วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

Noah ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
ภัยพิบัติแห่งชีวิตกับจิตใจ





                  โนอาห์  ถ้าหากพูดชื่อนี้แล้วล่ะก็ ภาพแรกๆที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คงจะเป็นภาพเรือที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรหรือโลกที่จมอยู่ท่ามกลางสายน้ำเป็นแน่แท้ ซึ่งภาพๆนี้ก็คงจะเป็นหนึ่งในฉากที่ผู้ชมหลายๆคน คงจะตั้งตารอคอยกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว


ต้องขอพูดจากใจจริงว่า ในตอนแรกนั้น เมื่อคิดว่าจะมีคนนำเอาเรื่องราวของ โนอาห์ มาทำเป็นภาพยนตร์ แทบจะรู้สึกว่ามันจะต้องแย่หรือธรรมดาสุดๆแบบภาพยนตร์หายนะโลกเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น 2012 เป็นแน่แท้ แต่ผู้เขียนก็ไปสะดุดเข้ากับชื่อๆหนึ่งในทีมงานภาพยนตร์เรื่องนี้ ชื่อๆนั้นก็คือ ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี้  ซึ่งเรียกได้ว่า เขาเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมากๆคนหนึ่งจากผลงานที่น่าทึ่งอย่างเช่น Requiem for a Dream , The Wrestler หรือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาที่ส่ง   นาตาลี พอรต์แมน เข้าไปได้รับรางวัลออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมอย่าง Black Swan


แต่ยิ่งเมื่อคิดว่าผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง โนอาห์ จะเป็น ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี้แล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ตัวภาพยนตร์ที่ออกมา มันจะไม่เหมือนภาพยนตร์โลกแตกเรื่องอื่นๆอย่างแน่นอน เพราะถ้าผู้ชมท่านใดที่เคยชมภาพยนตร์ของ ดาร์เร็น มาก่อน น่าจะทราบดีว่า จุดเด่นในบทภาพยนตร์และตัวละครของเขาเลยก็คือ การต่อสู้กับจิตใจของตนเอง และรวมไปถึงการตัดต่อที่ต้องอาศัยความไวและเข้าใจโลกภาพยนตร์พอสมควร ถึงจะไม่นั่งเกาหัวอย่างมึนงงทั้งเรื่อง ซึ่งนั้นแหละมันทำให้ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นขนลุก ขนพองขึ้นมาทันทีเลยทีเดียว


ซึ่งเมื่อได้ชมตัวภาพยนตร์จริงๆแล้ว ก็ต้องขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังกับฝีมือการกำกับของ ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี้ เสียจริงๆ จากการตัดต่อเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตาม และมีสไตล์สุดๆ ที่สำคัญเลยก็คือ การตัดต่อในฉากเล่าเรื่องใหญ่ๆของเขานั้นดูมุ่งมั่นและแฝงไปด้วยความหมายเสมอๆ เช่นฉากเล่าถึงเรื่องก่อนโลกจะเกิด ไปจนถึงโลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ซึ่งเป็นการตัดต่อที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยแทนอยู่พอสมควรซึ่งในที่นี้ก็ต้องขอชมความพยายามของคนตัดต่อภาพยนตร์อย่าง แอนดรู เวสบลัม ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าการตัดต่อของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้จะดูเพลาๆลงไปบ้างเพื่อกันการงง ก็ไม่ได้ทำให้สไตล์ของเขาหายไปเลย


และด้วยการที่ตัวดาร์เร็น แอโรนอฟสกีเอง ได้เข้าไปมีส่วนรวมในการเขียนบทด้วย แน่นอนว่าบทภาพยนตร์ที่ออกมานั้นก็แยกได้เป็นสองมิติเช่นเคย มิติหนึ่งก็คือโลกที่เราเห็นในภาพยนตร์ ความวุ่นวาย ความรุนแรง และเรื่องราวของมนุษย์ผู้พยายามจะเอาชีวิตรอด ส่วนอีกมิติหนึ่งก็ยังคงเป็นความขัดแย้งภายในจิตใจของตัวละครเช่นเคย กับการตั้งคำถามในสิ่งต่างๆ เช่น อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง ? อะไรคือสิ่งที่ควรทำ ? มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความดีอยู่ในตัวจริงหรือ ? และอีกมากมาย ซึ่งคำถามเหล่านี้นั้นแตกต่างจากผู้กำกับท่านอื่นๆที่มักจะตอบให้แทนผู้ชมในตอนท้าย ในภาพยนตร์ของดาร์เร็น แอโรนอฟสกีนั้นเขามักจะให้ผู้ชมเป็นคนหาคำตอบเองเสียมากกว่า ซึ่งมันเปิดทางให้กับความคิดเห็นอื่นๆที่แตกต่างกัน โดยไม่ไปขัดความคิดของใครได้อย่างน่าทึ่งมากๆเลยทีเดียว


