วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Star Trek : Into Darkness ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
ท่ามกลางความมืดมิด จะมีความยิ่งใหญ่รอคอยอยู่ภายหน้า





Movie Name : Star Trek : Into Darkness , Action / Sci-Fi / Adventure
Director : J.J. Abrams ( Star Trek , Super 8 )
Stars : Chris Pine ( Star Trek ) , Benedict Cumberbatch ( Sherlock TV.Series , War Horse ) , Zachary Quinto ( Margin Call , Star Trek ) , Zoe Saldana ( Star Trek ,  Avatar ) , Karl Urban ( Dredd , Star Trek ) , Simon Pegg ( Mission Impossible : Ghost Protocol , Star Trek )
Rating : PG -13






REVIEW THAI



                                                                                    Star Trek  เป็นชื่่ออีกชื่อนึงเลยถ้าหากเราๆจะพูดถึง ภาพยนตร์ Sc-Fi หรือ TV.Series Sci-Fi ที่เยี่ยมยอดตลอดกาลอีกชื่อนึงเลยทีเดียว โดย Star Trek นั้นถูกกลับมาทำรีเมคในปี 2009 โดยฝีมือของ J.J. Abrams ที่ตอนนี้เขากลายเป็น ผู้กำกับระดับโลกและอันดับต้นๆไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากจะกำกับ Into Darkness ในภาคนี้ซึ่งเป็นภาคต่อจากในปี 2009 เขายังถูกทาบทาม ให้กำกับภาพยนตร์ Sc-Fi ห้วงอวกาศที่สุดยอดอีกเรื่องนึงก็คือ Star Wars ภาคต่อไปนั้นเอง ซึ่งหลายๆคนอาจจะเป็นห่วงบ้างว่าเอ๋ โดดมาขนาดนี้จะไหวหรอ ?? ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราต้องมาดูกัน



Star Trek : Into Darkness ต้องขอเริ่มที่จุดแย่ก่อน อย่างแรกเลยก็คือ ถ้าคุณหวังว่าจะมาดู Star Trek : Into Darkness เพื่อความมันส์ แหมมันจะต้องมีฉากระเบิดตูมตาม ยิงกันหูดับตับไหม้ ระเบิดกาแลกซี่ จริงๆมันก็มีนะครับ แต่จุดเด่นของ Star Trek สำหรับผมแล้ว อย่างน้อยก็ภาคนี้ ไม่ได้อยู่ในตรงนั้นเลย ซึ่ง ฉาก Action ถ้าคุณหวังอะไรแบบนั้นละก็ คุณอาจจะหามันไม่เจอเลยก็เป็นได้ และถ้าคุณไม่ได้สนใจใน Content ของตัวหนังเลยแม้แต่น้อย รับรองเข้าไปหลับอย่างเดียวแน่นอน

และแฟนๆ Star Trek หลายๆคนอาจจะผิดหวัง เพราะ Star Trek ภาคนี้นั้นไม่ค่อยจะมีความเป็น Adventure ซักเท่าไรนัก ถ้าคุณหวังว่าภาคนี้จะไปตูมตามกันดาวอื่นทั้งเรื่อง ก็เลิกหวังได้เลยครับ ภาคนี้โฟกัสไปที่ตัวละคร ความสัมพันธ์ ของตัวละครต่างๆ เสียมากกว่า


ครับ...บอกตามตรงผมพยายามมานั่งนึกข้อเสียของ Star Trek : Into Darkness นั่งคิดได้เกือบ ชม. แต่....ผมก็นึกไม่ออก มันมีแค่นี้จริงๆสำหรับผมแล้ว ผมไม่สามารถที่จะนึกอะไรออกได้อีกแล้ว คราวนี้มาถึงตาขอชมบ้าง




