วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

La Famille Belier ( 2015 ) Movie Review


La Famille Belier ( 2015 )  บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"พ่อจ๋าแม่จ๋าปล่อยหนูไปตามความฝันเถิด"



    เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายๆคน ก็น่าจะประสบปัญหากับการอ่านชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ เหมือนๆ กับทางผู้เขียนเช่นเดียวกัน จากความที่ว่านี้เป็นภาพยนตร์ฝรั่งเศสขนานแท้ ที่น่าจะมีน้อยคนนักที่รู้จักในประเทศไทยตอนนี้ เนื่องจากกระแสของสุดยอดภาพยนตร์อย่าง Mad Max: Fury Road และความที่ไม่ใช่ภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็เพราะเหตุผลเดียวกันนี้เอง ที่ทำให้ La Famille Belier เป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว


La Famille Belier ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาว พอลล่า ซึ่งเธอมีครอบครัวพ่อแม่และน้องชายเป็นคนหูหนวกและพูดไม่ได้ เธอจึงต้องรับภาระในการติดต่อค้าขาย ของครอบครัวเอาไว้ ระหว่างนั้นเอง เธอก็ได้พบว่าเธอนั้นมีพรสวรรค์ในการร้องเพลงอย่างมาก แต่เส้นทางความฝันของเธอกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายที่ทั้งตัวเธอและครอบครัวของเธอต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้



ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่านี่เป็นภาพยนตร์ที่ทางผู้กำกับ อีริค ลาร์ติโก เล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนาน น่าติดตามเสียจริงเชียว ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดการใช้ชีวิตแบบพื้นๆของชาวฝรั่งเศส ค่านิยม และทัศนะคติที่น่าสนใจ


หรือในด้านของการตัดต่อเองก็ลื่นไหล มีชีวิตชีวา เสริมด้วยภาพในแต่ละฉาก แต่ละมุมกล้องที่สวยงาม น่าดูชม  ซ้ำยังสอดแทรกมุขตลกน่ารักๆที่ทำให้ขบขันกันได้ทุกเพศทุกวัยเข้ามาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะตลอดเวลา ทำให้นี้เป็นภาพยนตร์ที่เรารู้สึกเข้าไปมีส่วนร่วมในทันทีที่ตัวภาพยนตร์เริ่มขึ้น



อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กับการเล่าเรื่องของผู้กำกับเลย ก็คือเหล่าตัวละครเอกทั้งหลายในเรื่อง ไม่ใช่แค่ตัวเอกอย่าง พอลล่าทั้งนั้น แต่ตัวละครในครอบครัวของเธอ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดความเจ็บปวดของผู้พิการ การเรียกร้องสิทธิความเป็นมนุษย์ที่เทียมกัน ความรักของพ่อ-แม่ ที่จะต้องปล่อยลูกไปตามทางเดินของตัวเอง หรือความย้อนแย้งที่ลูกของพวกเขากำลังเดินตามความฝันเพื่อที่จะไปเป็นนักร้อง ในขณะที่ตัวพ่อแม่กลับไม่สามารถที่จะฟังเสียงอันไพเราะในตัวลูกของพวกเขาได้เลย สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอะไรที่ตัวภาพยนตร์ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ลึกซึ้ง และน่าทึ่งเป็นที่สุด


ซึ่งในหลายๆครั้งก็ต้องขอชมทีมนักแสดงทั้งหลายที่แสดงผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ลูอาน อีเมร่า สาวน้อยจาก The Voice ประเทศฝรั่งเศสผู้รับบทเป็นตัวเอก พอลล่า , ฟรองซัว แดเมียน ผู้รับบทเป็นพ่อผู้สร้างอารมณ์ขบขันให้กับผู้ชมตลอดทั้งเรื่อง และ คาริน เวียรด์ ผู้รับบทเป็นคุณแม่ผู้ต้องเจ็บปวดไปกับการเดินตามความฝันของ พอลล่า



สุดท้ายแล้ว La Famille Belier อาจจะตกหล่นเรื่องความซ้ำซากของบท หรือฉากหลายฉากที่เราเคยเห็นมาก่อนแล้วในภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ และการสอดแทรกประเด็นเรื่องการเมืองที่อยู่ดีๆก็ตกหล่นหายไปกลางเรื่อง แต่นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงปริมาณความน่าประทับใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะทำให้ใครๆ หลายคนถึงกับต้องหลั่งน้ำตา และจดจำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปอีกยาวนาน


Final Score : [ 8 / 10 ]

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Unfriended ( 2015 ) Movie Review

Unfriended ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ผีทะลุเฟซบุ๊ก"



             ถ้าหากจะพูดว่า ยุคสมัยโลกของเรานั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนเราแทบจะตามไม่ทันเหลือเกิน ก็คงจะดูไม่เป็นคำที่เกินเลยไปมากนัก จากยุคที่เราตื่นเต้นกับมือถือเครื่องขนาดปาใส่หัวใครก็คงมีเข้าโรงพยาบาล ยันโทรศัพท์มือถือสุดแสนฉลาดสมารท์โฟน และการมาของโซเชียลมีเดีย Facebook , Twitter , Instagram , Skype และอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โซเชียลมีเดียเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของเราในแบบที่เราแทบจะขาดกันไม่ได้เลยทีเดียว (ผู้เขียนไม่มีอินเตอร์เน็ตซักวันนี้แทบจะชักดิ้นเลยทีเดียว)


