วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Paranormal Activity 5 !!! ตุลาปีหน้า !?! ( Movie News )

Movie News







ไม่รู้เมื่อไรมันจะจบซักทีกับซีรียส์ Paranormal Activity ที่ดันดังเป็นพลุแตกเกินคาดจากภาคแรกที่มีต้นทุนต่ำมาก แต่กำไรเยอะ จนล่อไป 4 ภาคแล้ว จากภาคล่าสุดที่หลายๆคนที่ติดตาม Blog ผมคงทราบดีว่าโดนสับเละเทะแค่ไหน แล้วนี้ยังจะมีข่าวค่อนข้างที่จะคอนเฟิรม์ออกมาจากต่างประเทศแล้วว่า เจอกันแน่ ตุลาปีหน้า 2013 Paranormal Activity 5 !! OH GOD WHY !? เอาวะดูก็ดู แต่ถ้าหากยังมาแบบเน่าแบบภาค 4 เจอสับเละตั้งแต่ต้นยันจบแถมยัดหน้าด้วย F + Epic Fail ได้เลย

Cloud Atlas ( 2012 ) Movie Review

MOVIE REVIEW




Movie Name : Cloud Atlas ( 2012 ) , Drama / Mystery / Sci-Fi
Director : Tom Tykwer ( Run Lola Run ) , Wachowski Brothers ( The Matrix Trilogy )
Stars : Tom Hanks , Halle Berry , Jim Broadbent , Hugo Weaving , Jim Sturgess , Doona Bae , Ben Whishaw 
Rating : R ( 18+ ) for violence , sexual theme 






MOVIE REVIEW
(THAI)




                                                  Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์แห่งปีที่ต้องขอเริ่มต้นบอกก่อนเลยว่าเห็นว่าเป็นหนัง Sci-Fi แต่อย่าหวังว่าจะมีฉากยิงกันด้วยแสงเลเซอร์ระเบิดตูมตามกันทั้งเรื่องนะ ยิ่งไปกว่านั้นส่วนตัวแนะนำแบบตรงๆเลยว่า หากท่านใดไม่ได้สนใจจะดูภาพยนตร์เอาสาระเยอะๆทีเดียว แบบโหมกระหน่ำมาใส่ ฉากที่เต็มไปด้วยความหมาย และพิศวง คำคมเฉือดเฉือน การตีแผ่สังคม และบทที่ยุ่งยากสุดๆ และฉาก Action รวมกันทั้งเรื่องยังไม่ถึง 2นาทีด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น หากจะดูเอามันส์กรุณาข้ามไปเถอะครับ นี้ไม่ใช่หนังสำหรับคุณเลย มันจะพาคุณหลับตั้งแต่ 10นาทีแรกซะมากกว่า



Cloud Atlas นั้นจะพูดว่าเป็นภาพยนตร์ HollyWood เต็มๆตัวก็ลำบากอยู่เหมือนกันเพราะถึงแม้จะมีสองพี่น้อง Wachoski จาก The Matrix มาก็จริง แต่ก็มีผู้กำกับระดับตำนานของประเทศ เยอรมันอย่าง Tom Tykwer อยู่ด้วยเช่นกันซึ่งในจุดของสองพี่น้อง Wachowski คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายนักเพราะเราก็คงรู้ๆกันดีกับฝีมือของสองพี่น้องคู่นี้จาก The Matrix ไตรภาค ส่วน ผู้กำกับ Tom Tykwer นั้นเขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง Run Lola Run ซึ่งค่อนข้างที่จะโด่งดังมากในต่างประเทศ ซึ่งฝีมือการกำกับของเขานั้นต้องบอกว่าไม่ธรรมดาแน่นอน



คุณเคยคิดบ้างไหม ? ว่าบางทีชีวิตของพวกเราทุกคน อาจจะเชื่อมกันอยู่ ? ทุกๆคนที่เราพบเจอ ทุกๆคนที่เราทำดีหรือช่วยเหลือ ทุกๆคนที่เราทำไม่ดีหรือทำเลวใส่เขา ล้วนแต่ทำให้เกิดหนทางใหม่ขึ้นเสมอๆ บางครั้งคุณอาจจะไม่ต้องใช้เวลานานนับสิบปี ถ้าหากคนๆนั้นใช่สำหรับคุณเพียงแค่มองด้วยสายตาคุณก็สามารถที่จะรู้ได้แล้ว ทุกๆอย่างได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วและเราไม่สามารถที่จะหลีกหนีมันได้..........งั้นหรือ ?




Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์ที่ถ้าจะให้เปรียบเทียบล่ะก็คงต้องเปรียบกับคลื่นในทะเลที่ในเวลา 172 นาที หรือเกือบ 3 ชม. ผมไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ 3 ชม. ใช่แล้วครับ เปรียบเสมือนคลืนในทะเลที่เงียบสงบตอนเริ่มต้นไร้ปราศจากภัยอันตรายใดๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นจากหลายๆทิศทาง ต่างเวลา ต่างสถานที่มา แต่จุดหมายเดียวกัน ก็เริ่มที่จะถาโถมเข้ามาทีละเล็กทีละน้อยเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดก็เกิดคลื่นมหึมา ที่คุณมิอาจจะหลีกหนี ทำได้เพียงแต่ยืนมองและไม่สามารถแม้แต่ที่จะหนีพ้นเพราะคุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณไม่สามารถที่จะหนีชะตากรรมนี้ได้


Cloud Atlas นั้นเล่าเรื่องผ่านตัวละครมากมาย โดยในเรื่องมีเรื่องย่อยๆที่เชื่อมต่อกันอยู่ถึง 6 เรื่อง !! ซึ่งจะพูดว่าเรื่องย่อยๆก็ไม่ถูก เพราะแต่ละเรื่องก็มีรายละเอียดที่มากมาย ตัวละครทุกตัวล้วนสำคัญ และมีบทบาทอย่างมากต่อคนดู  แถมแต่ละเรื่องก็น่าสนใจเอามากๆ จนผมคิดเลยว่า น่าจะทำเป็น 6 ภาคไปเลย !! แยกออกมาทำให้หมด ผมจะยอมดูทุกภาคเลยอ่ะ !! 


Cloud Atlas นั้นคำถามหลักๆของภาพยนตร์ก็คงไม่พ้น ชะตากรรมที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้วที่คุณรู้ๆกันอยู่แก่ใจว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ แต่ ! แต่ ! ในบางครั้งเราก็รู้ตัวดีว่าเราไม่สามารถจะหลีกหนีชะตากรรมนั้นได้ แต่เราก็ "เลือก" ที่จะต่อสู้กับมัน ถึงแม้เราจะรู้ดีว่าจุดจบที่กำลังรอคอยเราอยู่นั้นมันช่างเลวร้ายจนไม่อาจจะคาดคิดได้ 