จุดแรกเลยก็คือ ตัวละคร ซึ่งส่วนตัวแล้วผมว่ามันคือจุดเด่นที่แท้จริงและจุดที่แข็งที่สุด(ถ้าทำออกมาดีอะนะ) ของ Star Trek ซึ่ง....ถ้าทำออกมาห่วย...คงน่าเศร้าใจ แต่ไม่ใช่เลยสำหรับ Into Darkness ทุกๆตัวละคร(หลัก)มีหน้าที่เป็นของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่กลับกันพวกเขาเป็นเพียงมากกว่าเพื่อนร่วมงานไปแล้ว พวกเขาคือ "ครอบครัว" พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยครอบครัวของเขา และจุดที่ผมชอบมากๆในภาคนี้เลยคือ ตัวละครเอกอย่าง เคิรก์ ที่เป็นกัปตัน ตัวเขานั้นจะต้องเผชิญกับอะไรที่ท้าทายมากๆในภาคนี้ และ ตัวละครของเขามันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน เขาคือกัปตันแห่งยาน เอนเตอร์ไพรซ์ ถ้าหากเขาเป็นแค่คนอื่นๆเขาอาจจะไม่คิดอะไรมากมายนัก แต่เขาคือกัปตัน เขาจะต้องรับผิดชอบในทุกๆชีวิต ทุกๆการกระทำตัดสินใจของตัวเขาเอง แม้กระทั่งนั้นจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และมันอาจจะทำให้เขาถูกฆ่า หรือแย่กว่านั้น เพื่อนๆและครอบครัวของเขาถูกฆ่า เขาจึงยอมทำทุกวิถีทาง และอีกจุดหนึ่งเลยที่ทำให้ตัวละครของ เคิรก์ยิ่งสุดยอดเข้าไปอีกเลยก็คือ ตัวละครตัวร้ายของเรื่องซึ่งผมจะไม่บอกว่าเป็นใคร(เพราะได้ยินมาว่าถ้าบอกชื่อนี้คือแฟนๆ สตาร์เทรคจะรู้ทันทีว่าใครและเดาเรื่องออก) แต่ตัวละครนี้มันช่างร้ายกาจเหลือเกิน สมกับเป็นตัวร้ายอย่างมาก แต่ความร้ายกาจนั้น ท่ามกลางความ สับสน ความโกรธแค้น เกลียดชังนั้นกลับเป็นตัวละครที่ช่างน่าสนใจ เพราะเขามีแรงจูงใจและเหตุผลที่เขาทำไมถึงทำเช่นนี้อย่างมาก และเหตุผลนั้นมันช่างประจวบเหมาะกับ เคริก์ เสียเหลือเกิน ทั้งคู่เป็นเหมือนจักรวาลคู่ขนานที่ทุกๆอย่างเกือบจะเหมือนกัน แต่แตกต่างกันเพื่ยงนิดเดียวทำให้ชีวิตของพวกเขานั้นแทบจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะจุดแตกต่างกันเพียงจุดเดียวเท่านั้น แหมจะว่าไปมุข จักรวาลคู่ขนานนี้ก็เยอะเหลือเกินช่วงนี้ ไหนจะ Fringe TV Series แถมยังมีเกมที่ผมเพิ่งจะเล่นจบไปหมาดๆพูดเรื่องเดียวกันอีกต่างหาก 



และตัวละครเหล่านี้นั้นช่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างน่าทึ่ง เปรียบเสมือนชิ้นส่วนของยานถ้าหากคุณไม่มีคนขับ ยานก็บินไม่ได้ ถ้าหากคุณไม่มีเครื่องยนตร์ยานก็บินไม่ได้ ถ้าหากคุณไม่มีคนคอยตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ยานคุณก็จะไม่พร้อม ชิ้นส่วนเหล่านี้แต่ละส่วนมันช่างสำคัญและพอมารวมกันมันช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจ และ สุดยอดมากๆ



บทในภาค Into Darkness สิ่งนึงเลยที่ผมอยากจะชมจริงๆเลยก็คือ การวางเรื่องราวเอาไว้ในจุดต่างๆ และพอถึงจุดนึงมันมารวมกันได้อย่างน่าทึ่งและนั้นทำให้ตัวหนังดูช่างน่าสนใจ และทุกๆวินาทีในภาพยนตร์มันดูมีค่าและมีความหมายขึ้นมาทันที แถมการวางมันช่างเป็นการวางที่แสนฉลาดจนคุณอาจจะคาดเดามันไม่ถึงเลยทีเดียว อีกจุดนึงเลยที่ผมชอบมากๆในบทภาคนี้เลยก็คือ เรื่องราวและสิ่งต่างๆที่ตัวละครหลักอย่าง กัปตัน เคิรก์ต้องเจอและสิ่งที่เขาจะต้องเรียนรู้ ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ มันช่างน่าสนใจ และน่าติดตาม ว่าจะลงเอยอย่างไร 


นักแสดงการ Acting โอ้...บร๊ะเจ้า อย่างแรกเลยคือตัวร้ายของเรื่อง Benedict Cumberbatch ที่คุณอาจจะเคยเห็นเขาใน War Horse มาก่อนหรืออาจจะเป็นซีรียส์ Sherlock ผมไม่รู้นะผมเคยดูเขาแค่สองเรื่องเท่านั้นเองก็คือ War Horse และ Tinker Tailor Soldier Spy ซึ่งก็ไม่ได้เตะตาอะไรเท่าไร แต่เรื่องนี้การแสดงตัวร้ายของเขานั้นมันช่างสุดยอดเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อรวมเข้ากับบทของตัวละครของเขาแล้ว คุณแทบจะตกอยู่ในภายใต้การควบคุมของเขาเลยทีเดียว คุณแทบจะเชื่อในทุกๆสิ่งที่เขาพูด และหลายๆครั้งที่ผมนั้นรู้สึกสงสารและเศร้าใจแทนตัวละครร้าย ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ Chris Pine กับ Zachary Quinto ก็ช่างแสดงเป็นแต่ละบทบาทได้อย่างดิบดี แม้กระทั่งบทของพวกเขานั้นช่างดูยากนักโดยเฉพาะ Chris Pine ที่เขาจะต้องแสดงเป็นตัวละครที่มีความกดดันในหลายๆด้านมาก เขาจะต้องเผชิญกับหลากหลายอารมณ์มากๆในภาคนี้ ซึ่งเขาก็ทำมันออกมาได้ดีมากๆ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับขโมยซีนซักเท่าไร (อาจจะเป็นเพราะบทไม่ได้สนับสนุนขนาดนั้น) ไม่เหมือนกับ Christoph Waltz ใน Django Unchained ที่โขมยไปเสียทุก Scene 



