วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

Captain America: Civil War (2016) Movie Review

Captain America: Civil War (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"กรอบหรือกฏระเบียบนั้นอาจเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่กฏระเบียบที่ริดรอนสิทธิ เสรีภาพ ก็ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องได้"
เมื่อนึกถึงระยะเวลาการรอคอยของคอหนังและแฟนๆ Marvel สำหรับช่วงเวลาที่แสนสำคัญอย่าง Captain America: Civil War แล้ว อาจเรียกได้ว่าการรอคอยครั้งนี้ เป็นการรอคอยที่คุ้มค่าที่สุดก็เป็นได้
เพราะไม่ว่าจะมองในด้านใด Civil War ก็ดูจะเป็นภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยม น่าทึ่ง สมกับความคาดหวังของแฟนๆเสียไปหมดทุกส่วน

เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายครบถ้วน ตั้งแต่ ตื่นเต้น ตระการตา เคร่งเครียด ไปจนถึงการสอดแทรกมุขตลกมาให้ได้ฮากันเรื่อยๆตามสไตล์ Marvel ที่สำคัญคือภาพรวมทั้งหมดที่สนุกจนลืมเวลาไปเลยทีเดียว

ซึ่งองค์ประกอบอันแสนสำคัญที่ต้องยกเครดิตให้อย่างเต็มใจก็หนีไม่พ้นผู้กำกับสองพี่น้องแอนโทนี่ รุสโซ่ และโจ รุสโซ่ ที่สร้างสรรค์ผลงานการกำกับอันแสนล้ำเลิศเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้
ไม่ว่าจะเป็นการกำกับฉากแอ็คชั่นที่อลังการงานสร้าง การออกแบบฉาก และวางคิวตัวละครต่างๆที่ยอดเยี่ยม สร้างสรรค์

ความสามารถที่จะรักษาความสำคัญของทุกๆตัวละครในภาพยนตร์ให้ใกล้เคียงกัน ทำให้แต่ละตัวละครมีฉากที่โดดเด่นเป็นของตัวเองทุกตัว ทั้งๆที่ Civil War เต็มไปด้วยตัวละครมากมายเหลือเกิน

และจุดที่สำคัญที่สุด ก็คือความรู้ ความเข้าใจในตัวละครแต่ละตัวอย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก ทัศนคติ ไปจนถึงพลังและความสามารถของแต่ละตัว ทำให้สามารถที่จะดึงศักยภาพของทุกๆตัวละครออกมาได้อย่างเต็มที่

ด้านตัวละครใหม่ สไปเดอร์แมน และแอนท์แมน เรียกได้ว่าน่าทึ่งและเข้ากับทีม Avengers เดิมได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่แบล็ค แพนเธอร์ยังรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง โดยเฉพาะสำเนียงการพูดของนักแสดง แต่ในด้านหนึ่งปัญหาจุดนี้ก็น่าจะมาจากพื้นฐานของตัวละครที่พยายามให้เหมือนกับฉบับหนังสือการ์ตูน คงจะต้องปรับตัวและรอดูกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สองพี่น้องรุสโซ่นั้น พยายามหาทางให้ทีม Avengers มาปะทะกันตามเนื้อเรื่องของ Civil War และก็พยายามอย่างมากที่จะสอดแทรกการสะท้อนแนวความคิดเรื่อง สิทธิ เสรีภาพและอิสรภาพ เข้าไปพร้อมๆกัน ซึ่งถ้าหากนับถึงความเยอะและองค์ประกอบที่มากมาย ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว
แต่การจับปลาสองมือในครั้งนี้ ก็นำมาซึ่งการสูญเสียโอกาสของตัวภาพยนตร์เองอยู่บ้าง ที่ไม่อาจจะดำเนินไปถึงจุดสูงสุดในด้านใดด้านหนึ่งได้เลย เนื่องจากต้องสลับสับเปลี่ยนและแบ่งเวลาให้กันและกันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านของการสะท้อนแนวคิด ที่ดูเหมือนว่ายิ่งเวลา 2 ชั่วโมง 27 นาที ผ่านไปมากเท่าไร แนวคิดเหล่านี้ก็เริ่มที่จะเลือนลาง และจางหายไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น

