วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Black Sea ( 2015 ) Movie Review


Black Sea ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ห้วงทะเลมืดของระบบชนชั้น"



   จริงๆก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ที่ภาพยนตร์ระทึกขวัญอย่าง Black Sea มาเข้าฉายในบ้านเราช่วงนี้ เนื่องจากต่างประเทศฉายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ถึงกระนั้นก็ตาม นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความน่าชมของภาพยนตร์เรื่องนี้ลดลงแต่อย่างใด


 Black Sea ว่าด้วยเรื่องราวของโรบินสัน ลูกจ้างตกงาน ที่รวมตัวกับลูกจ้างคนอื่นๆวางแผนการใช้เรือดำน้ำเพื่อลงไปหาทองในเรือใต้ท้องสมุทร แต่ระหว่างนั้นเอง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียด ธาตุแท้ของทุกคนก็เริ่มที่จะเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย



ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Black Sea เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึก สนุก ตื่นเต้น และลุ้นระทึกในระดับหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายส่วนก็ต้องขอชมผู้กำกับ เควิน แมคโดนัลด์ ที่เล่าเรื่องได้อย่างน่าตื่นเต้น และผู้ตัดต่อภาพยนตร์ จัสทีน ไรท์ ที่ทำให้จังหวะต่างๆในภาพยนตร์ออกมาน่าตื่นเต้น น่าติดตาม 


อีกสิ่งหนึ่งที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ สำหรับการเป็นหน้าตาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้น นักแสดงนำ จู๊ด ลอว์ ที่แสดงผลงานได้น่าประทับใจไม่ใช่น้อย ซึ่งทำให้ตัวละครที่ค่อนข้างจะจืดชืดของเขาน่าสนใจขึ้นมาบ้าง


ถึงกระนั้นก็ตาม มีหนึ่งสิ่งที่ Black Sea ประสบปัญหาอย่างร้ายแรง ซึ่งจุดๆนี้ก็คือ บทภาพยนตร์ที่สุดแสนจะเชย ซ้ำซาก ขาดความสดใหม่อย่างรุนแรง จนแทบจะเรียกได้ว่าเกือบทุกสรรพสิ่งที่ตัวภาพยนตร์เล่าออกมา เราเคยเห็นมาก่อนแล้วในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ตั้งแต่ จุดหักมุมที่เดาแสนง่าย การดำเนินเรื่องอันซ้ำซาก



หรือ ตัวละครต่างๆนานา เช่น จะต้องมีตัวละครที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ต้องมีตัวละครสูงอายุ จะต้องมีการแตกแยกแบ่งเป็นกลุ่มๆ สำคัญที่สุดและขาดไม่ได้ก็คือต้องมีตัวละครที่คอยทำหน้าที่ยุแหย่ชาวบ้านให้เขาแตกคอกัน (และก็ต้องมีตัวละครซักตัวที่โง่ทำตาม) ซึ่งในบางช่วงความซ้ำซากนี้ก็พาให้รู้สึกน่ารำคาญอยู่ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะในหลายๆจังหวะที่ตัวภาพยนตร์พยายามยัดเยียดมันเข้ามามากเกินไป  


ซึ่งจะว่าไปแล้วก็น่าเสียดาย ที่ปัญหาเหล่านี้ค่อนข้างจะมาดึงความสนุกของภาพยนตร์ลงเยอะพอสมควร โดยเฉพาะการทำให้ฉากที่ควรจะน่าจดจำ ชวนขนลุก กลายเป็นฉากที่ดูเชยๆเหมือนหลุดมาจากภาพยนตร์เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วไปแทน




แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ Black Sea ถ่ายทอดได้น่าสนใจ น่านำไปครุ่นคิดมากที่สุด ก็คือการเสียดสีระบบทุนนิยม ความแตกต่างของเชื้อชาติ และการพูดถึงความไม่เป็นธรรมของระบบชนชั้นในสังคม  ในขณะที่ชนชั้นแรงงานต้องถูกใช้งานอย่างลากเลือด ได้ค่าแรงอันน้อยนิด  ชนชั้นสูงกลับอยู่อย่างสุขสบาย พร้อมที่จะเขี่ยหรือแย่งสิ่งที่รักของชนชั้นที่ตำกว่าตนมาได้อย่างไม่ใยดี ซึ่งสุดท้ายแล้วสิ่งที่กลุ่มชนชั้นต่ำกว่าจะทำได้ ก็มีเพียงแค่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอันแสนโหดร้าย และไม่ยุติธรรมของพวกเขาอย่างทรมาณก็เท่านั้น 


