสามารถออกไปจากเกาะได้ ถ้าหากใครซักคนฆ่าเพื่อนในกลุ่มของตัวเอง และจะต้องรอดจากการถูกจับได้อีกด้วย !! ความหวาดระแวง และความหวังที่เริ่มจะมลายหายไปขึ้นเรื่อยๆ ฮาจิเมะจะสามารถรอดออกจากเกาะนี้ไปได้หรือไม่ และเบื้องหลังของโมโนคุมะคืออะไรกันแน่ !!?


- นี้เอ็งแอบโฆษณาภาคต่อ Danganronpa : Another Episode ใช่ไหมเนี้ย 


ก่อนอื่นต้องขอพูดก่อนเลยว่า สำหรับท่านใดที่ไม่เคยเล่นเกมภาคแรกมาก่อนซึ่งก็คือ Danganronpa : Trigger Happy Havoc ผู้เขียนแนะนำให้ไปหามาเล่นก่อนจริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ได้สำคัญขนาดที่จะทำให้เล่นภาคต่อไม่รู้เรื่องเลย แต่ผู้เขียนคิดว่าการเล่นภาคแรกมาก่อนจะได้เปรียบกว่าคนไม่ได้เล่นภาคแรกมากกว่าเยอะ อย่างแรกเลยก็คือผู้ที่เล่นภาคแรกมาก่อนจะเข้าใจกฏของตัวเกมได้มากกว่าผู้ที่เพิ่งสัมผัสตัวเกมครั้งแรก จากที่ภาคแรกค่อนข้างจะอธิบายกฏได้ชัดเจนมากกว่า อย่างที่สองก็คือโบนัสในเกมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของหรือไอเทมยิบๆย่อยๆที่แอบเชื่อมโยงไปสู่ภาคแรก ที่ทำให้ผู้ที่เล่นภาคแรกน่าจะยิ้มหรือนึกถึงภาคแรกได้บ้าง ก็ถือเป็นโบนัสที่ไม่เลวเลยทีเดียว

 อีกจุดหนึ่งเลยก็คือความเป็น Visual Novel ของมันซึ่งต้องอาศัยการคิดตาม ตีโจทย์ และอ่านหรือฟังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้เขียนส่วนตัวคิดว่ามันเป็นอะไรที่ตัวเกมทำได้อย่างยอดเยี่ยมและไม่น่ารำคาญเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากท่านเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหรือฟังอะไรเยอะๆ นี้ก็อาจจะไม่ใช่เกมของท่านก็เป็นได้ ส่วนสำหรับท่านที่ไม่ประสงค์จะฟังตัวละครพูดเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป เช่นเดียวกับภาคแรก Danganronpa 2 : Goodbye Despair มีทางเลือกให้คุณเลือกก่อนเริ่มเกมเลย ว่าคุณจะให้เสียงพากษ์เป็นเสียงอังกฤษหรือญี่ปุ่น ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนก็ชินกับเสียงพากษ์โมโนคุมะแบบภาษาอังกฤษไปแล้ว ซึ่งก็พากษ์ได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว


- ภาพสวยใช้ได้เลยนะเนี่ย


สำหรับ Danganronpa 2 : Goodbye Despair ยังคงคอนเซปคล้ายๆกับภาคแรกหรือแทบจะเหมือนกันหมด นั้นก็คือในเวลาปกติเหตุการณ์เนื้อเรื่องจะดำเนินไป โดยมีช่วงหลักใหญ่ๆสามช่วง ช่วงแรกก็คือ Free Time หรือเวลาว่าง ที่จะให้อารมณ์เหมือนเป็นเกมจีบสาว จีบผู้ชายอะไรก็ว่าไป โดยเป็นช่วงที่ให้เวลากับผู้เล่นจะทำอะไรก็ได้ วิ่งรอบเกาะหาตุ๊กตาโมโนคุมะเพื่อเก็บเหรียญเอาไปใช้หมุนตู้ของขวัญ หรือคุณจะใช้เวลาไปกับการคุยกับตัวละครตัวอื่นๆ เพื่อทราบถึงเบื้องหลังหรือความคิดของพวกเขา ซึ่งในภาคนี้ค่อนข้างจะสำคัญพอสมควร แตกต่างจากภาคแรก ภาคนี้สกิลที่เอาไว้ใช้ในช่วงถัดไปจะต้องแลกด้วย Hope Fragments ซึ่งได้มาจากการคุยกับตัวละครต่างๆ ซึ่งสกิลเหล่านี้ก็เอาไว้ช่วยทำให้เกมง่ายขึ้นนิดหน่อยในช่วงถัดๆไป แต่ตัวเกมในจุดนี้ก็เช่นเคยแบบภาคแรก ไม่ได้บังคับอะไร คุณจะข้ามไม่คุยกับใครเลยก็ได้เช่นเดียวกัน แต่คุณก็จะไม่ได้รับสกิลอะไรเลย รวมถึงคุณจะไม่ทราบถึงทัศนะคติและความคิดบางอย่างของตัวละครตัวโปรดของคุณอีกด้วย

ในส่วนถัดมาส่วนที่สองคือหลังจากมีเหตุการณ์การฆาตกรรมกันเกิดขึ้นจะเข้าสู่ช่วง Investigate Time คือช่วงสืบสวน หาหลักฐานที่ในเกมเรียกว่า "Truth Bullet" และพยายามคาดเดาให้ได้ว่าใครเป็นคนร้าย ซึ่งในส่วนนี้เหมือนกับภาคแรกเปะๆตรงที่ยังคงไม่อนุญาติให้ผู้เล่นออกจากห้องต่างๆถ้าหากยังหาหลักฐานไม่ครบ จึงอาจจะทำให้ผู้เล่นเกมแนวสืบสวนสอบสวนแบบฮาร์ดคอร์รำคาญบ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่จะกดๆข้ามไปเลยซะทีเดียว 


แต่ช่วงที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเด่น/หัวใจที่แท้จริงของเกม Danganronpa เลยก็คือ ช่วงที่สาม "Class Trial" ต่างหาก ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ตัวละครทุกตัวจะมารวมกันที่ศาลและถกเถียงกันว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นฆาตกร โดยในช่วงนี้จะแบ่งออกเป็นมินิเกมย่อยต่างๆ 


- มา จัดมาให้หมด !!


มินิเกมแรกคือ Nonstop Debate / Consent ซึ่งเป็นมินิเกมที่คุณจะได้ฟังตัวละครแต่ละตัวถกเถียงเรื่องราวต่างๆขึ้นมา แต่แตกต่างจากภาคแรกตรงที่ ในภาคแรกมันจะมีเพียงแค่คำพูดสีเหลืองซึ่งแสดงถึงการสงสัยว่าคำนั้นเป็นคำ"โกหก"โผล่ขึ้นมาเท่านั้น แต่ในภาคนี้มันมีสีใหม่เพิ่มขึ้นมานั้นก็คือคำพูดสีฟ้าซึ่งหมายความว่าเรา"เห็นด้วย"กับคำพูดของคนๆนั้น ซึ่งสร้างความแปลกใหม่ สีสันและความท้าทายให้กับตัวมินิเกมนี้ขึ้นมากๆ เพราะจากภาคแรกที่เราปกติก็แค่หาว่าคำพูดไหนโกหกหรือน่าสงสัยแล้วจากนั้นก็ยิงมันด้วยหลักฐานที่เรามีหรือดูดคำพูดที่เป็นหลักฐานที่แท้จริงมาจากตัวละครอื่นๆเพื่อพิสูจน์ว่าคนๆนั้นโกหกก็พอ ภาคนี้เรายังสามารถใช้หลักฐานในการเห็นด้วยกับตัวละครอื่น ซึ่งในช่วงท้ายๆของเกมมันจะมีทั้งคำพูดฟ้าและเหลืองปนกัน ทำให้ยากในการแสปมกดมั่วๆขึ้นมาก เพราะไม่ใช่แค่ว่าเราจะต้องหาเพียงคำพูดโกหก เราจะต้องตีโจทย์ให้แตกด้วยว่าสรุปแล้วมีใครโกหกหรือไม่ โกหกอย่างไร หรือ คำพูดของใครที่ถูกต้อง เราควรจะยิงด้วยหลักฐานชิ้นใดเป็นต้น นอกจากนั้นแล้วในช่วงหลังๆยังจะมีคำพูดสีม่วงลอยเข้ามาแบบมั่วๆอีกด้วยซึ่งคำพูดสีม่วงนี้เป็นเสมือนความคิดที่ถูกแทรกเข้ามาข้างหน้าคำพูดอื่นๆจะทำให้เรายิงคำพูดข้างหลังไม่โดน เราจึงจะต้องใช้ปุ่มกากบาทเลื่อนไปกดทำลายมันหรือจะใช้ Touch Pad ด้านหลังของ Vita ก็ได้ ถึงจะสามารถยิงใส่คำพูดด้านหลังมันได้ นี้ยังไม่นับคำพูดต่างๆในเกมโดยเฉพาะช่วงหลังที่ไม่ได้อยู่นิ่งๆให้เรายิง มีทั้งประเภทเอียงขวา เอียงซ้าย แม้กระทั่งหมุนตีลังกาเลยยังมีซึ่งทำให้เรายิงได้ลำบากยิ่งขึ้น


- อืมม์...คำพูดนี้ควรจะเห็นด้วยไหมหนอ ?


