Movie Review
การนั่งรถไฟแห่งโลกมนุษย์ที่น่าจดจำมากที่สุด
Movie Name : Snowpiercer ( 2013 ) , Action / Drama / Sci-Fi
Director : Joon-ho Bong ( The Host , Mother , Barking Dogs Never Bite )
Stars : John Hurt ( Tinker,Tailor,Solider,Spy , Harry Potter ) , Chris Evans ( Captain America : The First Avenger , The Avengers ) , Tilda Swinton ( Constantine , Narnia ) , Ed Harris ( Pain & Gain , The Rock ) , Jamie Bell ( The Adventures of Tin Tin , Jumper ) , Octavia Spencer ( The Help ) , Kang-ho Song ( The Host ) , Ah-sung Ko ( The Host )
Rating : น 15 +
Snowpiercer เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงเรื่องราวหลังจากโลกเข้าสู่ยุคที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะด้วยฝีมือของมนุษย์เอง ทำให้ผู้ที่รอดชีวิตจำนวนน้อยมากต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในรถไฟขบวนหนึ่ง ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างผู้ที่มีอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ เส้นที่ขั้นกลางระหว่างพวกเขานั้นช่างบางลงๆทุกวัน และความอดทน อดกลั้นนั้นอาจจะมาถึงจุดขีดจำกัดในไม่ช้า
REVIEW
Snowpiercer เป็นภาพยนตร์ที่คงพูดได้เลยว่าเป็นการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์เกาหลีและภาพยนตร์ Hollywood ได้อย่างน่าทึ่งเรื่องหนึ่ง ซึ่งสาเหตุนั้นแรกนั้นก็มาจากผู้กำกับ บองจุนโฮ ที่เป็นคนเกาหลีใต้ แต่ในภาพยนตร์กลับมี Production และองค์ประกอบบางส่วนที่ค่อนข้างจะไปทาง Hollywood อยู่พอสมควร ยังไม่รวมถึงการที่เขาเขียนบทด้วยตัวเองร่วมกับคนอเมริกันอีกคนหนึ่งซึ่งก็น่าจะเชื่อได้ว่า มีการผสมผสานความคิดไอเดียต่างๆเข้าไปรวมกันอยู่ไม่น้อย
สำหรับผู้กำกับ บองจุนโฮนั้น เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมากที่สุดอีกคนในโลกภาพยนตร์เลยทีเดียว จากผลงานอย่างเช่น Barking Dogs Never Bite , The Host ( ที่ไม่ใช่ The Host จากผู้เขียน Twilight ) หรือ ภาพยนตร์อย่างเรื่อง Mother ซึ่งภาพยนตร์เหล่านี้มีความแปลกประหลาดอยู่ตรงที่ หน้าหนังนั้นดูจะเป็นภาพยนตร์ที่ไม่มีอะไร อย่างเช่น Barking Dogs Never Bite ที่พูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่รำคาญเสียงสุนัขเห่า ก็เท่านั้นเอง แต่เมื่อเราเข้าไปสัมผัสมันจริงๆแล้ว กลับทำให้รู้ว่า ภาพยนตร์ที่ดูจะไม่มีอะไรเหล่านี้ กลับแฝงไปด้วยการจิกกัด เสียดสีสังคมได้อย่างน่าทึ่งมากๆ ซึ่งหลายๆครั้งที่เขาทำให้ภาพยนตร์ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมได้ จึงเป็นสาเหตุที่นักชมภาพยนตร์หลายๆคน ค่อนข้างที่จะตั้งความหวังกับภาพยนตร์เรื่องนี้พอสมควรเลยทีเดียว
Snowpiercer เป็นภาพยนตร์ที่ต้องขอเริ่มพูดเลยว่า เป็นภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง และ หน้าหนัง อีกครั้งดูเป็นภาพยนตร์ที่ไม่มีอะไรเลย แถมเอาเข้าจริงมันช่างดูเป็นภาพยนตร์เกรด B เหลือเกิน โดยเฉพาะการพูดถึง คนรวย/คนจน ที่พูดกันมาเป็นพันรอบ และในปีๆหนึ่งก็มีภาพยนตร์ที่พูดถึงเรื่องนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ล่าสุดที่ไม่ต้องยกตัวอย่างทุกคนก็น่าจะนึกออกนั้นก็คือ The Hunger Games : Catching Fire นั้นเอง ซึ่งผลของการนำสิ่งเดิมๆมาทำอีกรอบมันก็จะทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลง แต่มันกลับไม่ใช่เช่นนั้นเลย ซึ่งต้องขอยกเครดิต ความดี ความชอบให้กับผู้กำกับ บองจุนโฮ 90% ถึง 99% เลยทีเดียว ที่พิสูจน์อีกครั้งว่าเขาสุดยอดแค่ไหน กับการเนรมิตและสร้างภาพยนตร์ที่ดูสุดแสนจะกลวงไม่น่าสนใจ ให้เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในปีนี้