Final Score : [ 7 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Love & Mercy ( 2015 ) Movie Review


Love And Mercy ( 2015 ) บทวิจารณ์โดย FallsDownz


"ความรัก และ ความเมตตา"



 ถึงแม้ว่าจะข้ามปี 2557 มาแล้ว ดูเหมือนว่ากระแสภาพยนตร์ชีวประวัติก็ยังคงไม่จางหายไปไหน ด้วยการมาของ Love And Mercy ภาพยนตร์ชีวประวัติของศิลปินจากวง The Beach Boys ชื่อดัง ที่ต้องสารภาพก่อนเลยว่าผู้เขียนไม่เคยฟังเพลงของ The Beach Boys มาก่อนเลย จึงทำให้ประสบการณ์ในการเข้าไปชมภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องนี้ น่าสนใจและน่าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก


Love And Mercy ว่าด้วยเรื่องราวของไบรอัน หนึ่งในสมาชิกวง The Beach Boys ที่กำลังประสบปัญหาในชีวิตของตนเอง ทำให้เขาพบกับปัญหาและความสับสนในชีวิตมากมายที่อาจเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล



ต้องพูดเลยว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกอันแปลกประหลาดในระหว่างชมอยู่ไม่ใช่น้อย โชคดีที่นั้นเป็นความแปลกประหลาดในด้านที่ส่งเสริมทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งสาเหตุที่มันให้ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้น การเล่าเรื่อง ตัดต่อ และใช้โทนสี อันแปลกประหลาดของภาพยนตร์ ที่ตัดสลับระหว่างอดีตและปัจจุบันไปมาอย่างล่องลอย แทบจะให้ความรู้สึก Surreal หรือ เหนือจริงในบางครั้ง 


ยิ่งผสมผสานกับประเด็นการต่อสู้กระเสือกกระสนภายในจิตใจของตัวละครเอก ก็ยิ่งทำให้ Love And Mercy กลายเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติที่โดดเด่นทางด้านการถ่ายทอดสภาพอารมณ์และสภาพจิตใจของตัวละครมากยิ่งขึ้นไปอีก และในส่วนนี้ก็ต้องขอชมผู้กำกับ บิล โพห์แลนด์ ที่เล่าเรื่องและถ่ายทอดปัญหาทั้งภายนอกและภายในจิตใจของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม



ส่วนในด้านการแสดงของ จอห์น คูแซค ก็ถือว่ารับบทแสดงได้ดีเลยทีเดียว แต่ที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือการแสดงของ พอล ดาโน่  ซึ่งหลายส่วนอาจจะมาจากตัวบทภาพยนตร์ที่ในส่วนน่าสนใจๆ มันไปอยู่ในช่วงชีวิตที่ พอล ดาโน่ แสดงซะมากกว่าในส่วนของ จอห์น คูแซค แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การถ่ายทอดอารมณ์อันแสนเจ็บปวด และความกดดันอันมากมายจนจะระเบิดออกมาของ พอล ดาโน่ ก็ยอดเยี่ยมจนลืมไม่ลงเลยจริงๆ


สุดท้ายแล้ว Love And Mercy ก็เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอเมริกันทั้งภายนอกและภายในจิตใจได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงความเจ็บปวดของศิลปินที่ไม่สามารถจะสร้างสรรค์ผลงานที่พวกเขาอยากจะถ่ายทอดได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งสิ่งที่พอจะผ่อนคลายปัญหาเหล่านี้ได้ ก็คือ "ความรักและความเมตตา" จากสังคมและที่สำคัญคือจากคนภายในครอบครัวที่พยายามปรับตัวเข้าหากัน พยายามหาจุดกึ่งกลางที่ไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจ็บปวดจนอาจจะเสียความเป็นตัวของตัวเองไปในท้ายที่สุดนั้นเอง




Final Score : [ 7.5 / 10 ] 

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Jurassic World ( 2015 ) Movie Review


