วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

FallsDownz Movies & Games Reviews: The Raid 2 ( 2014 ) Movie Review

FallsDownz Movies & Games Reviews: The Raid 2 ( 2014 ) Movie Review: The Raid 2 ( 2014 ) Movie Review  "ภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ?"               สำหรับภาพยนตร์...

FallsDownz Movies & Games Reviews: The Last of Us ( Game Review)

FallsDownz Movies & Games Reviews: The Last of Us ( Game Review): Game Review Game Name : The Last of Us  Platform : Playstation 3 Exclusive Developer : Naughty Dog Rating : Mature ...

FallsDownz Movies & Games Reviews: Dawn of the Planet of The Apes ( 2014 ) Movie Revi...

FallsDownz Movies & Games Reviews: Dawn of the Planet of The Apes ( 2014 ) Movie Revi...: Dawn of the Planet of The Apes ( 2014 ) Movie Review  " Dawn of the Planet of The Apes นั้นเปรียบเสมือนการนั่งรอคอยภูเขาไฟที...

FallsDownz Movies & Games Reviews: Soul Sacrifice Delta [ Game Review ]

FallsDownz Movies & Games Reviews: Soul Sacrifice Delta [ Game Review ]: Game Review "This is where your story begins" Game Name : Soul Sacrifice Delta ( 2014 ) Platform : Playstation Vit...

FallsDownz Movies & Games Reviews: L.A Noire ( 2011 ) [ Game Review ]

FallsDownz Movies & Games Reviews: L.A Noire ( 2011 ) [ Game Review ]: Game Review "เมืองแห่งการโกหกและหลอกลวง" Game Name : L.A. Noire Platforms : PC , Playstation 3 , Xbox 360 Rati...

FallsDownz Movies & Games Reviews: Darksiders II ( 2012 ) [ Game Review ]

FallsDownz Movies & Games Reviews: Darksiders II ( 2012 ) [ Game Review ]: Game Review Game Name : Darksiders II Developer : Vigil Games Platforms : Playstation 3 , PC , Xbox 360 , Wii U Rating ...

FallsDownz Movies & Games Reviews: Hercules ( 2014 ) Movie Review

FallsDownz Movies & Games Reviews: Hercules ( 2014 ) Movie Review:  Movie Review  "เฮอร์คิวลิสคืออีกหนึ่งหลักฐานของความพยายามในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่ในท้ายที่สุดตัวมันเองก็ไม่ได้ต่างอะไรไป...

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Hercules ( 2014 ) Movie Review

 Movie Review 



"เฮอร์คิวลิสคืออีกหนึ่งหลักฐานของความพยายามในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่ในท้ายที่สุดตัวมันเองก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการเดินวนซ้ำที่เก่าอย่างไม่รู้ตัว"



      จากภาพยนตร์หายนะในต้นปีที่ดันมีตัวเอกชื่อเดียวกันอย่างจงใจอย่าง The Legend of Hercules ที่พวกเราพยายามจะลืมๆมันไปซะ มาสู่ Hercules ฉบับของเดอะร็อคหรือดเวย์น จอห์นสันที่เรียกได้ว่ากลายเป็นความหวังใหม่ให้กับคนทีต้องการจะชมภาพยนตร์ตำนานเทพกรีกนี้อีกครั้ง ซึ่งไม่แน่ใจว่ากระแสความอยากครั้งนี้ มาจากการที่พวกเราอยากเห็นเรื่องราวของเทพเฮอร์คิวลิสผู้นี้บนจอเงิน หรือว่าจากหายนะของ The Legend of Hercules ที่ทำให้เราตั้งตารอคอย Hercules ฉบับนี้เป็นพิเศษกันแน่


ในขณะที่ตัวอย่างภาพยนตร์ของมันกับความคาดหวังของคนทั่วไปรวมถึงตัวผู้เขียนเอง คาดว่าจะซื้อตั๋วเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วจะเผชิญกับความวินาศ หายนะ ฟัดกับสัตว์ประหลาดอย่างไฮดร้า หรือเซอเบอรัส ชนิดขว้างและปาซีจีใส่หน้าผู้ชมทุก 5 วินาทีจนกว่าเราจะชินชาไปกับมัน


ในความเป็นจริงมันกลับกลายเป็นว่าตัวอย่างภาพยนตร์กับตัวเนื้อภาพยนตร์จริงๆของมันแทบจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แทนที่มันจะไปใกล้เคียงกับภาพยนตร์อย่าง Clash of Titans มันกลับไปใกล้เคียงกับภาพยนตร์ในปีนี้อีกเรื่องอย่าง Maleficent แทน ด้วยการพยายามนำตำนานหรือเรื่องเล่ามาดัดแปลงและเล่าใหม่อีกครั้ง ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้เขียนอย่างมาก เสมือนกับการซื้อตั๋วเข้าไปชม Wrath of Titans แต่กลายเป็นได้ชม Maleficent แทน


แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงครั้งนี้ มันกลับกลายว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ จากการดัดแปลงตำนานรวมถึงนำมาเล่าใหม่ได้อย่างน่าสนใจและเล่นกับจุดนี้ได้ไม่เลวเลยอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ยิ่งทำให้ประเด็นนี้น่าขบขันเข้าไปอีกก็คือ เมื่อนำภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ภายนอกไม่ได้สัญญาว่าจะดัดแปลงเรื่องอะไรเลย ไปเทียบกับภาพยนตร์อย่าง Maleficent ที่สัญญาอย่างชัดเจนว่านี้จะเป็นเรื่องใหม่และไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน  ตัวภาพยนตร์อย่าง Hercules กลับดัดแปลงและเล่าเรื่องในมุมมองใหม่ๆได้อย่างยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่า Maleficent เสียอีก


นักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เองก็ทำได้ดีกว่าที่คาดคิดไว้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ดเวย์น จอห์นสัน ที่อยู่ในระดับพอจะรับน้ำหนักและพลังของภาพยนตร์ได้ในระดับหนึ่ง , จอนห์ เฮิรต์ที่ยังคงรับบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยม หรือนักแสดงอีกหลายๆท่านเช่น รูฟัส ซีเวลล์ ,ปีเตอร์ มัลแลน หรือแอคเซล เฮนนี แต่คนที่ดูเหมือนจะทำให้ผู้เขียนไม่ผิดหวังมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นป๋าเอียน แมคเชน ที่ยังคงสร้างเสียงหัวเราะและสีสันให้กับภาพยนตร์เช่นเคย ถึงแม้จะน่าเสียดายอยู่บ้างที่ตัวภาพยนตร์มีเวลาให้กับตัวละครบางตัวน้อยไปนิดทั้งๆที่ตัวละครหลายตัวก็น่าสนใจไม่แพ้กับตัวละครหลัก
เช่นตัวละครอย่าง Tydeus ที่ถึงแม้ว่าตัวละครของเขาจะพูดเพียงคำๆเดียวทั้งเรื่อง เขากลับเป็นตัวละครที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้


ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์ Hercules จะพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่โดยการดัดแปลงเรื่องเล่าเก่าๆนำมาประยุกต์และเล่าใหม่ก็ตาม แต่เมื่อเวลาเอาเข้าจริงมันกลับเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ซ้ำซากจำเจอย่างน่าเสียดาย เช่นตัวละครที่มีความคิดและลักษณะเดิมๆ คุณเคยเห็นตัวละครเหล่านี้มาก่อนในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ คุณทราบดีว่ามันจะไปจบลงที่ใดและฉากต่อไปจะเป็นอย่างไรดี ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะพยายามดิ้นเท่าไรก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนจะหลีกหนีจุดๆนี้ไม่พ้นเสียที


นี้ยังไม่รวมถึงโปรดัคชั่นดีไซน์ของภาพยนตร์ที่เข้าขั้นน่าผิดหวังไม่น้อย ชนิดที่ทำให้นึกถึงภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ว่าด้วยเรื่องราวของหายนะซึ่งคุณภาพของมันเองกลับกลายเป็นว่าหายนะเสียยิ่งกว่าอย่าง Pompeii ถึงแม้ใน Hercules จะถือว่าทำได้ดีกว่าหน่อยในระดับหนึ่งก็ตาม แต่ความห่างนั้นมันก็ช่างใกล้แสนใกล้จนบางครั้งแทบจะนึกว่าอยู่ในระดับเดียวกัน


ในท้ายที่สุด ก็อดไม่ได้ที่จะต้องขอชมภาพยนตร์เรื่องนี้ จากการพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่และพยายามที่จะแตกต่างออกไปจากสิ่งที่เราคาดหวัง แต่สุดท้ายแล้วตัวมันเองก็ไม่ได้ต่างไปจากภาพยนตร์ที่มีความพยายามคล้ายคลึงกันเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น Maleficent ที่ตัวมันเองก็ลืมไปว่า การพยายาม และดิ้นรนไปสู่ทางใหม่ของมันนั้น ก็เป็นเพียงการพาไปสู่ทางใหม่ที่คนอื่นเคยเหยียบย่ำมาแล้วก็เท่านั้นเอง


Final Score : [ B ]




เข้าไปกดไลค์แฟนเพจผมกันได้ที่นี้นะครับผม :) https://www.facebook.com/fallsdownzcritic

Darksiders II ( 2012 ) [ Game Review ]

Game Review





Game Name : Darksiders II
Developer : Vigil Games
Platforms : Playstation 3 , PC , Xbox 360 , Wii U
Rating : Mature