สิ่งที่พบเห็นได้อีกครั้งอย่างขาดไม่ได้จากลายเซ็นของผู้กำกับนั้นก็คือ การจิกกัด เสียดสีในและพูดถึงประเด็นต่างๆของสังคมอย่างชาญฉลาด แยบยล มีชั้นเชิงเช่น สังคมล้างสมองของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก ความมักง่ายและโง่เขลาของมนุษย์ ความรุนแรง มนุษย์กับพระเจ้า และอื่นๆอีกมากมาย ทำให้พูดได้เลยว่าการออกแบบในแต่ละฉากนั้นถูกเลือกมาเป็นอย่างดีเยี่ยมแล้ว เพราะแทบจะทุกครั้งที่มันมักจะแฝงความหมายและเสียดสีอะไรบางอย่าง ไม่ใช่เลือกหรือสร้างมาอย่างไร้เหตุผล
เช่นเดียวกับการกำกับของบองจุนโฮที่ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องที่ช่างน่าสนใจโดยการค่อยๆให้จิ๊กซอว์กับผู้ชมไปคอยเดา คอยต่อเอาเอง แทนที่บอกทั้งหมดเหมือนภาพยนตร์ทั่วๆไป ถึงแม้ในช่วงต้นของภาพยนตร์จะช้ามากจนเกินไปบ้างก็ตาม ซึ่งเมื่อภาพยนตร์ดำเนินไปเรื่อยๆแล้ว ผู้ชมก็จะได้จิ๊กซอว์เพิ่มไปเรื่อยๆจนในท้ายที่สุดคุณก็จะเข้าใจว่าภาพยนตร์พูดถึงอะไร และทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้ชมต้องคิดตามอยู่แทบจะตลอดเวลา หรือจะเป็นการถ่ายภาพยนตร์ในฉากต่างๆที่มีการเล่นกับแสง และเงา หรือองค์ประกอบต่างๆในฉากเพื่อใช้สื่อความหมายได้อย่างน่าทึ่ง
ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะใส่มุขตลกขบขัน และฉากลูกเล่นต่างๆ เช่นฉากแนะนำตัวละคร Wilford หรือฉากในห้องสอนหนังสือ เหล่านี้เข้าไปเพื่อให้ภาพยนตร์นั้นไม่รู้สึกไม่น่าสนใจ หรือ น่าเบื่อ ซึ่งมุขตลกและฉากลูกเล่นต่างๆเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิงและทำให้ภาพยนตร์น่าสนใจอยู่ตลอดเวลาด้วยแล้ว ฉากเหล่านี้หรือคำพูด Dialog เหล่านี้ก็แฝงไปด้วยความหมาย การเสียดสี จิกกัดเช่นเคย
อีกสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าน่าสนใจ และน่าชื่นชม ใน Snowpiercer นั้นก็คือทีมนักแสดงโดยเฉพาะ ป้า Tilda Swinton ที่ทุกๆคนคงจะรู้จักเธอจากบทแม่มดขาวแห่ง Narnia ที่เธอแสดงได้อย่างน่าทึ่ง สร้างสีสันและคาแรคเตอร์ที่สดใหม่มากๆให้กับภาพยนตร์ และคนที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้นั้นก็คือ Chris Evans จากบทอันโด่งดัง กัปตันอเมริกา ที่ต้องขอสารภาพเลยว่าครั้งแรกที่เห็นเขาบนโปสเตอร์ ทำให้นึกถึง Hugh Jackman หรือ พี่วูฟเวอรีนของเรา มากๆ ซึ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ทางสูตดิโอไม่มีเงินจ้าง Hugh หรืออย่างไร เลยทำเช่นนี้ แต่เมื่อได้ชมภาพยนตร์จริงๆกลับคิดคนละอย่างกับที่คิดไว้ในตอนแรกอย่างมาก โดยคิดว่า Chris Evans นั้นช่างเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากกว่าใครๆเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นการแสดง บุคลิกของเขานั้นเหมาะกับสิ่งที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะพูดถึงมาก ซึ่งตัวละครของเขาในภาพยนตร์นั้นก็เป็นตัวแทนไม่ใช่อะไรอื่นนอกจาก "มนุษย์" ผู้ซึ่งเต็มไปด้วย ความโกรธ , ความโง่เขลา , ความรุนแรงบ้าคลั่ง , ความน่าสมเพศ , ความโศรกเศร้า แต่ก็ยังคงมี ความบริสุทธิ์ และ ความดีงาม แฝงอยู่ภายในเช่นกัน ซึ่ง Chris Evans นั้นแสดงได้อย่างดีเยี่ยมมากๆในบทนี้
Snowpiercer เป็นภาพยนตร์ที่เมื่อดูจบแล้วทำให้นึกถึงเรือของโนอาและอดัมกับอีฟอย่างมากเนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ช่างเป็นเหมือนการนั่งรถไฟท่อง"โลกมนุษย์"ที่แท้จริงซึ่งนำทางไปสู่จุดจบที่น่าจดจำมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอีกครั้งก็ต้องขอชมทีมงาน นักแสดงต่างๆและโดยเฉพาะสำคัญที่สุด ผู้กำกับบองจุนโฮ ที่นับได้ว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งจากเขา ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะประสบปัญหากับการดำเนินเรื่องช้ามากจนเกินไปบ้างในช่วงต้นของภาพยนตร์ หรือ ฉาก Action ที่เต็มไปด้วย เทคนิคสั่นกล้องที่น่ารำคาญไม่น้อย ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพของมันลดลงไปซักเท่าไรเลย
Final Score : [ A ] & [ Must See Badge ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น