มินิเกมถัดมาที่ผู้เขียนถูกใจมากที่สุดในภาคนี้ มินิเกมนั้นก็คือ Rebuttal Showdown ซึ่งเป็นมินิเกมใหม่ในภาคนี้ ตัวมินิเกมนี้คล้ายๆกับ Make Your Augment ในบางส่วน แต่แทนที่เราจะเป็นคนจับผิดหรือเห็นด้วยกับตัวละครอื่นๆ Rebuttal Showdown จะเกิดขึ้นเมื่อตัวละครหลักพูดอะไรไปบางอย่าง แล้วตัวละครอื่นไม่เห็นด้วยจึงแย้งเรากลับมาทำให้เกิดมินิเกมนี้ขึ้น ซึ่งเราจะต้องใช้มีดซึ่งจริงๆมันก็คล้ายๆกับกระสุนที่ใช้ในการยิงคำพูดคนอื่นใน Make Your Augment นั้นแหละ ตัดคำพูดอีกฝ่ายและยืนยันว่าสิ่งที่เราพูดไปนั้นเป็นความจริง แต่ในระหว่างนั้นเราจะต้องใช้นิ้วของเราลากตัดคำพูดสีขาวของอีกฝั่งด้วย เพื่อให้อีกฝั่งนั้นจนมุมและเผยคำพูดที่ไม่เป็นความจริงออกมา เราจึงจะใช้มีดเฉพาะอันที่เป็นหลักฐานที่ถูกต้อง ตัดคำพูดของพวกเขาได้ แต่ระวังด้วย !! ไม่ใช่คำพูดสีเหลืองทุกอันจะถูก ตัวเกมจะพยายามหลอกคุณเสมอๆไม่ใช่แค่ในมินิเกมนี้ แต่ในทุกๆมินิเกม ซึ่งสาเหตุที่มินิเกมใหม่ชนิดนี้เป็นมินิเกมที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดในภาคนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ซะใจมากๆ ในการที่มีคนอื่นโต้แย้งมา แล้วคุณเสมือนตบหน้าคนๆนั้นกลับไปด้วยหลักฐาน



- โดนเถียงซะแล้ว...


มินิเกมชนิดต่อมาก็เป็นมินิเกมที่คล้ายๆกับภาคแรกจริงๆแล้วใช้ชื่อเดียวกันด้วยซ้ำ นั้นก็คือ Hang's Man Gambit ซึ่งเป็นมินิเกมที่คุณจะต้องหาคำตอบโดยการเอาตัวอักษรที่วิ่งไปวิ่งมาบนจอต่างๆมารวมกันอย่างน้อยสองอันและยิงให้มันออกมาเป็นคำตอบตามในฉากนั้นๆให้ได้ ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างและยากจากภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียว ในภาคแรกมันก็แค่ลอยๆขึ้นมาแล้วก็หายไปแค่นั้น แต่ในภาคนี้มันวิ่งไปวิ่งมาบนจอทำให้ยิงยากขึ้น แถมระวังเอาไว้ด้วย ถ้าหากตัวอักษรที่เป็นคนละตัวมาชนกันตัวอักษรนั้นจะระเบิดออกแล้วยังทำความเสียหายแก่ตัวละครของคุณด้วย ถ้าหากตัวละครของคุณรับความเสียหายมากไปคุณก็จะล้มเหลวแล้วต้องเริ่มมินิเกมนั้นๆใหม่หมด แต่....ต้องพูดเลยว่าในด้านของความท้าทาย นี้เป็นมินิเกมที่ตัวเกมค่อนข้างจะช่วยผู้เล่นอยู่พอสมควร ต่อให้คุณไม่ทราบว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร แค่คุณเดาตัวอักษรที่โผล่ขึ้นมาตัวแรกๆมันก็มักจะถูกและเป็นคำใบ้ให้คุณไปสู่คำตอบที่แท้จริงได้แล้ว อีกนัยนึงก็คือ ตัวอักษรที่ถูกต้องตำแหน่งแรกๆมันมักจะโผล่มาเป็นอันดับแรกๆเสมอ ซึ่งอีกครั้งอาจจะทำให้แฟนเกมสืบสวนสอบสวนชนิดฮาร์ดคอร์ผิดหวังได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน



- คำตอบคืออะไรหนอ...


มินิเกมชนิดต่อมาอีกชนิดก็เป็นมินิเกมใหม่ในภาคนี้เช่นเดียวกัน Logic Drive ซึ่งคิดง่ายๆว่าเป็นมินิเกมแข่งรถกระโดดข้ามหลุมและสิ่งกีดขวางต่างๆละกัน แต่ในระหว่างมินิเกมมันจะมีคำถามโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอให้คุณตอบซึ่งคำตอบจะแยกออกเป็นสองหรือสามทาง โดยคุณจะต้องเลือกคำตอบให้ถูกต้องตามคำถามในตอนนั้นๆ ถ้าหากคุณตอบผิด ทางที่คุณไปจะเป็นทางขาดซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องตกลงหลุมไปร้อยเปอร์เซ็นต์และจะได้รับความเสียหายนิดหน่อย แต่ก็จะกลับมาเริ่มที่จุดเซฟก่อนหน้าให้คุณตอบใหม่ เป็นมินิเกมที่ค่อนข้างจะบันเทิงทีเดียว แต่อาจจะง่ายไปนิด เพราะสุดท้ายเวลาตอบคำถามถ้าคุณตอบผิด คุณก็แค่เปลี่ยนทางในรอบถัดไปก็พอ 


- ต้องพูดเลยว่าเป็นมินิเกมที่แปลกประหลาดเหมือนกัน


มินิเกมชนิดถัดมาซึ่งเป็นมินิเกมที่สั้นที่สุดแล้ว และมักจะเป็นมินิเกมที่ส่วนใหญ่อยู่ตอนใกล้จะจบ Class Trial แล้วก็คือ Select Someone ซึ่งก็ตรงตามชื่อ คุณจะต้องเลือกตัวละครในตอนนั้นว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริง ซึ่งตัวเกมจะไม่ได้บอกมาตรงๆคุณจะต้องคิดตามตลอดเวลาในฉากก่อนหน้าว่าหลักฐานชี้ไปที่ใคร ใครมีโอกาสเป็นคนร้ายมากที่สุด โดยคำนึงถึงหลักฐาน เวลา หรือแม้กระทั่งความสามารถเฉพาะตัวของพวกเขา


มินิเกมเกือบสุดท้ายถัดมาซึ่งปกติจะอยู่ตอนใกล้จะจบแล้วเช่นเดียวกันกับ Select Someone และเป็นมินิเกมที่เคยมีมาก่อนในภาคแรกก็คือ  Panic Talk Action ซึ่งในภาคแรกใช้ชื่อ Bullet Time Battle โดยยังเป็นมินิเกมที่ให้เรากดปุ่มกากบาทตามจังหวะเสียงเพลงเพื่อทำลายคำพูดของอีกฝ่ายเช่นเคย โดยในช่วงท้ายๆเกมคุณจะไม่สามารถกดตามจังหวะได้อย่างเดียว แต่คุณยังมีกระสุนที่เอาไว้ทำลายคำพูดอีกฝั่งแบบจำกัดอีกด้วย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องหาจังหวะบรรจุกระสุนใหม่ด้วยการกดสี่เหลี่ยมด้วย ที่สำคัญคือหลังจากคุณทำลายคำพูดของอีกฝั่งจนหมดและพวกเขาจนมุมแล้ว แตกต่างจากภาคแรกที่คุณจะต้องหากระสุนที่เป็นหลักฐานที่ถูกต้องยิงใส่ตัวละครนั้น ในภาคสองนี้มันจะกลายเป็นคำ 4 คำแทน โดยคำสี่คำจะปรากฏแบบสุ่มอยู่บนมุม บน ล่าง ซ้ายและขวาของจอ ซึ่งแต่ละด้านจะแทนด้วยปุ่ม สามเหลี่ยม กากบาท สี่เหลี่ยม และวงกลม คุณจะต้องกดต่อคำเหล่านี้ให้เป็นคำตอบที่ถูกต้องให้ได้ เพื่อทำลายคำพูดสุดท้ายของตัวละครนั้น ถ้าหากคุณเรียงได้ถูกต้อง คำพูดอีกฝั่งก็จะถูกทำลายและมินิเกมก็จะสำเร็จ


มินิเกมอันสุดท้ายของ Class Trial ก็คือ Closing Augment ซึ่งเป็นมินิเกมที่คล้ายคลึงกับภาคแรกพอสมควรและยังใช้ชื่อเดิมอีกด้วย โดยหลักๆมินิเกมนี้จะให้หนังสือการ์ตูนคุณมา ซึ่งหนังสือการ์ตูนนี้ก็คือเหตุการณ์การฆาตกรรมที่เกิดขึ้น แล้วในบางส่วนของหนังสือการ์ตูนนี้จะมีช่องบางช่องที่หายไป โดยคุณจะได้รับชิ้นส่วนช่องของหนังสือการ์ตูนเพื่อไปใส่ช่องที่หายไปให้ถูกต้อง แต่แตกต่างจากในภาคแรกที่ตัวเกมจะให้ชิ้นส่วนมาทั้งหมดเลย ในภาคนี้ตัวเกมจะให้คุณมาเพียง 5 ชิ้นหรือน้อยกว่านิดหน่อย โดยในแต่ละชุดจะมีเพียงแค่สามหรือสองชิ้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่ให้มาเท่านั้นที่ถูกต้องและใช้ได้จริงๆ ที่เหลือจะเป็นตัวหลอกทั้งหมด เมื่อคุณใส่ถูกช่องไม่ว่าจะเป็นสองหรือสามช่อง ตัวหลอกจะหายไปแล้วชุดหมายจะขึ้นมาแทนที่ หมายความว่าคุณจะต้องมานั่งสรุป และวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าในรูปนี้คือตอนไหน ใส่ตอนไหน ในแต่ละหน้าคือเหตุการณ์ตอนไหน ช่วงไหนที่หายไป ต่างจากภาคแรกที่ผู้เขียนแทบจะไม่เคยเลื่อนหน้า ใส่ให้จบๆมันไปทีละหน้าเลยเพราะมันมีมาให้ครบอยู่แล้ว อีกส่วนที่แตกต่างคือภาคนี้เวลาคุณใส่ช่อง ถูกหรือผิดมันจะบอกเราเลย ต่างจากภาคแรกที่ต้องกดยืนยันก่อนมันถึงจะบอกว่าถูกหรือผิดซึ่งเราจะต้องมานั่งใส่ใหม่น่ารำคาญพอสมควร จึงต้องพูดเลยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไปในถูกทางแล้ว เมื่อคุณใส่แต่ละช่องได้ถูกหมด ตัวละครจะสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมดในเหตุการณ์นั้น และตบท้ายด้วยการบอกว่าใครคือคนร้ายที่แท้จริงใน Chapter นั้น


