วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Jason Bourne (2016)

หายหน้าหายตาไปถึง 9 ปี (ถ้าหากไม่นับ The Bourne Legacy) สำหรับแฟรนไชส์สุดระทึกที่โด่งดังอย่าง Bourne หลังจากแปกไปไม่เป็นท่าในภาค The Bourne Legacy ในปี 2012 ซึ่งได้ เจเรมี่ เรนเนอร์มารับบทนำ



การกลับมาของแฟรนไชส์ Bourne ในครั้งนี้ เชื่อว่าค่อนข้างจะตั้งความคาดหวังให้แฟนๆหลายคนอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะนอกจากดารานำอย่าง แม็ตต์ เดม่อน จะกลับมารับบทเป็น เจสัน บอร์น เหมือนเดิมแล้ว ตัวผู้กำกับThe Bourne Supremacy (2004) และ The Bourne Ultimatum (2004) พอล กรีนกราส ก็กลับมารับตำแหน่งเดิมเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นของ Jason Bourne ในภาคนี้ กลับเป็นมาจากการเปลี่ยนตัวผู้เขียนบทยกแผง ซึ่งทำให้เห็นถึงจุดที่ขาดหายไปในภาคนี้ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความลุ่มลึกของเรื่องราว ความลึกลับน่าค้นหา ไปจนถึงกระทั่งปมขัดแย้งต่างๆในภาคนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นข้ออ้างในการผลักดันแฟรนไชส์ให้เดินหน้าต่อไปได้ มากกว่าเป็นสิ่งที่ถูกขีดเขียนและวางแผนมาเป็นอย่างดี



ในมิติหนึ่งอาจเป็นชะตากรรมที่ตัวภาพยนตร์คงจะต้องทำใจยอมรับ ในเมื่อส่วนสำคัญของภาพยนตร์เลือกที่จะพูดถึงประเด็นที่สังคมหันมาให้ความสนใจได้ซักระยะหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะหลังจากผลงานภาพยนตร์สารคดีอย่าง Citizen Four (2014) และการเปิดโปงสุดอื้อฉาวของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เด็น ซึ่งจะมีภาพยนตร์ชีวประวัติในปลายปีนี้

โชคยังดีที่สององค์ประกอบเดิมที่แฟนๆตั้งความหวังอย่าง แม็ตต์ เดม่อน และพอล กรีนกราส ยังคงไม่ผิดหวัง แม้ตัวพี่แม็ตต์ จะแลดูเริ่มหมดแรงจากอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังคงรับบทนำได้อย่างดีเยี่ยม น่าสนใจ คอยลุ้นเอาใจช่วย



ในขณะที่พอล กรีนกราส ยังคงเล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหล น่าติดตาม ควบคุมจังหวะของภาพยนตร์ในแต่ละช่วงได้ดีโดยเฉพาะในฉากแอ็คชั่นทั้งหลาย แม้จะนำเสนอเนื้อหาออกมาอย่างโต่งๆแลดูขาดชั้นเชิงไปหน่อยก็ตาม

ท้ายที่สุดแล้ว Jason Bourne ก็เป็นผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านฉลุยในด้านของความบันเทิง แต่ในด้านของคุณภาพโดยรวมยังคงครึ่งๆกลางๆ จากบาดแผลที่ใหญ่หลวงอย่างบทภาพยนตร์ ซึ่งเอาตัวรอดไปได้ด้วยการกำกับของ พอล กรีนกราส อย่างหวุดหวิด เชื่อว่าแฟนๆที่ประทับใจ Bourne สามภาคแรกอาจกลับบ้านไปอย่างผิดหวังกันบ้างนิดหน่อย



Final Result: [ 7 / 10 ]


ตัวละครอย่าง เจสัน บอร์น ก็เปรียบเสมือนตัวแทนของมนุษย์พวกเราทุกคน ที่กำลังถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่ไม่รู้ตัว จนนำไปสู่การแทบจะปราศจากซึ่งเสรีภาพอย่างสมบูรณ์แบบในภาคนี้

อำนาจมืดที่คอยสอดส่องอยู่เบื้องหลังเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงแค่ในรูปแบบของหัวเก่า แต่ปัจจุบันยังมาในรูปแบบใหม่ที่แยบยลกว่าเดิม

ซึ่งตัวภาพยนตร์ไม่ได้เพียงแค่ให้ทางเลือกกับเราในการยอมรับชะตากรรมหรือลุกขึ้นมาต่อกรกับอำนาจมืด

แต่ยังเชื่อว่าสังคมในปัจจุบัน ทราบถึงการมีตัวตนของอำนาจเหล่านี้ดี และได้สะท้อนคำเตือนไปสู่อำนาจมืดเหล่านั้นว่า "พวกเราไม่ได้ถูกปั่นหัวง่ายอย่างที่พวกคุณคิด"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น