                                      Darksiders จะว่าไปแล้ว นี้ก็เป็นอีกหนึ่งเกมหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากที่สุด ด้วยเกมเพลย์ที่สนุก ตื่นเต้น น่าค้นหา หรือจะเป็นภาพในเกมที่ให้ความรู้สึกเหมือนการ์ตูน 3D โลกแฟนตาซีที่ดีไซน์ได้อย่างยอดเยี่ยม และที่สำคัญเลยก็คือ เนื้อเรื่องที่พูดถึง 4 Horsemen กับวันที่โลกวินาศนั้นเอง ซึ่งในภาคแรกนั้น ถึงแม้จะต้องพูดเลยว่าบอสตัวสุดท้ายอาจจะน่าผิดหวังไปบ้าง แต่ก็เป็นตอนจบที่ทำให้อยากเล่นภาคต่อโดยทันทีเลยทีเดียวเชียว


ในภาคแรกนั้นตัวเอกที่เราจะได้เล่นคือ War แต่ในภาคต่อนี้พวกเราจะได้เล่นพี่ชายของเขานั้นก็คือ Death นั้นเอง ซึ่งจากการดีไซน์ตัวละครและท่าทางการพูดต่างๆ เราจะเห็นได้ว่าทั้งคู่มีความแตกต่างกันค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว แต่ Death ก็ยังเป็นอีกหนึ่งใน 4 Horsemen ที่น่าเล่นมากที่สุดตัวหนึ่ง ด้วยเหตุผลง่ายๆว่าเขาคือความตายนั้นเอง


ต้องพูดเลยว่าในภาคต่อ Darksiders II นี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าทางผู้สร้าง Vigil Games ค่อนข้างจะมีความตั้งใจในการขยายความกว้างของเกมมากไปหน่อย จากในภาคแรกที่ถึงแม้ระบบตัวเกมจะไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมายนัก แต่มันก็สนุกและน่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ภาคสองนั้นมีระบบใหม่ๆมากมายเช่นดรอปของ เสตตัส หรือแผนที่ต่างๆที่มีมากขึ้น แต่ด้วยความที่มันยุ่งยากและพยายามก้าวกระโดดจากภาคแรกมาสู่ภาคสองมากจนเกินไป มันทำให้อารมณ์ความน่าค้นหาของตัวเกมหายไปอย่างน่าเสียดาย สาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่ระบบใหม่ๆเหล่านี้ไม่ได้น่าตื่นเต้นหรือน่าสนใจอย่างที่ผู้สร้างอยากจะให้มันเป็นซักเท่าไรนัก เช่น แผนที่ ที่มากขึ้นแต่กลับให้ความรู้สึกว่าตัวผู้สร้างไม่ได้ใส่ใจในการดีไซน์ได้น่าสนใจเท่ากับภาคแรกเลย


หรือระบบดรอปของและเสตตัสของตัวเกมที่ให้ความรู้สึกไม่จำเป็นเอาเสียเลย เพราะส่วนตัวแล้วสำหรับผู้เขียน จุดเด่นของ Darksiders ไม่ใช่ระบบดรอปของหรือเสตตัสเลย แต่มันคือความน่าค้นหาของจักรวาล Darksiders เนื้อเรื่องและตำนานต่างๆของมันต่างหาก นอกจากนั้นแล้ว ระบบในส่วนของดรอปของและเสตตัสก็ให้ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ จะว่ามีผลก็คงใช่ จะว่าไม่มีเลยก็ไม่เชิง


มาพูดต่อถึงอีกหนึ่งจุดเด่นของเกม Darksiders กันต่อ แน่นอนว่าจุดๆนั้นก็ต้องหนีไม่พ้นการแก้ไขปริศนาต่างๆเพื่อใช้ในการผ่านด่านต่างๆในเกมนั้นเอง โดยในภาคแรกนั้น เรียกได้ว่าแต่ละด่านออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆเลยทีเดียว ทำให้การคลี่คลายปริศนานั้นท้าทายสุดๆ แต่ก็ไม่ได้ยากชนิดที่ลงโทษผู้เล่นจนเกินเหตุ ใน Darksiders II จุดนี้ยังถือว่าทำได้ดีอยู่เช่นกัน ด้วยการที่ตัวเกมมีอาวุธใหม่ๆมากขึ้น จึงทำให้ปริศนามีความท้าทายยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับภาคแรก แต่ก็ถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ชวนให้คุณมานั่งคิดว่าคุณจะผ่านจุดๆนี้ไปได้อย่างไรได้เป็นอย่างดี


ระบบเกมเพลย์และต่อสู้ในเกมก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของ Darksiders ที่ในภาคต่อนี้ยังทำได้ดีเช่นเคย มันยังคงสนุก ตื่นเต้นและท้าทาย ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ตัวละครเปลี่ยนจาก War ไปเป็น Death แทน ทำให้มีท่าโจมตีพิเศษที่น่าสนใจใหม่ๆอย่างแน่นอน


สำหรับเนื้อเรื่องใน Darksiders II ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ให้ความรู้สึกว่าผู้สร้างพยายามก้าวเร็วจนเกินไปอีกเช่นกัน จากการที่มันพยายามจะขยายโลกของ Darksiders ให้ใหญ่กว่าเดิม จากการที่มันควรจะน่าสนใจ กลายเป็นให้ความรู้สึกเฉยๆแทนอย่างน่าเสียดาย จะว่าไปแล้ว ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า ใน Darksiders ภาคแรกเขียนเนื้อเรื่องได้ดีกว่าภาคต่อมากเลยทีเดียว มันน่าตื่นเต้น มันยิ่งใหญ่และมันช่างน่าติดตาม ในขณะที่ Darksiders II เนื้อเรื่องของมันแทบจะไม่น่าติดตามและไม่น่าสนใจเลย


ถึงแม้ว่าบอสต่างๆส่วนใหญ่ในเกม จะน่าตื่นเต้นและท้าทายพอสมควร จากการที่แต่ละตัวคุณจะต้องใช้เทคนิคในการต่อสู้ที่แตกต่างกัน (ถึงแม้มันจะไม่ยากแบบชนิด Dark Souls เลยก็ตาม) แต่ก็อีกครั้ง บอสตัวสุดท้ายในเกมที่น่าผิดหวังและเลวร้ายยิ่งกว่าภาคแรกเสียอีก ง่ายจนชนิดที่ว่ามันทำให้ผู้เขียนสงสัย ว่าผู้สร้างได้ลองเล่นต่อสู้กับบอสตัวๆนี้แล้วรึยัง เพราะมันแทบจะไม่ท้าทายเอาเสียเลย และนี้ก็เป็นครั้งที่สองของซีรียส์แล้ว ที่บอสตัวสุดท้ายช่างน่าผิดหวัง


ในท้ายที่สุดแล้วต้องพูดเลยว่าน่าเสียดายจริงๆกับซีรียส์ Darksiders ในขณะที่ภาคแรกนั้นเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเกมหนึ่ง แต่ภาคสองกลับเต็มไปด้วยการพยายามที่จะก้าวไปไกลมากเกินไปจนหนีไม่พ้นการสะดุดล้มอย่างไม่เป็นท่าด้วยตนเอง จากหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในเกมที่ให้ความรู้สึกเฉยๆเรื่อยๆมากกว่าน่าสนใจ รวมไปถึงบอสตัวสุดท้ายที่เลวร้ายยิ่งกว่าภาคแรก ยิ่งในตอนนี้ลิขสิทธิ์ของตัวเกม Darksiders ได้ตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว จึงทำให้ไม่แน่ใจว่าเราจะได้เห็นภาคที่สามอีกหรือไม่ (ซึ่งจากการให้สัมภาษณ์ก็เรียกได้ว่ายังมีโอกาสอยู่)  แต่ถ้าหากยังคงมีอยู่ ผู้เขียนอยากให้ตัวซีรียส์กลับไปสู่สามัญอีกครั้ง โฟกัสไปที่จุดที่เป็นจุดเด่นจริงๆของเกมอย่างเช่นตัวละคร , การดีไซน์แผนที่หรือบอสต่างๆ และพยายามอย่าใส่ระบบอะไรที่มันทำให้ตัวเกมเกินความจำเป็นและกลายเป็นพยายามยัดเยียดมากจนเกินไปลงในเกม ถ้าหากเป็นเช่นนั้น Darksiders III ก็มีสิทธิที่จะเป็นเกมที่กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว


Final Score : [ B ]

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

L.A Noire ( 2011 ) [ Game Review ]

Game Review
"เมืองแห่งการโกหกและหลอกลวง"




Game Name : L.A. Noire
Platforms : PC , Playstation 3 , Xbox 360
Rating : Mature





                        ถ้าหากพูดถึงเกมสืบสวนสอบสวนซักเกมหนึ่งแล้วล่ะก็ คอเกมหลายๆคนก็คงจะนึกถึงเกมอย่าง L.A. Noire ไม่น้อยเลยทีเดียว จากการที่มันเป็นหนึ่งในเกมสืบสวนสอบสวนที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียว



L.A. Noire เป็นเกมแนวสืบสวนสอบสวนแบบเต็มๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันจึงเต็มไปด้วยการหาหลักฐาน สอบสวนผู้ต้องสงสัย / ผู้เห็นเหตุการณ์ เป็นเหตุที่ทำให้เกมๆนี้จึงเป็นเกมที่ค่อนข้างช้า ถ้าหากคุณคิดว่าทุกอย่างมันจะมากองตรงหน้าคุณแบบหลายๆเกมคงจะผิดมหันต์แล้ว นี้เรียกได้ว่าจึงเป็นประการแรกที่คุณจะต้องคิดก่อนที่จะลองเกมๆนี้ ว่าคุณรับได้กับเกมแนวนี้หรือไม่ ลืมประเภทยิงกันหูดับตับไหม้กันทุก 5 วินาทีไปได้เลย



อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากให้ทำใจไว้ก่อนเล่นเกม L.A Noire เลยก็คือ เกมๆนี้ค่อนข้างจะเน้นความสมจริงเป็นหลัก แน่นอนว่าคดีต่างๆก็จะโหดสุดๆไม่ว่าจะเป็นฆาตกรรม ไปจนถึง ข่มขืนเลยก็มีเช่นเดียวกัน ยังไม่รวมถึงการที่เราจะต้องไปสำรวจศพที่สภาพเช่นนั้นจริงๆอีกด้วย จึงทำให้เกมๆนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้เล่นทุกคนซักเท่าไรนัก 


ต้องพูดจากใจผู้เขียนเลยว่า L.A Noire เป็นเกมสืบสวนสอบสวนชนิดที่ไม่ค่อยจะจูงมือผู้เล่นซักเท่าไรนัก และให้อิสระกับผู้เล่นในการสืบสวนคดีอย่างเต็มที่ แต่การให้อิสระครั้งนี้นั้น ก็ตามมาด้วยความผิดพลาดของตัวผู้เล่นเองเช่นเดียวกัน ในขณะที่เกมสืบสวนคล้ายๆกันอย่าง Danganronpa แทบจะชี้หลักฐานทุกอย่างให้กับผู้เล่นและยอมรับความผิดพลาดได้นิดหน่อยบ้าง L.A. Noire นั้นทุกอย่างคุณจะต้องเป็นคนหาเอง และตีความเอง ไม่มีการบังคับให้ห้ามออกจากพื้นที่จนกว่าคุณจะได้หลักฐานครบอีกต่อไป ซึ่งนำมาสู่การที่คุณดันหาหลักฐานไม่ครบ ซึ่งหลักฐานชิ้นนั้นๆมันอาจจะสำคัญมากจนทำให้คุณลากตัวผู้ร้ายมาผิดคนเลยก็เป็นได้ โดยคุณจะสังเกตุได้จากเสียงเพลงในขณะกำลังหาหลักฐานต่างๆ ว่าคุณได้ครบรึยัง ถ้าหากเสียงเพลงดังขึ้นแสดงว่าคุณยังหาไม่ครบ และเสียงเพลงจะหายไปเมื่อคุณได้หลักฐานครบทุกชิ้นในตอนนั้นแล้วนั้นเอง



แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำให้ L.A Noire เป็นที่พูดถึงจริงๆเลยก็คือ ระบบการสอบสวนผู้ต้องสงสัยหรือพยานของมัน เนื่องจากตัวเกมนั้นใช้เทคโนโยี Motion Scan ที่ทำให้มนุษย์ในเกมมีหน้าตา ท่าทาง และการแสดงสีหน้าที่สมจริงมากที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยได้เห็นมาเลยทีเดียว โดยสืบสวนในเกมนั้น เราจะต้องคอยฟังและดูหน้าตาของพวกเขาว่าสิ่งที่พวกเขาบอกเรามานั้นเป็นสิ่งที่โกหกหรือความจริง ถ้าหากเราคิดว่าคนๆนั้นโกหกเราจะต้องมีหลักฐานเพื่อมาโต้แย้งว่าสิ่งที่คนๆนั้นพูดโกหก ยกตัวอย่างเช่น เขาบอกว่าเขาไม่ได้อยู่แถวนั้น แต่เรามีหลักฐานว่าคนแถวนั้นเห็นเขาอยู่แถวๆนั้นมานานแล้วเป็นต้น แต่ในกรณีที่คุณไม่มีหลักฐาน คุณก็จะต้องกดปุ่ม "สงสัย" เพื่อเป็นการตั้งข้อสงสัยว่าสิ่งที่พวกเขาพูดมานั้นถูกต้องจริงหรือ ?


ถึงแม้ว่ามันจะมีเพียงแค่ 3 ตัวเลือก "จริง" , "โกหก" กับ "สงสัย" เท่านั้น แต่เมื่อเล่นจริงๆแล้ว มันเป็น 3 ตัวเลือกที่ยากมากๆเลยทีเดียว บางครั้งเราแทบจะบอกไม่ได้เลยว่าพวกเขาโกหกหรือไม่ ในขณะที่บางครั้งก็ง่ายดายเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากคุณทราบว่าพวกเขาโกหก แต่ดันใช้หลักฐานผิดชิ้น ข้อๆนั้นก็จะตกไปเลยชนิดที่ไม่มีการกลับมาแก้ตัวอีกด้วย ด้วยความที่ตัวเกมค่อนข้างที่จะจริงจังและไม่คิดว่าคุณเป็นเด็กที่ต้องมานั่งจูงมือตลอดเวลา จึงทำให้ L.A. Noire กลายเป็นเกมที่น่าจะถูกใจคนที่ชอบเกมหรือภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนแบบหนักๆอย่างแน่นอน


"เขาโกหก ? , พูดความจริง ? หรือว่าน่าสงสัยกันแน่หว่า ?"


ถึงแม้ว่าตัวเกมจะดูเหมือนยากมากๆสำหรับคนทั่วๆไปก็ตาม (ซึ่งมันก็ยากในระดับหนึ่งจริงๆ) ตัวเกมก็ไม่ลืมที่จะแอบคอยมีตัวช่วยอยู่ตลอดเวลา โดยเมื่อคุณเลเวลอัพจากการทำสิ่งต่างๆในเกม คุณก็จะได้แต้ม Intuition Points ที่คุณสามารถใช้แต้มนี้ในการแสดงหลักฐานในฉากต่างๆ หรือตัดตัวเลือก 3 ตัวเลือกให้เหลือเพียง 2 ได้เช่นเดียวกัน จึงทำให้เกมไม่ยากจนเกินไปสำหรับคนที่ไม่อยากจะเสียเวลามานั่งเล่นใหม่อีกครั้ง นี้ยังไม่รวมถึงแทบจะทุกคดีในเกมที่เราจะมีผู้ช่วยอีกคนมาติดตามเราตลอดเวลา ถ้าหากเราติดขัดตรงไหน หรือไปต่อไม่ถูก ก็ให้ไปคุยกับพวกเขาได้เลย


เนื้อเรื่องในคดีต่างๆเองก็น่าสนใจมากๆเลยทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างเก่าไปบ้างด้วยความที่ตัวเกมอิงจากเมือง ลอสแองเจลิส ในปี 1947 แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับนั่งชมภาพยนตร์หรือฟิลม์นัวร์ที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว


แต่มีจุดๆหนึ่งที่สำหรับผู้เขียนเรียกได้ว่าผิดหวังมากที่สุดในเกม L.A. Noire จุดๆนั้นก็คือเนื้อเรื่องหลักของตัวละครเอกที่แยกออกมาจากเนื้อเรื่องตามคดีต่างๆ นอกจากที่มันจะน่าสนใจน้อยกว่าเนื้อเรื่องตามคดีต่างๆแล้ว ตอนจบมันก็จบแบบหักดิบชนิดเหมือนตบหน้าผู้เล่นอย่างนั้นเลยทีเดียว ซึ่งไม่แน่ใจว่าจุดๆนี้ไปอธิบายต่อใน DLC ที่ออกมาทีหลังหรือไม่ เพราะผู้เขียนก็ไม่ได้เล่น DLC แต่สำหรับตัวเกมอย่างเดียวนั้น จุดนี้ถือได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนแอและน่าผิดหวังที่สุดของตัวเกมเลยทีเดียว


จุดต่อมาก็คือความที่ตัวเกมเป็นแบบ Open World หรือโลกเปิด แต่กลับไม่ค่อยมีอะไรให้ทำเท่าไรนักนอกจากเราจะวิ่งไปเจอเหตุการณ์ตามถนนต่างๆ เช่นมีการปล้นธนาคารหรือไล่ล่าผู้ร้ายที่ค่อนข้างจะซ้ำๆซากๆแนวเดิม อย่างอื่นนั้นแทบจะไม่มีอะไรให้เราทำเลย ไม่มีการเล่นโบวลิ่ง ชมภาพยนตร์ หรือฝึกยิงปืน ไม่มีเลยจึงทำให้อารมณ์ของความเป็น Open World ค่อนข้างที่จะจืดชืดไปบ้าง ยิ่งไปเทียบกับเกมอย่าง Grand Thief Auto หรือ GTA ยิ่งจืดชืดเข้าไปอีก




ในท้ายที่สุดแล้ว L.A. Noire ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากๆเกมหนึ่ง จากการที่มันเนรมิตเมืองลอสแองเจลิสในปี 1947 ออกมาได้อย่างสวยงาม , ระบบ Motion Scan ที่สมจริงเหลือเชื่อชนิดที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นรายละเอียดหน้าคนเยอะขนาดนี้ในเกม , เนื้อเรื่องในแต่ละคดีที่น่าติดตาม รวมไปถึงระบบสืบสวนเช่นหาหลักฐาน หรือ สอบสวนผู้ต้องสงสัยที่ตื่นเต้น สมจริงและท้าทายมากๆ ถึงแม้ว่าตัวเกมจะน่าผิดหวังในด้านของเนื้อเรื่องหลักและ Open World ที่จืดไปบ้าง แต่นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียวเชียว




Final Score : [ A ] & [ Must Play Badge ]

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Soul Sacrifice Delta [ Game Review ]

Game Review
"This is where your story begins"




Game Name : Soul Sacrifice Delta ( 2014 )
Platform : Playstation Vita Exclusive
Rating : Mature


** สำหรับท่านที่ไม่เคยเล่นเกม Soul Sacrifice มาก่อนเลย ผู้เขียนอยากให้อ่านบทวิจารณ์ภาคแรกก่อนนะครับผมเพราะบทวิจารณ์ Delta ตัวนี้จะเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงจากภาคแรกมาสู่ภาคนี้เสียมากกว่า http://fallsdownz.blogspot.com/2013/06/soul-sacrifice-game-review-psvita.html **


           ถึงเวลากลับมาพบกันอีกครั้งกับการรีวิวเกม โดยในครั้งนี้นั้นเกมที่ผู้เขียนจะมารีวิว เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ ณ เวลานี้ เป็นเกมที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ถ้าหากท่านใดได้เคยอ่านบทวิจารณ์/รีวิว Soul Sacrifice ภาคแรกที่ผู้เขียนเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็น่าจะทราบจุดนี้เป็นอย่างดี ว่าผู้เขียนชอบเกมๆนี้มากขนาดไหน


โดยสำหรับ Soul Sacrifice Delta นั้นจะไม่ใช่ภาคต่อของ Soul Sacrifice ซะเดียว แต่เป็นเหมือนกับการเอา Soul Sacrifice มาแก้ไข ปรับปรุงส่วนที่ผิดพลาด และเพิ่มเนื้อหาลงไปมากกว่า เรียกง่ายๆว่ามันคือ Soul Sacrifice 1.5 นั้นแหละ คล้ายๆกับในกรณีของ Ragnarok Odyssey กับ Ragnarok Odyssey Ace  

"ใช้อาวุธขว้าง 6 ช่องแบบภาคแรกไม่ได้แล้วนะ!"


สำหรับในภาค Delta นี้ มีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างมากๆเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ในสายตาของผู้เขียน คิดว่าเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นระบบต่อสู้ในเกม 
ถ้าหากผู้อ่านท่านใด ได้เคยเล่น Soul Sacrifice ภาคแรกมาก่อนแล้ว จะทราบดีว่า เวทย์ที่ใช้ได้ผลดีที่สุดในเกม ก็คงจะหนีไม่พ้นเวทชนิด ขว้างหรือกระสุนนั้นเอง ซึ่งมันทรงพลังจนเรียกได้ว่าสแปมปุ่มเพื่อชัยชนะกันชัดๆเลยทีเดียว ในขณะที่อาวุธหรือเวทย์ระยะใกล้อย่างดาบหรือขวานก็ไม่ค่อยคุ้มค่ากับการเสี่ยงเข้าไปโดนบอสตบทีเดียวตายซักเท่าไรนัก ยิ่งบวกกับพลังทำลายของมันที่ไม่ค่อยมากเท่าไรนัก ยิ่งทำให้เวทย์ประเภทอาวุธระยะประชิด กลายเป็นเวทย์ที่แทบจะไร้ความหมายไปเลยทีเดียวใน Soul Sacrifice ภาคแรก และนี้ดูเหมือนจะเป็นจุดที่มีแฟนๆเกมหลายคนติมากที่สุดจุดหนึ่งเลยทีเดียว 


และดูเหมือนทีมผู้สร้างก็ทราบถึงจุดนี้เป็นอย่างดี จึงเป็นเหตุทำให้ในภาค Delta เวทย์ประเภทกระสุนหรือขว้าง เรียกได้ว่าโดนปรับกันหนักมากเลยทีเดียว นอกจากที่จะปรับให้เวลายิงออกไปใช้เวลามากขึ้นเพื่อทำให้สแปมได้ถี่น้อยลงแล้ว ในภาค Delta นี้ ตัวผู้พัฒนายังใส่ความสามารถต่างๆให้กับบอสหลายๆตัวที่จะปัดเวทย์กระสุนหรือขว้างออกไปทันที จนกว่าจะเราจะใช้อาวุธประชิดเข้าไปทำลายส่วนๆมีความสามารถในการปัดเวทย์นี้ออกไปเสียก่อนอีกด้วย ซึ่งเป็นเสมือนกับการบังคับไม่ให้ผู้เล่นเอาแต่สแปมเวทย์กระสุนทั้งวันทั้งคืนชนิดที่เวทย์กระสุนอย่างเดียว 6 ช่องแบบภาคแรก  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในภาคนี้คุณจะสามารถใส่เวทย์ชนิดเดียวกันได้เพียง 2 ช่องเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากคุณมีเวทย์กระสุนอยู่แล้ว 2 ช่อง คุณจะไม่สามารถใส่เพิ่มเข้าไปในช่องที่ 3 ได้อีก จะต้องใส่เวทย์ที่เป็นชนิดอื่นๆเท่านั้น เพื่อเป็นการบังคับให้ผู้เล่นใช้เวทย์ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งในความคิดของผู้เขียน ถือว่าเป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว


นอกจากนั้นแล้วระบบต่อสู้ในภาคนี้ยังเพิ่มระบบอย่าง "คอมโบ" ลงไปด้วย โดยระบบนี้จะเป็นการทำให้เมื่อเราใช้เวทย์บางเวทย์กับอีกเวทย์หนึ่งจะทำให้เกิดความสามารถพิเศษขึ้น เช่นเราใช้เวทย์ทำให้วิ่งเร็วแล้วจากนั้นจึงใช้เวทย์เรียกดาบออกมา จะทำให้มีความสามารถพิเศษในการเรียกดาบออกมาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แถมยังโจมตีได้เลยอีกด้วย จากการที่ปกติต้องรอมันร่ายมาสักพักหนึ่ง ซึ่งในระบบนี้นอกจากมันจะทำให้ตัวเกมน่าค้นหาและสนุกมากขึ้นแล้ว มันยังทำให้อาวุธประเภทระยะใกล้น่าใช้มากกว่าเดิมอีกด้วย จากการที่คุณสามารถวิ่งเข้าไปตี 2-3 ที แล้วรีบวิ่งออกมาจากการโจมตีของบอสได้อย่างทันเวลา หรือเป็นเทคนิคที่ชาวเกมเมอร์เรียกกันง่ายๆว่า "Hit and Run" นั้นเอง (แต่วิ่งไม่ทันก็ตัวใครตัวมันนะเอ่อ)




สำหรับส่วนอื่นๆที่เพิ่มเข้ามาในภาค Delta และจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การเพิ่ม Faction ในเกมให้มากขึ้น จากในภาคแรกที่เราจะได้รู้จักเพียงแค่กลุ่มของ Avalon เท่านั้น และมีการเปรยๆถึงกลุ่มของ Sanctuarium เพียงนิดเดียว ในภาคนี้เราจะได้เจอกับเรื่องราวของกลุ่มใหม่แบบเต็มๆอีกสองกลุ่มนั้นก็คือ Sanctuarium กับ Grim โดยเนื้อเรื่องในส่วนของแต่ละกลุ่มจะไปอยู่ในส่วนของ Sorcerous Deeds หรือในส่วนที่จะทำให้เราได้ไปเจอกับตัวละครใหม่ๆนอกจากเนื้อเรื่องหลักของเรา และจะทำให้เราได้ทราบถึงเรื่องราว ความเป็นมา และเป้าหมายของแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันออกไปนั้นเอง 

นอกจากนั้นในภาคนี้เราไม่จำเป็นจะต้องอยู่กับ Avalon เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว คุณยังสามารถที่จะไปเข้าร่วมกับกลุ่มอื่นๆเช่น Grim ได้อีกด้วย ซึ่งในส่วนนี้จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยส่งผลถึงเนื้อเรืองเท่าไรนักจนถึงไม่มีส่วนเลย แต่มันจะไปส่งผลตอนที่คุณจะทำถ้วยแพลตทินัมหรือว่าการเล่นต่างๆ เพราะในแต่ละกลุ่ม เวลาเรา สังเวย (Sacrifice) , ช่วย (Save) หรือ เลือกทางใหม่อย่าง Fate มันจะเพิ่มค่าต่างๆในตัวเราแตกต่างกันออกไป อย่างเช่นปกติถ้าหากคุณต้องการจะเติมพลังเวทย์ของคุณคุณจะต้องสังเวยหรือ Sacrifice เท่านั้นสำหรับฝั่ง Avalon แต่ถ้าคุณอยู่ฝั่ง Grim คุณจะสามารถเติมพลังเวทย์ได้ด้วยการ Fate นั้นเอง นี้ยังไม่รวมถึงการที่คุณมีสิทธิเลือกกลุ่มเอง จะทำให้คุณมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเกมมากขึ้นอีกด้วย อย่างผู้เขียนเองยังคงอยู่กับ Avalon เช่นเคย และก็สังเวยชาวบ้านเขาไปทั่ว ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดสร้างสีสันเล็กๆน้อยๆให้กับผู้เล่น