- สัตว์เลี้ยงน่ารักเชียว


นี้ก็คือมินิเกมทั้งหมดใน Class Trial ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 2 มินิเกมและยังปรับปรุงจุดน่ารำคาญ ไม่จำเป็นบางจุดในภาคแรกอีกด้วย ที่สำคัญเลยก็คือมันยากและท้าท้ายขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียวในภาคนี้ แต่ก็ไม่ได้ยากถึงขนาดจะผ่านไม่ได้เลย ตัวเกมยังคอยมีตัวช่วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสกิลที่คุณจะได้จากการแลก Hope Fragments หรือแม้กระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆซักตัวให้สูงสุดคุณก็จะได้สกิลพิเศษเช่นเดียวกัน ซึ่งสกิลเหล่านี้จะช่วยทำให้มินิเกมต่างๆง่ายขึ้น เช่นให้เวลาที่มากขึ้น , ยิงคำพูดที่แทรกเข้ามาใน Nonstop Debate/Consent ได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือตัดคำพูดสีขาวใน Rebuttal Showdown ได้ง่ายยิ่งขึ้นเป็นต้น ไม่ใช่แค่นั้นตัวเกมยังมีหลอด Concentration หรือหลอดเพ่งเล็งทำให้เวลาต่างๆในมินิเกมช้าขึ้นจึงทำให้เราทำลายคำพูดแทรกและยิงคำพูดต่างๆได้ง่ายยิ่งขึ้นใน Nonstop Debate / Consent หรือทำให้เราไม่จำเป็นจะต้องรีโหลดกระสุนและแสปมมั่วๆโดยไม่ต้องสนใจจังหวะได้เลยในโหมด Panic Talk Action โดยหลอดนี้จะฟื้นคืนมาตามเวลา สุดท้ายแล้วยังมีมินิเกมเล็กๆที่ให้ผู้เล่นเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเล็กๆซึ่งสัตว์เลี้ยงจะโตขึ้นเวลาเราเดินไปเดินมาในเกม เมื่อโตถึงจุดหนึ่งมันก็จะจากไปโดยจะให้ไอเทมเราเล็กๆน้อยๆ รวมถึงทิ้งไข่เอาไว้ให้เราเลี้ยงตัวใหม่อีกด้วย เป็นมินิเกมเล็กๆที่ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นซักเท่าไรแต่ก็ถือเป็นโบนัสเล็กๆน้อยๆให้เรามีอะไรทำในช่วง Free Time ต่างๆ จึงเป็นจุดที่ต้องขอชมทีมผู้สร้าง Spike Chunsoft เลย ที่พัฒนาและปรับปรุงตัวเกมให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

หลังจากพูดถึงช่วงต่างๆในเกมรวมถึงมินิเกมหลากหลายชนิดไปแล้ว ก็ต้องมาพูดถึงตัวเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ความซับซ้อนของฉากฆาตกรรมต่างๆกันบ้าง โดยจะไม่พยายามสปอยล์เนื้อหาอะไรทั้งนั้น แต่พูดได้เลยว่าถ้าหากเทียบกับภาคแรก ตัวภาคสอง Goodbye Despair นั้นมีเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างจะเหนือชั้นกว่าภาคแรกพอสมควร เนื้อเรื่องหลักก็น่าสนใจ น่าติดตามและพยายามหลอกผู้เล่นตลอดเวลา(โดยเฉพาะผู้ที่เล่นภาคแรกมาก่อนจะโดนหลอกเป็นพิเศษ) ซึ่งมันก็ทำให้เรายิ่งอยากรู้ตอนจบเข้าไปอีก ในส่วนของฉากฆาตกรรมเองก็ซับซ้อนและเดาทางได้ยากมากกว่าเดิม ที่น่าสนใจก็คือตัวเกมมีความลึกในตัวฉากฆาตกรรมต่างๆนี้มากขึ้น การเชื่อมโยงจุดต่างๆถูกเขียนออกมาได้อย่างซับซ้อนและคาดไม่ถึงยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าบางจุดมันอาจจะซับซ้อนเกินไปชนิดที่ออกแนวบ้าๆบอๆซึ่งพาทำให้ผู้เขียนหลงทางไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจอบ่อยและหนักหนามากซักเท่าไร


- ควรใช้หลักฐานชิ้นไหนดี ?


ส่วนสุดท้ายที่จะพูดถึงในภาคนี้ก็คือ ตัวละครต่างๆในเกม ซึ่งยังคงมีความคล้ายคลึงกับตัวละครในภาคแรกพอสมควร นั้นก็คือแต่ละตัวละครต่างๆค่อนข้างจะบ้าๆและเหมือนตัวละครในหนังสือการ์ตูนพอสมควร เช่นบางตัวละครชอบพูดเสียงดัง บางตัวละครชอบแกล้งคนอื่น หรือบางตัวละครทำตัวแปลกๆ เป็นต้น แต่ตัวละครต่างๆก็ถือได้ว่าน่าสนใจทุกตัวละครเลยทีเดียว โดยทุกๆตัวละครจะเป็น "Ultimate" ในด้านต่างๆ เช่น Ultimate Gamer , Ultimate Yakuza หรือแม้กระทั่ง Ultimate Nurse ซึ่งแล้วแต่เลยว่าคุณจะใช้เวลาว่างไปกับตัวละครใด แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าระวังไว้ พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่พวกคุณคิด ความคิดที่อันตรายมากที่สุดในเกมซีรียส์ Danganronpa เลยก็คือการไว้ใจตัวละครอื่นๆ ไม่แน่ตัวละครที่คุณคิดว่าไร้เดียงสาและน่ารักมากที่สุด อาจจะกลายเป็นศพหรือแม้กระทั่งฆาตกรใน Chapter ถัดไปก็เป็นได้

ในท้ายที่สุด Danganronpa 2 : Goodbye Despair ไม่ใช่แค่เกมภาคต่อจาก Trigger Happy Havoc เฉยๆ แต่ยังเป็นภาคต่อที่พัฒนา ปรับปรุงมินิเกมต่างๆให้ท้าทายและซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าภาคแรก เมื่อไปรวมกับเนื้อเรื่องและฉากฆาตกรรมที่ซับซ้อนรวมถึงฉลาดมากยิ่งขึ้น ทำให้ทราบเลยว่า ทีมผู้สร้าง Spike Chunsoft มีความตั้งใจและความมุ่งมั่นแค่ไหน ที่จะพัฒนาเกมซีรียส์นี้ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เรียกได้ว่านี้คืออีกหนึ่งเกมของผู้ใช้ PSVita ทุกคนที่จะต้องได้สัมผัสซักครั้ง

Final Score : [ A ] & [ Must Play Badge ]

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

League of Legends World Championship 2014 Day 3 Prediction & Result

League of Legends World Championship 2014 Day 3 Prediction & Result

- Day 3 -

- Team Solomid Vs. Star Horn Royal Club 
Prediction : Star Horn Royal Club
Reason : Star Horn Royal Club กำลังดูมาแรงมากๆตอนนี้ แถมดุสุดๆ คอมโบการเล่นแบบโคตร aggressive ไดรฟ์แบบไม่แคร์สื่อของ Insec กับการเล่นแบบเห็นหน้าเป็นยิงของ Uzi ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่หลายๆทีมยังคงไม่สามารถรับมือได้ และ TSM ก็น่าจะยังไม่สามารถรับมือได้เช่นกัน

AHQ Esports Club Vs. Dark Passage
Prediction : AHQ Esports Club
Reason : ถึงแม้ว่า AHQ จะแพ้มาตลอดนอกจากตอนเจอกับ Dark Passage คราวที่แล้ว แต่ต้องพูดเลยว่าหลายๆเกมพวกเขาก็เล่นได้ไม่แย่เลยทีเดียว โดยเฉพาะต้นเกม เกมนี้คงจะตัดสินกันว่า AHQ จะพลาดทีมไฟต์แค่ไหน เพราะดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่อ่อนแอที่สุดของ AHQ กับการสื่อสารที่ไม่ค่อยจะดีนัก ยังไงก็ตามผมยังคงเชื่อว่า AHQ น่าจะชนะไปได้

Star Horn Royal Club Vs. Taipei Assassins
Prediction : Star Horn Royal Club
Reason : TPA งานนี้ต้องพูดเลยว่าแสดงผลงานได้ค่อนข้างจะน่าผิดหวัง แผนของพวกเขาดูเหมือนจะไม่มีอะไรนอกจากรอให้ BeBe แครี่เกม ถ้า BeBe ทำได้ก็ชนะ ทำไม่ได้ก็แพ้ เพราะนอกจากแผนนี้ แผนอื่นๆของ TPA ดูเหมือนจะไปไม่เป็นซักทาง หลายๆครั้งที่กำลังได้เปรียบก็สามารถต่อความได้เปรียบสู่ชัยชนะได้ จนในที่สุดก็เหมือนนั่งเฉยๆรอความพ่ายแพ้ แถมคู่ต่อสู้คราวนี้คือ Star Horn Royal Club ซึ่งมี Insec กับ Uzi อยู่ด้วย ความหวังของ TPA ก็แทบจะเป็น 0%

AHQ Esports Club Vs. Edward Gaming 
Prediction : Edward Gaming
Reason : เหมือนเคย ระดับยังต่างกันเกินไปสำหรับสองทีมนี้ แต่น่าจะเป็นเกมที่ AHQ พอจะทำอะไรได้บ้าง แต่ในท้ายที่สุดก็คาดว่ามันยังคงไม่พออยู่ดี โดยเฉพาะทีมไฟต์ของ Edward Gaming ที่เหนือกว่า AHQ ทุกด้านจริงๆ

SK Gaming Vs. Team Solomid
Prediction : Team Solomid
Reason : ค่อนข้างจะมั่นใจว่าถ้าหาก TSM จัดการเรื่องการแบนและเลือกแชมป์เปี้ยนดีๆ งานนี้ก็คงจะไม่ยากนักสำหรับ TSM , SK ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะได้ผู้เล่นหลักกลับมา แต่สถานการณ์ก็ดูจะไม่ได้ดีขึ้นซักเท่าไรเลยเมื่อวาน ถึงแม้ว่าจะชนะ TPA ไป แต่ TSM คงไม่น่าจะพลาดและเปิดโอกาสให้ SK ง่ายๆแบบ TPA อย่างแน่นอน