สุดท้ายแล้ว ถึงแม้ว่า Captain America: Civil War จะสูญเสียบางสิ่งระหว่างทางไปบ้าง แต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในท้ายที่สุด ก็ไม่อาจเป็นอื่นใดได้นอกจากความยอดเยี่ยมในทุกๆด้าน โดยเฉพาะการกำกับของสองพี่น้องรุสโซ่ที่ผู้กำกับภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
--ภาพรวม--
- เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ครบถ้วน ตั้งแต่สนุก ตื่นเต้น ตระการตา เคร่งเครียด ไปจนถึงตลกตามสไตล์ Marvel

- หลายสิ่งอย่างยอดเยี่ยมได้ จากการกำกับของสองพี่น้องรุสโซ่
+ ซึ่งกำกับฉากแอ็คชั่นได้ยอดเยี่ยม ตระการตา เต็มไปด้วยจิตนาการ
+ เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงบุคลิก ทัศนคติและพลังของแต่ละตัวละคร ซึ่งมีมากมายเหลือเกิน
+ สามารถที่จะรักษาความสมดุลของบทบาทหลากหลายตัวละครได้อย่างดี ทุกตัวละครต่างมีฉากเท่ห์ๆเป็นของตัวเอง
- ตัวละครใหม่อย่างสไปเดอร์แมนนั้นโคตรเจ๋ง แอนท์แมนก็ยอดเยี่ยม เข้ากับทีมได้อย่างน่าทึ่ง ในขณะที่แบล็ค แพนเธอร์อาจจะต้องรอดูไปก่อน

- ตัวภาพยนตร์พยายามที่จะหาเหตุผลในการให้ทีม Avengers มาปะทะกัน และสอดแทรกเนื้อหาอันลึกซึ้ง การปะทะกันของแนวคิดไปพร้อมๆกัน ซึ่งถ้าหากนับถึงความยากถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมแล้ว แต่แน่นอนว่าการจับปลาสองมือก็นำมาสู่จุดเสียที่ไม่มีจุดใดจุดหนึ่งไปสู่จุดสูงสุดได้

Final Score: [ 8 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

Take Me Home (2559) Movie Review


Take Me Home (2559) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Take Me Home หรือในชื่อไทย สุขสันต์วันกลับบ้าน เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่น่าจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ ไม่ใช่เพราะเพียงแค่ฝีมือดารานำแสดงอย่าง มาริโอ้ เมาเร่อ แต่ยังรวมไปถึงตัวผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ เจ้าของผลงานภาพยนตร์ไทยสยองขวัญระดับขึ้นหิ้งอย่าง ลองของ หรือเฉือน และยังรวมไปถึงการเขียนบทให้กับ เป็นชู้กับผี อีกด้วย



ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานเก่าๆของตัวเขาแล้ว สุขสันต์วันกลับบ้าน ดูจะเป็นผลงานที่ได้มาตราฐาน แต่ก็ไม่อาจจะก้าวข้ามขีดจำกัดบางอย่างไปได้

ในขณะที่ตัวภาพยนตร์สามารถสร้างบรรยากาศความสยองขวัญผ่านตัวละครและเรื่องราวเสมือนการพาเราเข้าไปเดินบ้านผีสิงในช่วงกลางถึงท้ายเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม



ช่วงต้นเรื่องกลับค่อนข้างหายนะทีเดียว ตั้งแต่การปูความสัมพันธ์ตัวละคร หรือปมขัดแย้งที่ย่ำแย่ ไปจนถึงเทคนิคอันน่าปวดหัวเช่น มุขผีตุ้งแช่ทั้งหลาย ไปจนถึงเทคนิคการพากษ์เสียง (Voice Over) ซึ่งดูจะกลายเป็นเทคนิคที่ยัดเยียดเข้ามาด้วยความหวาดกลัวว่าผู้ชมจะดูไม่รู้เรื่องหรือตีความเองไม่เป็น มากกว่าเป็นเทคนิคที่จะนำมาเสริมหรือเติมแต่งองค์ประกอบต่างๆให้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากนึกถึงในด้านเนื้อหาแล้ว สุขสันต์วันกลับบ้านก็ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีประเด็นน่าสนใจไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็น คุณค่าของความรัก การรักษาสัญญา ไปจนถึงความเชื่อเรื่องวงเวียนแห่งความตายอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งสะท้อนค่านิยมและความเชื่อของสังคมไทยได้อย่างเป็นเอกลักษณ์



แต่ในเมื่อการปูความสัมพันธ์ตัวละคร ปมขัดแย้งในช่วงต้นเรื่อง จนไปถึงการหยิบใช้เทคนิคบางอย่างนั้นชวนให้เราตั้งคำถาม ก็เป็นเหตุที่ทำให้เราไม่อาจที่จะซึมซับเรื่องราวต่างๆในภาพยนตร์ได้อย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับภาพยนตร์สยองขวัญและโดยเฉพาะภาพยนตร์ไทยที่เต็มไปด้วยเนื้อหาอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้