Jurassic World ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"สุดยอดภาพยนตร์ฟาสต์ฟู้ดของฮอลลีวูด"



Jurassic Park เชื่อเลยว่าหลายๆคนน่าจะเคยได้ยินชื่อ หรืออาจจะเคยได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งในตอนนั้น การมาของเหล่าไดโนเสาร์ในภาพยนตร์ ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการฮอลลีวูดไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่ง Jurassic World ก็คือการกลับมาที่พยายามจะสร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง


Jurassic World ว่าด้วยเรื่องราวของสวนสนุกจูราสสิคเวิลด์ที่เกิดเหตุไดโนเสาร์หลุดออกมาจึงทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง 



อย่างแรกที่ Jurassic World แสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและปฏิเสธไม่ได้จริงๆเลย ก็คือทางด้านโปรดัคชั่น และซีจีต่างๆของมัน นี้เป็นภาพยนตร์ที่สรรรค์สร้างซีจีไดโนเสาร์ต่างๆ หรือ การออกแบบฉากต่างๆได้อย่างน่าทึ่ง อลังการงานสร้าง ระดับแถวหน้าของฮอลลีวูดอย่างไม่ต้องสงสัย


ยิ่งผนวกโปรดัคชั่นและซีจีเข้ากับฉากต่อสู้ของไดโนเสาร์ที่โดยเฉพาะในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่อง ก็ทำให้ผลออกมาได้ฉากต่อสู้สุดมันส์ ตื่นเต้น และน่าดูชมสุดๆ



แต่ปัญหาของ Jurassic World ก็คือ มีเพียงแค่ โปรดัคชั่น ซีจี และฉากต่อสู้(อันสุดมันส์)ของไดโนเสาร์เท่านั้น ที่ตัวภาพยนตร์ทำออกมาได้อย่างดีและยอดเยี่ยมจริงๆ เมื่อเรามองหรือลงไปสำรวจส่วนอื่นๆของภาพยนตร์เรื่องนี้สิ่งทีเราพบกลับเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จกลวงๆ ปราศจากซึ่งชั้นเชิงหรือความฉลาดใดๆ


เฉกเช่น ตัวละครต่างๆในภาพยนตร์ที่สุดแสนจะจืดชืด แบน ขาดความมีชีวิตหรือความเป็นมนุษย์ ซ้ำร้ายการตัดสินใจบางอย่างของพวกเขาก็ช่างน่ากุมขมับในหลายต่อหลายครั้ง นี้ไม่ใช่ตัวละครที่เราจะรู้สึกสนใจหรือใส่ใจในความเป็นอยู่ของพวกเขาเหมือนที่เราอาจจะเคยรู้สึกกับตัวละครภาคก่อนหน้าเลย นี้ยังไม่นับถึงเรื่องราวความรัก โรแมนติก กุ๊กกิ๊กของสองตัวละครเอกที่ถูกยัดเยียดเข้ามาอย่างน่ารำคาญ และขาดความน่าสนใจอย่างรุนแรง





สิ่งที่น่าตลกเข้าไปอีก ก็คือความพยายามในการยัดเยียดเพลงประกอบภาพยนตร์เอกลักษณ์ของ Jurassic Park เข้ามา ซึ่งมันควรจะทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น ขนลุกหรือ ฟินอะไรก็ว่าไป


แต่ด้วยความที่มันดันยัดเยียดเข้ามาในฉากเปิดเรื่องและการเล่าเรื่องอันจืดชืดของผู้กำกับ โคลิน เทรเวอร์โรว์ มันก็ทำให้ตัวเพลงประกอบภาพยนตร์กลายเป็นเสมือนซอสมะเขือเทศ ที่พยายามบีบเทอย่างบ้าคลั่งลงไปในอาหารที่รสชาติย่ำแย่จืดชืด แต่ก็ดันมีราคาแพงจนไม่อยากที่จะทิ้งๆไปแทน