Unfriended ว่าด้วยเรื่องราวของ แบลร์ หญิงสาววัยรุ่นที่ซึ่งไปเจอเข้ากับวิดีโอที่มีเนื้อหาการฆ่าตัวตายของหญิงสาวที่มีชื่อว่า ลอร์ร่า เข้าให้ แต่หลังจากที่เธอได้ชมวิดีโอนั้น เธอกลับพบว่ามีอะไรบางอย่างได้ติดตามตัวเธอมา ตัวเธอและเพื่อนของเธอจึงต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



ต้องบอกก่อนเลย ว่าถ้าหากท่านใดที่คาดหวังว่า Unfriended จะเป็นภาพยนตร์ที่มีบทเรื่องราวหรือตัวละครอันสดแปลกใหม่แล้ว ท่านก็คงจะผิดหวังอย่างแน่นอน จากความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างจะซ้ำซาก และเดาง่ายอยู่มาก เต็มไปด้วยเรื่องราวการกระทำของตัวละครวัยรุ่นสมองเบาที่ในบางครั้งทำให้เราสับสนถึงการกระทำอันแสนโง่เขลาของพวกเขา หรือ ตรรกะในตัวภาพยนตร์เองหลายส่วนที่ชวนสับสนน่าตั้งคำถามสุดๆ ซึ่งเอาเข้าจริง แทบจะทุกสิ่งเหล่านี้ เราเคยเห็นกันมาแล้วในภาพยนตร์สยองขวัญไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


แต่ นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า Unfriended จะเป็นภาพยนตร์ที่ไม่สนุกแต่อย่างใด กลับกันเลย นี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์สยองขวัญที่ สนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม และน่ากลัวมากที่สุดเรื่องหนึ่งในต้นปีนี้เลยทีเดียว



ซึ่งเหตุผลที่ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็ต้องขอยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับผู้กำกับ เลอแวน กาเบรียดเซ ที่เล่าเรื่องราวผ่านหน้าต่างคอมพิวเตอร์ได้อย่างน่าติดตามสุดๆ สามารถที่จะสร้างบรรยากาศอันน่ากลัว กดดัน ตื่นเต้นและน่าติดตาม โดยใช้ลูกเล่นในคอมพิวเตอร์ต่างๆ ตั้งแต่หน้าต่างการปิด/เปิดโปรแกรม การดูคลิปต่างๆ ไปจนถึงการใช้โซเชียลมีเดีย ที่เรียกได้ว่าคล้ายคลึงกับการใช้งานของวัยรุ่นทั่วๆไป ทำให้เรารู้สึกเสมือนหลุดไปเป็นหนึ่งในตัวละครนั้นๆ ทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับชะตากรรมอันน่าสลดของตัวละครได้อย่างสุดขีด 



ในที่สุดท้ายแล้ว Unfriended ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่วิพากษ์วิจารณ์ข้อเสียของโลกอินเตอร์เน็ต โซเชียลมีเดียได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วยังพูดถึง การปกปิดความลับ และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะวัยรุ่นที่กระทำหลายๆสิ่งลงไปด้วยความคึกคะนองปราศจากการคำนึงถึงผลที่ตามมาอีกด้วย ถึงแม้ว่าประเด็นและการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้จะซ้ำซากและไม่ค่อยน่าจดจำซักเท่าไรนัก แต่ความพยายามในการถ่ายทอดและความสนุก ตื่นเต้นที่ได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็เป็นอะไรที่ลืมไม่ลงเลยทีเดียว


Final Score : [ 6.5 / 10 ]

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

A Little Chaos (2015) Movie Review

                     
        A Little Chaos (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"ความรักของสตรี"



               ถือได้ว่าเป็นการกลับมารับบทในภาพยนตร์ย้อนยุค (Period) กันอีกครั้งหนึ่ง กับนักแสดงมากความสามารถ เคต วินสเล็ต เจ้าของผลงานอีนางโรสเอ้ยไม่ใช่ คุณนายโรสเรือล่มในภาพยนตร์สุดคลาสสิค Titanic โดยคราวนี้เธอขอหันมาจัดแปลงดอกไม้แทนล่องเรือนะฮะ


A Little Chaos ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงแม่หม้ายคนหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปสร้างสวนให้กับพระราชา แต่ระหว่างนั้นเองเธอก็ได้พบกับความรักครั้งใหม่ที่นำมาซึ่งปัญหาต่างๆมากมาย



พูดจริงๆเลย สิ่งเดียวที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำออกมาได้ในระดับพอรับได้มากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นการแสดงของนักแสดงชื่อดังทั้งหลาย


ตั้งแต่ อลัน ริคแมน ที่ควบหน้าที่กำกับและแสดงเองด้วย,  สแตนลีย์ ทุชชี่ ที่ไปแสดงเรื่องไหนก็มักจะมีฉากน่าประทับใจเสมอๆ(ถึงแม้ว่าหนังหลายเรื่องที่พี่แกเล่นจะห่วยก็เถอะ) หรือ เคต วินสเล็ต ที่ยังคงนำแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉาก


แต่สิ่งเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนเป็นดอกไม้อันงดงามที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางดงป่าอันเหี่ยวเฉา เพราะด้วยส่วนประกอบอื่นๆของภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยปัญหาล้านแปดประการ


จุดที่ดูจะหนักที่สุดเลย ก็คือการเล่าเรื่องของผู้กำกับ อลัน ริคแมน ที่เล่าเรื่องออกมาได้เอื่อยเฉื่อย หมดแรง จืดชืด ชวนหลับอย่างแท้จริง หนำซ้ำลูกเล่นการเล่าเรื่องในบางทีก็ดูแปลกประหลาดสุดๆ เช่นฉากย้อนอดีตใช้เทคนิคมัวภาพขอบๆจอเอา




ที่น่าผิดหวังอยู่บ้าง ก็คือทางด้านโปรดัคชั่นดีไซน์ของเรื่องที่ในฉากเล็กๆน้อยๆ ทำออกมาได้ค่อนข้างดี แต่ในฉากที่ต้องยิ่งใหญ่อลังการกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่นฉากตอนท้ายเรื่องที่เราควรจะได้เห็นสวนลานเต้นรำอันอลังการ ที่มาจากหยาดเหงื่ออันสุดแสนจะลำบากของนางเอก แต่สิ่งที่เราได้เห็นกับเป็นลานเล็กกระติ๊ดเดียวกับน้ำพุที่มีความอลังการเท่ากับตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป


ในด้านของสภาพบทภาพยนตร์เองก็ดูไม่จืดเช่นเดียวกัน นอกจากที่จะค่อนข้างจะซ้ำซากและคาดเดาได้ง่ายอย่างมากแล้ว ยังเต็มไปด้วยตัวละครและดราม่าชนิดตามช่องฟรีทีวีทั่วไป ตบตีแย่งชิงผัว การนอกใจ และตัวละครร้ายขี้วีนต้องคอยกลั่นแกล้งนางเอกให้ได้อยู่ตลอดเวลา จะว่าไปแล้วถ้าเอาบทภาพยนตร์เรื่องนี้ไปทำเป็นละครก็คงแทบจะเข้ากันได้ดี




ถึงกระนั้นก็ตาม สำหรับในด้านของการสอดแทรกประเด็นต่างๆของภาพยนตร์แล้ว ก็กลับทำได้น่าสนใจมิใช่น้อย เฉกเช่น การลุกขึ้นมาต่อกรกับสังคมชายเป็นใหญ่ของนางเอก ไม่ว่าจะเป็นในด้านของทัศนะคติที่แตกต่างและนิสัยการพูดตรงไปตรงมาของเธอ หรือ การสะท้อนถึงสภาพสังคมครอบครัวในยุคสมัยนั้นซึ่งเห็นการคบชู้เป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดา เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ก็เป็นอะไรที่ตัวภาพยนตร์ทำออกมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว 


แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะให้ผู้ชมได้รับรู้มากที่สุด ก็คือ ความรักของสตรีที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป ถึงแม้ว่าร่างกายและหน้าตาของเธอจะร่วงโรยและเหี่ยวเฉาลงไป เสมือนดอกกุหลาบนั้นเอง


Final Score: [ 5.5  ]

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Mad Max: Fury Road ( 2015 ) Movie Review


Mad Max: Fury Road ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz




"แสงสว่างที่เล็ดรอดเข้ามาในโลกอันบ้าคลั่ง"



  ดูเหมือนว่ากระแสภาพยนตร์ดิสโธเปียโลกแตก สังคมล่มสลาย ก็ยังคงไม่มีท่าทีจะจางหายไปไหน จากสัปดาห์ที่ผ่านมามีภาพยนตร์ประเภทนี้ถึงสองเรื่อง Lost River และ Mad Max: Fury Road 


ซึ่ง Mad Max: Fury Road เป็นภาพยนตร์รีบู้ทหรือนำกลับมาสร้างใหม่ จากภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกันเมื่อปี 1979 และมีภาคต่อมาในปี 1981 และภาคสุดท้าย Mad Max: Beyond Thunderdome ในปี 1985 โดยในตอนนั้นมีนักแสดงนำเป็น เมล กิ๊บสัน ทั้งสามภาค 
ส่วนในภาครีบู้ทครั้งนี้ ตัวละครเอกอย่างแมดแม็กซ์ก็ได้เปลี่ยนตัวนักแสดงมาเป็น ทอม ฮาร์ดี้ ที่มีผลงานน่าประทับใจหลากหลายเรื่องในช่วงนี้ ตั้งแต่ The Dark Knight Rises (2012) , Warrior (2011) และล่าสุดอย่าง Child 44 (2015)


Mad Max: Fury Road ว่าด้วยเรื่องราวของ แม็กซ์ ชายผู้ต้องไปเผชิญกับกลุ่มมอเตอร์ไซค์บ้าคลั่ง ในระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้พบกับฟูริโอซ่า นางทหารที่กำลังวางแผนการลับบางอย่างเอาไว้ แม็กซ์จึงตกอยู่ท่ามกลางสงครามระหว่างฟูริโอซ่าและหัวหน้าแก๊งค์จอมโหดอิมเมอร์ตันโจ เขาจะสามารถเอาชีวิตรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้หรือไม่ ?




