วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

Need for Speed ( 2014 ) Movie Review

Movie Review
Need for Speed ( 2014 )  บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

มาแล้ว มาแล้ว กับ Super Car ที่จะมาช่วยลบคำสบประมาทที่ว่าภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกมมักจะห่วยเสมอ !!?





                              Need for Speed  แน่นอนว่าถ้าหากพูดชื่อๆนี้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ คอเกมเมอร์ทั้งหลายคงจะร้องอ๋อกันอย่างแน่นอนเลยทีเดียว 
คงจะไม่เป็นการเกินเลยหรือเกินจริงไปนัก ถ้าหากจะพูดว่า Need for Speed เป็นหนึ่งในซีรียส์เกมแข่งรถที่โด่งดังมากที่สุดตั้งแต่ภาคแรกสุดในปี 1994 ที่ลงให้กับเครื่องเกมอย่าง PC และ Playstation 1 จนกระทั่งแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีภาคใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ 


ถึงแม้ว่าตัวผู้เขียนเอง จะไม่ค่อยได้เล่นเกม Need for Speed หรือเรียกได้ว่าเป็น"ฮาร์ดคอร์แฟน"ซักเท่าไรนัก  แต่ก็พูดได้เลยว่า เคยผ่านเกมในซีรียส์นี้มาแล้วบ้าง อย่างเช่นภาค Need for Speed : Underground 2 บน PC ที่เรียกได้ว่าในสมัยนั้นติดกันงอมแงมไม่เป็นอันทำอะไรเลยทีเดียว หรือภาคล่าสุดที่ได้เล่นอย่าง Need for Speed : Most Wanted บน PSVITA จึงเรียกได้ว่าพอที่จะเข้าใจจุดประสงค์และหัวใจของเกม Need for Speed อยู่บ้าง


ต้องพูดก่อนเลยว่า ในปัจจุบันและอดีตที่ผ่านมานั้น มีภาพยนตร์ซีรียส์ประเภทแข่งรถเกิดขึ้นมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Death Race หรือ ซีรียส์ที่เรียกได้ว่าเป็นแชมป์อยู่ขณะนี้อย่าง Fast & Furious ซึ่งถ้าหากเราตั้งใจวิเคราะห์มันดีๆแล้ว เราจะพบว่าซีรียส์เหล่านี้ ถึงแม้ภายนอกดูเหมือนว่าจะแข่งรถเหมือนๆกัน แต่ตัวประเด็นหลัก และ สไตล์ของมันค่อนข้างจะแตกต่างกันมากเลยทีเดียว อย่างเช่น Death Race ที่เป็นการแข่งรถที่เอาชีวิตเป็นเดิมพัน สามารถเล่นตุกติกได้ทุกประการตราบใดที่มันทำให้คุณยังมีชีวิตรอดอยู่บนสนาม 
และ Fast & Furious ที่มักจะนำเรื่องราวความขัดแย้งต่างๆเข้าไปผูกกับการแข่งรถ ซึ่งทำให้มันมีความหมายมากกว่าแค่ใครชนะใครได้อย่างน่าทึ่ง


และแน่นอนว่า Need For Speed ก็มีจุดเด่นที่เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน แตกต่างจากภาพยนตร์แข่งรถส่วนใหญ่ที่มักจะใช้รถประเภทแต่งเองและไม่ค่อยจะใช้รถราคาแพงๆมากนัก Need for Speed ใช้รถราคาแพงๆอย่าง Super Car จริงๆ อย่างเช่น Bugatti Veyron Super Sport , Koenigsegg Agera S , Lamborghini Sesto Elemento , 2013 Shelby GT500 และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งรถเหล่านี้นั้นมักจะเร็วมากจนแทบจะไม่ต้องแต่งอะไรแล้ว แต่ที่เร็วยิ่งกว่านั้นก็คือความแพงของมันอย่างเช่นบางฉากในภาพยนตร์ที่มีรถมารวมกันเพียง 8 คัน แต่กลับมีมูลค่าถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็คูณเป็นเงินไทยกันเอาเองละกันครับว่ามันเท่าไร


ซึ่งในทางภาพยนตร์แล้ว ใช่เลยว่าแค่เอารถแพงๆมาขับไม่ได้หมายความว่าตัวหนังมันจะดีขึ้นแต่อย่างใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า มันช่างล่อตาล่อใจ และสร้างความบันเทิงให้กับผู้เขียนเหลือเกิน ยิ่งแฟนๆที่บ้าเรื่องรถแพงๆแล้วล่ะก็ ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้คงแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว

อีกสิ่งหนึ่งเลยที่ต้องขอชมจริงๆก็คือผู้กำกับภาพ เชน เฮิลด์บัท ที่เรียกได้ว่ากำกับภาพในฉากต่างๆได้อย่างสวยงาม น่าทึ่งจริงๆ 


น่าเสียดายที่เพียงแค่รถ Supercar ไม่อาจที่จะช่วยเหลืออะไร Need For Speed ได้มากไปกว่าทำให้เรารู้สึกว่าคุ้มค่าตั๋วจากรถแพงๆแล้วอีก
เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่ามีปัญหาเยอะและในหลายด้านมากๆอย่างน่าเสียดายเลยทีเดียว