ที่น่าสงสัยและน่าตั้งคำถามเข้าไปอีก ก็คือบทภาพยนตร์อันสุดแสนจะย่ำแย่ของ Jurassic World เสมือนทางทีมเขียนบทไปขอยืมบทจากภาพยนตร์เกรดบีอย่างเช่น Dinocroc หรือ Rogue ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าหากนี้เป็นภาพยนตร์สัตว์ประหลาดทั่วไปมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือเรื่องแย่อะไร ซ้ำภาพยนตร์บางเรื่องอย่างเช่น Rogue ก็สนุกและตื่นเต้นดี แต่ไม่ใช่ในภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ มีชื่อยักษ์ใหญ่อย่าง 'Jurassic' แปะอยู่ และที่สำคัญคือไม่ใช่ในภาพยนตร์ที่มีทุนสร้างมากกว่าภาพยนตร์อย่าง Rogue เกือบ 6 เท่า



ในด้านเนื้อหาและประเด็นต่างๆ Jurassic World ก็เป็นภาพยนตร์ที่วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถามระบบทุนนิยมในบางด้านที่ให้ความสำคัญกับน้ำหนักของเงิน มากกว่าศีลธรรมต่างๆได้น่าสนใจทีเดียว รวมถึงความเชื่อที่ของปลอมหรือของที่มนุษย์พยายามสร้างเลียนแบบธรรมชาตินั้นไม่สามารถที่จะมาทดแทนหรือเทียบกับของแท้หรือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นอย่างแท้จริงได้ ก็เป็นการยืนยันถึงความเล็กกระจิ๋วหลิวของมนุษย์ที่พยายามก้าวข้ามสิ่งที่ตนเองไม่อาจจะควบคุมได้อย่างยอดเยี่ยม 



ในท้ายที่สุดแล้ว Jurassic World ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ตอบสนองผู้ชมหลายส่วนในด้านของความบันเทิงอย่างแน่นอน มันเป็นภาพยนตร์ที่ โหวกเหวกโวยวาย ตื่นเต้น ระทึก สนุก และเต็มไปด้วยภาพอันสวยงามอลังการ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายฉากนั้นพาเอาขนลุกอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่มีเพียงแค่นี้เท่านั้นที่ Jurassic World เสนอให้กับเราได้ ถ้าหากคุณหวังว่าจะได้เจอกับเวทย์มนตร์ที่เคยตราตึงคนทั่วโลกจนใครหลายๆ คนยังไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้แบบใน Jurassic Park คุณก็คงจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน


Final Score : [ 6 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Spy (2015)


Spy (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz





"สายลับไม่แคร์สื่อ"


เป็นที่น่าสังเกตุอยู่เหมือนกัน ว่าภาพยนตร์บางเรื่องในปีนี้ นำขนบต่างๆของภาพยนตร์สายลับมาล้อเลียนหรือดัดแปลงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เฉกเช่น Kingsman: The Secret Service ในต้นปี 


พอเข้าช่วงกลางปีภาพยนตร์เรื่อง Spy ก็โผล่เข้ามาในเรดาห์เดียวกันกับ Kingsman ด้วยการฉีกแนวจากสายลับมาดเท่ห์ มาเป็นสายลับมาดเฉิ่ม(แต่น่าสนใจ) แทน ซึ่งนี้เป็นการมาของกระแสอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ และน่าติดตามมากทีเดียว


Spy ว่าด้วยเรื่องราวของ คูเปอร์ สายลับนั่งโต๊ะมาดเฉิ่มที่อยู่มาวันหนึ่งต้องออกไปปฏิบัติภารกิจสุดโหด ท่ามกลางเรื่องราววุ่นๆที่เกิดขึ้นมากมาย




สิ่งหนึ่งที่แน่นอนและไม่อาจปฏิเสธได้เลยสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือความบันเทิงระดับหาตัวได้ยากของมัน นี้เป็นภาพยนตร์ที่สนุก ตื่นเต้น และน่าติดตามอยู่ตลอดเวลา ชนิดที่แทบจะไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องอื่นกันเลยทีเดียว


ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็มาจากหลากหลายเหตุผล อย่างเช่น ตัวละครเอก คูเปอร์ของเรื่องที่รับบทโดย เมลิสซ่า แม็คคาร์ธี่ ที่นำแสดงตัวละครเอกได้อย่างตลกโปกฮา น่ารัก และน่าคอยเอาใจช่วย 


หรือตัวละครรองอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น จู๊ด ลอว์ หรือ เจสัน สเตทแธม ก็เข้ามาเติมแต่งสีสันให้กับตัวภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี แต่คนที่ถูกใจผู้เขียนมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นตัวละครร้ายของ โรส เบิร์น ที่ร้ายได้อย่างน่ารำคาญดีแท้ แต่เรากลับรู้สึกเกลียดเธอไม่ลง หนำซ้ำบางด้านบางอารมณ์ของเธอก็ทำให้เรารู้สึกหลงรักไปอย่างไม่รู้ตัว



อีกด้านหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับ Spy และสำหรับภาพยนตร์ตลกทุกเรื่อง ก็คือมุขตลกทั้งหลาย  ที่ในกรณีของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ผลสุดๆ และใส่เข้ามาแบบไม่ยั้ง ทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นตัวและสนุกไปพร้อมๆกับตัวภาพยนตร์อยู่ตลอดเวลา หนำซ้ำมุขตลกบางมุขก็ยังสดใหม่ และสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างสนุกสนานอีกด้วย


แต่ถ้าหากจะมีซักสิ่งหนึ่งที่ Spy ทำออกมาไม่ค่อยจะได้ผลซักเท่าไรนัก ก็คงจะเป็น บทภาพยนตร์ที่ซ้ำซากและเดาง่าย โดยเฉพาะจุดหักมุมต่างๆของเรื่องที่ไม่ได้น่าตื่นเต้นซักเท่าไรนัก โชคยังดีที่มุขตลกสุดฮา ฉากแอ็คชั่น ฉากไล่ล่าสุดมันส์ และการควบคุมจังหวะภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมของผู้กำกับ พอล ฟีก ก็ช่วยดึงตัวภาพยนตร์ขึ้นมาจากความจืดชืดได้เยอะมากทีเดียว




สุดท้ายแล้ว Spy ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ตลกโปกฮาไร้สาระทั่วๆไป ถึงแม้ว่าภายนอกมันอาจจะดูเป็นเช่นนั้น แต่ภายในแล้ว นี้คือภาพยนตร์ที่สอดแทรกประเด็นการลุกขึ้นมาต่อสู้กับสังคมชายเป็นใหญ่ของสตรีได้อย่างยอดเยี่ยม 


ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เลิศเลอสมบูรณ์แบบ หน้าตาอาจจะไม่สวย หรือหุ่นอาจจะไม่ดี แต่จงเชื่อในความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณและดึงมันออกมาใช้ สิ่งนั้นๆจะทำให้ทุกคนหันกลับมามองถึงตัวตนที่แท้จริงอันงดงาม น่าหลงใหลในตัวของคุณเอง นี้ก็คือสิ่งที่ภาพยนตร์ Spy ต้องการจะสื่อถึงผู้หญิงทุกคนนั้นเอง


Final Score : [ 7.5 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

San Andreas ( 2015 ) Movie Review


San Andreas (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"เลขที่ออก..... ซาน แอนเดรส !!"


             ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า การมาของภาพยนตร์ San Andreas ออกจะดูช้าไปหน่อยรึเปล่า เนื่องจาก ณ ตอนนี้กระแสของภาพยนตร์ฮอลลีวูดได้ย้ายไปสู่ภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากนวนิยายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

แน่ล่ะว่าเรายังคงจดจำภาพอันน่าประทับใจของภาพยนตร์หายนะต่างๆได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์เทพีเสรีภาพแช่แข็งใน The Day After Tomorrow หรือกระทั่งภาพยนตร์ 2012 ที่ ณ เวลานี้คงกลายเป็นภาพยนตร์ตลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


San Andreas เป็นภาพยนตร์หายนะที่ว่าด้วยเรื่องราวของ เรย์ นักกู้ภัยที่จะต้องออกผจญภัยตามหาลูกสาวของเขาที่ไปติดอยู่ในเมือง ซาน ฟรานซิสโก ระหว่างที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดให้ได้




ไม่ว่ารอยเลื่อนซาน แอนเดรสในภาพยนตร์จะหายนะซักเท่าไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสิ่งที่หายนะยิ่งกว่า ก็คือตัวภาพยนตร์เอง จากปัญหาที่มากมายนานับประการที่ถาถมเข้ามาหนักหน่วงยิ่งกว่าคลื่นสึนามิในตัวอย่างภาพยนตร์