นักแสดงแต่ละคนใน Cloud Atlas ต้องขอชมเชยเลยว่าสุดยอดจริงๆ เพราะแต่ละคนเล่นอย่างต่ำกันคนละ 5-6 ตัวละคร ! และทุกคนก็ปรากฏตัวในทุกเรื่องด้วย (ต้องสังเกตุดีๆบางคนโผล่มาแวบๆ) ซึ่งแต่ละตัวละคร ก็ดันไม่เหมือนกันเอาซะเลย บางตัวละครนี้เรียกได้เลยว่า ไปกันคนละขั้วโลกเลย ซึ่งการที่เรานั่งดูนั้นมันก็พูดง่ายว่ามันคงไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่คิดดูนะครับ ทุกตัวละคร 20-30ตัว มีบุคลิกไม่เหมือนกัน มีเป้าหมายไม่เหมือนกัน มีเหตุการณ์และผลกระทบที่ไม่เหมือนกัน และในตัวนักแสดงคนๆเดียว ต้องแยกแยะระหว่างตัวละคร 5-6 ตัวละครในคนๆเดียว มันลำบากแค่ไหน โดยเฉพาะนักแสดงนำอย่าง Tom Hanks และ Halle Berry ซึ่งทั้งคู่มักจะเล่นเป็นตัวละครหลักในทุกๆเรื่องซึ่งมันเหนื่อยเอามากๆ เพราะแต่ละเรื่องก็เล่นหนักมาก ทั้งรถตกน้ำ สู้กับมนุษย์กินคน ถูกไล่ล่า สู้กับมนุษย์กันเอง มันจึงเป็นงานที่สาหัสเอามากๆสำหรับทั้งคู่


ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ Cloud Atlas ในตอนนี้คงจะไม่พูดถึงเรื่อง "ภาพ" ไม่ได้เด็ดขาดเลยเพราะ ใน Cloud Atlas นั้นภาพช่างสวยงาม สุดๆ สวยจนแทบจะเรียกได้ว่าผมอยากจะตะโกนในโรง "พี่ๆหยุดฉากนี้ก่อนได้ปะ ขอผม Screen Shot ก่อนนะ" ประมาณนั้นเลย แต่ละฉากนั้นใหญ่โต อลังการ มีเอกลักษณ์ และรายละเอียดเยอะมาก แถมแต่ละฉากก็ไม่เหมือนกันเลยซักกะติ๊ด แตกต่างกันแบบสุดขั้วก็มีอีกเช่นกัน ก็เลยงงว่าทางทีมงานทำได้ยังไง ? 


นอกจากนั้นภาพยนตร์ Cloud Atlas ยังมีจุดเด่นๆมากมายนับไม่ถ้วนจริงๆอย่างเช่น คำคมที่คมบาดจิตใจสุดๆและเยอะมากๆเอาด้วย คำสอนที่ให้แก่คนดูที่มีคุณค่าจริงๆ การจิกกัดสังคมโลกปัจจุบันอย่างเจ็บแสบ อย่างเรื่องของ ชายรักชาย ความโลภ คำโป้ปดหลอกลวง ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง และอีกมากมาย นอกจากนั้น Cloud Atlas ยังเป็นภาพยนตร์ที่ผมบอกตามตรงเลยว่าผมไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องไหน อินเท่านี้มาก่อน (ต้องขอบอกก่อนเลยว่าผู้เขียนก็เคยคิดนะ เออ มันมีโอกาสไหม ที่คนทุกๆคนจะมีอะไรบางอย่างเชื่อมกันอยู่) แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะ ถ้าคุณเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดของหนังค่อนข้างมาก คุณจะเหมือนถูกดูดเข้าไปในหนังเลยทันที เพราะในทุกๆซอกทุกๆมุมของ Cloud Atlas เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่สุดๆจริงๆในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ฉากตลกที่ฮาดี (ค่อนข้างเป็นฉากคลายเครียดจากฉากอื่นๆเพราะฉากอื่นๆค่อนข้างจะซีเรียสและกดดันคนดูมากๆ) ฉากกดดันที่กดดันสุดๆ ฉากต่อสู้ที่แม้จะน้อยก็จริง แต่ทำออกมาได้สุดยอด อลังการ และไม่ใช่แค่การเอาปืนมาวิ่งไล่ยิงกันโง่ๆเฉยๆ จริงๆอยากจะบอกด้วยซ้ำว่า ฉาก Action ทั้งเรื่องรวมกันไม่ถึง 2 นาทีของ Cloud Atlas ยังสุดยอด ยังเทพ กว่า หนัง Action แท้ๆส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ และฉาก Action ก็มีเหตุผล มีการกดดันในตัวมันเอง และยังฉลาดมากอีกด้วย  ฉากเศร้าก็เศร้าจนตัวผมเองนั่งนิ่งไปเลย โดยเฉพาะบทสรุปของเรื่องที่เรียกได้ว่า Fin และแฝงไปด้วยความหมายจริงๆ เพลง Cloud Atlas ก็ช่างไพเราะ ติดตราตรึงใจ 



แต่ถึงกระนั้นก็ตามบนโลกใบนี้ไม่มีภาพยนตร์ที่ Perfect หรอกครับ อย่าง Cloud Atlas นั้นจุดด้อยหลักๆเลยก็คือ ถ้าคุณไม่ชอบดูหนังที่มีสาระจำนวนมากๆเยอะๆ แล้วโหมกระหน่ำใส่คุณแล้วยังผนวกกับเวลาเกือบ 3 ชม. อีกคุณจะโทษว่าหนังห่วยแตกทันที เพราะมันจะน่าเบื่อเอามากๆ คุณคงหลับตั้งแต่ 10 นาทีแรกของหนัง  อีกจุดนึงเลยถึงแม้ Cloud atlas จะดูเป็นหนังเทพอลังการงานสร้าง แต่ถ้าหากเราเอาหลายๆจุดมาแยกดูทีละส่วนเป็นจุดๆ จุดๆไปแล้ว เราจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เทพเลย ซึ่งมุขส่วนใหญ่ก็ถูกนำเอามาใช้จากหนังเรื่องอื่นๆมาแล้ว กับการจี้จุดเรื่องชะตากรรมที่เชื่อมโยงกันนั้นยังทำออกมาได้ไม่เด่นชัดจนเห็นเป็นรูปธรรมมากพอ (จริงๆมันก็ชัดแหละแต่ ใน 3 ชม. และสเกลหนังใหญ่ขนาดนี้มันน่าจะได้อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้) 



Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทุกซอกทุกมุม การจิกกัด และการตั้งคำถามสุดเทพ นักแสดงที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและทุ่มเทเอามากๆ เรื่องราวที่ประจบรวมกันอย่างเหมาะเจาะ การออกแบบสถานที่ต่างๆที่แทบจะต่างกันสุดขั้วแต่ก็เอามารวมกันได้อย่างลงตัว ความรู้มากมายที่สอนให้แก่คนดู ถึงแม้เราจะบอกว่าในหลายๆจุดของภาพยนตร์นั้นเมื่อเอามาขยายดูเป็นจุดๆไปแล้วมันซ้ำซากจำเจ แต่เราต้องไม่ลืมว่า ในเวลา 3 ชม. นี้ Cloud Atlas ได้นำจุดใหม่ๆและจุดเก่าๆจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนมารวมกันเป็นปึกแผ่นได้อย่างสุดยอดดั่งเช่น มหาสมุทร ที่เกิดมาจากน้ำหลายๆหยดมารวมตัวกัน จึงไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่านี้คือภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยคุณภาพและให้ความรู้ ประโยชน์อย่างมหาศาลกับคนดูอย่างแท้จริง



The Selected Quote from " Cloud Atlas " (ขอเยอะหน่อยนะครับเรื่องนี้มันเยอะจริงๆ) :

Our lives are not our own. We are bound to others. Past and present. And by each crime; and every kindness we birth our future. " - Sonmi-451 

" Fear, belief, love phenomena that determined the course of our lives. These forces begin long before we are born and continue after we perish " - Issac 

" And if nobody believe you ? "
" Someone just does " - Sonmi-451

" You know you're going to be execute ? "
" Yes "
" And yet you still go with them , Why ? why just not run ? "
" If i run soon i will die with no one know my story and i cannot let that happen" - Sonmi-451

" You're slave and I'm a lawyer , How can you know we can be a friend ? "
" Just look in the eye , That's all you need "

" I Believe there's another world , a better world waiting for us and i'll waiting for you there "




FINAL SCORE : [ A + ] + [ LEGENDARY MOVIE BADGE ]  




(ENGLISH)




The Good : 
- A Lot of details 
- 6 Story combine with in one Movie
- Each Character has own personality and important
- Heart Crushing Emotional 
- Great Acting and lots of Actors and Actress doing their work so hard they acting like 5-6 Character for each actors / actress !!
- Very Interesting Story
- The most beautiful picture and cg i have ever seen
- Each Story has it's own unique and details and each City in each story have so much detail and huge 



The Bad :
- Only 1-2 Minutes Action Scene Combine 
- If you're someone that just don't like movies that have so much details you will boring at this movie 
- The Main stuff of this movie want to talk about is not huge enough or not clear enough



Suggestion : If you love the movie that have a deep and lots of details you HAVE TO see Cloud Atlas but if you're not then this movie will be a just so boring for you.