เนื้อเรื่องส่วนที่เพิ่มมาในภาคนี้ สำหรับผู้เขียนต้องพูดเลยว่าประทับใจมากๆเลยทีเดียว เพราะในตอนแรกก็ไม่ค่อยได้คาดหวังว่าเนื้อเรื่องมันจะพัฒนาจาก Soul Sacrifice ภาคแรกอะไรมากมาย เพราะ Delta อย่างที่บอกไปแล้ว ว่ามันก็ไม่ใช่ภาคต่อแต่เป็นเหมือน 1.5 เสียมากกว่า แต่ปริมาณเนื้อเรื่องที่เพิ่มขึ้นมาในภาคนี้ก็เรียกได้ว่าไม่ผิดหวังเลยทีเดียว นอกจากตัวเกมจะขยายโลกของ Soul Sacrifice ได้อย่างชาญฉลาดมากๆแล้ว มันยังนำเนื้อเรื่องของภาคแรกไปสู่อีกระดับหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมากๆเลยทีเดียว เมื่อเล่นไปเล่นมาแล้ว จากตอนแรกที่คิดว่าผู้เล่นใหม่น่าจะเข้าใจเนื้อเรื่องในภาคนี้ได้มากกว่าผู้เล่นเก่า กลับกลายเป็นว่า รู้สึกว่าผู้เล่นที่เคยเล่น Soul Sacrifice ภาคแรกมาก่อน น่าจะเข้าใจเนื้อเรื่องที่เพิ่มขึ้นมาในภาคนี้ได้ดีกว่าผู้เล่นใหม่ เนื่องจากมันค่อนข้างจะเยอะ สับสน และหนักพอสมควร ซึ่งในส่วนนี้ผู้เล่นเก่าจะได้เปรียบตรงที่เข้าใจเนื้อเรื่องเก่าอยู่แล้ว จึงรับภาระแค่ส่วนเนื้อเรื่องใหม่ ถ้าหากผู้เล่นใหม่มาจับ Soul Sacrifice Delta ครั้งแรกจริงๆ ผู้เขียนอยากให้ค่อยๆเล่นไม่ต้องรีบ ซึมซับเนื้อเรื่องและเข้าใจมันไปเรื่อยๆ เพราะถ้าหากเล่นแบบรีบๆจบแล้วล่ะก็รับรองว่างงแน่นอน

สำหรับเพลงประกอบในภาคนี้ ก็มีเพิ่มมาบ้างประมาณ 10 เพลงด้วยกัน ซึ่งผู้ประพันธ์ยังคงเป็นคนเดิมนั้นก็คือคุณ Yasunori Mitsuda กับคุณ Wataru Hokoyama  ซึ่งทั้งคู่ก็ยังคงประพันธ์เพลงประกอบได้อย่างน่าทึ่งเช่นเคย ยิ่งใหญ่ อลังการ สยดสยอง และลุ้นระทึก 





ในส่วนที่เพิ่มมาอื่นๆของตัวเกม Delta ในภาคนี้ แน่นอนว่าก็ต้องมีบอสใหม่ๆและปีศาจตัวใหม่ๆอย่างแน่นอน ซึ่งบอสตัวใหม่ๆนั้นผู้เขียนรู้สึกว่า ออกแบบมาได้ดีกว่าภาคแรก ซับซ้อนกว่าและค่อนข้างจะท้าทายกว่าพอสมควร บอสบางตัวมีการใช้คอมโบที่น่ากลัวมากๆอย่างเช่นแช่เราก่อนแล้วค่อยวิ่งมาทับเราอะไรแบบนี้ ซึ่งถ้าหากเราโดนแช่เราจะหลบท่าต่อมาของมันไม่ได้เลย และมันแรงมากๆชนิดที่บางครั้งทีเดียวตายเลยก็มี จึงทำให้บอสในภาคนี้ท้าทายมากขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น และยังคงมีเนื้อเรื่องเบื้องหลังของแต่ละตัวที่น่าสนใจเช่นเคย โดยเฉพาะเอกลักษณ์ของตัวเกมที่มักจะจับเอาตัวละครในเทพนิยายหลายๆตัวมาทำเป็นปีศาจในเกมเช่น สโนว์ ไวท์ หรือ Red Riding Hood  แต่ในส่วนของปีศาจทั่วๆไปนั้นค่อนข้างจะน่าผิดหวังเล็กน้อย เพราะเพิ่มมาเพียงแค่ประมาณ 2-3 ชนิดเท่านั้นเอง ซึ่งเมื่อมันไปเทียบกับจำนวนบอสในภาคนี้ที่เพิ่มขึ้นมาค่อนข้างจะเยอะ กับจำนวนบอสเก่าที่เยอะอยู่แล้ว มันทำให้ปีศาจทั่วๆไปให้ความรู้สึกซ้ำซาก เปลี่ยนเพียงแค่สีและธาตุอย่างน่าเสียดาย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหาอีกจุดหนึ่งที่ตัวเกมยังคงแก้ไม่ได้

บางระบบใหม่ในภาค Delta นี้ ก็ให้ความรู้สึกว่าไม่ค่อยจำเป็นซักเท่าไรนัก อย่างเช่นระบบ Rumor หรือข่าวลือ ที่เอาไว้ใช้ในด่านต่างๆเพื่อให้บอสตัวนั้นๆตายง่ายขึ้น หรือทำให้เราได้รับรางวัลมากขึ้น , ระบบสร้างด่านขึ้นมาเอง หรือระบบรายงานคะแนนเพื่อแข่งขันกับคนทั่วโลกว่า Faction ไหนจะเป็นที่ 1 เป็นต้น ซึ่งระบบเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญหรือส่งผลต่อการเล่นของคุณมากซักเท่าไรนัก จริงๆโหมดเหล่านี้ไม่จำเป็นจะต้องมีเลยยังได้ ยกเว้นคุณจะเป็นคนที่เก็บถ้วยแพลตทินัม แต่ถ้าคิดซะว่ามันเป็นโบนัสเล็กๆน้อยๆหรือจุดที่แถมมาก็อาจจะพอรับได้อยู่บ้าง

ปัญหาอีกจุดหนึ่งที่ต้องพูดเลยสำหรับใน Soul Sacrifice Delta ที่ยังคงคล้ายๆกับภาคแรก ซึ่งปัญหานั้นก็คือบอสตัวสุดท้าย ที่ค่อนข้างจะง่ายไปนิดหน่อยอย่างน่าเสียดาย ง่ายกว่าบอสปกติบางตัวเสียอีก คล้ายๆกับ Soul Sacrifice ภาคแรก โดยเฉพาะถ้าหากคุณรู้เทคนิคในการจัดการกับบอสตัวสุดท้ายใน Soul Sacrifice คุณจะไม่ประสบปัญหากับการสู้บอสตัวสุดท้ายในภาคนี้เลย อย่างตัวผู้เขียนเองก็รอบเดียวผ่านฉลุยกันเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้ ถ้าหากมีภาคต่อไป ก็คงต้องมีการแก้กันหน่อย เพื่อให้มันท้าทายมากขึ้นสมกับเป็นบอสตัวสุดท้ายของเกมจริงๆ



ในท้ายที่สุดแล้ว Soul Sacrifice Delta ก็ยังคงเป็นเกมที่ไม่สร้างความผิดหวังให้กับผู้เขียนจริงๆ จากการที่ตัวเกมนำปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคแรกไปแก้ไขปรับปรุงและนำเสนอไอเดียใหม่ๆให้กับผู้เล่นได้อย่างน่าสนใจ เปิดทางให้กับการเล่นแบบใหม่มากขึ้น ไปจนถึง เนื้อเรื่องที่สานต่อจากภาคแรกได้อย่างน่าทึ่ง เข้มขันและชาญฉลาด ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Soul Sacrifice ทั้งสองภาคยังคงเป็นเกมที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุด ณ ขณะนี้ และดูท่าว่าตำแหน่งนี้คงจะอยู่เช่นนี้ต่อไปอีกนานเลยทีเดียว


Final Score : [ A + ] & [ Must Play Badge ]

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Dawn of the Planet of The Apes ( 2014 ) Movie Review

Dawn of the Planet of The Apes ( 2014 ) Movie Review 



" Dawn of the Planet of The Apes นั้นเปรียบเสมือนการนั่งรอคอยภูเขาไฟที่จะปะทุอย่างไร้การหยุดยั้งในซักวันหนึ่ง ทั้งๆที่เรารู้ว่าไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้น แต่เราก็อดไม่ได้ ที่จะฝันใฝ่ถึงการนั่งชมหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในครั้งนี้ว่าปลายทางที่ยาวไกลและสิ้นหวังนี้ มันจะไปสิ้นสุดที่ใด "





            Dawn of the Planet of The Apes คือภาพยนตร์ภาคต่อจากปี 2011 ซึ่งเป็นผลงานของความพยายามในการรีบู้ทภาพยนตร์ไซไฟยุคเก่าอย่าง Planet of The Apes ในปี 1968 กลับมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอีกครั้ง 
ซึ่งนอกจากที่มันจะรับไม้ต่อและก้าวข้ามภาคก่อนหน้าในปี 2011 ไปได้อย่างสวยงามแล้ว มันยังก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งด้วยบทภาพยนตร์ที่เข้มข้น  ยิ่งใหญ่ รอบด้าน และเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีซักวินาทีใดเลยในภาพยนตร์ ที่ให้ความรู้สึกว่าฉากๆนี้ใส่มาอย่างไร้ความหมาย หรือความรู้สึกที่ว่าบทภาพยนตร์ไม่มีการพัฒนาใดๆเลย 


ตัวละครหลักอย่างซีซาร์ ก็ยังคงเป็นตัวละครที่น่าจดจำและน่าประทับใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นเคย ไม่ว่าจะจากในด้านของตัวละครเอง ที่เขียนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม หรือจากด้านการแสดงของ แอนดี้ เซอร์กิส ที่ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย




เมื่อนำบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมกับตัวละครหลักที่น่าจดจำ มาผนวกกับการกำกับและเล่าเรื่องของผู้กำกับภาพยนตร์หายนะชื่อดัง Cloverfield อย่างแม็ตต์ รีฟ ซึ่งใช้วิธีการเล่าเรื่องตัดสลับระหว่างมุมมองของสองเผ่าพันธุ์ได้อย่างน่าทึ่งแล้ว จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้ผลสุดๆไม่ว่าจะในด้านของเนื้อหา หรือการถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าจดจำ


ถึงแม้ว่า Dawn of the Planet of The Apes จะมีปัญหาในด้านของตัวละครฝั่งมนุษย์ที่ผู้เขียนแทบจะไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด เนื่องจากการให้เวลาสร้างและเล่าเรื่องตัวละครที่น้อย แลกกับการเทเวลาในภาพยนตร์ให้กับการพัฒนาบทที่มากขึ้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่อยู่ในเกณฑ์เท่าเทียมและพอที่จะเห็นความพยายามอยู่บ้าง ถึงแม้ความพยายามนั้นมันจะไม่เพียงพอเลยก็ตาม




ในท้ายที่สุด Dawn of the Planet of The Apes  ก็กลายเป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่น่าจดจำและคุ้มค่ากับการรอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม ตัวละครหลักที่น่าจดจำ และการกำกับของ แม็ตต์ รีฟที่น่าทึ่ง จึงทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดแห่งปี 2014 ในขณะนี้


Final Score : [ A ] & [ Must See Badge ]




เพื่อนๆพีๆสามารถไปกดไลค์แฟนเพจได้ที่นี้ครับผม :)
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

The Last of Us ( Game Review)

Game Review



Game Name : The Last of Us 
Platform : Playstation 3 Exclusive
Developer : Naughty Dog
Rating : Mature




                                       ถ้าหากพูดถึงเกมแห่งยุคหรือเกมที่ขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดใน Generation ที่แล้ว เกมๆนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น The Last of Us อย่างแน่นอน จากคะแนนวิจารณ์จากหลายต่อหลายสำนัก 10/10 และเสียงพูดปากต่อปากกันมากมาย ทำให้เกมนี้กลายเป็นอีกหนึ่งเกมที่ดังมากๆอย่างรวดเร็ว (ดังขนาดจะไปสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว) ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ถือว่าไม่น่าแปลกใจซักเท่าไร เพราะโดยปกติ ค่ายผู้สร้างอย่างหมาซน Naughty Dog ก็ทำแต่เกมคุณภาพออกมาอยู่แล้ว อย่างเช่นเกมซีรียส์ที่มีชื่อดังและเป็นที่รู้จักอย่างดีอย่าง Uncharted และเรียกได้ว่าเป็นค่ายผู้สร้างที่ทาง Sony คอยเอาใจตลอด และเร็วๆนี้ก็จะออกเวอร์ชั่น Remastered ให้กับเครื่อง Generation ใหม่อย่าง Playstation 4 อีกด้วย


The Last of Us ว่าด้วยเรื่องราวของ เอลลี่ กับ โจเอล ที่จะต้องเดินทางไปตามที่ต่างๆในเกม แต่โลกปัจจุบันที่พวกเขาอยู่  ไม่ใช่โลกทุกๆวันนี้อีกต่อไป เพราะเป็นโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ กับโจรที่คอยฆ่าคนปล้นอาหาร การเดินทางของพวกเขาจึงอันตรายเป็นที่สุด พวกเขาจะรอดจากมือของโจรที่คอยดักซุ่ม และรอดจากฝูงซอมบี้ เพื่อไปสู่จุดหมายได้หรือไม่ ? แล้วพวกเขาจะช่วยโลกนี้ได้หรือไม่ ? หรือว่าสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างมันจะสายจนเกินไป ?

"You're Next !!"


สำหรับตัวเกมเพลย์หลักของ The Last of Us นั้น ถ้าหากคนที่เคยเล่นเกมในค่ายหมาซนมาก่อนอย่าง Uncharted (ซึ่งคนมีเครื่อง PS3 ส่วนใหญ่คงเคยเล่นมาบ้างแล้ว) ก็จะเข้าใจระบบเบื้องต้นได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการหลบในที่กำบัง และการยิงปืนต่างๆ แต่ The Last of Us จะค่อนข้างเน้นไปที่การแอบและรอบเร้นสมกับเป็นเกมแนวเอาชีวิตรอดเสียมากกว่า โดยเฉพาะระดับที่ยากยิ่งขึ้น จะเป็นเรื่องที่ดีมากหากคุณสามารถย่องผ่านศัตรูไปได้โดยไม่ต้องเสียกระสุนซักนัด 

ฉะนั้นการปาระเบิด วิ่งไปแรมโบ้แบบ Uncharted คงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมากเพราะเกมนี้ถ้าหากคุณทำอย่างนั้น ต่อให้เล่นในระดับ Normal คุณคงจะลงไปนอนกองกับพื่นภายใน 2 วินาที ซ้ำกระสุนและของต่างๆในเกม ก็ค่อนข้างจะมีจำกัด คุณจึงจะต้องระมัดระวังในการใช้ให้ดี เพราะฉะนั้นการหาที่กำบัง จุดได้เปรียบ และการหลอกล่อศัตรู จึงสำคัญมาก รวมถึงคุณจะต้องทราบด้วยว่ากำลังสู้อยู่กับศัตรูชนิดใด คน หรือ ซอมบี้ เพราะสองสิ่งนี้ มีความเสี่ยงไม่เหมือนกัน ในขณะที่คน คุณอาจจะถูกยิงจนตายได้ ส่วนของซอมบี้ถ้าหากคุณเข้าไปใกล้มากจนเกินไป อาจจะถูกกัดจนตายภายในครั้งเดียวเลยก็เป็นได้

แต่ไม่ต้องห่วงว่าตัวเกมจะมีแต่ยิงอย่างเดียว เพราะหลายๆครั้งตัวเกมจะมีเวลาซักพักให้คุณเตรียมพร้อมและพักหายใจ ชมวิว แก้ปริศนาไปพลางๆอยู่เหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่สำคัญมาก ถ้าหากทั้งเกมมีแต่ยิงอย่างเดียวแบบไม่หยุด จากสนุกและตื่นเต้น มันจะมากเกินไป จนเริ่มกลายเป็นเบื่อและเริ่มพยายามลากตัวเองให้เล่นเกมจบๆไปแทน แต่ดูเหมือนทีมหมาซนรู้ถึงจุดนี้ดี และให้เวลากับผู้เล่นได้เป็นอย่างดี 



นอกจากนั้นแล้วในช่วงเวลานั้นตัวเกมก็ใช้เป็นเวลาที่พัฒนาตัวละครและเนื้อเรื่องต่างๆได้เป็นอย่างดีและสร้างความน่าสนใจ ความตึงเครียดให้กับตัวเกมอยู่พอสมควรจากเหตุการณ์ต่างๆที่ต่อเนื่องและนำไปสู่ฉากที่จะต้องเจอกับซอมบี้หรือศัตรูต่างๆในเกม ซึ่งตัวเกมก็ช่างเชื่อมต่อจุดต่างๆและเหตุการณ์ต่างๆในเกมได้อย่างยอดเยี่ยม จนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่านี้คือเกม มันเหมือนเรานั่งดูภาพยนตร์เอาชีวิตรอดดีๆเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว


ถ้าหากเทียบกับเกมอย่าง Uncharted แล้วสิ่งที่เห็นว่าเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนมากที่สุดอีกสิ่งหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้น อารมณ์ของตัวเกม ในขณะที่ Uncharted ค่อนข้างจะให้ความรู้สึกตลก ขบขัน ผจญภัย ผสมเครียดเล็กน้อย The Last of Us ค่อนข้างจะมีอารมณ์ที่เครียดและหนักหน่วงอยู่ตลอดเวลา สาเหตุสำคัญก็เพราะมันเป็นเกมเอาชีวิตรอด และผสมกับองค์ประกอบโลกแตกเข้าไปอีก ยิ่งทำให้มันกลายเป็นอารมณ์นั้นเข้าไปใหญ่ คิดง่ายๆก็คืออารมณ์คล้ายๆกับ TV-Series ชื่อดังอย่าง The Walking Dead นั้นแหละ 

"ลาก่อน"


และแน่นอนว่ามันก็ต้องตามมาด้วยความรุนแรงอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ในเกม Uncharted ค่อนข้างจะไม่มีบ่อยซักเท่าไรนัก ในขณะที่ The Last of Us ค่อนข้างจะเต็มไปด้วยฉากรุนแรงพอตัว ไม่ว่าจะเป็นระเบิดในเกมที่เมื่อศัตรูเดินมาโดนเข้า จะเห็นได้ชัดเลยว่า แขนขาด ขาขาดจริงๆ รวมไปถึงฉากคัดซีนต่างๆ ก็ยิงหัวกันให้เห็นแบบซึ่งๆหน้า ไม่มีการแอบ ไม่มีการหลบแต่อย่างใด จึงเห็นได้ชัดเลยว่า ธีมและโทนของตัวเกมนั้นแตกต่างไปจากผลงานเก่าอย่าง Uncharted อย่างชัดเจน