Samsung White Vs. Edward Gaming
Prediction : Samsung White 
Reason : เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่น่าสนใจที่สุดของวัน คราวที่แล้วที่สองทีมนี้เจอกัน SSW ก็จัด EDG ไปซักหนักเลยทีเดียว แต่ความมั่นใจเกินไปของ Imp ในเกมนั้นอาจจะนำมาสู่ความพ่ายแพ้ของ SSW ในเกมนี้ก็เป็นได้ เพียงแต่ผมไม่คิดว่ามันจะเพียงพอที่ Edward Gaming จะชนะได้

The Maze Runner ( 2014 ) Movie Review

Movie Review


"The Runner Without a Maze"


                                สำหรับในช่วงเวลานี้ พูดได้เลยว่า Hollywood มีภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือวรรณกรรมเยาวชนผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Divergent , I Am Number Four , Beautiful Creatures , The Mortal Instrument หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์รุ่นพี่อย่าง The Hunger Games ที่ใกล้ตอนจบเข้าไปทุกทีแล้ว ซึ่งกระแสนี้เรียกได้ว่ากำลังมาแรงและดูท่าเราคงจะได้ชมภาพยนตร์เหล่านี้กันเรื่อยๆทุกปี ซึ่ง The Maze Runner ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ในหมวดนั้น โดยผู้เขียนต้องขอกล่าวก่อนเลย ว่าไม่เคยได้อ่านตัวหนังสือมาก่อนแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการวิจารณ์และตีความต่างๆจะมาจากตัวภาพยนตร์ล้วนๆ โดยไม่มีการเปรียบเทียบกับตัวหนังสือต้นฉบับ

The Maze Runner ว่าด้วยเรื่องราวของโทมัสเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาท่ามกลางเขาวงกตที่ไร้ทางออกและตัวเขาเองจำอะไรไม่ได้เลย หลังจากที่เขาปรากฏตัวทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นอยู่รอบตัวเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้ายยิ่งขึ้น โทมัสและคนอื่นๆจึงต้องพยายามหาทางออกจากเขาวงกตนี้ให้จงได้

ต้องพูดเลยว่า ไอเดียเรื่องเขาวงกต การเสี่ยงอันตรายเพื่อนำไปสู่เส้นทางใหม่ ปะทะกับ การอยู่ที่เดิมที่พวกเรา"เชื่อว่า"ปลอดภัยและไม่มีการพัฒนาใดๆเลย เป็นไอเดียการปะทะที่น่าสนใจทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องราวของความอันตรายในเขาวงกตที่ตัวภาพยนตร์พยายามจะสร้างขึ้นมานักหนาซ้ำแล้วซ้ำอีก พยายามตอกย้ำให้ผู้ชมเชื่อว่าเขาวงกตหรือในอีกนัยหนึ่ง "โลกภายนอก"ว่ามันอันตรายแค่ไหน

แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีปัญหาขวางทางอันใหญ่หลวงอยู่ปัญหาหนึ่ง ซึ่งนั้นก็คือมันเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาตั้งใจและเพ่งเล็งเพื่อให้มันเป็นเพียงแค่บันไดนำไปสู่ภาคต่อไป ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างถูกถ่ายทอดออกมาอย่างลวกๆ ไร้ซึ่งรายละเอียด ยิ่งไปกว่านั้น ตัวไอเดียแกนหลักที่แท้จริงของมันซึ่งนำไปสู่ภาคต่อและเป็นเบื้องหลังของเหตุผลทั้งหมดในภาคนี้ มันก็ช่างดูบ้าบอคอแตกและไร้เหตุผลสิ้นดี ซึ่งส่วนใหญ่ๆเลยก็มาจากการเล่าเรื่องที่ถูกเร่งมากเกินไปจนต้องใช้วิธีแบบมักง่าย ทำให้เหตุผลของมันไร้น้ำหนักไปในทันที

ถ้าหากพูดถึงองค์ประกอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่น่าเสียดายมากที่สุด สิ่งๆนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเขาวงกตอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมีชื่อว่า The Maze Runner ซึ่งนั้นหมายความว่าหลายๆท่านคงจะซื้อตั๋วเพื่อเขาไปชมพวกเขาหนีออกจากเขาวงกตแห่งนี้ แต่ตัวภาพยนตร์กลับตัดขาตัวเองด้วยความตั้งใจที่ว่าจะต้องปูไปสู่ภาพยนตร์ภาคต่อให้ได้ จนทำให้รายละเอียดในตัวภาพยนตร์โดยเฉพาะด้านความซับซ้อนของเขาวงกตแทบจะเป็น 0 ทั้งๆที่มันคือสิ่งที่น่าจะทำให้ภาพยนตร์ชุดนี้หรืออย่างน้อยในภาคนี้ น่าจดจำได้มากที่สุดสิ่งหนึ่งเลยทีเดียว

จะว่าไปแล้ว ถ้าหากทีมสร้างขัดเกลาความซับซ้อนและความน่าค้นหาของตัวเขาวงกตได้ดีจริงๆ ผู้เขียนยอมที่จะจ่ายเงินเข้าไปชมภาคต่อที่ยังคงค้นหาวิธีทางออกจากเขาวงกตอันน่าพิศวงนี้ด้วยซ้ำไป ไอเดียกับความเป็นไปได้มันอยู่ตรงนั้นแล้ว และมันสามารถไปได้ไกลมากกว่านี้เยอะ แต่ที่ The Maze Runner เป็นอยู่ตอนนี้คือ The Runner ที่ไม่มีความเป็น Maze อยู่เลยแม้แต่น้อย

ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ใช่ว่า The Maze Runner จะล้มเหลวไปเสียทุกด้านซะทีเดียว การกำกับฉากไล่ล่า/วิ่งหนีของ เวส เบลล์ซึ่งเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ก็ไม่เลวเลยทีเดียว อย่างน้อยมันก็ตื่นเต้น ลุ้นระทึกและพอที่จะทำให้คุณไม่เบื่อไปซะก่อนได้อยู่บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะเดาทางได้ง่ายรวมถึงยังดูไร้ประสบการณ์ก็ตาม นอกจากนั้นแล้วตัวนักแสดงนำอย่าง ดีแลน โอ'ไบรอัน เองก็นำแสดงได้ไม่เลวเลยทีเดียว พอที่จะสามารถอุ้มตัวภาพยนตร์ได้อยู่บ้าง เพียงแต่ว่าแค่สองสิ่งนี้มันไม่สามารถที่จะเทียบเคียงกับอะไรหลายๆอย่างที่ตัวภาพยนตร์ได้ล้มเหลวไปเรียบร้อยแล้วเลยแม้แต่น้อย

ในท้ายที่สุด The Maze Runner ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากหนังสือวรรณกรรมเยาวชนขายดีที่มีไอเดียน่าสนใจ แต่ดันมีแนวคิดผิดๆว่าตนเองจะต้องมีภาคต่อให้ได้มากเกินไป จนทำให้ขาดการใส่ใจในรายละเอียดและมนตร์สเน่ห์ที่ทำให้ตัวภาพยนตร์แตกต่างจากภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นๆไป โดยเฉพาะในส่วนของเขาวงกตที่ปราศจากความซับซ้อนและความน่าสนใจใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังและยากที่จะให้อภัยยิ่งนักถ้าหากภาพยนตร์ของคุณมีชื่อว่า The Maze Runner 

Final Score : [ C ]

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

League of Legends World Championship 2014 Day 2 Prediction & Result

League of Legends World Championship 2014 Day 2 Prediction

- Day 2 -

Taipei Assassins Vs. SK Gaming 
Prediction : Taipei Assassins

Reason : ถึงแม้เมื่อวาน TPA จะแพ้ให้กับ Star Horn Royal Club ไปอย่างน่าเสียดาย แต่พวกเขาก็ทำได้ไม่เลวเลยในต้นเกม แถมยิ่งตอนนี้ SK Gaming ก็ดูอ่อนแอสุดๆจาก ผู้เล่นตำแหน่ง Jungler ที่ต้องใช้ตัวสำรอง (เพราะตัวหลักโดนโทษแบนไปสามแมชแรก) และทีมเวิรค์ที่ไม่เข้าขาสุดๆ ดูได้จากเกม TSM เมื่อวาน ทำให้โอกาสที่ SK Gaming จะเอาชนะ TPA ไปได้ ดูจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

Edward Gaming Vs. Dark Passage
Prediction : Edward Gaming

Reason : เช่นกัน ถึงแม้ว่า Edward Gaming จะแพ้ให้กับ Samsung White ไปเมื่อวาน แต่ก็ต้องพูดเลยว่าพวกเขาก็ทีมไฟต์ได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ทั้งๆที่เงินตามถึง 10K แต่ก็ยังจะพลิกมาชนะทีมไฟต์ได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เพียงพอที่จะเอาชนะได้เลยก็ตาม อีกด้านหนึ่ง Dark Passage ก็ดูจะลำบากแม้แต่การต่อกรกับทีมอย่าง AHQ Esports ที่ Samsung White เคี้ยวอย่างกับขนมเมื่อคืน ถึงแม้ว่าจะมีบางตอนที่ดูเหมือนจะพลิกมาบ้างแต่นั้นก็เป็นเพราะ AHQ ไม่มีความอดทน และเล่นแบบประมาทมากกว่า งานนี้ก็เป็นอีกคู่ที่ดูยังไงแต้มก็น่าจะไปตกที่ Edward Gaming

Star Horn Royal Club Vs. SK Gaming
Prediction : Star Horn Royal Club

Reason : ไม่แตกต่างจากสองคู่แรกในวันนี้ SK Gaming ยังคงอ่อนแอเช่นเคย และ Star Horn Royal Club ก็นำคะแนนใน Group B อยู่ตอนนี้จากผลงานที่ค่อนข้างจะดีและคาดว่าคงจะนำแบบนี้ต่อไปอีกในวันนี้

Dark Passage Vs. Samsung White 
Prediction : Samsung White 

Reason : เป็นคู่ที่คงไม่แตกต่างจากเกมที่ Samsung White เจอกับ AHQ เมื่อวาน หรืออาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า ฝีมือดูจะแตกต่างกันเกินไประหว่างทั้งสองทีม และนี้ก็ดูเหมือน 1 แต้มฟรีๆสำหรับ Samsung White 

