วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Finding Dory ( 2016 ) บทวิเคราะห์ บทความ

Finding Dory ถ่ายทอดอารมณ์ความคำนึงคิดถึงและความเจ็บปวดของการจากบ้านเข้ามาเหยียบในต่างแดนได้ค่อนข้างชัดเจน ผ่านตัวละครหลักเจ้าปลาขี้ลืม ดอรี่

ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เชื่อว่าหลายต่อหลายคนก็อาจเคยได้เคยสัมผัสถึงอารมณ์เหล่านี้ด้วยตัวท่านเอง เนื่องจากเป็นสิ่งที่สังคมหลายส่วนบนโลกก็ต้องประสบพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นการจากบ้านเข้ามาทำงานหรือศึกษาต่อในเมือง หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด พลัดหลงอย่างไม่ตั้งใจแบบเจ้าปลาขี้ลืม ดอรี่ี่


ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของคำว่า 'บ้านและครอบครัว' ซึ่งเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด โดยเฉพาะท่ามกลางการสะท้อนสภาพสังคมที่เร่งรีบ ตัวใครตัวมันในขณะนี้ ชนิดที่แม้แต่เด็กน้อยหลงทางคนหนึ่งก็ยังไม่มีใครแยแส ไม่ต่างไปจากเหล่าปลาทั้งหลายที่ไม่ค่อยจะอยากยื่นมือมาช่วยเหลือปลาน้อยดอรี่ในช่วงเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ที่ย่ำแย่กว่าคือ แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้ปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือเสียทีเดียว แต่การช่วยเหลือส่วนใหญ่ของพวกเขากลับมาในรูปแบบของ 'ขอไปที' หรือ 'ทำแบบเสียมิได้'
ในอีกมิติหนึ่งเจ้าปลาขี้ลืมดอรี่ เจ้าฉลามวาฬสายตาสั้นอย่างเดสทินี่ วาฬเบลูก้าจมูกไม่ค่อยดีอย่างเบลลีย์ และปลาหมึกที่มีเพียงเจ็ดหนวดอย่างแฮงค์ ตัวละครเหล่านี้เป็นหลักฐานชั้นเลิศถึงความพยายามในการให้กำลังใจแก่บุคคลที่อาจเกิดมามีข้อบกพร่องไม่เพรียบพร้อมเหมือนคนอื่นๆหรือมีอดีตอันแสนเลวร้าย ให้สามารถลุกยืนขึ้นมาเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดี

พร้อมแสดงให้เห็นว่ากระทั่งพวกเขาเหล่านี้ ก็มีจิตใจและมีความเป็นมนุษย์(หรือมีความเป็นปลา) ต้องการความรัก การเอาใจใส่ไม่ต่างไปจากบุคคลธรรมดาทั่วไป แม้สังคมจะตราหน้าพวกเขาว่าเป็น 'คนป่วย' ต้องถูกรักษาหรือจับเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลเสมือนเหล่าปลาทั้งหลายซึ่งถูกส่งเข้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในภาพยนตร์นั้นเอง

Finding Dory (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

Finding Dory (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
เป็นที่น่าแปลกใจว่าตัวภาพยนตร์ซึ่งห่างหายไปนานถึง 13 ปี กลับมาครั้งนี้ในนามของ Finding Dory ดันไม่ค่อยมีอะไรที่สดหรือแปลกใหม่เท่าไรนัก องค์ประกอบแทบทุกส่วนของ Finding Dory ม่ว่าจะเป็นในด้านภาพซีจี การดำเนินเรื่อง ไปจนถึงประเด็นที่สอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์ ต่างให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดู Finding Nemo อีกรอบหนึ่ง
ซึ่งในด้านหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแย่เท่าไรนักด้วยความที่ Finding Nemo ก็เป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างดีงามอยู่แล้ว แต่อีกด้านหนึ่งก็พาเราอดคิดไม่ได้ว่าเวลา 13 ปีที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ช่วยให้มีอะไรที่สดใหม่ในภาคต่อนี้ นอกจากเหล่าตัวละครหน้าใหม่เลยหรือ?

อาจเรียกได้ว่าเป็นความซวยตั้งต้นของ Finding Dory ที่ต้องวิ่งไล่ตามความสำเร็จและความยอดเยี่ยมของ Finding Neemo ให้ได้ และในด้านของเรื่องราวซึ่งต่อจากภาคแรกแทบจะในทันที ในขณะที่ในโลกแห่งความเป็นจริงเวลาได้ผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงมากนัก
ในด้านของการเล่าเรื่องและกำกับ เห็นได้ค่อนข้างชัดว่าทั้งสองผู้กำกับพยายามใช้จุดเด่นของตัวละครหลักอย่างดอรี่ ซึ่งก็คือความขี้ลืมมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินเรื่องค่อนข้างมาก ปัญหาคือเทคนิคระลึกชาติหรือ Flashback เหล่านี้ มันถูกนำมาใช้บ่อยครั้งเกินไป จนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแค่กิมมิคๆหนึ่งในการดันเรื่องให้เดินหน้า มากกว่าที่จะเป็นเทคนิคที่โดดเด่นและน่าจดจำจริงๆ