บุคคลที่ต้องขอซูฮกเลยจริงๆเลย ก็คือผู้กำกับ/เขียนบทร่วม จอร์จ มิลเลอร์ ซึ่งก็อายุอานามก็ไม่ได้น้อยๆแล้ว แต่กลับสามารถสร้างสรรค์ผลงานระดับอัจฉริยะได้เช่นนี้


ไม่ว่าจะเป็นการกำกับฉากแอ็คชั่นไล่ล่า คิวบู้ ที่สุดแสนจะตื่นเต้น ดิบ เถื่อน สะใจ , การเล่าเรื่องที่ลื่นไหล น่าติดตามเต็มไปด้วยพลัง หรือการออกแบบลักษณะของตัวละครที่น่าสนใจ พูดจริงๆเถอะ ใครบ้างละจะไม่ชอบเจ้าตัวละครดีดกีตาร์ร็อคปล่อยไฟได้ ? สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ต้องพูดเลยว่าน่าตกใจมากที่ออกมาจากผู้กำกับอายุ 70 ปีท่านนี้คงต้องพูดว่าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขสำหรับป๋าจอร์จเสียจริงๆ


ในด้านของบทภาพยนตร์แล้ว ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย ภายนอกแล้วดูเหมือนนี้จะเป็นพล็อตอันแสนธรรมดา ตัวร้ายไล่ล่าตัวละครเอก และพวกตัวละครเอกก็ต้องหาทางหนีให้ได้ หากแต่ว่าเมื่อได้ชมจริงๆตัวบทมันดิ่งลงไปมากกว่านั้น เช่น การสอดแทรกปมเบื้องหลังของแต่ตัวละครได้อย่างลึกซึ้งน่าเชื่อถือ และยังเต็มไปด้วยมุขและลูกเล่นอัจฉริยะพลิกเรื่องราวไปมาหลายตลบที่ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจอยู่ได้ตลอดเวลา


อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องขอชมอีก ก็คือในด้านของโปรดัคชั่นดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเสื้อผ้าหน้าผม ฉาก และอุปกรณ์รวมถึงซีจีคอมพิวเตอร์ต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สวยงาม สร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับโลก Mad Max ได้เป็นอย่างดี





แต่บุคคลที่ต้องยกเครดิตและความดีความชอบให้ในฐานะที่ทำให้ตัวภาพยนตร์ Mad Max: Fury Road เป็นที่น่าประทับใจมากจริงๆเลย  ก็คือ ชาร์ลิซ เธอรอน ผู้รับบทฟูริโอซ่าในเรื่อง  ที่ถ่ายทอดการแสดงระดับเข้าชิงเวทีรางวัลให้เราได้ชมกัน ทำให้เรารู้สึกหลงรักในตัวละครของเธอ โดยเฉพาะฉากที่เธอทรุดตัวลงไปกรื้ดร้องท่ามกลางทะเลทรายอันแสนโหดร้ายที่พาเอาขนลุกขนพองกันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีนักแสดงหลายคนที่น่าชมไม่ใช่น้อยเช่น นิโคลัส ฮอลท์ หรือ ทอม ฮาร์ดี้ แต่ยังไง ชาร์ลิซ เธอรอนก็คงจะได้มงกุฎไปอย่างไม่ต้องสงสัย


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตัวละครฟูริโอซ่าของเธอ ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นตัวเอกที่โดดเด่นมากกว่าตัวละครที่มีชื่อแปะอยู่ในโปสเตอร์ภาพยนตร์อย่าง แมดแม็กซ์ เสียอีก ด้วยการใช้ตัวละครฟูริโอซ่าเป็นจุดขัดแย้งหลักของเรื่อง และใช้แมดแม็กซ์เป็นตัวช่วยเหลือในการดำเนินเรื่อง(หรือในบางครั้งอาจจะเป็นตัวแทนผู้ชมก็เป็นได้) ถ้าหากจะเปรียบเทียบก็เสมือน ตัวละครแมดแม็กซ์เป็นกระบอกปืน ในขณะที่ตัวละครฟูริโอซ่าเป็นลูกกระสุน ทั้งคู่ต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้ถ้าหากต้องการจะบรรลุเป้าหมายนั้นเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วนี้ก็เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดมากทีเดียว



ถึงแม้ว่าภายนอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูจะเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นล้างผลาญ บ้าๆ บอๆ ก็ตาม แต่ภายในของมันก็กลับเต็มไปด้วยการสอดแทรกประเด็นและแนวคิดต่างๆที่น่าสนใจทีเดียว เช่น การลุกขึ้นมาต่อสู้ของเพศสตรีที่ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือหรือถูกกดขี่โดยเพศชายเพียงฝ่ายเดียว 