Team SoloMid Vs. Taipei Assassins
Prediction : Taipei Assassins

Reason : ในที่สุด คู่ที่น่าสนใจที่สุดของวัน TSM Vs. TPA ถึงแม้ว่า TSM จะเอาชนะ SK และ TPA แพ้ให้กับ Star Horn Royal Club ไปเมื่อวาน แต่ก็ต้องพูดเลยว่าชัยชนะของ TSM ต่อ SK ก็ดูจะพูดได้ยากว่าพวกเขาเล่นดีจริงๆจากที่ SK ใช้ผู้เล่นสำรองอยู่ แถมพอมาเจอกับ Star Horn Royal Club ในคู่สุดท้ายก็โดนจัดหนักไปพอสมควรอีกด้วย ในขณะที่ TPA พอที่จะต่อกรได้อย่างสูสีในระดับหนึ่ง งานนี้ถ้าหาก TPA สามารถจะใช้การแบนและเลือกแชมป์เปี้ยนได้อย่างยอดเยี่ยมแบบ Star Horn Royal Club เมื่อวาน และกดดันเลน ADC ของ Wild Turtle กับ Lust Boy ได้ ผมคาดว่าชัยชนะคงจะตกเป็นของ TPA แน่ๆ

Edward Gaming Vs. AHQ Esports Club
Prediction : Edward Gaming

Reason : เป็นคู่ปิดท้ายวันที่ไม่ค่อยจะตื่นเต้นซักเท่าไรนัก ถ้าหากดูกันที่ฝีมือจริงๆ Edward Gaming น่าจะเอาชนะไปได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากจะมีโอกาสไหนที่ AHQ จะผ่านเข้ารอบไปได้ ก็คือโอกาสนี้ เอาชนะ Edward Gaming ให้ได้และเป็นฝ่ายผ่านเข้ารอบไปแทน แต่โอกาสนั้นก็ดูจะเป็นไปได้ยากเหลือเกิน ยังไงก็ตามคงต้องดู Edward Gaming ในคู่ก่อนหน้าอีกทีว่าจะแสดงผลงานได้ดีแค่ไหนจากเมื่อวานที่โดน Samsung White จัดหนักไป สุดท้ายแล้วก็ยังขอเลือก Edward Gaming เป็นฝ่ายได้ชัยชนะไป



-------------------------------------------------------------------------------------------
Result : ผล ( Spoiler Alert !!! )

------------------------------------------

Taipei Assassins Vs. SK Gaming 
Prediction : Taipei Assassins > Correct 

Winner : TPA เอาชนะ SK ไปได้ในเกมที่สูสีกว่าที่คิดเอาไว้เยอะมาก แต่ความเหนือกว่าของ TPA ในท้ายเกมก็สามารถพาพวกเขาไปสู่ชัยชนะได้

Edward Gaming Vs. Dark Passage
Prediction : Edward Gaming > Correct

Winner : Edward Gaming เอาชนะ Dark Passage ไปได้ไม่ยากจากประสบการณ์ที่แตกต่างกันเกินไป ถึงแม้ว่า Dark Passage จะไม่ได้เล่นเลวร้ายขนาดนั้นก็ตาม

Star Horn Royal Club Vs. SK Gaming
Prediction : Star Horn Royal Club > Correct


Winner : Star Horn Royal Club เอาชนะ SK Gaming ไปได้ในเกมที่ดุเดือด เลือดพล่านเห็นหน้ากันเป็นต้องบวก ต้องพูดเลยว่า SK เล่นได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ Uzi กับ Insec ก็ยังเป็นอะไรที่ SK ยังคงไม่สามารถรับมือได้อยู่ดี

Team Solomid Vs. Taipei Assassins 
Prediction : Taipei Assassins > Wrong 

Winner : Team Solomid เอาชนะ Taipei Assassins ไปได้ในเกมยาวโดยการปัก Ward ของ TSM ยอดเยี่ยมมากเสียจน Winds ซึ่งเล่นป่า Rengar ทำอะไรไม่ได้ทั้งเกม (รวมถึง Winds เล่นแย่ด้วย Bola วืดทั้งเกม) ถึงแม้ว่า TPA จะยื้อเกมได้ แต่การเงินก็ห่างกันเกินไปจน TSM เอาชนะไปได้ในท้ายที่สุด เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ค่อนข้างน่าผิดหวังของ TPA ซึ่งดูเหมือนจะเล่นเป็นอยู่แบบเดียว คือฟารม์ให้ BeBe เกิด ถ้าเกิดก็ชนะ ถ้าไม่เกิดก็แพ้

Edward Gaming Vs. AHQ Esports
Prediction : Edward Gaming > Correct


Winner : Edward Gaming สามารถเอาชนะ AHQ Esports ไปได้ในเกมที่ไม่ได้เละเทะแบบเกม Samsung White ซักเท่าไรนัก เรียกได้ว่า AHQ ก็เล่นได้ไม่แย่ซะทีเดียว แต่ยังไงก็ตามฝีมือทั้งสองทีมก็ต่างกันเกินไปจน Edward Gaming ชนะไปได้

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

League of Legends World Championship 2014 Prediction and Result

Off Story



League of Legends World Championship 2014 Day 1 Prediction

Day 1

- Edward Gaming ( China ) Vs. Samsung White ( Korea )
Prediction : Samsung White

[ Winner ] : Samsung White เอาชนะ Edward Gaming ไปได้ในเกมที่สูสีสุดๆถึงแม้ว่า Samsung White จะเงินนำถึง 10K แต่การเล่นที่มั่นใจมากเกินไปของ IMP ทำให้เกมเกือบพลิก

- Team Solomid (North America) Vs. SK Gaming ( Europe ) 
Prediction : TSM

[ Winner ] : SK Gaming ต้องกดยอมแพ้ไปในเวลาเพียง 23นาทีให้แก่ TSM จากสกิลเพลย์ของ TSM ที่เหนือกว่าแทบจะทุกด้าน

- Dark Passage ( International Wild Card ) Vs. AHQ Esports ( South East Asia )
Prediction : AHQ Esports

เหตุผล : เป็นคู่ที่เดายากมาก เพราะ Dark Passage ก็ชนะมาใน International Wild Card แต่ยังไงก็ตาม AHQ ผ่านทัวร์นาเมนต์ที่ใหญ่กว่ามา น่าจะเอาชนะไปได้

Winner : AHQ Esports สามารเอาชนะ Dark Passage ไปได้ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในการปิดเกมอยู่พอสมควร แต่ฝีมือผู้เล่นแต่ละคนก็เหนือกว่า Dark Passage จนชนะไปได้ไม่ยาก

- Taipei Assassins ( South East Asia ) Vs. Star Horn Royal Club ( China )
Prediction : Star Horn Royal Club

เหตุผล : เป็นคู่ที่ใครจะชนะก็ไม่แปลก TPA ถล่ม GPL แบบไม่มีใครต่อกรได้ แต่ Royal Club ก็มีการเล่นที่ดุมากๆจนน่ากลัว งานนี้ต้องอยู่ที่ว่า TPA จะหยุด Uzi ได้ไหม ถ้าไม่ได้งานนี้ Star Horn Royal Club ก็คงจะชนะไปได้

Winner : Star Horn Royal Club สามารถเอาชนะ Taipei Assassins ไปได้ ทั้งๆที่ TPA มีเงินนำถึง 5K ตอนกลางเกม แต่เล่นกลัวมากจนเกินไป และปล่อยให้เลทเกมจนพ่ายแพ้ไป รวมถึง Morning Syndra ที่เบิสใครไม่ตายทั้งเกม

- Samsung White ( Korea ) Vs. AHQ Esports ( South East Asia )
Prediction : Samsung White

เหตุผล : เป็นคู่ที่เดาค่อนข้างจะง่าย Samsung White เพิ่งจะตบ Edward Gaming อันดับ 1 จากประเทศจีนไปหมาดๆ ในเกมที่เรียกได้ว่าแทบจะง่ายดาย ส่วน AHQ ก็ไม่น่าจะมีโอกาสชนะมากนัก เพราะผู้เล่นทุกเลนก็ดูจะเหนือกว่าหมดใน Samsung White

Winner : Samsung White เอาชนะ AHQ Esports ไปได้แบบง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก โดย AHQ พลาดตอน 1.33 นาทีโดน Aces ไปตั้งแต่ต้นเกม และฝีมือของ Samsung White ก็เหนือกว่า AHQ ทุกด้าน

- Star Horn Royal Club ( China ) Vs. Team Solomid ( North America )
Prediction : Star Horn Royal Club

เหตุผล : ต้องคอยดูว่า Star Horn Royal Club จะสู้กับ TPA ได้ดีแค่ไหน เพราะ TSM ก็ตบ SK Gaming มาแบบ SK ต้องกดยอมแพ้ไปในเวลาเพียง 23 นาที แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะ SK Gaming ตอนนี้ใช้ผู้เล่นตัวสำรองหนึ่งคน เนื่องจากผู้เล่นในทีมโดนแบน 3 แมชแรกเพราะแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เกมนี้ก็คงจะขึ้นอยู่กับว่า Bjegsen จะหยุด Uzi และไม่โดนหยุดเสียเองได้หรือไม่ ถ้าไม่งานนี้ก็คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับ TSM ที่จะเอาชนะ Star Horn Royal Club ไปได้ แต่คาดว่าคู่นี้คงดุเดือด บวกกันทุก 5 นาทีเป็นแน่แท้

Winner : Star Horn Royal Club สามารถเอาชนะ Team Solomid ไปได้อย่างไม่ยากนัก โดย Rengar ของ Insect เรียกได้ว่าวิ่งไล่ฆ่า Team Solomid โดยที่ TSM ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นอัลติเมทเกิดใหม่ของ Zilean กับ Tristana ที่เกิดมากๆของ Uzi ก็เป็นอะไรที่ TSM ไม่สามารถต่อกรได้เลยแม้แต่น้อย