โดยสิ่งแรกที่โดนก่อนเพื่อนเลย ก็คือตัวบทภาพยนตร์ที่สุดแสนจะซ้ำซาก จืดชืด และยังคาดเดาง่ายปราศจากความคิดสร้างสรรค์ใดๆ นี้เป็นภาพยนตร์ที่คุณเดาตอนจบได้ตั้งแต่ตอนยังไม่ได้ดูด้วยซ้ำไป และที่สำคัญคือฉากหักมุมต่างๆก็ไม่ได้ทำให้คุณตื่นเต้นตกใจหรือกระทั่งมีอารมณ์ร่วมไปกับมันเลย 


สิ่งถัดมาที่โดนไปด้วยหลังจากบทภาพยนตร์อันย่ำแย่ ก็คือเหล่าตัวละครอันแบนราบทั้งหลาย ซ้ำร้ายเข้าไปอีกก็คือความสัมพันธ์และปมขัดแย้งของเหล่าตัวละครนี้ที่ช่างสุดแสนจะจืดชืดน่ารำคาญ เฉกเช่น ตัวละครเอกอย่าง เรย์ ที่มีปมขัดแย้งกับภรรยาเก่า เอ็มม่า การแยกทางของทั้งคู่ที่ตัวภาพยนตร์พยายามยัดเยียดเข้ามาทั้งๆที่มันไม่ได้น่าสนใจด้วยซ้ำไป ที่น่าตกใจเข้าไปอีกก็คือตัวละครสามีใหม่ที่ถูกยัดเยียดให้กลายเป็นตัวร้ายที่ผู้ชมสามารถจะรังเกียจเท่าไรก็ได้อย่างน่าตาเฉย ไม่สิเหตุผลก็คือเพราะมันดันมาขัดขวางและแย่งความรักจากภรรยาเก่าของพระเอกไปสินะ.....


แต่ในอีกด้านหนึ่ง โชคยังดีที่ความสัมพันธ์พ่อ-ลูกระหว่างตัวละครเอกกับนางเอกของเรื่อง ยังได้ผลบ้างเป็นครั้งคราว ด้วยปมหลังที่ค่อนข้างจะน่าสนใจ และการแสดงของ เดอะร็อคที่พัฒนาขึ้นอยู่บ้าง



การที่ตัวภาพยนตร์อาศัย "ความบังเอิญ" มากเกินไป จนทำให้ตัวภาพยนตร์ปราศจากความน่าเชื่อถือใดๆ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าให้อภัยใน San Andreas ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่พออยู่ในสถานการณ์อันลำบาก เฉียดตาย ก็จะรอดแบบฉิวเฉียดได้ตลอด ในขณะที่คนอื่นโดนกันเต็มๆ , ความบังเอิญของตัวละครที่ดันมาอยู่ถูกที่ถูกเวลาตลอด


เช่นนักวิทยาศาสตร์ที่ดันมาสร้างเครื่องทำนายแผ่นดินไหวได้สำเร็จพอดีในตอนที่แผ่นดินไหวเกิดขึ้นจริงในภาพยนตร์เปะๆ ไม่เกินชั่วโมงหรือสิบนาทีด้วยซ้ำไป หรือนักเรียนที่ถามคุณครูว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นที่นี้ได้ไหม ก่อนวันที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆเพียงอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า กระทั่งตัวละครที่หยิบของดูจะไร้ประโยชน์จากฉากก่อนหน้า มาได้ใช้ประโยชน์ในฉากต่อไปอย่างหน้าตาเฉย สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากที่จะกระโดดเข้าไปถามตัวละครในภาพยนตร์ว่าไปทำบุญหรือไปสักยันต์วัดไหนมา ถึงได้ดวงดี ดวงเทพ และดวงซวยไปพร้อมๆกันเฉกเช่นนี้


ในด้านของคุณภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิคหรือซีจีทั้งหลายแหล่ใน San Andreas ก็ทำคุณภาพออกมาได้ขึ้นๆลงๆอยู่มาก ฉากหนึ่งซีจีสวยงามอลังการชวนขนลุก แต่ฉากถัดมากลับดูของปลอมและดูยังไงก็ใช้ฉากกรีนสกรีนอย่างชัดเจน ไม่แน่ใจว่าทางทีมผู้สร้างใช้ทีมงานกันคนละทีมรึเปล่าคุณภาพถึงได้ออกมาสลับไปมาอย่างกับทอยลูกเต๋าเช่นนี้