Final Score : [ A  ] + [ LEGENDARY MOVIE BADGE ]




Thankyou to : Cloud Atlas ( 2012 ) , IMDB for information

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

House at the End of the Street ( 2012 ) Movie Review

Movie Review




Movie Name : House at the End of the Street ( 2012 ) Relativity Media , Horror / Thriller
Director : Mark Tonderai ( Hush )
Stars : Jennifer Lawrence ( The Hunger Games ) , Max Thieriot ( Jumper , Chloe ) , Elisabeth Shue ( Hollow Man , Back to the future part II , III ) 
Rating : R ( Sexual Theme , Violence , Horror Theme )





(REVIEW)
(THAI)



House at the End of the Street ต้องขอบอกตามตรงเลยว่าก่อนดูไม่เคยได้ดูตัวอย่างเต็มๆเลย อาจจะเคยแต่แบบแวบๆไม่ได้ตั้งใจดู เพราะเอาจริงๆเห็นคะแนนจากเว็ปนอก IMDB ก็แทบจะขยาดแล้ว ( 5.7 ) แต่เผอิญ ตอนนี้ไม่มีหนังอะไรดูจริงๆ เพราะที่เหลือก็ดูไปหมดแล้ว = =  ก็เลยต้องไปดูเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายอยู่แล้ว จากคะแนนที่เห็น



House at the End of the Street ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยไว้ในเรื่องนี้ คนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็คงจะมีเพียง Jennifer Lawrence ที่เอาจริงๆคงเป็นเพียงแค่เหตุผลเดียวที่จะมีคนเสียเงินมาดูกันเพราะเธอคนนี้เพิ่งจะ Hot Hit มาจากภาพยนตร์ชื่อดัง The Hunger Games ที่ตอนนี้กำลังถ่ายทำภาค สองกันอยู่ และจะลงโรงปีหน้า 


โดยผู้กำกับนั้นได้ตัว Mark Tonderai มาเป็นผู้กำกับซึ่งบอกตามตรงไม่รู้ไปเอาใครมาจากไหน ไม่รู้จักแม้แต่น้อย ที่หนักกว่าคือใน IMDB ไม่มีแม้แต่รูปหน้าตาเขาด้วยซ้ำ !! ส่วนผลงานที่ผ่านมาก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีนักเลย ก็เลยไม่รู้ว่าสรุปประหยัดงบหรืออย่างไร



House at the End of the Street ก็ยังคงพล็อตเดิมๆซ้ำๆซากๆขายวนไปวนมาไม่รู้กี่พันล้านรอบเปลี่ยนชื่อตัวเอกหน่อย เปลี่ยนคนแสดงหน่อยก็ได้เรื่องใหม่แล้ว นั่นก็คือ ครอบครัวเล็กๆครอบครัวนึงที่มีแค่ แม่และลูกสาว ย้ายไปบ้านหลังหนึ่งที่บ้านที่อยู่ติดๆกันเพิ่งจะมีคดีฆาตกรรมกันไปหมาดๆ แล้วตัวละครก็ได้ประสบพบเจออะไรก็ว่ากันไป ไม่พูดก็คงจะนึกภาพกันออก


House at the End of the Street นั่นขอพูดถึงในด้านดีกันก่อน อย่างว่าๆส่วนตัวผมเข้าไปชมนี้ก็ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว เอาจริงๆตัวหนังก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย พอดูได้ เอาสนุกๆชั่ว วูปก็โอเคอยู่  แต่ถ้าหากดูเอาแบบต้อง "เลือก" ล่ะก็แนะนำให้ไปชมเรื่องอื่นดีกว่าครับ


คราวนี้ก็มาถึงเวลาโปรดของผม "สับ ให้ขาดเลย ฉับ ฉับ ฉับ" House at the End of the Street อย่างแรกเลยที่น่าเซ็งและสิ้นหวังที่สุดคือ "บท" ที่ไม่รู้มันจะก็อปกันไปอีกกี่ชาติ ไม่รู้ตกลง      ขี้เกียจ หรือ งบประมาณหมดไปกับการจ้าง Lawrence หรืออย่างไร ไม่ทราบ ก็เลยเอาเป็นว่า ไม่คิดใหม่ละกัน เอามันทั้งๆอย่างงั้นแหละ ยิ่งถ้าคุณดูหนังผีมาเยอะๆล่ะก็ และยิ่งแนวๆนี้ล่ะก็ คุณแทบจะชี้แต่ละฉากๆได้เลย เพราะตัวละครจะเดินตามสูตรเปะๆ แบบเป็นเด็กดีเหลือเกินไม่ออกนอกทางสักนิด (ออกบ้างเถอะนะ =  =) ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิงจะต้องนุ่มน้อยห่มน้อยเข้าไว้แล้วยังจะต้องมาเดินท่ามกลางความมืด , นางเอกที่สุดจะโง่จนไม่รู้จะโง่ยังไง , ตัวละครที่มีมาตอนแรกเอาพอดีๆไม่ต้องเยอะมากหรอกเปลือง แต่เอาเข้าจริงตูใช้อยู่ 2 ตัวนั้นแหละที่เหลือก็ปล่อยๆมันไปละกัน  นอกจากนั้นตัวบทเองก็ช่องโหว่เต็มไปหมด อธิบายไม่ชัดพอ ในบางจุดก็เหมือนกำลังจะพูดกับเราว่า "เอางี้นะ......... ลืมๆมันไปเถอะ" ซะอย่างนั้น บางจุดก็ปูเอาไว้ซะดิบดีแต่ก็กลับไม่เอามาใช้ยิ่งทำให้ซ้ำเติมบทของหนังว่าตกลงจะเอายังไงกันแน่หรือว่าจะเป็นการที่คิดไว้แล้วแต่หันมาดูอีกที อืมไม่เวิรค์แหะแต่ขี้เกียจลบอะเอาเป็นว่าช่างมันละกัน   แถมที่เจ็บแสบกว่านั้นคือ ยังจะมี "หน้า" มาจบแบบนี้อีก แหมหน้าด้านจังนะครับ ดูหนังหน้าตัวเองมั้งนะ