ในส่วนของด้านทีมนักแสดงเอง โดยรวมก็ถือได้ว่าเป็นที่น่าพอใจทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น รัซเซล โครว , เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี , แอนโทนี ฮ็อปกินส์ , เรย์ วินโสตน , เอมม่า วัตสัน หรือแม้กระทั่ง โลแกน เลอแมน ทุกๆคนต่างแสดงผลงานได้อย่างน่าทึ่งในระดับหนึ่ง สร้างมิติให้กับตัวละครอยู่พอสมควรเลยทีเดียว แต่เมื่อมานั่งเจาะลงเป็นคนๆ ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมซักเท่าไรนัก ทุกๆคนยังสามารถรีดพลังออกมาได้มากกว่านี้ ที่เป็นอยู่ในภาพยนตร์ตอนนี้อยู่ในระดับ พอรับได้เสียมากกว่า


แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าขัดหูขัดตาผู้เขียน และแทบจะทำลายภาพยนตร์ทั้งเรื่องมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Production Design อย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซ็น เพราะ การออกแบบฉากต่างๆ สัตว์ประหลาดต่างๆ มันช่างอยู่ในขั้นเกือบจะเลวร้ายสุดๆ นอกจากมันจะแบน ไม่น่าสนใจ ไม่สร้างสรรค์สุดๆแล้ว มันยังเกือบจะดึงผู้เขียนออกจากตัวภาพยนตร์ด้วยซ้ำไป เพราะความไม่สมจริง ไม่น่าเชื่อถือ และขี้เกียจของมัน


ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ภาพยนตร์ประเภทโลกหายนะ หรือ Adventure เกือบจะ Fantasy เช่นนี้นั้น ต้องอาศัยการสร้างฉาก และ CG อย่างมาก เพื่อให้เราล่องลอยไปกับภาพยนตร์อย่างง่ายดาย เพราะมันสามารถที่จะทำให้เราเชื่อได้ว่า โลกๆนั้น(เสมือน)มีอยู่จริง แต่ที่เป็นอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือความแบนแต๊ดแต๋ น่าเบื่อ ไม่น่าเชื่อถือแม้จะอยู่ในโลกเมื่อสมัยหมื่นปีก่อนก็ตาม


อีกสิ่งหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยถูกใจเท่าไรนัก ก็คือบทสรุปของภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกว่าตัวบทและผู้กำกับ ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี นั้นดันไปฟันธงและชี้นำคนดูมากจนเกินไป ว่าคำตอบและผลของการกระทำของตัวละครมันจะต้องเป็นเช่นนี้ เช่นนี้เท่านั้น ซึ่งแปลกมากๆ เพราะ 90% ของทั้งเรื่องตัวเขาเองก็เป็นคนตั้งคำถามและยื่นมันให้กับผู้ชมตอบเอาเองอยู่ตลอดเวลาแท้ๆ แต่ในตอนจบอยู่ดีๆก็กลับจูงจมูกว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งนอกจากมันจะขัดกับการกระทำของตัวเองมากๆแล้ว มันยังเป็นการกีดกันความคิดเห็นอื่นๆที่แตกต่างจากตนเองอีกด้วยซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆเลยทีเดียว


ถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ดันไปตกม้าตายตั้งแต่เริ่มกับ Production Design ที่สุดแสนห่วยแล้วล่ะก็ พูดเลยว่า โนอาห์ คงจะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่น่าจดจำมากๆเลยทีเดียวในปี 2014 นี้ แต่ที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ แม้แต่บทภาพยนตร์และการกำกับที่น่าทึ่งของ ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี คงจะช่วยอะไรได้ไม่มากอย่างน่าเสียดายจริงๆ


Final Score : [ B ] 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น