แต่ประเด็นที่น่านำมาครุ่นคิดจริงๆ เชียวเลย ก็คือสอดแทรกความเชื่อเรื่องความตายอันมีเกียรติจะนำไปสู่ 'วัลฮาล่า'(Valhalla)ซึ่งหมายถึงแดนสรวงสวรรค์ ของภาพยนตร์ หลายๆ ตัวละครในภาพยนตร์อยากตายจากในโลกอันแสนเลวร้ายที่พวกเขาอยู่ 'โลกดิสโธเปีย' เพื่อไปสู่วัลฮาล่า โลกซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง อุดมสมบูรณ์ 'โลกยูโธเปีย' นั้นเอง ซึ่งนอกจากนี้จะแสดงถึงความฉลาดของภาพยนตร์ที่สามารถสอดแทรกความคิดขั้วตรงกันข้ามอย่างยูโธเปีย เข้าไปในภาพยนตร์ดิสโธเปียได้อย่างยอดเยี่ยม พอเหมาะพอเจาะ ไม่บังคับหรือยัดเยียดมากไปแล้ว ยังสะท้อนถึงความหวังของมนุษย์ที่อยากจะอยู่ในสถานะที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ จุดสูงสุด ไม่ต้องเป็นกังวลอะไร และยังอยากให้ผู้อื่นได้รับรู้ว่าตนเองกำลังจะถึงจุดนั้น เฉกเช่นที่เราเห็นหลายๆตัวละครในภาพยนตร์ตะโกนก่อนจะทำอะไรบ้าๆว่า "จงดูฉันนะ" ซึ่งแสดงถึงความเชื่อใน 'American Dream' ได้ดีอีกด้วย





สุดท้ายแล้ว Mad Max: Fury Road ก็ไม่ได้เป็นแค่เพียงสุดยอดแห่งภาพยนตร์แอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยความมันส์ที่ทำเอานั่งเก้าอี้ไม่ติด ปวดฉี่ก็ต้องนั่งอั้นทั้งเรื่องเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่สอดแทรกประเด็นเนื้อหาอันซับซ้อนต่างๆที่แสดงถึงเนื้อแท้ที่เต็มไปด้วยคุณภาพทั้งภายนอกและภายในได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย นี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เพรชเนื้อดีหายากของฮอลลีวูดที่นานๆทีจะมีโอกาสเกิดขึ้น และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่คอภาพยนตร์ทุกคนไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด


Final Score : [ 8.5 / 10 ]

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Lost River ( 2015 ) Movie Review


Lost River ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"โลกจินตนาการอันบ้าคลั่ง"




 เป็นอีกครั้งหนึ่ง กับภาพยนตร์ซึ่งเป็นผลงานการกำกับครั้งแรกของดารานักแสดงชื่อดัง ในปีที่ผ่านมาก็มีภาพยนตร์ The Water Diviner ของ รัซเซล โครว์ และคราวนี้ก็เป็นทีของ ไรอัน กอสลิ่ง ซึ่งนอกจากจะลงมากำกับเองแล้ว เขายังเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเองอีกด้วย


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า รูปแบบการกำกับ เล่าเรื่อง และทัศนะคติหลายๆอย่างของตัว ไรอัน กอสลิ่ง ค่อนข้างที่จะได้รับผลกระทบมาจากผู้ร่วมงานเก่าของเขา นิโคลัส ไวดิง รีฟิน  พอตัวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะช้า แต่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เนื้อหาอันจริงจังสะท้อนด้านมืดของมนุษย์และสังคมที่ตกต่ำ ซึ่งทำให้แนวทางการกำกับของเขา ออกไปทางภาพยนตร์นอกกระแสมากกว่าภาพยนตร์กระแสหลัก ซึ่งเป็นอะไรที่น่าติดตามและน่าสนใจมากทีเดียว


Lost River ว่าด้วยเรื่องราวของคุณแม่ผู้ซึ่งพยายามรีบหาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้าน แต่เธอกลับเริ่มถลำลึกลงไปในโลกอันมืดมิดของเมืองลอส รีเวอร์ ในขณะเดียวกันลูกชายของเธอก็ค้นพบเส้นทางปริศนาซึ่งนำไปสู่เมืองใต้น้ำที่เต็มไปด้วยความลับ



ที่ต้องขอชมเลยจริงๆ ก็คือทีมกำกับศิลป์ และทีมโปรดัคชั่นของภาพยนตร์ ที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆในภาพยนตร์ออกมาทำให้เกิดโลกของ Lost River ได้อย่างน่าสนใจ  แฝงไปด้วยสัญญะทางภาพยนตร์มากมาย เช่นสีของไฟในภาพยนตร์ 


อีกสิ่งหนึ่งที่น่านำมาครุ่นคิดไม่ใช่น้อย ก็คือโลกดิสโธเปียของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งแตกต่างจากโลกดิสโธเปียในภาพยนตร์อย่าง Hunger Games หรือ The Maze Runner เพราะใน Lost River โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาและอธิบายด้วย "จิตวิทยา" ความนึกคิดของตัวละครเสียมากกว่าอธิบายด้วยเหตุผลด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจมากทีเดียว


ถึงกระนั้นก็ตาม Lost River ก็ยังไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ไร้ที่ติ เอาเข้าจริง นี้เป็นภาพยนตร์ที่มีปัญหาอันน่าเสียดายอยู่พอตัวเลยทีเดียว 




อย่างแรกก็คือตัวบทภาพยนตร์เอง ที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงซักเท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็นพล็อตเรื่องที่ค่อนข้างจะธรรมดามาก หรือประเด็นต่างๆที่ภาพยนตร์พยายามจะสอดแทรกเข้ามา เช่น ด้านมืดของสังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง บ้านเมืองที่กฏหมายใช้การไม่ได้ การเติบโตไปสู่ผู้ใหญ่ของเด็ก และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งประเด็นเหล่านี้นอกจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆจะเคยพูดถึงมาก่อนแล้ว ภาพยนตร์บางเรื่องก็ยังเล่นและขยี้ประเด็นเหล่านี้ได้ดีกว่า Lost River อยู่มาก


และหนึ่งในสาเหตุที่ประเด็นเหล่านี้ไปได้ไม่ไกลเท่าที่ควร ก็หนีไม่พ้นตัวผู้กำกับและเขียนบท ไรอัน กอสลิ่ง เอง ที่ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างน่าประทับใจในการกำกับครั้งแรก แต่ฝีมือและประสบการณ์ของเขาก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถทำทุกอย่างให้ลงตัวได้ เช่น ความยืดยาวเกินเหตุของตัวภาพยนตร์ในช่วงกลางเรื่อง ที่ชวนให้รู้สึกว่าตัวภาพยนตร์ย่ำอยู่กับที่ไม่เดินไปไหนซักทีจนเกือบจะจบเรื่อง หรือการเล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างตัวละครแม่และลูกของเขาที่ยังขาดชั้นเชิงอยู่มาก ทำให้ตัวภาพยนตร์ไม่น่าสนใจ ไม่น่าติดตามเท่าที่ควร รวมถึงบางครั้งยังค่อนข้างจะน่าเบื่ออีกด้วย




แต่สุดท้ายแล้ว Lost River ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ไม่แย่เลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะประสบปัญหาทางด้านการขาดประสบการณ์ของผู้กำกับและเขียนบท ไรอัน กอสลิ่ง แต่การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆในโลกดิสโธเปียของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนไม่อาจที่จะมองข้ามไปได้


Final Score : [ 6.5 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

The Last Five Years ( 2015 ) Movie Review

The Last Five Years ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"บทเพลงแด่ชีวิตรักของเรา"


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความนิยมของภาพยนตร์เพลง ที่มีต้นฉบับมาจากละครเวที ก็มากขึ้นจนมีให้เห็นกันแทบจะทุกปีเลยทีเดียว จากปีก่อนๆอย่าง Les Miserables และต้นปีนี้กับ Into the Woods ซึ่งทั้งสองภาพยนตร์ก็ค่อนข้างจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมหลายๆคนไม่ใช่น้อย


และคราวนี้ แอนนา เคนดริก นักแสดงสาวสวยผู้มีเสียงอันไพเราะ ก็กลับมารับบทในภาพยนตร์เพลงอีกครั้งหนึ่ง จากต้นปีที่เธอเพิ่งจะรับบทเป็นซินเดอเรลล่าใน Into the Woods ของดิสนีย์มาหมาดๆ


The Last Five Years เป็นภาพยนตร์ที่พาเราลงไปสำรวจชีวิตคู่ในเวลา 5 ปีของสองพระนาง เคธี่ กับ เจมี่ ผ่านอุปสรรค และปมปัญหามากมาย ที่อาจจบลงอย่างน่าเศร้า



สิ่งที่ดูจะเป็นแสงสว่าง ความหวัง และเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ต้องหนีไม่พ้นตัวนักแสดงอย่าง แอนนา เคนดริก เอง ตั้งแต่เสียงอันไพเราะ ยันการแสดงที่ยอดเยี่ยมของเธอ ซึ่งทำให้เราอยากที่จะเอาใจช่วยเธออยู่ตลอดเวลา


แต่ตัวภาพยนตร์ก็ดันมีปัญหาร้ายแรงอยู่หนึ่งประการ หรือ อาจจะพูดได้ว่าหลายประการ เพราะปัญหานี้ ก็คือทุกสิ่งๆทุกๆอย่างที่ฉายอยู่บนจอภาพยนตร์นั้นเอง


เนื่องจากทุกสรรพสิ่งบนจอภาพยนตร์มันจืดชืดไปหมด ตั้งแต่งานออกแบบฉาก เสื้อผ้า โปรดัคชั่นดีไซน์ที่ไร้สีสัน น่าเบื่อ หรือ การกำกับภาพที่ย่ำแย่ของภาพยนตร์ เพราะหลายๆมุมกล้องถ่ายออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก ซ้ำยังขาดความคิดสร้างสรรค์ ที่แย่เข้าไปอีก ก็คือการเคลื่อนไหวของกล้องและตัวละคร ซึ่งเคยเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากๆในภาพยนตร์ Into the Woods แต่ใน The Last Five Years การเคลื่อนไหวเหล่านี้กลับติดๆขัดๆ น่าเบื่อ และไร้ชีวิตชีวา ไม่แน่ใจว่าต้นตอปัญหาของหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเนื่องมาจากงบประมาณเพียงแค่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยหรือไม่ จึงเป็นเหตุทำให้ทุกๆสิ่งออกมาครึ่งๆกลางๆเช่นนี้