อย่างแรกเลยก็คือผู้กำกับ สก็อต วอห์น ที่ทำหน้าที่ในการกำกับได้ไม่ค่อยดีซักเท่าไรนัก โดยเฉพาะการใช้เวลาไปกับฉากคุยบทพูดต่างๆที่มากเกินไป ไม่ใช่ว่าการให้เวลาในการปูตัวละคร และเนื้อเรื่องมันไม่ดี แต่ตัวบทพูดเองก็ช่างเลวร้าย ไม่ได้แฝงไปด้วยคาแรคเตอร์ของตัวละคร หรือเนื้อเรื่องใดๆเลย มันกลับเต็มไปด้วยบทพูดซ้ำๆซากๆเดิมๆ ที่ไร้ความหมาย และไม่สามารถที่จะสื่อถึงอะไรได้เลย และตัวสก็อตเองก็ดันเสียเวลาไปกับบทพูดที่ไร้ควาหมายนี้มากจนเกินไป ซึ่งนอกจากมันจะลดความน่าสนใจของภาพยนตร์ลงแล้ว มันยังทำให้รู้สึกเปลืองเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกด้วย

ที่สำคัญเลยก็คือตัวบทที่อยู่ในขั้นเลวร้ายพอตัว ด้วยความบ้าบอคอแตก ไร้เหตุผลสุดๆของมัน ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถที่จะจริงจังและเชื่ออะไรในภาพยนตร์ได้เลย เช่น ตัวละครๆหนึ่งที่ไม่รู้เสกเฮลิคอปเตอร์มาจากไหนอย่างง่ายดายตลอดเวลา


นอกจากนั้นแล้วตัวละครแทบจะทุกตัวในภาพยนตร์ก็ไม่น่าสนใจ แบน ซ้ำซากและน่าเบื่อสุดๆ แถมบางตัวก็มีความคล้ายคลึงกับตัวละครใน Fast & Furious ชนิดที่เรียกได้ว่าพยายามลอกกันมา แต่ด้วยฝีมือการเล่าเรื่องและกำกับที่เลวร้ายของ สก็อต วอห์น ทำให้ตัวละครเหล่านี้ยิ่งดูช่างไร้ความหมายในสายตาผู้เขียนเข้าไปอีก ไร้ความหมายชนิดที่เรียกได้ว่าจะตายๆไป เราก็ไม่ได้รู้สึกรู้ร้อนอะไรไปกับตัวละครเหล่านี้เลย ซึ่งมันไปส่งผลจุดขัดแย้งในภาพยนตร์อย่างมาก


ซึ่งผลของตัวละครที่แย่ บวกเข้ากับบทที่สุดแสนจะไร้เหตุผล ปิดท้ายด้วยการกำกับที่แย่ของผู้กำกับ มันเท่ากับความรู้สึกที่เราจะไม่สนใจอะไรในบทมันอีก ที่ผู้เขียนถึงขนาดคิดว่า ตัดๆฉากบทพูดและความพยายามปูบทเหล่านี้ไปเถอะ เอาให้เหลือแต่ฉากโชว์รถ กับแข่งรถก็พอ เพราะตัวบทมันช่างไร้ความหมายขนาดนั้นจริงๆ ซึ่งเรียกได้ว่าน่าเสียดายมาก เพราะนักแสดงหลายๆคนในภาพยนตร์เองก็พยายามที่จะให้อะไรกับคนดูอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะ แอรอน พอล ที่นำแสดงได้อย่างน่าทึ่ง และสร้างความน่าสนใจให้กับตัวละครอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าแค่นั้นมันไม่สามารถเทียบอะไรกับความหายนะที่เหลือของบทและการกำกับได้เลย


แม้แต่การกำกับฉากไล่ล่า และแข่งรถของ สก็อต วอห์นเอง ก็ให้ความรู้สึกช้า เหนื่อยและเฉื่อยอย่างมาก ซึ่งมาจากการพยายามตั้งกล้องจัดฉากให้ดูเท่,สวยและตัดให้น้อยลง ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเพียงแค่ว่ามันดูเท่หรือสวย ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้ฉากๆนั้นมันสนุกขึ้นแต่อย่างใดเลย มันจึงเหลือแต่เพียงฉากไล่ล่าของรถที่(โคตร)แพงแบบจืดๆชืดๆเท่านั้นเอง


Need for Speed ยังคงเป็นอีกหนึ่งในภาพยนตร์ที่ไม่สามารถจะทำลายคำสาปและคำครหาที่ว่า ภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกมนั้นมักจะหวยแตกเสมอได้เลยแม้แต่น้อย จากการกำกับที่เข้าขั้นเลวร้ายของ สก็อต วอห์น และที่ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีกก็คือบทภาพยนตร์ที่เลวร้ายพอๆกับความแพงของรถ Super Car เหล่านี้ ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมีด้านสว่างเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นผู้กำกับภาพที่ยอดเยี่ยม , แอรอน พอล และ รถ Super Car ที่(โคตรๆ)แพง เพียงแค่สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ใกล้เคียงอะไรกับด้านมืดที่ได้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในภาพยนตร์ไปหมดแล้วเลยแม้แต่น้อย


Final Score : [ C - ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น