มาถึงในจุดฉากตกใจ ฉากลุ้นระทึกทั้งหลายแหล่กันบ้าง ในจุดนี้ก็ยังถือว่าไม่ได้แย่นัก ถึงแม้จะเดาได้มันทุกฉากก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไมก็ตกใจมันเกือบจะทุกฉากอีก =  = ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ยังไงก็ยังถือว่าสอบตกอยู่ดี การที่หนังผีแนวตกใจ แต่คนดูมันดันเดาได้หมดว่า จะโผล่มาตอนไหน ต่อไปจะเป็นยังไง แถมยังหน้าด้านใช้มุขเดิมๆจากเรื่องอื่นๆมาอีก เหอ... ต้องบอกว่า ไม่รู้จะขี้เกียจไปถึงไหน นี้ตกลงพี่ขายดาราอย่างเดียวอย่างอื่นเอาเป็นว่าใช้เงินน้อยที่สุดละกันใช่ไหมครับ 



มาถึงเรื่องนักแสดงกันบ้างเอาเป็นว่าข้าม Jennifer Lawrence กันไปเลย เหตุผลหรอ ก็เพราะคุณเสียเงิน ร้อยกว่าบาทมาดูเธอคนนี้นุ่งน้อยห่มน้อยไม่ใช่หรอ โอเค จบนะ โอเค นักแสดงที่เหลือของเรื่องนี้ บอกตามตรง แทบไม่รู้จัก ตกลงเอาใครมาเล่น แถมบางคนก็เล่นไม่ค่อยจะเหมาะกับบทเอาซะเลย บางคนมานั่งไล่ดูรายชื่อนั่ง งง "หาแกเล่นเรื่องนี้ด้วยหรอ ?" ไม่รู้ไปอยู่ซอกหลืบไหนมาไม่ทราบได้ ตัวร้ายแสดงบางจุดได้โอเค แต่ฉากที่จะต้องเลวไปเลย ก็ยังเล่นไม่ถึงอารมณ์เลย ยังเหมือนสลัดบทช่วงแรกออกไปไม่ได้ ที่หนักกว่าคือ ตัวละครบางตัวใส่เข้ามาเพื่อ ไม่ถึง 5 นาทีแล้วก็ไร้ประโยชน์ไปเลยทั้งเรื่อง โหะ.......


พูดถึงความขี้เกียจกันแล้วต้องมาสับกันต่อ การถ่ายทำบาง Shot เห็นได้ชัดเลยว่าอย่างขี้เกียจโดยการใช้ Long Shot บ้าง ตัดไปตัดมาแบบสุดแสนจะธรรมดาไม่รู้จะธรรมดาไปไหนบ้าง จนไม่รู้ว่าตกลงแม้แต่การถ่ายทำ จะครีเอทีฟบ้างไม่ได้หรอ โดยเฉพาะบาง Shot ที่ไม่เข้าใจจริงๆว่าจะทำแบบนั้นทำไม นั่งมองแล้วแบบ โอ้........เอาเข้าไป ขี้เกียจเข้าไป 



ส่วนฉากจบถ้าท่านใดคิดว่ามันจะแหวกสุดริดไปเลย ก็อย่างว่าอะครับผมขอใช้คำเดิมที่ใช้มาไม่รู้กี่หนแล้วในรีวิวนี้ "ขี้เกียจ" อีกเช่นเคย หากคุณเป็นคนที่ดูหนังผีแนวนี้บ่อยๆ ผมมั่นใจเลยว่าคุณจะเดาตอนจบได้ตั้งแต่ครึ่งเรื่อง  แถมตอนจบสุดแสนจะธรรมดา คือก็เข้าใจอะนะพยายามทำให้แหวกแล้ว แต่คนอื่นเขาแหวกกันไปเป็นล้านรอบจนมันไม่เรียกว่าแหวกแล้วอะ จริงๆคนเขียนบทก็น่าจะรู้ดี แต่คงขี้เกียจจะเขียนละเปลืองหมึก เอาเป็นว่าแบบนี้ละกันนะ รีบๆถ่ายๆ แล้วก็ส่งๆมันเข้าไปในโรงหนังเด๋วก็มีคนดูเองแหละ 



House at the End of the Street เป็นภาพยนตร์ที่เป็นส่วนผสมกันระหว่าง พลังดารา และความขี้เกียจ เข้าด้วยกัน ด้วยการที่เอาพลังดาราคนๆเดียวเพียวๆเลยขายซึ่งเอาจริงๆก็คงขายไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้น ยิ่งมาผนวกกับทุกๆอย่างที่ดูจะไม่อยากจะทำอะไรเลย Copy/Paste เอาอย่างเดียว ทำให้ House at the End of the Street เป็นภาพยนตร์ที่ไม่แตกต่างอะไรจาก 
หนังขยะที่มีกันเกลื่อนกลาดตลาดทั่วไปที่ควรๆจะเอาไปเททิ้งถังขยะพร้อมกับจุดไฟเผาซะ



The Selected Quote from " House At The End Of The Street " "  -  " 


Final Score : [ D + ]  + [ LAZY AS HELL BADGE ] 





(ENGLISH)


The Good :
- Bit of fun to watch


The Bad :
- Lazy copycat story
- Lazy copycat screenplay that we already saw it over milion times
- Sell Only One Star and other star what ? who are they ?
- Predictable Ending
- So Boring



Suggestion : Another garbage horror movie that copy the exactly same plot as the others bad horror movies just avoid this movie save your money.




Final Score : [ D+ ] + [ LAZY AS HELL BADGE ]






Thankyou to : House at the End of the Street ( 2012 ) , Relativity Media , IMDB for information

Argo ( 2012 ) Movie Review

Movie Review

ARGO ( 2012 ) ปฏิบัติการช่วยเหลือคนที่มันส์ ตื่นเต้น บีบหัวใจ ที่สุด !!






Movie Name : Argo ( 2012 ) Warner Bros. Picture , GK Films , Drama / History / Thriller
Director : Ben Affleck  ( Also play main character )
Stars : Ben Affleck ( The Town , Daredevil ) , Bryan Cranston ( Total Recall , Drive ) , Alan Arkin ( Get Smart , Edward Scissorhands ) , John Goodman ( The Artist , Monster  Inc.) , Victor Garber ( Titanic , Milk ) 
Rating : R  ( Some Violence , Language , Historic Conflict )






(REVIEW)
(THAI)



Argo  เป็นภาพยนตร์ ดราม่า / ทริลเลอร์ และประวัติศาสตร์ ที่แปลกอยู่บ้างเพราะดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของความเป็น ภาพยนตร์สารคดีอยู่เยอะเลยทีเดียวในเรื่อง



Argo นั้นเป็นฝีมือการกำกับของ Ben Affleck ที่ช่วงนี้รู้สึกจะหันมาเอาดีทั้งการกำกับและแสดงไปด้วยเลยจาก The Town ที่ผู้เขียนขอบอกตามตรงว่าดู The Town ไม่จบ เพราะแทบจะหลับตั้งแต่ 1 ชม.แรก เลยกลัวเหลือเกินว่าเรื่อง Argo จะเกิดเหตุการซ้ำรอยอีก


Argo นั้นว่าด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงๆย้อนไปในปี 1980 ที่มีเหตุการณ์ที่ Iran  เกิดความขัดแย้งกับ อเมริกา จึงได้บุกสถานทูต อเมริกาที่ Iran จนทำให้คนอเมริกันที่ทำงานในสถานทูตนั้นต้องพากันหลบหนีตายกันหมด ซึ่งก็มีรอดบ้างไม่รอดบ้าง จนทางอเมริกาได้ทราบข่าวมาว่ายังเหลือรอดอยู่อีก 6 คน แต่พวกเขาไม่สามารถจะออกนอกประเทศได้เลย เพียงแค่ออกจากบ้านก็อาจจะถูกแขวนคอประจานเอาง่ายๆแล้ว พวกเขาจึงส่งผู้ช่วยเหลือตัวประกันที่เก่งที่สุดไป ท่ามกลางแผนการที่ดูจะสิ้นหวัง ไม่ว่าจะแผนใดๆก็ดูจะเลวร้ายและไร้โอกาสไปเสียหมด ทางเดียวที่จะมีโอกาสรอดกลับมาเป็นๆนั้นก็มีเพียงแค่ "เลือกหนทางที่เลวร้ายน้อยที่สุด"