แม้ต้นเรื่องของ Finding Dory จะค่อนข้างชวนหลับ โชคยังดีที่เหล่าตัวละครหน้าใหม่ทั้งหลายกระโดดเข้ามาช่วยได้ทัน ถึงแม้จะไม่ได้มีเรื่องราวที่แปลกอะไรมากมาย แต่ตัวละครเหล่านี้ก็มีเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวมากพอ ที่จะกลายเป็นจุดสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าฉลามวาฬเดสทินี่ วาฬเบลูก้าเบลลีย์หรือเจ้าปลาหมึกแฮงค์
เครดิตส่วนใหญ่ก็ต้องขอยกให้กับแฮงค์ค่อนข้างมาก การออกแบบตัวละคร ทัศนคติ และความสามารถของเขา เป็นเหตุที่ทำให้หลายส่วนของ Finding Dory ดำเนินเรื่องไปได้อย่างราบรื่นและสนุก กระทั่งให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูภาพยนตร์สายลับเลยทีเดียว เอาเข้าจริงแล้วในหลายต่อหลายครั้งเขากลับเป็นตัวละครที่น่าติดตามยิ่งกว่าเจ้าปลาขี้ลืมดอรี่เสียอีก
Final Score : [ 6.5 ]

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Me Before You (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

Me Before You (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
อาจเรียกได้ว่า นี้เป็นภาพยนตร์รัก โรแมนติกที่เป็นการโคจรมาเจอกันของสองดารานักแสดงที่กำลังฮ็อตฮิตมากในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นแซม คลาฟฟิน ที่เคยโชว์หุ่นซิ๊กแพคให้สาวๆได้กลืนน้ำลายกันใน The Hunger Games ภาค Catching Fire หรือ Mockingjay มาก่อน และเอมิเลีย คลาร์ก สาวสวยน่ารัก จาก Game of Thrones หรือ Terminator: Genisys

ไม่แน่ใจว่านวนิยายต้นฉบับเป็นเช่นไรเนื่องจากไม่เคยได้มีโอกาสอ่าน แต่ในด้านของภาพยนตร์แล้ว Me Before You ดูจะเป็นผลงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ต่างๆอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะในด้านของจินตนาการ 'ฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้ง' ของมันชนิดที่แทบจะหลุดออกมาจากมิวสิควิดีโอ เรียกได้ว่าถ้าหากเราตัดสินภาพยนตร์จากเพียงแค่ด้านของ Emotional (อารมณ์) Me Before You คงจะได้คะแนนไปเกือบเต็ม
ซึ่งอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมหลากหลายเหล่านี้ เป็นผลมาจากโปรดักชั่นที่สวยงาม และการใช้โทนสีที่ฉูดฉาดชนิดที่นึกว่าอยู่ในดิสนีย์แลนด์ ผสมกับการแสดงของ เอมิเลีย คลาร์ก ที่แสดงได้อย่างเวอร์วังเหนือจริง แทบจะหลุดโลกไปเลยทีเดียว ในด้านนึงก็เป็นการแสดงที่น่ารักดี แต่บางครั้งก็ดูจะมากไปหน่อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเพลิดเลินอยู่กับสีสันอันแสบตา และการแสดงที่ชวนขำของ เอมิเลีย คลาร์ก ได้สักพัก เราก็เริ่มที่จะรู้ตัวว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป นำมาสู่คือปัญหาของภาพยนตร์เรื่องนี้

ถ้าหากเราตัดด้านอารมณ์ออกไป Me Before You ก็ดูจะกลายเป็นผลงานที่ไม่มีอะไรที่โดดเด่นเหลืออยู่อีก ไม่ว่าจะเป็นด้านเนื้อหา เทคนิค การแสดง การกำกับ หรือกระทั่งประเด็นที่ตัวภาพยนตร์พยายามยัดเข้าปากเราอยู่ตลอดเวลา ต่างก็เป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดหรือพูดถึงมาก่อน ซ้ำร้ายภาพยนตร์ประเภทเดียวกันเรื่องอื่น ก็ดูจะสามารถก้าวเหนือไปได้มากกว่าในหลายๆจุด เฉกเช่น The Fault in Our Stars (2014) หรือ Paper Towns (2015) ซึ่งต่างก็มีพลังของคนรุ่นใหม่แอบแฝงเข้าไป
หากจะนึกถึงคู่เปรียบเทียบที่ใกล้เคียงมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น About Time (2013) ที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้างในด้านอารมณ์ แต่ Me Before You ก็ดูจะยังคงพ่ายแพ้ในด้านเนื้อหาที่ About Time กล้าที่จะนำเสนอสิ่งเหนือธรรมชาติและถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครอื่น นอกเหนือจากสองพระ-นางได้ดีมีชั้นเชิงกว่ามากอยู่ดี
เมื่อคำนึงถึงเหตุผลข้างต้นทั้งหลายแล้ว Me Before You ก็ดูจะเป็นผลงานที่มีความล้าหลัง ผิดที่ผิดเวลาอย่างน่ากลัว ตั้งแต่เนื้อหา การนำเสนอ หรือประเด็นที่สอดแทรกในภาพยนตร์ แม้เราจะพยายามมองข้ามจุดนี้ไป ตัวภาพยนตร์ก็ดูจะยังคงประสบปัญหาในการนำเสนอสิ่งบางสิ่งที่จะสามารถดึงตัวมันขึ้นมาจากคำว่า 'mediocre' ไปได้
คงจะมีเพียงวิธีเดียวที่จะเปลี่ยน Me Before You ให้กลายเป็นภาพยนตร์ระดับยอดเยี่ยมได้ ก็คือการมองความเพ้อฝันและเพ้อเจ้อของมันด้วยมุมมองแบบสุดโต่ง เปลี่ยนให้มันกลายเป็นโลก Surreal อันแสนหรรษาเสมือนหลุดมาจากจินตนาการอันสุดฟินของตัวละครสาวชนชั้นกลาง
Final Score: [ 5 ]