Star Trek : Into Darkness ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วในตอนนี้สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากคำว่า "Epic" ซึ่งคงเหมาะสมแล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกๆอย่างมันช่างถูกสร้างออกมาอย่างดีที่สุด และทุกๆสิ่งที่ตัวของมันเองดีอยู่แล้ว พอนำสุดยอด มารวมกับสุดยอดหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน มันกลับทำให้ภาพยนตร์สุดยอดขึ้นมาอีกขั้น ผมแทบจะอดทนรอไม่ไหวสำหรับ Star Trek ภาคต่อไป หรือ Star Wars ในฝีมือการกำกับของ J.J. Abrams ที่ดูเหมือนเขาจะพิสูจน์แล้วว่าเขาทำอะไรได้บ้าง 





The Best Quote from " Star Trek : Into Darkness "

"You think that you can't make mistakes, but there's going to come a moment when you realize you're wrong about that, and you're going to get yourself and everyone under your command killed. " - Christopher Pike 


"You have no idea what you've done. I will walk over your cold corpses."
- ?




+ จุดที่ทำได้ดี :
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม และวางจุดต่างๆเอาไว้เป็นอย่างดีจุดคุณคาดไม่ถึงเมื่อมันมาถึง
+ ตัวละครเอกที่น่าสนใจ การต่อสู้ และการเผชิญกับสิ่งต่างๆของพวกเขามันช่างสุดยอด
+ ตัวละครร้ายที่ร้ายกาจเป็นที่สุด แต่ภายใต้ความร้ายกาจนั้นแฝงไปด้วยบางสิ่งที่เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงต้องทำเช่นนั้น และ เป็นตัวละครร้ายที่น่าสนใจ น่ากลัว น่างเกรงขาม แต่กลับ ช่างน่าสงสาร น่าเห็นใจไปในพร้อมๆกัน
+ การแสดงของตัวละครเอกทำได้อย่างดีเยี่ยมแม้บทจะยาก รวมไปถึง Benedict Cumberbatch ที่แสดงเป็นตัวร้ายได้อย่างสุดยอดเป็นที่สุด จนคุณแทบจะเชื่อทุกๆคำพูดของเขาที่เขาพูดออกมาทั้งๆที่เขาเล่นเป็นตัวร้าย ซึ่งเป็นบุคคลที่คุณไม่ควรจะเชื่อมากที่สุด
+ ชิ้นเล็กๆน้อยๆของทุกๆสิ่งในภาพยนตร์ถูกเอามาใช้อย่างดิบดี ทำให้ทุกๆนาทีของภาพยนตร์ดูมีค่าอย่างมาก และ เมื่อเอาทุกๆสิ่งมารวมกันแล้วมันช่างสุดยอดเกินคำบรรยายเหลือเกิน
+ ทุกๆสิ่งมันช่างดูสมเหตุสมผลไปหมด ไม่ใช่แค่เอาไอ้นี้นะ ไอ้นู้นนะ จบ แต่ทุกๆสิ่งถูกเลือก และ จัดวางมาเป็นอย่างดิบดีแล้ว


- จุดที่เหมือนจะไปไม่รอด ? :
- ถ้าหากคุณหวังว่าจะมาดู Star Trek : Into Darkness เพื่อฉากยิงตูมตามระเบิดตูมตาม ทุก 5วินาที หรือ ฉากเอายานยิงกันหูตับดับไหม้ ระเบิดกาแลกซี่ เตรียมตัวผิดหวังได้เลย เพราะ ถึงยังไงจุดนี้ผมก็ว่าตัวผู้กำกับเองนั้นคงไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ฉาก Action น่ะมันมีนะ แต่ไม่ได้มีมาเพื่อให้มันส์อย่างเดียวเท่านั้น
- ถ้าหากคุณหวังว่าภาคนี้จะมีการผจญภัยทั้งเรื่อง แบบไปดาวอื่นกันทั้งเรื่อง ค้นหานู้นนี้ ก็คงจะผิดหวังกันไปบ้าง 


Final Score :  [ A+ ]  &  [ MUST SEE BADGE ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น