Argo อย่างที่บอกเอาไว้แล้วว่าเป็นภาพยนตร์ที่บอกตามตรง 1 ชม.แรก ของหนังนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นสารคดีได้เลย เพราะพูดถึงประวัติศาสตร์ และยังมีการพูดถึงฮอลลิวู้ดในช่วงนั้นๆอีกด้วย เรียกได้ว่าทางทีมงานทำการบ้านมาดีจริงๆ และถ้าใครที่ศึกษาทางด้านภาพยนตร์อยู่แล้วคงจะชอบไม่น้อย ถึงแม้จะอืดๆอยู่บ้างน่าเบื่ออยู่บ้าง แต่ที่ได้ไปนั้นความรู้เต็มๆครับ 


และอย่างที่บอกไปตอนแรกว่าสิ่งที่ผมกลัวที่สุดใน Argo ก็คือเหตุการณ์จะซ้ำรอยกับ The Town คือแทบจะหลับ.... เพราะฉะนั้นเรามาพูดถึงหลังจากผ่าน 1 ชม.แรกมาแล้วกัน 



ต้องขอบอกเลยว่าท่านใดที่หวังจะมาชมเรื่อง Argo เพื่อมาดูฉากยิงกันหูตับดับไหม้ วิ่งหนีกันกระจาย ขอแนะนำให้ท่านเลิกล้มความหวังซะ เพราะ Argo ไม่ได้ใช้วิธีแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ตัวหนังเองกลับสามารถตรึงคุณไว้อย่างกับถูกอะไรซักอย่างมัด คุณไม่มีทางที่จะดิ้นหลุด คุณไม่อยากจะแม้แต่กระพริบตาขณะดูด้วยซ้ำ !! เพราะฉาก Thriller ของ Argo นั้นทั้งสุดแสนฉลาด เข้าใจหาเหตุการณ์มาให้ตัวละครพบเจอ แถมเหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใดเลย ยิ่งในจุดไคลแมกซ์ ต้องขอบอกเลยว่าท่านใดที่ปวดห้องน้ำกรุณาเข้าก่อนชมเถอะครับ มิเช่นนั้น ท่านอาจจะนั่งลุ้นจนบิดไปบิดมาจนราดได้ เพราะ ทำให้เราลุ้นทุกๆวินาทีจริงๆ เข้าใจหาเหตุการณ์มาเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้น ที่คุณนั่งบิดแบบลุ้นแทบจะหัวใจจะหลุดออกจากร่างมา 2 ชม. นั้น แทบไม่มีการยิงหรือใช้กระสุนใดๆเลยทั้งเรื่อง !! เอาจริงๆไม่น่าจะเกิน 2 นัดด้วยซ้ำ !! O M   G ต้องขอบอกเลยว่าฉาก Thriller ในเรื่อง Argo นั้นไม่ได้ใช้ฉากไล่ล่าเดิมๆ เอาแต่ระเบิดนู้นระเบิดนี้ คิดอะไรไม่ออกก็ระเบิดมันซะ จงลืมเรื่องสิ้นคิดแบบนั้นไปซะให้หมดครับ เพราะ ARGO นั้นจะใช้มันสมอง ใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วซ้อนๆกันเป็นชั้นๆเหมือนหนังสือที่เริ่มจะเยอะขึ้น เยอะขึ้น เยอะขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นพอสูงได้พอประมาณแล้วพวกเขาก็จะพร้อมใจกันผลักหนังสือกองมหึมหาสูงลิบลิ่วเหล่านั้นถล่มใส่คุณทันที !! 


นอกจากนั้นนักแสดงแต่ละคนในเรื่องนี้ เรียกได้ว่า Casting มาได้เหมาะสุดๆ (โดยในตอนขึ้นเครดิตจะมีให้เทียบระหว่างหน้านักแสดงกับหน้าคนจริงๆบุคคลจริงๆที่ไปเจอเหตุการณ์นั้นในชีวิตจริงซึ่งมันเหมือนกันมาก มากจนแบบเห้ยคนเดียวกันปะเนี้ย ?) เนื่องจากตัวละครในเรื่อง Argo นั้นเยอะพอสมควรเลย ( 8-9 คนได้หลักๆ ) จึงทำให้ผมแอบเป็นห่วงว่า มันจะใช้แล้วทิ้งแบบหลายๆเรื่องไหม แต่ ไม่เลย !! ทุกตัวละคร มีนิสัยเป็นของตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความคิดที่แตกต่างกันทุกคน ไม่ซ้ำกันเลย แถมที่ยากกว่านั้นคือนักแสดงแต่ละคน เล่นดีมาก โดยเราต้องไม่ลืมว่าความยากของภาพยนตร์เรืองที่มันมากขนาดไหนสำหรับนักแสดงแต่ละคน เพราะแต่ละคนนั้นต้องเล่นกันถึง 3 รูปแบบหรือ 3 ตัวละครในนักแสดงคนเดียว !!  1.ต้องเล่นเป็นตัวละครตามในบท 2.ต้องเล่นเป็นตัวละครที่อยู่ในบทของในบทอีกที 3.ต้องเล่น   สตอเบอแหลในบางฉากซึ่งก็ทำให้เนียนๆอีกต่างหากเพราะว่าพวกเขากำลังอยู่ในบทของในบทอีกทีและพวกเขารู้ดีว่าหากทำไม่เนียนละก็ได้เตรียมไปเฝ้ายมบาลกันทั้งกลุ่มแน่นอน และตัวละครทุกตัว มีบทบาททั้งหมด ไม่มีแบบตัวใดตัวหนึ่งมีเยอะอีกตัวโผล่มา 1 นาทีหายไปเลยทั้งเรื่อง ไม่มีแน่นอนครับ แถมตัวละครบางตัวต้องบอกว่า คิดออกมาได้ซะใจผมมากมาย และส่วนตัวชอบมากๆด้วย นั้นก็คือบท Jack O'Donnell ที่แสดงโดย Bryan Cranston นั้นเอง แต่ละฉากที่แกพูดนี้แบบ แหมมันใช่เลย เท่โคตร



ยิ่งในเรื่องบทยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ทางทีมงานรวมถึงพี่ Ben ของเราทำงานมาหนักกันจริงๆ ทุกๆ Detail นั้นเรียกได้ว่าเน้นๆแทบจะไม่ตกหล่น แถมยังจะพาเราสนุกไปกับมันแบบไม่รุ้ตัวได้อีก แหมอะไรมันจะดีขนาดนั้น ดูหนังเรื่องเดียวได้ประวัติศาสตร์ด้วย !! แถมยังได้ความรู้เกี่ยวกับ  Hollywood อีก O M G !! โดยถ้าใครหาว่าผมโม้ผมอยากให้ลองนั่งดูจนจบนะครับ ต้องช่วง END CREDIT จะมีการนำภาพจากเหตุการณ์จริงๆในวันที่เกิดเหตุเอามาเทียบกับในภาพยนตร์ แบบชัดๆเอาให้มันรู้กันไปเลย พอเทียบแล้วคุณจะพบว่า "เห้ย เหมือนเวอร์ !!" เหมือนชนิดที่ว่า ทำไปได้ยังไงกัน ? 