การเล่าเรื่อง ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตัวเกม The Last of Us ทำได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว จากการเล่าเรื่องต่างๆผ่านสองตัวละครหลัก โจเอล กับ เอลลี่ ซึ่งเป็นสองตัวละครที่ถูกเขียนมาเป็นอย่างดี จึงทำให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้อย่างรวดเร็ว และอดไม่ได้ที่จะคอยให้กำลังใจสองตัวละครนี้อยู่ห่างๆ จึงไม่แปลกเลยที่ฉากบีบคั้นอารมณ์ต่างๆ จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับผู้เล่นอย่างมากพอสมควร และนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญมากที่สุดจุดหนึ่งของ The Last of Us เลยทีเดียว 


แต่ต้องพูดจากใจผู้เขียนจริงๆเลยว่า หลังจากเล่นเกมจบแล้ว ผู้เขียนไม่ได้รู้สึกอย่างที่หลายๆคนบอกซักเท่าไรนัก อาจจะเพราะได้ยินถึงความสุดยอด ความน่าทึ่งของมันมากจนเกินไป จนตั้งความคาดหวังมากไปก็เป็นได้ แต่ถ้าหากถามผู้เขียนแล้วล่ะก็ The Last of Us ไม่ได้เป็นเกมที่เพอร์เฟ็คและยอดเยี่ยมขนาดนั้น


เพราะถ้าหากดูดีๆแล้วหลายๆสิ่งหลายๆอย่างมันก็ช่างซ้ำซาก และจำเจอยู่อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เนื้อเรื่องของเกม ที่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเนื้อเรื่องวันโลกแตก ซอมบี้บุกโลกเรื่องอื่นๆซักเท่าไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ อาหารที่น้อยและหายากมากขึ้น จนทำให้คนออกมาฆ่ากันเอง , ไม่อาจไว้ใจใครได้ หรือมนุษย์ที่โหดร้ายยิ่งกว่าซอมบี้ องค์ประกอบและเนื้อเรื่องเหล่านี้ มันถูกเล่ามาเป็นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว และก็ใช่ว่า The Last of Us จะจี้ประเด็นนี้ได้ลึกและหนักหน่วงกว่าภาพยนตร์หรือ TV-Series เรื่องอื่นๆที่มีเนื้อเรื่องเดียวกันซักเท่าไร 



ในท้ายที่สุดแล้ว The Last of Us เป็นอีกหนึ่งเกมที่ยอดเยี่ยมด้วยกราฟฟิคที่สวยงาม เกมเพลย์ที่สนุก ตื่นเต้น และตัวละครที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีเนื้อเรื่อง รวมถึงองค์ประกอบหลายๆอย่างที่ซ้ำซาก และเดาง่ายไปบ้าง แต่นั้นก็ไม่ได้หยุดที่จะทำให้คุณนึกถึงเกมๆนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลย



Final Score : [ A- ]

The Raid 2 ( 2014 ) Movie Review

The Raid 2 ( 2014 ) Movie Review 




"ภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ?"



             สำหรับภาพยนตร์ The Raid ภาคแรกนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม แต่มันก็มีปัญหาของตัวมันเองหลายอย่างเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ค่อนข้างจะจำกัด เพราะไม่ได้มีนายทุนใหญ่แบบภาพยนตร์แอ็คชั่นของ Hollywood จึงสังเกตุได้เลยว่า ในภาคแรกนับเข้าจริงๆสถานที่ถ่ายทำ ก็ถ่ายกันอยู่ตึกๆเดียวแทบจะทั้งเรื่อง รวมไปถึงซีจีที่เลวร้ายพอๆกับภาพยนตร์ไทยบ้านเราเลยทีเดียว นอกจากนั้นในด้านของเนื้อเรื่อง มันก็ถูกจำกัดในการเล่า เนื่องจากงบประมาณที่จำกัด เราจึงไม่ได้เห็นและได้รู้อะไรมากมายนัก นอกจากฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำของมัน


แต่ดูเหมือนผู้กำกับ,เขียนบทและตัดต่ออย่าง แกเร็ธ อีแวนส์ จะทราบถึงจุดนี้ดี และในคราวนี้ทุกๆปัญหาแทบจะถูกแก้ไขอย่างหมดจด ถ้าหาก The Raid ภาคแรกคือภาพยนตร์แอ็คชั่นที่น่าจดจำที่สุด The Raid 2 ก็คือภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย



ในคราวนี้ ตัวภาพยนตร์มีการเคลื่อนไหวแทบจะตลอดเวลา ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้มันมีการเคลื่อนไหวมากกว่าภาคแรก ก็มาจากการที่บทภาพยนตร์มีการพัฒนาและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ภาคนี้จึงจำเป็นจะต้องมีการสลับฉากไปมา ระหว่างฉากแอ็คชั่น กับ ฉากเล่าเนื้อเรื่องอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัดจริงๆก็คงจะเป็นฉากเนื้อเรื่องต่างๆ ซึ่งในภาคนี้ตัวภาพยนตร์ให้เวลากับในส่วนของการพัฒนาบทมากขึ้น จึงทำให้มันเป็นมากกว่าแค่ยัดบทเข้ามากระจุกหนึ่งแล้วก็ค้างอยู่อย่างนั้นจนเกือบทั้งเรื่องแบบภาคแรก


ด้วยสาเหตุที่กล่าวไปนั้นเอง จีงทำให้บทภาพยนตร์จากที่เคยเป็นจุดอ่อนของ The Raid ภาคแรก มันจึงแทบจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของภาคต่อนี้ทันที เพราะนอกจากมันจะขยายประเด็นของการฉ้อโกงและการเมืองที่สกปรกได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นแล้ว มันยังนำเสนอประเด็นนี้ในมุมมองของตัวละครต่างๆที่แตกต่างกันได้อย่างน่าทึ่งและน่าติดตามอีกด้วย


แต่แน่นอน เมื่อพูดถึง The Raid สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ฉากแอ็คชั่นต่อสู้ของมัน ซึ่งถ้าหากคุณคิดว่าภาคแรกนั้นสุดยอดแล้ว ภาคนี้แทบจะยกกำลังความสุดยอดของภาคแรกขึ้นไปอีกขั้น มันยังคงสนุก ตื่นเต้น และออกแบบท่าต่อสู้รุก/รับได้ยอดเยี่ยมเช่นเคย

สิ่งที่ผู้เขียนถูกใจมากที่สุดในด้านของฉากแอ็คชั่นในภาคนี้ก็คือ จากสเกลความใหญ่ของภาพยนตร์ในภาคต่อนี้ที่ใหญ่มากขึ้น เช่นตัวละครที่มากขึ้น , บทที่ไปไกลมากขึ้น หรือฉากแอ็คชั่นที่ใหญ่มากขึ้น แต่แทนที่มันจะดึงคุณภาพของตัวภาพยนตร์ลง เพราะพยายามจะจับนู้นจับนี้พันกันมั่วซั่วยุ่งเหยิงมากจนเกินไป แบบภาพยนตร์ภาคต่อแทบจะทุกเรื่อง The Raid 2 กลับจับมันได้อย่างอยู่หมัด ไม่พยายามที่จะใส่อะไรที่เกินความจำเป็น และนำสิ่งใหม่ๆมาใช้เป็นจุดส่งเสริมภาพยนตร์ให้ขึ้นไปอีกระดับได้อย่างน่าชื่นชม



จากการที่ตัวภาพยนตร์มีการเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำอยู่หลายต่อหลายครั้ง จึงทำให้ตัวภาพยนตร์มีสีสันและน่าสนใจมากขึ้น แน่นอนว่าก็ตามมาด้วยฉากแอ็คชั่นที่มีความหลากหลายสถานที่มากขึ้นเช่นกัน และตัวผู้กำกับ แกเร็ธ อีแวนส์ ก็นำจุดแข็งนี้มาเล่นกับฉากต่างๆที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี เช่นฉากต่อสู้ในรถไฟฟ้า หรือ ฉากต่อสู้ในห้องครัว นอกจากนั้นการตัดสินใจในการนำตัวละครใหม่เหล่านี้มาเล่าแยกทีละตัว ก็ควรจะเป็นเรื่องที่ผู้กำกับภาพยนตร์หลายๆคนน่าจะจดจำไว้เป็นแบบอย่าง 


เพราะการเล่าแยกทีละตัวละครเช่นนี้ มันจะนำไปสู่การสร้างคาแรคเตอร์ ทัศนะคติ และรวมถึงสไตล์การต่อสู้ที่แตกต่างกันได้มากขึ้นกว่าการเล่าแบบรวบๆ เพราะให้เวลาที่มากกว่า
ที่สำคัญก็คือการทำเช่นนี้ มันเสมือนเป็นการสร้างหลักฐานที่จะทำให้ผู้ชมเชื่อจริงๆว่าตัวละครเหล่านี้มีความสามารถจริงและจะสร้างความลำบากให้กับตัวเอกของเราจริงๆ ไม่ใช่เก่งเพราะตัวภาพยนตร์พูดหรือกล่าวไว้เช่นนั้น 


ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้เขียนก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ว่า The Raid 2 มีปัญหาเล็กน้อยในด้านของบทภาพยนตร์อยู่บ้าง จุดๆเดียวเลยก็คือ บทภาพยนตร์ซึ่งเล่าประเด็นที่เคยถูกใช้มาก่อนหน้านี้แล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งและ ค่อนข้างจะเดาง่ายไปหน่อยอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะในด้านของบทที่พูดถึง พ่อผู้ซึ่งกุมอำนาจไว้ในมือ และลูกผู้ซึ่งแสวงหาอำนาจ  เมื่อพูดขนาดนี้แล้วพวกเราแทบทุกคนคงจะทราบดีว่ามันจะไปจบที่ไหน



