ไม่น่าเชื่อเลยว่าผลงานการกำกับของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อมดฮอลลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก และยังเป็นผลงานที่ร่วมมือกับสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่างดิสนีย์เป็นครั้งแรก จะเจ๊งในด้านรายได้จากทั่วโลกอย่างเป็นเอกฉันท์เช่นนี้ ด้วยตัวเลขทั่วโลกในเวลานี้รวมกันได้เพียง 67 ล้านเหรียญสหรัฐจากทุนสร้างสูงถึง 140 ล้านเหรียญ
ซึ่งเหตุผลทางด้านรายได้นี้เองอาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราอยากลองพิสูจน์ผลงานชิ้นนี้ดู ว่าเพราะเหตุใดผลลัพธ์ของวัตถุดิบที่ดีจึงออกมาเป็นเช่นนี้
เมื่อมอง The BFG อย่างผิวเผิน มันดูจะเป็นผลงานแสนธรรมดาของสปีลเบิร์กซึ่งนำเสนอภาพและอารมณ์การผจญภัยของตัวละครหลักไม่แตกต่างจาก Indiana Jones หรือ The Adventures of Tintin แต่มีบางสิ่งใน The Big Friendly Giant ที่ทำให้ผลงานนี้แตกต่างไปจากผลงานเรื่องอื่นของเขาพอสมควร
สิ่งแรกคือ 'ดิสนีย์' ซึ่งเข้ามาบทบาทสำคัญในการแต่งเติมโปรดักชั่นและซีจีต่างๆให้ยอดเยี่ยม งดงาม อลังการ สมกับเป็นภาพยนตร์ระดับทุนสร้าง 140 ล้านเหรียญสหรัฐได้เป็นอย่างดี
เมื่อนำโปรดักชั่นที่อลังการไปรวมเข้ากับการกำกับที่เต็มไปด้วยลูกเล่น ลูกไม้ และนิสัยขี้เล่นมากมายของสปีลเบิร์ก ในการที่จะทำให้ผู้ชมยิ้มได้ตลอดเวลา ก็ทำให้เรื่องราวการผจญภัยของเด็กหญิงโซฟีในดินแดนแห่งยักษ์นี้ ยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก
เคมีที่เข้ากันได้อย่างลงตัว และตัวละครที่น่าสนใจของมาร์ค ไรแรนซ์ ผู้รับบทเป็นยักษ์ใจดี กับรูบี้ บาร์นฮิลล์ ผู้รับบทเป็นเด็กหญิงโซฟี ก็ยิ่งส่งเสริมทำให้การดำเนินเรื่องมีความน่าติดตาม นำมาสู่บทสรุปที่น่าประทับใจทำให้หัวใจเราพองโตขึ้นมาได้เล็กน้อยในท้ายที่สุด
สำหรับสาเหตุที่ทำไม The BFG ถึงได้ประสบความล้มเหลวด้านรายได้ทั่วโลกอย่างเป็นเอกฉันท์ เชื่อว่าน่าจะมีหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ตารางฉายที่ไปชน Finding Dory ซึ่งกำลังมาแรงอย่างมาก(แม้จะเจอกันในสัปดาห์ที่สามของ Finding Dory ก็ตาม) แถมก็ยังมีแอนิเมชั่น The Secret Life of Pets ตามมาประกบหลังอีกต่างหาก ทำให้ผลงานที่รูปร่างภายนอกดูแสนจะธรรมดาอย่าง The BFG ถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย
อีกหนึ่งเหตุผลที่น่าสนใจก็คือตารางการปะทะกันของภาพยนตร์ทุนสูงอย่าง The BFG, The Legend of Tarzan และภาพยนตร์ทุนต่ำอย่าง The Shallows และ The Purge: Election Year กลับกลายเป็นว่าภาพยนตร์ทุนต่ำเปิดตัวแรงชนิดที่ได้กำไรไปตั้งแต่สัปดาห์แรก ในขณะที่ภาพยนตร์ทุนสูงยังต้องนั่งลุ้นตัวโก่งกันหลายสัปดาห์ติดต่อกัน เช่นเดียวกันกับ The Legend of Tarzan ที่ผ่านทุนสร้างไปได้อย่างฉิวเฉียดในขณะนี้ด้วยตัวเลข 201 ล้านเหรียญสหรัฐจากทุนสร้าง 180 ล้านเหรียญ (รวมค่าโฆษณาและจิปาทะแล้วดีไม่ดีอาจยังติดลบ)
กระแสภาพยนตร์ทุนต่ำที่กำลังมาแรงในขณะนี้ อาจแสดงให้เห็นถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นผู้ชมส่วนใหญ่ในขณะนี้ให้ความสำคัญกับทุนสร้างลดลงให้ความสำคัญกับเนื้อหาและความน่าสนใจของภาพยนตร์มากขึ้น หรืออาจมีความเป็นไปได้ว่ากระแสภาพยนตร์ประเภทระทึกขวัญ เขย่าขวัญ กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้เพื่อคลายความเครียด ความกดดัน ท่ามกลางเหตุการณ์การก่อการร้ายหรือเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นแทบจะทุกอาทิตย์บนโลกของเราขณะนี้ ซึ่งแน่นอนว่านี้ยังคงเป็นเพียงการสันนิษฐานที่จำเป็นจะต้องติดตามและสังเกตุอย่างใกล้ชิดกันต่อไป
แต่สิ่งที่แน่นอนสำหรับในตอนนี้คือผลงานที่ค่อนข้างน่าประทับใจอย่าง The BFG ต้องตกเป็นลูกหลงของกระแสภาพยนตร์และกระแสโลกที่แสนโหดร้ายและเดาได้ยากไปอย่างไม่ต้องสงสัย
Final Score: [ 7.5 ]
แท้ที่จริงแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดใน The BFG สุดท้ายก็เป็นความฝันหรือภาพที่สะท้อนสภาพจิตใจตัวละครหลักอย่างโซฟี
มันได้สะท้อนถึงความเหงา ความฝันสูงสุดของเธอในการที่ได้มีเพื่อน หลุดออกไปจากบ้านเด็กกำพร้า และมีบ้านมีครอบครัวที่รักเป็นของเธอเอง ด้วยมุมมองที่เป็นเด็กน้อยช่างเพ้อฝันและช่างจินตนาการสมกับเป็นความฝันของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆได้อย่างยอดเยี่ยม
แม้อารมณ์ใน The BFG ที่เราเห็นบนจอภาพยนตร์กับตามันจะเต็มไปด้วยสีสันมากมายเท่าไรก็ตาม สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มเหล่านั้น คือความเจ็บปวดของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาโดยปราศจากพ่อแม่หรือเพื่อนนั้นเอง