Argo เป็นภาพยนตร์ที่ ลึกทั้งบท ลึกทั้งตัวละครทุกๆตัวที่มีมุมและบุคลิคที่เป็นของตัวเองมากและยังแบ่งบทบาทได้ดีเยี่ยมอีก นักแสดงก็เลือกมาเปะ ค้นคว้ามาก็หนักอย่างมาก การแสดงก็สุดยอด ฉากทริลเลอร์สุดเทพ เข้าใจคิด คาดไม่ถึง บีบคั้นหัวใจ ที่ไม่คิดว่าในช่วงเวลานี้
จะหาเจอได้อีก  ทั้งยังได้เรื่องราวสาระเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ America รวมถึง Hollywood ในช่วงนั้นๆไปอีกต่างหาก ไม่รู้จะคุ้มไปถึงไหน ไม่รู้จะสุดยอดไปถึงไหน จะหาข้อติก็สุดแสนจะลำบากจริงๆ จะมีก็คงเป็นเพียงว่า ช่วง 1 ชม. แรกนั้นอาจจะอืดไปหน่อย และ 1 ชม.หลัง เหมือนจะเร่งๆมากเกินไปนิด หากเพิ่มเวลาเป็นซัก 2.30 แล้วตัดช่วงแรกไปซัก 10 นาที มาเพิ่มช่วงหลัง ก็คงจะเรียกได้ว่า "หาที่ติไม่ได้" อย่างแน่นอน





The Best Quote of "Argo" :  " This is the best bad idea we have sir... " by " Jack O'Donnell "

Final Score :    [ A ]  +  [ MUST SEE BADGE ]






(ENGLISH)




The Good :
- Perfect Story
- Hard working researching
- Perfect casting choice
- Deep Character 
- Crushing Heart with Thrilling  Scene Without more than 2 bullets shot !
- Use Situation as a weapon 
- Perfect Acting
- Lots of Real History


The Bad :
- A little of boring at the first hour
- In the last 30 minutes of the movie is a bit rush


Suggestion : DO NOT HESITATE ANYMORE GO OUT THERE AND SEE "ARGO" RIGHT NOW YOU WILL NOT REGRET IT ! THIS IS THE PERFECT AWESOME MOVIE THAT JUST CAME WITH THE HARDWORKING !




Final Score : [ A ] + [ MUST SEE BADGE ]







Thankyou to : Argo ( 2012 ) , Warner Bros. , GK Films , IMDB for information

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Skyfall James Bond ( 2012 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review

Skyfall สายลับสองม้วน (ทำไมถึงสองม้วนมาดูกัน !!)





Movie Name : Skyfall (James Bond) (2012) , MGM , Sony Pictures , Action / Thriller
Director : Sam Mendes ( Jar Head , American Beauty )
Stars : Daniel Craig ( Casino Royale , Quantum of Solace , The Girl With The Tattoo Dragon) , Judi Dench ( Casino Royale , Quantum of Solace ) , Javier Bardem ( No Country for Oldmen , Biutiful ), Naomie Harris ( The Pirates of The Caribbean : Deadman Chest / At Worlds End ) , Ralph Fiennes ( Harry Potter Series )
Rating : PG 13+ ( Some Violence , Blood , Sexual Theme )






(REVIEW)
(THAI)



James Bond นั้นต้องขอบอกเลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีมายาวนานมาก และจำนวนภาคต่อก็มากเช่นกัน โดยต้องขอบอกก่อนเริ่มรีวิวเลยว่า รีวิวนี้ส่วนตัวคนเขียนผมเองนั้น ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ James Bond ซักเท่าไรนัก เพราะภาคที่เก่าที่สุดที่เคยดูก็คงจะเป็น Die Another Day นั้นเอง(อาจจะเคยดูเก่ากว่านั้นแต่จำไม่ได้ละครับ) เพราะฉะนั้น รีวิวนี้ ตัวผมขอจะวิจารณ์ในฐานะของผู้ที่มาชม ภาพยนตร์ยิ่งใหญ่อลังการแห่งปี เรื่องหนึ่งเท่านั้นครับ ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้รู้ทุกซอกทุกมุม เพราะฉะนั้น หากผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ




ภาพยนตร์ James Bond นั้นเป็นภาพยนตร์ที่รู้ๆกันดีว่ามีมายาวนานมากแล้วโดยใน Skyfall นี้นั้นก็ถือเป็นภาคที่ 23 แล้ว !! ซึ่งต้องขอบอกเป็นเกร็ดความรู้กันเลยว่า ภาพยนตร์ James Bond นั้นเรียกได้ว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะมากเลยทีเดียว อย่างเช่นตอนประมาณปีก่อน ก็มีข่าวออกมาว่า พวกเราจะไม่ได้ดู James Bond ภาคต่อไปแล้ว เหตุมาจากปัญหา หนี้สินของ MGM นั้นเอง ยังโชคดีที่มีมหาเศรษฐีมาซื้อหุ้นของ MGM เอาไว้ จึงทำให้ได้สร้าง James Bond กันต่อไปเนี้ยแหละครับ ( และแว่วๆมาว่า จะมีแน่ๆอีก 2 ภาคด้วย โดย Daniel Craig ก็ยังเป็นคนรับบท James Bond ต่อไป) 



Skyfall นั้นได้ตัวผู้กำกับมาเรียกได้ว่าไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน ซึ่งหลายๆคนก็น่าจะรู้จักเขาดีจากภาพยนตร์ผลงานระดับสุดยอดๆ อย่าง American Beauty ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ Sam Mendes นั้นเองซึ่งส่วนหนึ่งที่เขาได้รับหน้าที่เป็นผู้กำกับใน Skyfall นั้นนอกจากเรื่องของฝีมือแล้ว ก็คงเป็นเพราะเขานั้นเป็นคนอังกฤษครับ เพราะหลายๆคนน่าจะทราบกันดีว่า Skyfall หรือภาพยนตร์ James Bond นั้นเป็นของประเทศ อังกฤษ นะคร้าบบบบ (แต่ผมยังเชื่อว่ายังมีอีกหลายท่านยังไม่รู้นึกว่าเป็นของ Hollywood อเมริกา) 



โดยในภาคนี้นั้นคนที่รับบทเป็นสายลับ 007 นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น Daniel Craig เจ้าเก่าเรานี้เองซึ่งเขาคนนี้เอง ทำให้แฟนๆหลายๆคนค่อนข้างที่จะชอบ 007 ขึ้นมาอยู่มาก เพราะภาคที่เขาเล่นนั้น มักจะดูสมจริง สมจัง ไม่เน้นหล่อ เท่ เฟี้ยวระเบิด ตายไม่เป็น โดนต่อยไม่ได้ อะไรประมาณนั้น หรือจะเรียกได้ว่าดู มืดมน ดูหดหู่ และกดดัน สมกับความจริงอยู่มากครับ และที่ขาดไปไม่ได้สำหรับหนุ่มๆนั้นก็คือ เรื่องของ สาวๆใน  James Bond ซึ่งใครๆก็รู้ดีว่าภาพยนตร์เรื่อง     James Bond นั้นขาดไม่ได้อย่างแน่นอน (มีสาวๆไม่ซ้ำหน้าทุกภาคอะครับ !! แหมเป็นสายลับนี้ก็ดีเหมือนกันนะ !! ) และที่ตามมาก็คือฉาก 1 2 3 ก็ว่ากันไป ซึ่งสาวๆในภาค Skyfall นั้นมีสองคนก็คือ Naomie Harris ซึ่งเราจะคุ้นหน้าคุ้นตาเธอดีจาก ภาพยนตร์โจรสลัด The Pirates of the Caribbean นั้นเอง (เธอเล่นเป็น ยิปซีไงครับจำได้ไหมเอ่ย ?) อีกคนก็คือ Berenice Marlohe สาวสวยสุด Sexy ซึ่งเราอาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเธอคนนี้ซักเท่าไรนัก เพราะภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่เธอเล่นจะเป็นภาพยนตร์ ฝรั่งเศษจ้า (ก็เธอเป็นคนฝรั่งเศษนิเนอะ) 