ถึงกระนั้นก็ตาม โชคยังดีที่บทเพลงอันไพเราะหลายๆเพลง และเคมีที่เข้ากันของทั้งสองนักแสดงหลักก็ช่วยพยุงตัวภาพยนตร์ให้น่าดู น่าติดตามได้อยู่บ้าง



นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่น่านำมาครุ่นคิดจริงๆ ก็คือการเปลี่ยนถ่ายจากละครเวทีมาสู่ภาพยนตร์ของ The Last Five Years ซึ่งผู้เขียนได้ไปค้นหาข้อมูลมาภายหลังจากได้ชมภาพยนตร์ และก็ไปสะดุดกับจุดเด่นของ The Last Five Years ฉบับละครเวทีอยู่จุดหนึ่ง ซึ่งก็คือการเล่าเรื่องอันแปลกใหม่ของมัน โดยในฉบับละครเวทีนั้นจะเล่าเรื่องผลัดกันไปมาของสองตัวละครหลัก เคธี่จะเริ่มเรื่องจากตอนฉากจบของเรื่องเล่าย้อนกลับมาตอนที่ทั้งสองคนเจอกันครั้งแรก ถ้านับเป็นตัวเลข การเล่าเรื่องของเคธี่ก็เหมือนนับ 10 ย้อนกลับมา 1


ในขณะที่ตัวละคร เจมี่ เล่าเรื่องไล่ตามเวลาปกติ โดยเริ่มจากตอนที่สองคนเจอกันครั้งแรกมาสู่จุดสิ้นสุดของทั้งคู่ หรือก็คือนับเลข 1 ไปถึง 10 ตามปกติ และในแต่ละช่วงของแต่ละคน ตัวละครหลักทั้งสองตัวจะไม่มีการปฏิสัมพันธ์กันอย่างตรงๆ(คิดง่ายๆว่าไม่มีการร้องเพลงร่วมกัน)อีกด้วย เช่นถ้าหากช่วงนี้เป็นช่วงของ เจมี่ ก็จะมีแต่เพียงเจมี่ที่ร้องเพลงเท่านั้น ส่วนเคธี่อาจจะไม่มีตัวตนอยู่ในฉาก หรือถึงมีก็ไม่ได้ร้องเพลงร่วมกัน ยกเว้นฉากแต่งงานซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางของเรื่องที่ทั้งคู่ดำเนินมาเจอกันพอดี


ซึ่งการเล่าเรื่องเช่นนี้ในฉบับละครเวที ก็ถูกนำมาใช้ในตัวภาพยนตร์เช่นเดียวกัน แต่ไม่แน่ใจว่าเพราะมาทราบถึงการเล่าเรื่องเช่นนี้ในตอนหลังที่ได้ชมตัวภาพยนตร์รึเปล่า ถึงได้ทำให้รู้สึกว่าตัวผู้กำกับ ริชาร์ด ลาแกรฟเนสส์   ก็ยังเล่าเรื่องได้จืดชืดมากอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะมีแนวทางการเล่าที่แปลกใหม่เช่นนี้แล้วก็ตาม 



แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดใน The Last Five Years ก็คงจะหนีไม่พ้นการสอดแทรกเรื่องราวชีวิตรักอันแสนขมขื่น ความไม่เข้าใจกันของทั้งสองฝ่ายได้อย่างน่าติดตาม และเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่ยัดเยียด หรือพยายามเรียกน้ำตาจนน่ารำคาญเหมือนภาพยนตร์โรแมนติก/คอเมดี้ เรื่องอื่นๆ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นความจริงที่ว่าผู้สร้าง The Last Five Years ฉบับละครเวที เจสัน โรเบิรต์ บราวน์ ได้นำปัญหาการแต่งงานในชีวิตของตัวเองมาแต่งเป็นละครเวทีจริงๆ และความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ ก็ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านบทเพลงสุดท้ายอันแสนข่มขื่นที่ทั้งสองตัวละครหลักร้องพร้อมกันในตอนท้ายซึ่งมีชื่อเพลงว่า "ลาก่อน จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ / ฉันไม่อาจที่จะช่วยเธอได้ " (Goodbye Until Tomorrow / I Could Never Rescue You)


Final Score : [ 6.5 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Avengers 2 : Age of Ultron ( 2015 ) Movie Review


Avengers: Age of Ultron ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

"อาหารว่างยามเบื่อ"




ในที่สุดเราก็ได้เข้าสู่ปลายช่วง Phase 2 และกำลังจะเข้าสู่ Phase 3 ของมาร์เวลอย่างเต็มตัวเสียที หลังจากที่ทางค่ายมาร์เวล ได้ประกาศตารางภาพยนตร์อีกยาวเหยียดไปจนถึงปี 2019 ใน Infinity War part 2 กันเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้เอง แน่นอนว่าก็ทำให้ภาพยนตร์ของทางค่ายในช่วงนี้ก็เต็มไปด้วยการปูไปสู่อภิมหาสงครามที่จะเกิดขึ้นใน Infinity War  ซึ่งAvengers 2 ก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เหล่านั้น