Final Score : [ 6.5 ]

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559

10 Cloverfield Lane (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



10 Cloverfield Lane (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



ถือได้ว่าเป็นภาคต่อที่อยู่ดีๆก็โผล่มาจากมุมมืดอยู่พอสมควรเลยทีเดียวสำหรับ 10 Cloverfield Lane จากความที่แทบไม่มีข่าวอะไรเท่าไรนัก แต่วันหนึ่งก็มีตัวอย่างหลุดออกมา จนกระทั่งตัวอย่างแบบเป็นทางการที่เรียกได้ว่าพาเอาแฟนๆ Cloverfield ขนลุก ตื่นเต้น อดหลับอดนอนไปพร้อมๆกัน

แม้ว่า 10 Cloverfield Lane จะเปลี่ยนตัวผู้กำกับจาก แม็ตต์ รีฟส์ ในภาคแรกมาเป็น แดน เทรนช์เทรเบิร์ก ดูเหมือนว่าความโดดเด่น และความน่าจดจำของแฟรนไชส์นี้จะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งทวีคูณความน่าสนใจขึ้นในภาคต่อนี้




เมื่อเราแยกส่วนประกอบต่างๆออกมาแล้วจะพบว่า 10 Cloverfield Lane เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบต่างๆที่น่าทึ่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บทภาพยนตร์ที่สดใหม่ ซ่อนเรื่องราวภายใต้สถานการณ์ต่างๆและหักมุมได้อย่างชาญฉลาด 

การแสดงที่ดีของจอห์น กู้ดแมน และแมรี่ อลิซาเบธ วินสตีด ซึ่งกลายเป็นความสัมพันธ์ของสองตัวละครที่ช่างน่าค้นหา น่าสนใจ




ไปจนถึงการกำกับของ แดน เทรนช์เทรเบิร์ก ซึ่งเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม ใช้สัญญะต่างๆผ่านภาพได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งเล่นกับความอยากรู้อยากเห็นและความคาดหวังของผู้ชมได้อย่างเจ็บแสบจนน่าชื่นชม

เมื่อองค์ประกอบที่น่าทึ่งเหล่านี้มารวมตัวกัน ผลที่ได้ออกมาก็คือความรู้สึกที่นั่งไม่ติดเก้าอี้ ตื่นเต้น ลุ้นระทึกทุกวินาทีเสียยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา ตั้งแต่ต้นจนจบชนิดไม่ให้หยุดพัก 




ซึ่งคงจะเยี่ยมกว่านี้ถ้าหากลดเพลงประกอบที่ยัดเยียด พยายามจูงจมูกผู้ชมมากจนเกินไปและบทที่ดูจะรีไซเคิลมากไปนิดนึง แต่นั้นก็เป็นเพียงจุดเล็กๆในภาพยนตร์ที่น่าทึ่งเรื่องหนึ่ง




10 Cloverfield Lane สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมในโลกปัจจุบันซึ่งพวกเราแทบทุกคนต่างพร้อมที่จะเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อดึงให้ตัวเองไปอยู่ในจุดที่ตนเองต้องการ และทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดอะไรก็ตามที่ขวางทางพวกเราอยู่ สิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม จรรยาบรรณ หรือมนุษยธรรม คือสิ่งที่นิยามและให้ความหมายแก่ความเป็นมนุษย์ของเรา แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืมไปในสังคมอย่างน่าเป็นห่วง


-- ภาพรวม --
- ตื่นเต้น ลุ้นระทึก หายใจแทบไม่ทัน
- ความตื่นเต้นนั้นไม่ได้มาจากเทคนิคไร้สาระเช่นผีตุ้งแช่ แต่มาจากการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ล้อหลอกกับความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมได้อย่างน่าทึ่ง
- บทภาพยนตร์ถึงแม้จะโดนยืดไปบ้าง แต่ก็หักมุมได้อย่างฉลาด ค่อนข้างสดใหม่
- ทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น จอห์น กู้ดแมน หรือแมรี่ อลิซาเบธ วินสตีด
- เสียงเพลงสร้างอารมณ์ร่วมได้ดี แต่หลายครั้งดูยัดเยียดและหนักมือมากเกินไปจนกลายเป็นน่ารำคาญ

Final Score : 7.5