Skyfall ในภาคนี้นั้นเล่าเรื่องราวขององค์กร MI6 ที่กำลังถูกโจมตี โดยศัตรูที่น่ากลัวและสุดแสนฉลาดอย่าง Silva ซึ่งเขาก็เคยเป็นสายลับคล้ายๆกับ 007 ของเรานี้แหละ นอกจากนั้น M ก็ยังถูกเขาหมายหัวไว้อีกด้วย แถมเขายังทิ้งข้อความเอาไว้ว่า "จงพิจารณาบาปของตัวเอง" นอกจากนั้น รายชื่อสายลับทั่วโลกก็ยังถูกขโมยและเอาไปเปิดเผยอีก !! เรื่องราวเริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่มีหรือ 007 ของเราจะยอม ? งานนี้ต้องตามล่าหัว Silva และสั่งสอนให้รู้ซะบ้างว่าสายลับที่แท้เขาต้องทำกันยังไง 




ขอย้อนกลับไปที่หัวข้อของรีวิวนี้อีกซักครั้งนะครับ ทำไมผมถึงเขียนว่า "สายลับสองม้วน" ? นั้น ก็เพราะ ใน Skyfall นั้นสำหรับตัวผมเหมือนมีภาพยนตร์ 2 เรื่องมารวมกันครับ เอาเป็นว่ามาพูดถึงม้วนแรกกันเลยดีกว่า ! 
ในม้วนแรกนั้นก็คือช่วงประมาณ 1 - 1.30 ชม. ของ  Skyfall ที่เรียกได้ว่า แค่ฉากเปิดเรื่องก็โคตาระอลังการครับ ถ้าหากคุณชอบความมันส์ล่ะก็ ไม่ผิดหวังแน่นอนสำหรับม้วนแรก เพราะใน Skyfall นั้นมีไปตั้งแต่ วิ่งไล่กันบนหลังคา ขับรถไล่กัน วิ่งไล่กันบนรถไฟ ไปจนถึงการแลกหมัดกันแบบแมนๆ ที่หลังคารถไฟ ซึ่งเป็นฉาก Action ที่ดูอลังการ มันส์ และไม่ได้เป็นฉาก Action ที่ออกแบบมาดูง่ายๆ เอาเร็วๆ ลงทุนน้อยๆเข้าว่า แต่กลับเต็มไปด้วยความเท่ ความโดดเด่นของ James Bond ในทุกๆก้าว ทุกๆหมัดที่ปล่อยออกไปจริงๆครับ นอกจากนั้นบางฉากยังมีการนำแสงและสี หรือจุดต่างๆที่คุณไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นมาเล่นอีกด้วย ซึ่งดูจะเป็นจุดที่น่าจะควบคุมได้ยากและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เช่น ฉากที่ 007 ของเรากำลังย่องเข้าไปจะสังหารตัวร้าย ท่ามกลางแสงสว่างมากมายที่สาดส่องเข้ามาจากตึกข้างๆได้อารมณ์ของ 007 อย่างมาก นอกจากนั้นเขายังใช้แสงนั้นให้เป็นประโยชน์ในการพรางตัว โดยที่เราต้องไม่ลืมว่า กระจกที่เขาเดินผ่านทุกบานนั้นเป็นกระจกใสทั้งหมด !! แต่ตัวหนังกลับเอาแสงมาเล่นกับฉากได้อย่างเยี่ยมยอด และคาดไม่ถึงจริงๆ ยังไม่นับฉาก CG เล่นอารมณ์คนดูและแอบๆสปอยล์ตัวหนังของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเด่นของ James Bond ในภาคที่ผ่านๆมาเป็นอย่างมาก และยิ่งผสมกับบทเพลงและเสียงร้องของ Adele ทำให้เรารู้สึกไหลลื่นไปกับฉากนั้นอย่างง่ายดาย และทำให้เราตระหนักว่า "ความยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว"  นอกจากนั้น สิ่งที่ทำได้ยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมายของผมจริงๆนั้นก็คือ Soundtrack ที่สุดยอด อลังการ ขนลุกเป็นที่สุด แถมยังใส่มาได้จังหวะเหมาะสุดๆ ทำให้ผมนั่งคิดเลยว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอ Soundtrack ภาพยนตร์เรื่องไหน อลังการเท่านี้มาก่อน ทุกครั้งที่คุณได้ยิน Soundtrack ของ Skyfall มันมักจะตามมาด้วยอาการ ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเสมอๆ นอกจากนั้นคุณยังจะได้เห็น ฉากสวยๆของตึกหลากหลายประเทศต่างๆ เช่น ฉากคล้ายๆกับเมืองจีนกลางน้ำที่ มาเก๊า ที่สวยสุดๆ  เรียกได้ว่าช่วงม้วนแรกของ Skyfall แทบจะไร้ที่ติ ฉาก Action สุดยอด อลังการ แสงสีอลังการ สถานที่เมืองต่างๆที่สวยงามสุดๆ เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น Soundtrack ที่สุดยอดจนทำให้คุณแทบอยากจะกระโจนเข้าไปลุยในหนังกับเขาบ้าง เรียกได้ว่า เท่ หล่อ อลังการ มันส์ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกินหาคำจะพูด ผมจึงได้คิดในชั่วขณะนั้นว่า "หรือนี้จะคือภาคที่ดีที่สุดของ James Bond จริงๆ ?"