สำหรับในด้านการกำกับของ แบรด เพย์ตัน ก็ยังคงมีหลายๆสิ่งที่มีปัญหาอยู่เหมือนกัน เช่นการเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมา ปราศจากชั้นเชิง ซึ่งทำให้ตัวภาพยนตร์จืดชืดไร้รสชาติ หรือความหวาดกลัวที่กลัวว่าผู้ชมจะไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ว่าเป็นไปได้ จึงพยายามให้ตัวละครยัดเยียดเหตุผลหรือกระทั่งวิทยาศาสตร์ต่างๆเข้ามา เสมือนรีบยัดเม็ดยาเข้าปากผู้ชมแต่ดันบอกว่าเป็นขนม ซึ่งผลของการกระทำครั้งนี้ก็คือ ยิ่งทำให้เราไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เข้าไปอีก เพราะมันบังเอิญ พอเหมาะพอเจาะ และชัดเจนมากจนเกินไป



ถึงกระนั้นก็ตามในช่วงจุดสูงสุด ฉาก Climax ของตัวภาพยนตร์ก็ยังคงทำให้เราตื่นเต้นไปด้วยได้ในระดับหนึ่ง จากจุดบทสรุปปมปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกที่น่าสนใจ และไม่ทำให้รู้สึกแย่ขนาดในช่วงต้นหรือกลางเรื่องที่จืดชืดน่าเบื่อ


แต่สิ่งที่น่ากังขา และน่าตั้งคำถามมากที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ใช่บทภาพยนตร์ ไม่ใช่ทีมนักแสดง ไม่ใช่การกำกับ ไม่ใช่ซีจี แต่เป็นสิ่งที่มันต้องการจะบอกต่างหาก 
จากหายนะทั้งหมดทั้งมวลที่มีทรัพย์สินเสียหายไปเป็นล้านๆเหรียญสหรัฐ คนตายเป็นเบือ แต่สุดท้ายแล้วตัวภาพยนตร์กลับเข้าสู่บทสรุปอย่างง่ายดายว่า "ทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง เราจะสร้างมันกลับคืนมา" ด้วยท่าทีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข


ซึ่งนั้นเป็นแนวคิดและการจบที่น่าอนาจที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมาในภาพยนตร์หายนะทั้งหลาย หมายความว่าทรัพย์สินที่เสียหายทั้งหลาย คนตายไม่รู้กี่หมื่นหรือกี่แสนกระทั่งกี่ล้านคน ไม่ได้นำมาซึ่งบทเรียนให้แก่มนุษยชาติ(หรือแก่ผู้ชม)แต่อย่างใดเลย แต่มันนำมาซึ่งความโอหังของมนุษยชาติที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมต่างหาก นั้นคือสิ่งที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะสื่อถึงเช่นนั้นหรือ ?




ที่น่าขำยิ่งกว่า ก็คือบทวิจารณ์ภาพยนตร์ของนักวิจารณ์ต่างประเทศท่านหนึ่งที่ผู้เขียนได้เข้าไปเจอในระหว่างหาข้อมูลภาพยนตร์เรื่องนี้เข้า ซึ่งบรรทัดบทสรุปของนักวิจารณ์ท่านนี้ ก็เขียนบทสรุปความคิดของตัวเขาที่มีต่อภาพยนตร์เรื่อง San Andreas ได้อย่างตลก น่าประทับใจ แต่กลับถูกต้องอย่างมากที่สุดอีกด้วย โดยที่เขาได้กล่าวไว้ดังนี้


"ดีที่ได้รู้ว่า เงินเป็นพันๆ ล้านเหรียญสหรัฐที่สูญเสียไปกับทรัพย์สินที่เสียหายต่างๆ และความตายของคนเป็นแสนๆ ไปเกิดขึ้นที่ ซาน แอนเดรส เพียงเพื่อที่จะทำให้ เรย์ และเอ็มม่า หลีกเลี่ยงการหย่าร้างไปได้" - แดน ไกล์ (Dann Gire) Chicago Daily Herald


Final Score : [ 4 / 10 ]


บทวิจารณ์ภาพยนตร์ของ Dann Gire - Chicago Daily Herald : http://www.dailyherald.com/article/20150528/entlife/150528891/