ในท้ายที่สุด ภาพยนตร์แอ็คชั่นภาคต่ออย่าง The Raid 2 ก็จบลงไปแบบชนิดที่คุณจะลืมมันไม่ลงและแทบอยากกลับไปสัมผัสมันอีกครั้งในทันที นอกจากมันจะกำจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคแรกได้แล้ว มันยังลบคำสบประมาทที่ว่า่ภาพยนตร์ภาคต่อมักจะห่วยกว่าภาคแรกเสมอได้อย่างหมดจด ถึงแม้ว่าในด้านของบทภาพยนตร์จะมีบางส่วนที่ค่อนข้างจะเดาง่ายและซ้ำซากไปบ้าง แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะขัดขวางคุณจากตัวภาพยนตร์เลยแม้แต่น้อย

Final Score : [ A  ] & [ Must See Badge ]



ฝากกดไลค์เพจของผมด้วยนะครับ :)  (บทวิจารณ์ใหม่ๆก็จะอัพเดทลงที่นี้ด้วยนะครับผม) https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

The Rover ( 2014 ) Movie Review

The Rover ( 2014 ) Movie Review  

และฝากกดไลค์เพจของผมด้วยนะครับ :) https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/





- อีกหนึ่งความพยายามของภาพยนตร์แนวดิสโทเปีย -



               The Rover เป็นภาพยนตร์จากประเทศออสเตรเลีย ที่ว่าด้วยเรื่องของโลก 10 ปีถัดมา หลังจากเศรษฐกิจของโลกได้ล้มสลาย อีริคได้ตามไล่ล่าบุคคลผู้ซึ่งได้ขโมยรถยนตร์ของเขาไป ระหว่างนั้นเองเขาได้พบกับเรย์ผู้ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มโจรที่ขโมยรถของเขาไป ทั้งคู่จึงต้องมาร่วมเดินทางที่แสนอันตรายนี้ด้วยกัน โดยที่หารู้ไม่ว่า มีบางอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ......



สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นนักแสดงอย่าง โรเบิร์ต แพททินสัน เป็นแน่แท้ ซึ่งดูเหมือนว่า ในตอนนี้เขามักจะหางานที่ท้าทายในด้านของการแสดงอยู่ตลอดเวลา (เสมือนเป็นการกลบคำสบประมาทที่ว่า นักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Twilight แสดงไม่เป็นซักคน) 

ไม่ว่าจะเป็นการปะทะกับดารารุ่นใหญ่อย่าง คริสตอฟ วอลซ์ ในภาพยนตร์เรื่อง Water for Elephants หรือ ภาพยนตร์ดราม่า ทริลเลอร์ Cosmopolis  และในคราวนี้ เขาก็ได้เผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง กับการมาปะทะกับอีกหนึ่งดารามากประสบการณ์อย่าง กาย เพียร์ซ ซึ่งบางท่านอาจจะจำเขาได้จากบทบาทล่าสุดอย่างในภาพยนตร์ชื่อดังของมาร์เวลอย่าง Iron Man 3 นั้นเอง


จุดที่น่าจดจำ และโดดเด่นมากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น ความตึงเครียด ซีเรียส และจริงจังของมัน ที่ถาโถมเข้าใส่ผู้ชมอย่างไม่หยุดไม่หย่อน และแทบไม่ให้พักหายใจตั้งแต่ต้นจนจบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการกำกับที่ยอดเยี่ยมของ เดวิด มิชอด ซึ่งถึงแม้จะเป็นสไตล์การกำกับที่ค่อนข้างช้าเอามากอยู่เหมือนกัน แต่มันกลับเข้ากับตัวบทของภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม และส่งเสริมทำให้ภาพยนตร์ก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่งของการสร้างความตึงเครียดในภาพยนตร์เลยทีเดียว ซึ่งในความคิดของผู้เขียนนั้น ในบางครั้งรู้สึกว่าความตึงเครียดของภาพยนตร์เรื่องนี้มันมากเสียยิ่งกว่าภาพยนตร์ปีที่แล้วอย่าง Prisoners ด้วยซ้ำไป


ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากตัวเพลงประกอบ ที่ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือหลักที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในภาพยนตร์เรื่องนี้ หลายๆฉากที่มีการใส่เพลงประกอบเข้ามาสร้างอารมณ์ความตึงเครียดและบีบหัวใจผู้ชมได้อย่างทันทีทันใด ถึงแม้ว่าบางครั้งผู้เขียนจะรู้สึกว่ามันอาจจะชักจูงผู้ชมมากจนเกินไปก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงกับขนาดที่ว่าใช้มากจนเกินไปซะทีเดียว


ยังมีอีกสิ่งหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่น่าจดจำไม่แพ้กัน สิ่งนั้นก็คือตัวนักแสดงนำทั้งสองคนนั้นเอง 
กาย เพีร์ซ ที่นำแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดอารมณ์และสร้างมิติ เหตุผลให้กับตัวละครได้อย่างน่าประทับใจ ถึงแม้ว่าตัวละครของเขาจะมีบทพูดที่จำกัดมากๆก็ตาม แต่คนที่น่าจดจำที่สุดก็คงจะต้องยกให้กับพี่โรเบิร์ต แพททินสันนี้แหละ ซึ่งใน The Rover เขานำแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และน่าจดจำมากเลยทีเดียว ทั้งๆที่ตัวละครที่เขารับบทแสดงอยู่นั้นจัดได้ว่าค่อนข้างยากอยู่พอสมควร แต่เขาก็สามารถที่จะถ่ายทอดอารมณ์และทัศนะคติของตัวละครที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของภาพยนตร์ได้อย่างน่าทึ่ง และน่าเชื่อถือเสียจริงๆ 


ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมีการกำกับที่ยอดเยี่ยม และนักแสดงที่น่าทึ่งก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าตัวภาพยนตร์ก็ประสบปัญหาใหญ่มากๆอยู่ประการหนึ่งเหมือนกัน

ซึ่งประการนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น ความซ้ำซากจำเจของมันเอง ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะถ่ายทอดออกมาได้ดีเยี่ยมเท่าไรก็ตาม แต่ตัวบทภาพยนตร์และสิ่งที่มันพูดถึงแทบจะทุกอย่างนั้น ถูกกล่าวถึงและใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว มันจึงทำให้ในหลายๆด้านของภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่มีอะไรใหม่ ซ้ำยังเดาง่าย และตัวภาพยนตร์เองก็ใช่ว่าจะยกระดับประเด็นต่างๆที่เคยกล่าวมาแล้ว ให้ก้าวลึกลงไปอีกซะที่เดียว เช่น โลกที่เสื่อมทราม ศีลธรรมของมนุษย์ที่ถูกตั้งคำถาม , การค้าประเวณี , เงินที่กลายเป็นแค่กระดาษ หรือ มนุษย์ที่เห็นแก่ตัว  สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ใหม่ของมันจริงๆก็คงจะมีแต่เพียงประเด็นของความเป็นพี่น้องและสายเลือดเท่านั้นเอง ซึ่งในจุดนี้เองมันก็ยังปูและถ่ายทอดได้อย่างไม่เต็มที่ เพราะตัวภาพยนตร์ดันไปเพ่งเล็งในการเล่าเรื่องยิบๆย่อยๆที่ซ้ำซากจำเจมากจนเกินไป


และเมื่อบทภาพยนตร์ซ้ำซากจำเจ แน่นอนว่ามันก็ต้องตามมาด้วยสูตรตัวละครเดิมๆที่เดาง่าย และถูกใช้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ซ้ำหนักเข้าไปอีกก็คือตัวละครประกอบต่างๆในภาพยนตร์ที่ให้เวลาน้อยมาก จนแทบจะไม่มีความหมายและไม่มีส่วนอะไรกับภาพยนตร์เลย ซึ่งมันไปส่งผลกระทบต่อประเด็นที่ตัวภาพยนตร์พูดถึง ทำให้มันน่าจดจำน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด


เป็นผลทำให้ The Rover กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีทีมงานคุณภาพแต่กลับไม่สามารถที่จะให้อะไรที่สดใหม่กับผู้ชมได้เลย ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันยิ่งน่าเสียดายเข้าไปอีกก็คือ  ตัวภาพยนตร์เอง มีตัวละครและนักแสดงที่ยอดเยี่ยม น่าสนใจรวมถึงน่าติดตาม มากเสียยิ่งกว่าประเด็นยิบย่อยๆที่พูดถึงความล้มเหลวของสังคมมนุษย์เสียอีก ถ้าหากผู้กำกับเดวิด มิชอด เล็งในจุดของตัวละครต่างๆไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพิ้นหลังของตัวละครหลัก และให้เวลาตัวละครประกอบต่างๆมากกว่านี้ มันอาจจะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจดจำกว่าที่เป็นอยู่แน่แท้


ในท้ายที่สุดแล้วภาพยนตร์เรื่อง The Rover เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในด้านการให้อะไรที่สดใหม่กับผู้ชม รวมไปถึงบทภาพยนตร์ที่ไม่ได้โดดเด่นซักเท่าไรนัก แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็มีการกำกับที่ยอดเยี่ยมของเดวิด มิชอด และสองนักแสดงนำที่น่าทึ่ง น่าจดจำ และสร้างคุณค่าให้กับตัวภาพยนตร์อย่างมหาศาล เป็นผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังคงน่าลองที่จะเข้าไปพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองไม่น้อยเลยทีเดียว


Final Score : [ B + ]