หลังจากที่แฟนๆเกมรอคอยกันมานานแสนนาน ในที่สุดภาพยนตร์ซึ่งสร้างมาจากวิดีโอเกมชื่อดังมากที่สุดเกมหนึ่งในโลกอย่าง Warcraft ก็ได้มาปรากฏโฉมบนจอภาพยนตร์เสียที
Warcraft ในด้านหนึ่งแล้วก็คือสุดยอดเกมที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ลากไปตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งเกมเมอร์ในยุคปัจจุบันหลายต่อหลายคนก็เติบโตมากับชื่อๆนี้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของเกมหลักหรือเกมที่แตกแยกแขนงออกมาเป็นอีกหนึ่งเกมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันอย่าง Defense of the Ancients (Dota), Hearthstone และอื่นๆอีกมากมาย
แต่ในอีกมิติหนึ่ง ความจริงที่ปฏิเสธได้ยากก็คือคำสาปอันโด่งดังเมื่อวงการภาพยนตร์พยายามที่จะจับมือกับวงการเกม มักจะพบกับความหายนะเสมอๆ ไม่ว่าเกมๆนั้นจะมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากน้อยเท่าไรก็ตาม เฉกเช่น Resident Evil, Prince of Persia, Silent Hill, Hitman และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสำหรับใครหลายคนแล้ว Warcraft ดูจะเป็นความหวังครั้งสุดท้ายหรือเกือบสุดท้าย ที่จะมาทำลายคำสาปอันแสนน่ากลัวนี้ลงไปให้ได้
แม้ว่าภาพรวมของ Warcraft จะไม่ได้เข้าขั้นหายนะหรือแย่เสียทีเดียว แต่ในหลากหลายส่วน กระทั่งแฟนเกมอย่างเราเอง ก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธถึงตัวตนของช่องโหว่ที่มีให้เห็นอยู่ตรงหน้ามากมายเต็มไปหมด
ซึ่งต้นตอของปัญหาเกือบทั้งหมดของภาพยนตร์ที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยเรื่องนี้ ก็หนีไม่พ้นขนาดความใหญ่ของมันที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวมันเอง ดั่งสุภาษิต 'ยิ่งใหญ่ยิ่งล้มดัง'
Warcraft พยายามที่จะจับนู้นจับนี้ เล่าหลายสิ่งหลายอย่างที่มีมากจนเกินไป โดยปราศจากการคำนึงถึงขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ว่าจะในด้านของเวลาบนจอภาพยนตร์ที่มีจำกัด หรือขีดจำกัดของผู้กำกับอย่าง ดันแคน โจนส์ ซึ่งกระโดดจากการกำกับภาพยนตร์ระดับเล็ก-กลาง อย่าง Moon (2009) และ Source Code (2011) มากำกับภาพยนตร์ซึ่งกล่าวขานกันว่าอาจจะยิ่งใหญ่เทียบเท่า Lord of the Rings (2001 - 2003) จนเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถคุมเรื่องราวที่ล้นมือ ล้นหน้าตักนี้ได้จนหมด
เมื่อผู้กำกับไม่สามารถที่จะควบคุมเรื่องราวที่มีอยู่ได้ ผลของมันก็เปรียบเสมือนโดมิโน่ที่ลากยาวไปกระทบถึงองค์ประกอบอื่นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง ปมขัดแย้ง หรือตัวละคร ต่างก็ถูกดันออกมาโดยปราศจากการปูพื้นฐานที่ดี แม้ว่าตัวเนื้อส่วนประกอบต่างๆแต่ละส่วนจะค่อนข้างดี แต่กว่าจะค่อยๆแซะเข้ามาก็สายไปเสียแล้ว ทำให้เราไม่รู้สึกมีความผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย จนนำไปสู่การปราศจากอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ในที่สุด
สำหรับผู้ชมทั่วไปที่ไม่ได้เป็นแฟนเกมหรือไม่ได้สนใจเรื่องราวในเกมเท่าไรนัก เพียงเท่านี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอในการที่จะทำให้พวกเขาอาจไม่รู้สึกประทับใจหรือชื่นชอบใน Warcraft ซักเท่าไรนัก แม้ว่าในซอกหลืบต่างๆของภาพยนตร์เรื่องนี้จะแอบแฝงไปด้วยเรื่องราวความขัดแย้งที่น่าค้นหา หรือมีกราฟฟิก ซีจีที่อลังการงานสร้างมากเท่าไรก็ตาม
แต่สำหรับแฟนเกมหรือผู้ที่มีความสนใจและมีความผูกพันธ์กับผลงานของ Blizzard นี้อยู่แล้ว Warcraft ก็อาจเปรียบเสมือนแนวคิด 'Guilty Pleasure' อย่างแท้จริง เอาจริงๆเพียงแค่เราได้เห็นเรื่องราวมหากาพย์และตัวละครที่เราชื่นชอบในเกม มีชีวิตจริงๆขึ้นมาบนจอภาพยนตร์ก็ฟินอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
ยิ่งพอได้เห็นเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์แล้ว ยิ่งทำให้เราจินตนาการอนาคตและภาคต่อที่(อาจ)จะมาถึง ซึ่งคงจะยิ่งใหญ่ อลังการกว่านี้อย่างแน่นอน
สุดท้ายแล้ว แม้ว่า Warcraft จะเต็มไปด้วยปัญหามากมาย และยังคงไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ทำลายคำสาปลงได้ แต่มันก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนักสำหรับบุคคลทั่วไป สำหรับแฟนเกมแล้ว นี้เป็นผลงานที่ยังคงจัดอยู่ในหมวด "ไม่ว่ายังไงก็ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด"
Final Score: [ 6 ]