สรุปตารางคะแนนวันแรก

Group A 

Samsung White 2 - 0

AHQ Esports Club 1-1

Dark Passage  0-1

Edward Gaming  0-1

Group B

Star Horn Royal Club 2-0

Team Solomid 1-1

SK Gaming 0-1

Taipei Assassins 0-1

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

Nymphomaniac Part 1 & Part 2 ( 2013 ) Movie Review

Nymphomaniac Part 1 & Part 2 ( 2013 ) Movie Review



"อีกหนึ่งภาพยนตร์อันหนักหน่วงของลาร์ส วอน เทียร์ที่ยังคงการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตาม ถึงแม้ว่าบางครั้งมันจะก้าวไปไกลเกินกว่าที่จำเป็นก็ตาม"


             ถ้าหากพูดถึงผู้กำกับบนโลกสักคนหนึ่ง ที่มีผู้ชมหลายคนถึงกับขยาดเมื่อพูดชื่อออกมาหรือบางคนอาจจะถึงขนาดเกลียดเลยด้วยซ้ำ หนึ่งในนั้นก็คงจะต้องมีชื่อของลาร์ส วอน เทียร์ด้วยอยู่อย่างแน่นอน 

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตัวภาพยนตร์ของเขาเรียกได้ว่าแทบจะทุกเรื่องมีภาพและเนื้อหาที่ค่อนข้างจะรุนแรง ท้าทายและกระตุ้นความคิดของผู้ชมอยู่ตลอดเวลา ในส่วนของภาพตัวเขาเองก็ไม่มีการละอายใดๆที่จะใส่ภาพโป๊เปลือยหรือรุนแรงเข้าไปในภาพยนตร์ของเขา หรือ ในด้านของบทภาพยนตร์เอง ก็มักจะเต็มไปด้วยการพูดถึงด้านมืดในมนุษย์ที่จริงจังและไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งนั้น นี้ยังไม่รวมถึงการผสมผสานเทคนิคที่ย้อนแย้งกับฉากนั้นๆเข้าไปในภาพยนตร์ของเขาเพื่อแยกผู้ชมออกจากตัวภาพยนตร์อย่างจงใจ และสร้างความอึดอัดให้กับผู้ชมไม่ใช่น้อยอีกด้วย

แต่จะว่าไปแล้ว เพราะความที่การกำกับของเขาไม่มีการประนีประนอมใดๆเลยนี้แหละ ทำให้ในอีกด้านหนึ่งกลายเป็นจุดเด่นในภาพยนตร์ของเขาไปในทันที แตกต่างจากภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ไม่กล้านำเสนอฉากที่รุนแรงหรือกระทบและท้าทายจิตใจผู้ชมมากๆ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งสำคัญและแม้กระทั่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม

แน่นอนว่า Nymphomaniac ซึ่งแยกเป็นสองพารท์เนื่องจากความยาวของตัวภาพยนตร์ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นในเงื่อนไขข้างบนแต่อย่างใด มันเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องของเด็กสาว โจซึ่งเป็นโรคติดเซ็กส์ ผ่านชีวิตของเธอที่ถูกความตัณหาครอบงำและไม่อาจจะหยุดมันได้ สิ่งที่ดูเหมือนจะสวยงามนี้เองเริ่มที่จะครอบงำและพาเธอจมดิ่งสู่หายนะขึ้นเรื่อยๆ

ผู้เขียนแนะนำว่า ถ้าหากคุณจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ให้เตรียมทำใจเอาไว้ก่อนเนิ่นๆเลย ไม่ว่าจะเป็นฉากโป๊เปลือย โชว์กันแบบไม่แคร์สื่อ หรือแม้กระทั่งฉากทารุณซาดิสและเซ็กส์ที่จัดเต็มสุดๆก็มีให้เห็นอยู่แทบจะทุก 10 นาทีในภาพยนตร์รับรองได้ว่ามีกันให้เห็นแบบไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

สิ่งที่น่าสนใจมากๆสำหรับตัวผู้เขียนในภาพยนตร์เรื่องนี้และตัวผู้กำกับลาร์ส วอน เทียร์เองเลยก็คือ ผู้ชมหลายๆคนมักจะด่าตัวลาร์ส วอน เทียร์ว่าเป็นผู้กำกับที่น่าขยะแขยงและรังเกียจ ชอบฉากเซ็กส์ โป๊เปลือย รวมถึงเนื้อหาอันรุนแรง และทารุณเพศหญิงเป็นที่สุด แต่ผู้เขียนต้องพูดเลยว่าแทบจะเห็นตรงกันข้ามกับคนเหล่านั้นเลย

เพราะถ้าหากคุณสามารถที่จะมองผ่านฉากเซ็กส์โป๊เปลือยหรือเนื้อหาอันรุนแรงนี้เข้าไปเจอในสิ่งที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะพูดจริงๆแล้ว คุณก็จะพบว่าตัวมันเองไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย แต่แทบจะกลับกันด้วยซ้ำ  

Nymphomaniac ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เชิดชูเซ็กส์หรือการทารุณกรรมสตรี แต่มันเป็นภาพยนตร์ที่ด่าทอและแทบจะชูนิ้วกลางให้กับบุรุษทั้งหลายที่ใช้สตรีเป็นเครื่องมือกดขี่ทางเพศต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้นตัวภาพยนตร์ยังให้กำลังใจสตรีเหล่านั้นให้ลุกยืนขึ้นมาต่อสู้กับบุรุษพวกนี้ซึ่งมีให้เห็นอยู่จริงในโลกหรือสังคมทุกสังคมด้วยซ้ำไป

อีกสิ่งหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กับประเด็นของมันเลยก็คือการกำกับของลาร์ส วอน เทียร์ ซึ่งยังคงการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตามเช่นเคย ถึงแม้ว่าเนื้อหามันจะหนักหน่วงมากก็ตาม ด้วยการที่เขามักจะให้ตัวละครในภาพยนตร์จุดประเด็นบางอย่างขึ้นมาเพื่อเป็นการยั่วผู้ชมให้สนใจและจากนั้นก็ค่อยๆพาเราไปสู่เรื่องเล่าต่างๆ

นอกจากนั้นแล้ว เทคนิคทางด้านภาพยนตร์ที่แยกผู้ชมออกจากตัวภาพยนตร์ของเขาเองก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ใน Nymphomaniac เช่นการใส่เสียงดนตรีขัดแย้งกับฉาก หรือ การนำฉากแต่ละฉากมาเรียงต่อกัน รวมถึงการใส่ภาพอวัยวะเพศทั้งหลายเข้ามาในภาพยนตร์ ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ผลักผู้ชมออกจากตัวภาพยนตร์และทำให้มองเป็นกลางโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเทคนิคต่างๆเมื่อเทียบกับผลงานช่วงแรกๆของเขาอย่าง Europa จะค่อนข้างลดน้อยลงไปเยอะ แต่มันก็ไปเพิ่มความหนักหน่วงทางด้านบทภาพยนตร์ด้วยเช่นเดียวกัน

แต่...ก็ใช่ว่า Nymphomaniac จะไม่มีปัญหาเลยเสียทีเดียว หลายครั้งตัวภาพยนตร์เองก็ก้าวและพยายามนำเสนอสิ่งที่หนักหน่วงมากจนเกินไป โดยที่มันไม่ได้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในตัวภาพยนตร์หรือนำเสนอสิ่งใหม่เลยแม้แต่น้อย ซึ่งปัญหานี้เกิดหนักยิ่งขึ้นในพารต์ที่สอง ตัวภาพยนตร์เอาแต่พูดเรื่องเดิมๆซ้ำซากและไม่ไปไหนเลย เพียงแต่เพิ่มดีกรีความรุนแรงเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายไม่ใช่น้อย จริงๆแล้วถ้าหากตัวภาพยนตร์ตัดบางส่วนที่ไม่ค่อยมีผลอะไรมากออกไป ก็น่าจะรวมเป็นเรื่องเดียวโดยไม่ต้องแยกเป็นสองส่วนได้เลยด้วยซ้ำไป


ในท้ายที่สุดแล้ว Nymphomaniac Part 1 & Part 2 ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์อันหนักหน่วงของผู้กำกับลาร์ส วอน เทียร์ที่ยังคงการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม ถึงแม้ว่าบางครั้งมันจะก้าวไปไกลเกินกว่าที่จำเป็นก็ตาม มันยังคงเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ของลาร์ส วอน เทียร์ที่ไม่ใช่ผู้ชมทุกคนจะทนดูมันจนจบได้ แต่ถ้าหากคุณสามารถที่จะมองผ่านเปลือกนอกมันไปได้ มันก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ทรงพลังและทำให้คุณเปลี่ยนความคิดไปจากแค่เปลือกของมันไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

Final Score : [ A ] 

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

Boyhood ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"Boyhood คือสุดยอดภาพยนตร์แห่งปี 2014 ที่เล่าช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ภายในเวลา 165 นาที"



                 ถ้าหากพูดถึงภาพยนตร์ในปีนี้ที่มีความทะเยอทะยานและความตั้งใจสูงทะลุขอบฟ้าซักเรื่องหนึ่งแล้วล่ะก็ Boyhood ก็คงจะกลายเป็นอันดับหนึ่งในรายการอย่างแทบจะไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว

ด้วยภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งตั้งแต่อายุ 7 ขวบจนถึง 18 ซึ่งพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆมากมายในชีวิต และตัวภาพยนตร์เองก็ใช้นักแสดงคนเดิมตั้งแต่อายุ 7 ขวบถึง 18 จริงๆ นั้นหมายความว่าเวลาในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาให้เราได้ชมกันจริงๆก็ยาวนานถึง 12 ปีเลยทีเดียว ซึ่งแค่ได้ยินว่าใช้เวลาสร้างยาวนานแค่นี้ก็น่าประทับใจแล้ว แต่พอยิ่งได้เห็นการที่ตัวละครและนักแสดงต่างๆในภาพยนตร์ค่อยๆเติบโตไปเรื่อยๆตามเวลาในภาพยนตร์ ยิ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากที่จะชื่นชมยกย่องความพยายาม รวมถึงความตั้งใจของทีมงานภาพยนตร์เรื่องนี้เสียจริงๆ


อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากๆเลยก็คือ การเล่าเรื่องของผู้กำกับริชาร์ด ลิงค์เลเทอร์ ซึ่งถึงแม้ว่าโดยหลักแล้ว ตัวภาพยนตร์จะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวเอกอย่างเมสันก็ตาม แต่มันก็เล่าเรื่องผ่านบทภาพยนตร์ บทพูดและการกำกับที่น่าทึ่งซึ่งเปิดไปสู่เรื่องราวของตัวละครอื่นๆในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นจุดขัดแย้ง ทัศนะคติ หรือสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันได้อย่างน่าอัศจรรย์เสียจริงๆ ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้ตัวภาพยนตร์นั้นน่าสนใจและน่าติดตามอยู่ตลอดเวลา


ไม่ใช่แค่นั้น ด้วยความที่บทภาพยนตร์ถูกเขียนมาได้เป็นอย่างดี มันทำให้ตัวละครต่างๆในภาพยนตร์ดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ด้วยเหตุการณ์ที่ตัวละครประสบพบเจอต่างๆ มาหลอมรวมมาเป็นตัวละครซักตัวละครหนึ่ง ที่ทำให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นคนเช่นนี้และทำไมถึงมีทัศคติแบบนี้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากเลยทีเดียว เพราะตัวภาพยนตร์นั้นเล่าเรื่องชีวิตๆหนึ่งที่ยาวนานตั้งแต่ 7 ขวบถึง 18 ปี และย่อมันลงมาให้เหลือแค่ 165 นาที แต่ยังคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือและน่าติดตามอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้สึกติดขัดหรือรู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกหรือหายไปแต่อย่างใดเลย


แต่จุดหนึ่งเลยในภาพยนตร์ดราม่าที่ผู้เขียนค่อนข้างจะเป็นห่วงพอสมควร ก็คือการรับมือกับฉากอารมณ์ต่างๆ ที่ภาพยนตร์ดราม่าหลายๆเรื่องใส่สีตีไข่และฟูมฟายมากจนเกินความจำเป็น จนแทนที่มันจะทำให้เราเกิดอารมณ์ร่วมไปกับตัวภาพยนตร์ กลายเป็นยิ่งหลีกหนีออกห่างจากมันมากกว่าเดิม แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ตัวผู้กำกับริชาร์ด ลิงค์เลเทอร์ ก็จับในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี โดยรักษาความสมดุลในฉากอารมณ์ต่างๆได้ยอดเยี่ยม ไม่พยายามที่จะระเบิดหรือฟูมฟายมากจนเกินเหตุแต่ยังคงรักษาพลังของมันอย่างพอดีทำให้ฉากเหล่านี้ยังคงสร้างแรงกระทบต่อผู้ชมอย่างที่มันควรจะเป็น


จะว่าไปแล้ว ประเด็นที่ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงนั้น ก็เรียกได้ว่ามีหลากหลายประเด็นอยู่พอสมควรเลยทีเดียว แต่โดยหลักๆแล้ว Boyhood เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงการเลี้ยงลูกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ กับการเติบโตของเด็กคนหนึ่งในอ้อมกอดของพ่อแม่สู่การก้าวออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเอง สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ถึงแม้ว่าการเลี้ยงลูกในสังคมของคนอเมริกันกับสังคมของคนไทยอย่างเราๆจะแตกต่างกันก็ตาม แต่มันก็ยังมีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันมาก จนทำให้เราสามารถผูกประเด็นหรือกระทั่งบางฉากในภาพยนตร์ เข้ากับชีวิตของเราๆได้อย่างไม่ยากเลยทีเดียว ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเวทย์มนตร์ที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียวเชียว


ในท้ายที่สุดแล้ว Boyhood คือสุดยอดภาพยนตร์แห่งปี 2014 ที่เล่าช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ภายในเวลา 165 นาทีได้อย่างรอบด้านและฉลาดเป็นที่สุด ยิ่งผนวกกับบทภาพยนตร์อันยอดเยี่ยมที่ทำให้เรารู้สึกหวนคิดถึงวัยเยาว์ของเราแล้ว ยิ่งทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับคำว่า "Masterpiece" อย่างแท้จริง

Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

Europa ( 1991 ) Movie Review

Movie Review 


      Europa เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ ลาร์ส ฟอน เทรียร์ ที่เป็นอีกหนึ่งผู้กำกับคนหนึ่งบนโลกที่ค่อนข้างจะมีสไตล์การกำกับและเนื้อหาภาพยนตร์ที่หนักหน่วง รุนแรง และมักจะพูดถึงความโสมมหรือความมืดมิดในจิตใจมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง ซึ่ง Europa นี้เองก็ไม่แตกต่างกัน มันเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์และใส่ซื่อแต่เมื่อเขาได้ไปประสบพบเจอกับตัวละครอื่นๆที่ชั่วร้าย ความชั่วร้ายนั้นก็ถูกถ่ายทอดมาที่ตัวเขาเสมือนโรคร้าย จนในที่สุดจากผ้าสีขาวก็ถูกย้อมด้วยเลือดของตนเองและคนอื่นๆไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

นี้เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงวิพากษ์วิจารณ์สงครามเย็นอย่างหนักหน่วง แต่แทนที่มันจะเลือกข้างแบบภาพยนตร์หลายๆเรื่อง Europa กลับเลือกที่จะวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสองข้าง ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือเยอรมัน ที่ชั่วช้าไม่ต่างกัน จะว่าไปแล้ว ถ้าหากเราพิจารณาดูจริงๆ การกระทำของอเมริกาที่อาศัยฝีปากและการกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ไม่ว่าจะทางด้านการเมือง หรือ การสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นทุกเรื่อง ซึ่งอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าการกระทำของกลุ่มคอมมิวนิสต์หรือในกลุ่มในภาพยนตร์ที่เรียกว่า "Werewolf" ก็เป็นได้ ที่ตลกขบขันยิ่งกว่านั้นก็คือ การที่ตัวภาพยนตร์ไม่เลือกข้างใดเลย ก็เปรียบเสมือนเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ตัวมันเอง ผ่านคำพูดของตัวละครที่กล่าวไว้ว่า "ผู้ที่ไม่เลือกฝ่ายเลยนั้นแหละคือผู้ก่อการร้ายตัวจริง และพระเจ้าจะไม่ให้อภัย" 

การกำกับของ ลาร์ส ฟอน เทรียร์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าโดดเด่นไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะเทคนิคทางด้านภาพต่างๆๆเช่น การทาสีลงบนแผ่นฟิลม์เพียงแค่ข้างเดียว , การซ้อนภาพหลัง ซึ่งสื่อถึงจิตใจที่กำลังแตกสลายหรือสับสนของตัวละคร และ การเล่าเรื่องที่นำเทคนิคการใช้คนพากษ์มาแยกผู้ชมออกจากตัวภาพยนตร์ รวมถึงตอกย้ำถึงความสำคัญในการมองสาร/ข้อความอย่างคนนอกโดยไม่พยายามเลือกหรือเอนเอียงไปเข้าข้างใดข้างหนึ่ง

ในท้ายที่สุด Europa ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงความเลวร้ายของมนุษยชาติที่ไม่เคยรู้จักที่จะเรียนรู้ถึงความผิดพลาด แต่กลับทำมันอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเชื้อแห่งความน่ารังเกียจนี้มันก็ถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งคนที่ดูจะเป็นคนที่ดีที่สุดก็อาจจะกลายเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดได้ภายในพริบตา

Final Score : [ A ] & [ Must See Badge ]

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

League of Legends World Championship 2014 Group Stage Prediction

Off Story
League of Legends World Championship 2014 Group Stage Prediction



              มาถึงเวลานั้นอีกครั้งของปีสำหรับแฟนๆชาว League of Legends เกมที่ได้ชื่อว่ามีคนเล่นมากที่สุดในโลก สำหรับการแข่งขันมหาเทพปะทะกันเพื่อครอบครองแชมป์โลกปี 2014 นี้ โดยในปีที่แล้วทีม SKT T-1K จากเกาหลีได้แชมป์โลกไป แต่ดูเหมือนคำสาปแชมป์โลกจะเป็นจริง เนื่องจากพวกเขาจะไม่ได้มีโอกาสมาป้องกันแชมป์ในปีนี้แล้ว เพราะแพ้ตกรอบไปตอนที่แข่งขันชิงตำแหน่งที่เกาหลีไปเรียบร้อย ซึ่งหัวข้อนี้ ผู้เขียนจะเน้นไปที่การคาดเดาว่าใครจะชนะในแต่ละกรุ๊ปๆ และทีมใดที่น่าจับตามอง ส่วนตัวผู้เขียนเล่นเกม League of Legends มาเป็นระยะเวลาพอสมควรประมาณ 3 ปี และดูการแข่งขันอย่าง LCS NA EU อยู่บ่อยครั้งรวมถึง GPL บางครั้ง จึงพอที่จะทราบข้อมูลอยู่บ้าง



Group A :  Edward Gaming (จีน) , Samsung White (เกาหลีใต้) , AHQ E-Sports Club (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือทีม GPL) , Dark Passage (ทีมตัวแทนจากการแข่งขัน International Wild Card)

Prediction : เป็นกรุ๊ปที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะเดาผลได้ง่ายพอสมควร และแทบจะเป็นคู่ที่น่าจะมาลงกันที่สองทีมระหว่าง Edward Gaming กับ Samsung White ที่ดูน่ากลัวมากๆทั้งคู่ ในขณะที่อีกสองทีมอย่าง AHQ กับ Dark Passage ดูแทบจะเป็นคนละชั้นกับอีกสองทีม จึงคาดเดาว่า Edward Gaming กับ Samsung White น่าจะผ่านเข้ารอบไปได้ไม่ยากนัก ยกเว้นทีม AHQ กับ Dark Passage จะมาโหดและเซอร์ไพรซ์คนทั้งโลกจริงๆ ซึ่งมันดูจะเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน

ทีมที่คาดว่าน่าจะผ่านเข้ารอบต่อไป : Edward Gaming , Samsung White


Group B : Team Solo Mid (สหรัฐอเมริกาเหนือ) , Star Horn Royal Club (จีน) , Azubu Taipei Assassins (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) , SK Gaming (ยุโรป)