Avengers: Age of Ultron  ว่าด้วยเรื่องราวการทดลองอันล้มเหลวของไอรอนแมน ซึ่งให้กำเนิด อัลตรอนหุ่นยนตร์อัจฉริยะผู้พยายามจะทำลายโลกขึ้นมา กลุ่มอเวนเจอร์จึงต้องรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อหยุดแผนการของอัลตรอนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้




สำหรับ Avengers: Age of Ultron ก็คงต้องบอกว่า ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกได้เรื่อยๆ และเต็มไปด้วยซีจี การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม อลังการงานสร้างตามสไตล์ของมาร์เวลเช่นเคย 


โดยในภาคนี้ทิศทางของภาพยนตร์ดูจะเดินไปในทางที่ให้ความสำคัญกับเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครต่างๆ มากกว่าการเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นวินาศทุก 5 นาทีแบบ นาทีแบบใน Avengers ภาคแรก ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ไม่เลวเลยทีเดียว



เพียงแต่ว่าตัวภาพยนตร์ในภาคนี้ยังค่อนข้างจะเดิมๆไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่ฉากแอ็คชั่น ปมขัดแย้ง ยันตัวละคร พูดง่ายๆว่าทุกอย่างแทบจะเหมือน Avengers ภาคแรกเปะๆ แต่น่าสนใจน้อยกว่า ด้วยสาเหตุที่มันยังคงเต็มไปด้วยมุขเดิมๆ ตัวละครเอกทะเลาะกันเอง ตัวละครร้ายพูดถึงมนุษย์ที่ทำสิ่งแย่ๆ บลาๆๆ ซ้ำซากเหมือนทางผู้กำกับ จอส วีดอน นึกมุขใหม่ไม่ออก  ที่สำคัญคือตัวภาพยนตร์ยังเสียเวลาหลายส่วนกับการปูไปสู่ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของมาร์เวลทั้งๆที่ตัวมันเองก็แทบจะไม่มีเวลาในการเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว เช่นตัวละครอย่างอัลตรอน ที่ถูกเร่งการพัฒนาตัวละครอย่างมาก จนเราแทบจะหาเหตุผลในการกระทำของเขา หรือ รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้เลย



ซ้ำร้ายเข้าไปอีก ก็คือตัวละครร้ายของเรื่องอย่างอัลตรอน ที่ควรจะถูกจัดอยู่ในสุภาษิต "ท่าดีทีเหลว" เพราะนอกจากจะกระจอกงอกง้อยต่างจากฉบับหนังสือการ์ตูนอย่างลิบลับแล้ว ตัวภาพยนตร์ยังพยายามอวยเกินเหตุทั้งๆที่สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะหลังจากการมาของอีกหนึ่งตัวละครใหม่ซึ่งลดชั้นอัลตรอนจนแทบจะเป็นเศษเหล็กข้างถนน


ยิ่งเมื่อเทียบกับตัวร้ายของภาคที่แล้วอย่าง โลกิ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะอย่างน้อยโลกิก็เป็นตัวละครร้ายที่มีเรื่องราวน่าติดตามมากกว่าอัลตรอนอยู่มาก  ในขณะที่อัลตรอนเป็นตัวละครใหม่ ยังดีที่อีกสองตัวละครใหม่ สการ์เล็ต วิช และควิกซิลเวอร์ ยังพอน่าสนใจที่จะดึงฝั่งตัวร้ายให้ดูสูสีกับฝั่งตัวเอกได้อยู่บ้าง (ถึงแม้ว่าเรื่องราวของทั้งสองตัวละครจะโคตร cliché เลยก็เถอะ)


อีกหนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างจะจืดชืด ก็คือบทภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเดาง่าย หรือแนวความคิดที่พูดถึงความเลวร้ายในมนุษย์ ด้านมืดของมนุษย์ก็ช่างซ้ำซาก และยังขยี้ประเด็นได้เบามากๆอีก จนไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไม ทั้งๆที่เอาเข้าจริง ประเด็นซ้ำซากจำเจเหล่านี้ก็สามารถเป็นที่ยอมรับ หรือกระทั่งยอดเยี่ยมได้ ถ้าหากถ่ายออกมาได้ดีพอ ทำให้เรารู้สึกอยากเข้าไปสำรวจหรือครุ่นคิดมากพอ แต่สิ่งที่ Avengers 2 เป็นอยู่ในขณะนี้ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มาก



สุดท้ายแล้ว Avengers: Age of Ultron ก็เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกขาดๆอยู่มาก เสมือนทางมาร์เวลกั๊กของดีๆเอาไว้ รวมถึงตัวผู้กำกับ จอส วีดอน เองก็หมดมุข จนทำให้ทุกอย่างจืดชืด ได้เป็นเพียงแค่อาหารว่างฆ่าเวลา รอให้อาหารจานหลักถูกนำมาเสิร์ฟก็เท่านั้น 


Final Score: 6.5 / 10