แต่แล้ว......ผมก็คิดผิดถนัด.... เรามาพูดถึงในม้วนที่ สองกันครับ โดยม้วนที่สองของ Skyfall นั้นก็คือ ช่วงหลังจาก 1ชมครึ่ง (1.30 ชม.) ของ Skyfall เป็นต้นมาจนจบเรื่อง ตัวหนังเรียกได้ว่าเหมือนกำลังจะวิ่งมาได้สวยแล้วเชียว แต่กลับเหมือนเดินไปผิดทางซะอย่างนั้น จนทำให้รู้สึกว่าม้วนหลังของ Skyfall ต้องทำให้ผมต้องคิดว่า "นี้มันเรื่องเดียวกันจริงหรือ ?" " 1 ชม.แรกของ Skyfall มันคืออะไรกัน ?" หรืออะไรทำนองๆนี้ ทำไมผมถึงได้คิดแบบนี้กันหนอ ? มาดูกันครับ อย่างแรกเลยคือ ตัวร้ายสุดเทพที่ 1ชม.แรกของ Skyfall ว่าเทพนักเทพหนา เขาเจาะระบบ MI6 ได้เลยนะ เขาสุดยอดอย่างนู้นอย่างนี้นะ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ตัว Silva เองนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีรัศมีของนักฆ่าเลยแม้แต่น้อย รัศมีอำมหิตก็แทบจะไม่รู้สึกถึงเลยอีกเช่นกัน ยิ่งเรื่องความฉลาด นอกจากคำพูดที่ได้ยินใน 1ชมแรก กับที่ Silva โม้ ก็แทบจะไม่รู้สึกเลยว่า ตัวละครนี้ฉลาดตรงไหน ทั้งคำพูดที่ดูเหมือนจะดูดี แต่กลับเหมือนถูกวางเอาไว้แล้ว ไร้ซึ่งอำนาจ อย่างสิ้นเชิง ยิ่งช่วง 30นาทีสุดท้ายของ Skyfall เรียกได้ว่าเป็นจุดที่ตกต่ำที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้ ตัวละครอย่าง Silva ที่อุส่าห์ปูมาซะดิบดีว่าเขาฉลาดสุดยอด แฮค MI6 ได้ แฉข้อมูลสายลับได้ กลับกลายมาเป็นตัวร้ายสุดจะเข้าคอนเซปธรรมดา เน้นเอาพวกเข้าว่า ระดมกระสุน ระเบิดเข้าว่า เผากระท่อม ยิงกระจาย ไร้ซึ่งความฉลาด จนแทบอยากจะเกาหัวแล้วพูดว่า "ไอ้ 1 ชมแรกมันคืออะไร ?" ซึ่งเป็นการเหมือนเขียนตัวละครดีๆขึ้นมาหนึ่งตัวจากนั้นก็ขยำแล้วโยนทิ้งซะอย่างนั้น ยังไม่นับถึง Severine ที่โผล่มาช่วงแรกๆของหนังดูเหมือนจะเป็นตัวสำคัญ แต่หลังจากม้วนแรกจบปุบ ก็หมดความสำคัญทันทีและไม่โผล่มาอีกเลยทั้งเรื่อง สรุปตอนนี้เราได้ ตัวละครที่เนื้อดีแต่ถูกขยำทิ้งจำนวน 2 คน นอกจากนั้นจุดที่เรียกได้ว่า        ร้ายแรงที่สุดของ Skyfall ก็คือตัวบท ที่หลังจาก 1ชมครึ่ง ผ่านมานั้น เหมือนจะเดินหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่งไม่ทราบ ด้วยการที่ตัวหนังเน้นบทไปทาง ความอยู่รอดของตัวละครๆเพียงตัวเดียวมากเกินไป ซึ่งสำหรับบางคนอาจจะสำคัญ สำหรับบางคนอาจจะไม่สำคัญเลย นั้นก็คือ ตัวละคร M นั้นเอง ซึ่งส่วนตัวสำหรับผมนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรตัวละครนี้มากมายอยู่แล้ว  เมื่อใส่ใจตัวละครๆเดียวมากเกินไป ก็ทำให้บทอื่นๆที่ปูมาล้มระเนระนาดเต็มพื้นไปหมดทั้งๆที่มีโอกาส ที่จะสามารถทำได้ เช่น เรื่องราวของสายลับที่ถูกเปิดเผย / องค์กร MI6 ที่กำลังถูกคุกคาม แต่ในเมือหนังเดินมาถึงจุดนี้แล้ว โอเค M ก็ M แต่ถึงกระนั้น Skyfall ก็ยังคง Fall อีกครั้งด้วยการที่ไปเน้นจุดที่ไม่น่าสนใจเอาเสียเลยแทนซะอีก นั้นก็คือ เรื่องราวการแก้แค้นของ Silva ซึ่งตัวละคร Silva นั้นมันหมดความน่าสนใจไปตั้งแต่เริ่มเห็นครั้งแรกแล้ว คราวนี้พี่แกขอมาอาสาพา M ลงเหวไปด้วยอีกคนก็ไม่ปาน โดยถ้าหากตัวหนังเน้นไปทาง กดดัน หดหู่มากกว่านี้ เช่นเน้นเรื่องการที่ M โทษตัวเองแค่ไหนที่ทำให้ องค์กร MI6 ต้องย่ำแย่ขนาดนี้ และทำมันออกมาให้ดูน่าจดจำ และดูมืด ทมิฬ มากกว่านี้ จะยิ่งทำให้ตอนจบออกมาสุดยอด และยิ่งทำให้ภาคต่อไปยิ่งน่าดูเข้าไปอีก 100เท่า ซึ่งถ้าพูดถึงในตัวบทเองแล้วสามารถไปได้หลายทางเอามากๆแถมหลายๆทางก็ดูจะดีอยู่ไม่น้อย แต่กลับเลือกทางที่ง่ายๆ แบบจบในตอนซะอย่างนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างมาก , ฉาก Action 1ชม.ครึ่งแรกของ Skyfall หลังจากเริ่มม้วนสองก็กลายเป็น ฉาก Action เกลื่อนตลาดทันที จนสามารถที่จะเรียกได้ว่า "สิ้นคิด" ด้วยการที่เลิกให้ตัวละครใช้สมองคิด เอาปืนและกระสุนเข้าว่าแทน ยังไม่นับฉาก Climax ของเรื่องที่น่าผิดหวังเป็นที่สุดอีกต่างหาก 




Skyfall เป็นภาพยนตร์ที่เหมือนจะเอาคำสองคำของหนังมาเล่นกับตัวหนังหรืออย่างไรไม่ทราบ ช่วง 1ชมครึ่งแรก นั้นคือ "Sky" ความหวัง ความสดใส หรือว่านี้จะเป็นความหวังใหม่ของ 007 ? หลังจากพวกเขาหลอกเราเสร็จสรรพแล้ว ก็จัดการฟันหน้าเราอย่างรุนแรงด้วย "Fall" ที่คุณภาพต่ำจนน่าตกใจ จนพาเอางงว่า นี้มันเรื่องเดียวกันหรือ ? ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกับ "หนังคนละม้วน" แบบนี้ ยิ่งนึกถึงความเป็นไปได้หรือหนทางของหนังที่เป็นไปได้หลากหลายทางแต่กลับเลือกทางผิด ยิ่งทำให้รู้สึก ผิดหวังอย่างมาก




Skyfall เป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ 007 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงแรกแต่กลับทำลายความสำเร็จนั้นด้วยน้ำมือของตัวเองในช่วงหลังของหนัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างมาก ถึงแม้จะไม่ถึงกับจะเรียกได้ว่า "ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง" แต่แค่เพียงคุณภาพของหนังยังรักษาเอาไว้ไม่ได้จนจบ นี้ก็คือวิกฤต ของ James Bond แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับชื่อของภาคนี้ที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ ก็ยิ่งเปรียบเสมือนเป็นการสะท้อนเงาของตัวเองว่า 
"ภายนอกนั้นดูยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเราเอามือยืนเข้าไปจับกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า 
เสมือนดั่งก้อนเมฆ"






Final Score :  C+  









(ENGLISH)


The Good :
- First 1 hrs of Skyfall is amazing
- Satisfied , Awesome , Creative Action Scene 
- Greatest Soundtrack ever
- Interesting and Addictive Storyline



The Bad :
- After that 1 hrs of lights Skyfall turns into Skyfail
- Action Scene are now lazy , repetitive , boring
- Storyline are now useless , boring , uninteresting
- Worst Villain ever made in James Bond
- Destroy all the good stuff in first 1 hrs



Suggestion : Skyfall in first 1 hours it's a great movie all the james bond you want is here all the Action Stuff , James Bond Stuff are here but after 1 hours past Skyfall turns in to a boring and lazy movie that destroy their own storyline.





Final Score : C+








Thankyou to : Skyfall ( 2012 ) MGM , SONY PICTURES , IMDB for information