Prediction : เป็นกรุ๊ปที่ค่อนข้างจะเดาได้ยากมากๆพอสมควร เพราะแต่ละทีมค่อนข้างที่จะสูสีและน่ากลัวทุกทีม ยกเว้น SK Gaming ที่ดูจะอ่อนแอกว่าทีมอื่นๆ ส่วนตัวแล้วคิดว่า Star Horn Royal Club หรือ Royal Club ซึ่งเป็นทีมที่ได้ไปแข่งแชมป์โลกปีที่แล้วเช่นเดียวกัน น่าจะได้เปรียบและน่ากลัวมากกว่าทีมอื่นๆอยู่หน่อย แต่ Team Solo Mid ก็ประมาทไม่ได้ทีเดียว รวมถึง Azubu Taipei Assassins ถึงแม้ว่าจะโดนตบมาซะเละเทะไม่ชนะเลยซักครั้งในการแข่งขัน League of Legends All-Star ในกลางปีที่ผ่านมา ยังไงก็เป็นทีมที่ประมาทไม่ได้ อย่างน้อยพวกเขาก็คือแชมป์โลก Season 2 อยู่ดี แต่ยังไงก็ตามผู้เขียนคิดว่า ทีมที่น่าจะมาอันดับแรกในกรุ๊ปนี้เลยก็คือ Star Horn Royal Club และตามด้วย Team Solo Mid 

ทีมที่คาดว่าน่าจะผ่านเข้ารอบต่อไป : Star Horn Royal Club , Team Solo Mid


Group C : Samsung Blue (เกาหลีใต้) , OMG (จีน) , Fnatic (ยุโรป) , LMQ (สหรัฐอเมริกาเหนือ)

Prediction: กรุ๊ปนี้ เรียกได้ว่าเป็นกรุ๊ปแห่งความตายก็ว่าได้ แต่ละทีมในกรุ๊ปนี้ดูช่างน่ากลัวและประมาทไม่ได้กันเองเลยซักทีม โดยเฉพาะ Samsung Blue ที่กำลังมาแรงชนิดที่ว่าหลายๆคนน่าจะเดากันว่าพวกเขาจะเป็นแชมป์โลกปีนี้ แต่ก็ยังมีทีมอย่าง Fnatic กับ OMG คอยขวางทางอยู่แน่นอน กรุ๊ปนี้ผู้เขียนให้อันดับหนึ่งไปก่อนเลยก็คือ Samsung Blue จากผลงานอันสุดแสนสยดสยองสำหรับคู่แข่งในการแข่งขัน OGN ในประเทศเกาหลีที่ตบมาทุกทีม ส่วนอันดับที่สองเรียกได้ว่าพูดยากมากระหว่าง Fnatic กับ OMG แต่ท้ายที่สุดก็คงต้องขอยกให้ Fnatic

ทีมที่คาดว่าน่าจะผ่านเข้ารอบต่อไป : Samsung Blue , Fnatic


Group D : Alliance (ยุโรป) , Cloud 9 (สหรัฐอเมริกาเหนือ) , Najin White Shield (เกาหลีใต้) , Kabum! E-Sports (ตัวแทนจากการแข่งขัน International Wild Card)

Prediction: ถ้าหากจะมีทีมจากประเทศเกาหลีซักทีมใดที่จะตกรอบไปก่อนชาวบ้าน ก็คงน่าจะเป็น Najin White Shield แต่ยังโชคดีที่ยังมี Kabum! E-Sports เอาไว้กันเหนียวสำหรับ Najin อยู่ ยังไงก็ตามผู้เขียนคิดว่ากรุ๊ปนี้น่าจะเป็นการสู้กันระหว่าง Alliance กับ Cloud 9 มากกว่า ในขณะที่ Najin ก็มีโอกาสจะแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมถ้าหากพวกเขาทำการบ้านมาดี เพราะฉะนั้นอันดับหนึ่งจึงขอยกให้ Alliance ที่ดูน่ากลัวสุดๆไปก่อน ตามมาด้วย Cloud 9 

ทีมที่คาดว่าน่าจะผ่านเข้ารอบต่อไป : Alliance , Cloud 9

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

Calvary ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแค่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่มันยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและวิญญาณในการจุดประกายความคิดเรื่องศาสนา พระเจ้า ความเชื่อ รวมถึงความหมายของชีวิตที่สะท้อนถึงความโหดร้ายของโลกปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่ง จึงทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่น่าจดจำมากที่สุดในปีนี้ไปโดยปริยาย"

  Calvary เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องของพระรูปหนึ่งซึ่งถูกคนในหมู่บ้านของตนเองขู่ฆ่า ท่ามกลางอันตรายที่เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พระรูปนั้นจึงต้องพยายามหาให้ได้ว่าใครคือคนที่คิดทำเช่นนั้นกับเขา

       ต้องพูดเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีสไตล์การเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าสนใจทีเดียว โดยที่หลักๆแล้วมันก็คือภาพยนตร์ดราม่าที่เต็มไปด้วยการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างจะช้าพอสมควร แต่ตัวภาพยนตร์ก็ผสมผสานอารมณ์ของความเป็นภาพยนตร์อาชญากรรมเข้าไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีฉากตื่นเต้นไล่ล่ากัน แต่มันก็ใช้วิธีการผสมการเล่าเรื่องที่นำตัวละครเอกไปพบเจอกับตัวละครอื่นๆในเรื่อง ฟังเรื่องราวของพวกเขา ซึ่งทำให้ผู้ชมตั้งข้อสงสัยและคาดเดาคนร้ายไปโดยอัตโนมัติเหมือนภาพยนตร์อาชญากรรม 

เมื่อพูดถึงตัวละครแล้ว ตัวละครในภาพยนตร์เองก็ถูกเขียนมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว แต่ละตัวค่อนข้างที่จะน่าสนใจ และดูมีอารมณ์ ความคิดที่เป็นมนุษย์จริงๆ และเราจะได้ฟังเรื่องราวชีวิตและปัญหาที่คอยกัดกินพวกเขาผ่านมุมมองของตัวละครเอก นำไปสู่การตั้งสมมุติฐานว่าใครจะมีโอกาสเป็นคนร้ายได้มากที่สุดของผู้ชมอีกครั้ง ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างตัวละครกับการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ที่สร้างความน่าติดตามให้กับตัวภาพยนตร์ได้อย่างชาญฉลาดมากเลยทีเดียว 

สิ่งที่น่าชื่นชมและประทับใจผู้เขียนมากที่สุดจริงๆเลยก็คือบทพูดในภาพยนตร์ ที่ช่างเขียนมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะบทพูดการสนทนาระหว่างตัวละครเอกกับตัวละครอื่นๆในเรื่อง ที่แสดงถึงปัญหาของพวกเขา และจุดขัดแย้งระหว่างความเชื่อที่พวกเขามี กับสิ่งที่ตัวละครเอกเชื่อได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนั้นแล้วมันยังสะท้อนถึงปัญหาของมนุษย์ในโลกปัจจุบันที่ยังคงมีอยู่ทุกวันนี้อีกด้วย บทพูดของภาพยนตร์นั้นเขียนได้ดีถึงขนาดที่ว่าเราแทบจะจับได้เลยว่าแต่ละตัวละครมีปัญหาอะไรบางอย่างที่บางครั้งพวกเขาก็ไม่ยอมพูดออกมา ซึ่งถือว่าน่าประทับใจมากๆ

สาเหตุที่ผู้เขียนประทับใจส่วนบทพูดมากที่สุด ก็เพราะว่ามันแทบจะเป็นหัวใจและส่วนที่สำคัญที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว หากปราศจากบทพูดที่จุดประเด็นขัดแย้งระหว่างตัวละคร แสดงถึงเบื้องหลัง ความคิดของตัวละครนั้นๆ และนำไปสู่การสะท้อนปมปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงที่ยอดเยี่ยมนี้แล้ว  ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะกลายเป็นแค่ภาพยนตร์ทั่วๆไปที่เต็มไปด้วยตัวละครสุดแสนซ้ำซากจำเจ ไร้ความเป็นมนุษย์ รวมถึงจุดจบที่ไร้ความน่าค้นหาเหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่องไปโดยปริยาย

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือด้านภาพ ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างมีงบประมาณจำกัดพอสมควร แต่ต้องขอชมเลยว่าทีมงานเลือกสถานที่ถ่ายทำ รวมถึงมุมกล้องและวิธีการถ่ายทำในหลายๆฉากได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วยบรรยากาศของประเทศไอร์แลนด์ที่สวยงาม ตระการตา และหยุดทุกลมหายใจเสมือนตัวภาพยนตร์เอง ซึ่งงานนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับแลร์รี่ สมิท ผู้กำกับภาพซึ่งเคยแสดงผลงานมาแล้วก่อนหน้านี้ใน Only God Forgives

แต่บุคคลที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือนักแสดงนำ เบรนดัน กลีสันที่แสดงผลงานการแสดงได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด ด้วยการแสดงที่สุขุม ลึก แบบที่เราคิดว่าพระควรจะเป็น แต่แอบซ่อนอารมณ์แบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไปเอาไว้ข้างในไม่ว่าจะเป็น โกรธ เกลียด หรือ เสียใจ นี้เรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่น่าทึ่งที่สุดของเขาสำหรับผู้เขียนเลยทีเดียว

ในท้ายที่สุด ด้วยการเล่าเรื่องที่ผสมผสานดราม่าเข้ากับอาชญากรรมได้อย่างชาญฉลาด  ตัวละครที่ยอดเยี่ยม บทพูดที่ถูกเขียนมาได้อย่างน่าทึ่ง การกำกับภาพที่น่าชื่นชม และการแสดงอันน่าทึ่งของเบรนดัน กลีสัน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแค่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่มันยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและวิญญาณในการจุดประกายความคิดเรื่องศาสนา พระเจ้า ความเชื่อ รวมถึงความหมายของชีวิตที่สะท้อนถึงความโหดร้ายของโลกปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่ง จึงทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่น่าจดจำมากที่สุดในปีนี้ไปโดยปริยาย


Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]