"ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแห่งการล่า"
อ่าห์ ชีวิตมหาวิทยาลัย เชื่อเลยว่าสำหรับใครหลายคน นี้เป็นหนึ่งในช่วงชีวิตที่มีความสุขมากที่สุด นี้คือช่วงชีวิตที่เราใฝ่ฝันมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าสอบติดคณะหรือมหาลัยที่ตนเองอยากเขามาตั้งแต่เด็กๆ ได้เข้ามาเรียน จนกระทั่งจบการศึกษา เรียกได้ว่ามหาลัยเปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่สองที่เราไว้วางใจไม่ต่างจากบ้านแท้ของเราเอง
แต่ถ้าหากวันหนึ่ง มีคนเดินมาบอกคุณว่า กว่า 20% ของนักศึกษาหญิงในประเทศสหรัฐอเมริกา เคยถูกข่มขืนในมหาลัย และกว่า 88% ตัดสินใจไม่บอกให้ใครรู้ละ ? และนั้นก็คือสิ่งที่ภาพยนตร์สารคดี The Hunting Ground จับมือพาเราลงไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา เสมือนเป็นอีกหนึ่งสักขีพยานต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคมมหาลัย
ผู้กำกับ เคอร์บี้ ดิค เรียกได้ว่าถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม น่าติดตามจริงๆ การเล่าเรื่องของเขาไม่ซับซ้อนมากจนเกินไป วางเรื่อง ปมประเด็นปัญหา ดึงตัวเราให้เข้าไปติดตามเนื้อหาในภาพยนตร์ได้อย่างทันทีทันใด สอดแทรกตัวเลขสถิติด้วยซีจีต่างๆได้ตระการตาไม่รู้สึกน่าเบื่อหรือยัดเยียดมากเกินไป ถึงแม้จังหวะในช่วงท้ายเรื่องดูจะหลุดๆและเปลี่ยนอารมณ์กระทันหันไปหน่อย ซึ่งส่งผลทำให้อารมณ์ร่วมของผู้ชมในช่วงบทสรุปลดลงไปบ้าง
จะว่าไปแล้ว ในด้านของความสดใหม่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็นำเสนอมุมมองของสังคมซึ่งเราไม่เคยคาดคิดมาก่อนอยู่พอสมควร เรียกได้ว่าตกใจยิ่งกว่าสไปดี้โผล่มาในตัวอย่าง Captain America: Civil War เสียอีก โดยไม่ได้พูดถึงเพียงแค่เรื่องราวของเหยื่อ และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพวกเขา แต่ยังลงไปสำรวจถึงต้นตอ และสาเหตุหลากหลายประการที่ทำให้ปัญหาอันร้ายแรงนี้ยังคงมีให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง ลากยาวไปจนถึงคนมีชื่อเสียงในอเมริกา กลายเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่ใครๆเขาก็ทำกัน
เฉกเช่น ท่าทีของมหาลัยในประเด็นที่นักศึกษาของพวกเขาถูกข่มขืน ซึ่งหลายคนคงเชื่อว่าพวกเขาจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและปกป้องเหยืออย่างแน่นอน ในขณะที่ความเป็นจริง นอกจากที่พวกเขาจะเพิกเฉย ไม่ทำอะไรเลยแล้ว มหาลัยยังเห็นถึงผลประโยชน์ของตนเองเหนือกว่าชีวิตนักศึกษา แถมมหาลัยที่ว่าเหล่านี้ ก็ไม่ใช่มหาลัยบ้านนอกที่ไหน แต่เป็นชื่อที่รู้จักกันดี เช่น ฮาร์วาร์ด หรือเยล นี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนมุมมองจากความคิดที่ว่า มหาวิทยาลัยคือบ้านหลังที่สอง คือแหล่งที่ปลอดภัยพ่อแม่ผู้ปกครองไว้ใจได้ ให้กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งอันตรายไม่แตกต่างไปจากทางถนนในซอยเปลี่ยว
อย่างไรก็ตาม คงจะดีกว่านี้ถ้าหากกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์มีความหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่นได้เห็นมุมมอง ความคิดเห็นจากฝั่งผู้กระทำหรือเหยื่อที่เป็นเพศชายมากขึ้น เพื่อให้เราได้มองเห็นประเด็นได้อย่างถ่องแท้ รอบด้าน
เฉกเช่น ท่าทีของมหาลัยในประเด็นที่นักศึกษาของพวกเขาถูกข่มขืน ซึ่งหลายคนคงเชื่อว่าพวกเขาจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและปกป้องเหยืออย่างแน่นอน ในขณะที่ความเป็นจริง นอกจากที่พวกเขาจะเพิกเฉย ไม่ทำอะไรเลยแล้ว มหาลัยยังเห็นถึงผลประโยชน์ของตนเองเหนือกว่าชีวิตนักศึกษา แถมมหาลัยที่ว่าเหล่านี้ ก็ไม่ใช่มหาลัยบ้านนอกที่ไหน แต่เป็นชื่อที่รู้จักกันดี เช่น ฮาร์วาร์ด หรือเยล นี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนมุมมองจากความคิดที่ว่า มหาวิทยาลัยคือบ้านหลังที่สอง คือแหล่งที่ปลอดภัยพ่อแม่ผู้ปกครองไว้ใจได้ ให้กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งอันตรายไม่แตกต่างไปจากทางถนนในซอยเปลี่ยว
อย่างไรก็ตาม คงจะดีกว่านี้ถ้าหากกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์มีความหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่นได้เห็นมุมมอง ความคิดเห็นจากฝั่งผู้กระทำหรือเหยื่อที่เป็นเพศชายมากขึ้น เพื่อให้เราได้มองเห็นประเด็นได้อย่างถ่องแท้ รอบด้าน
สุดท้ายแล้ว The Hunting Ground ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการร่วมมือร่วมใจ และยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือของสังคม เพื่อหยุดวงจรอันแสนเลวร้ายนี้ให้จบลงไปเสียที ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องธรรมดาสำหรับใครหลายคน แต่ก็เสมือนเพลงประกอบภาพยนตร์ Till it happen to you ซึ่งส่งนักร้องชื่อดัง เลดี้ ก้าก้า เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีที่ผ่านมา คุณไม่มีทางเข้าใจความเจ็บปวดที่พวกเขาได้รับหรอก จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวคุณ
Final Score : [ 8.5 / 10 ]
Final Score : [ 8.5 / 10 ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น