Movie Review
Oculus ( 2014 ) Movie Review บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
ความเชื่อ ปะทะ วิทยาศาสตร์ ผี การครอบงำ ปีศาจ มีจริงหรือไม่ ?
Oculus เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ ไมค์ ฟลาเนแกน ที่มีต้นแบบมาจากภาพยนตร์สั้นที่มีชื่อว่า Oculus : Chapter 3 The Man with the Plan ในปี 2006 ของตัวเขาเอง ซึ่งเรียกได้ว่าภาพยนตร์ฉบับเต็มๆของเขาครั้งนี้ มีกระแสพูดปากต่อปากมามากมายในต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มนักวิจารณ์ที่ชื่นชอบเช่นกัน ซึ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากที่จะเข้าไปชมอย่างมากเลยทีเดียว
Oculus เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ เคย์ลีย์กับทิม สองคู่พี่น้องที่พยายามจะพิสูจน์ว่าพ่อของตัวเองไม่ได้ฆ่าแม่ของเธอ แต่เขาถูกผีสิ่งหรืออะไรบางอย่างบังคับให้ทำต่างหาก ซึ่งสิ่งๆนั้นแฝงอยู่ในกระจกที่มีประวัติการตายมามากมาย พวกเขาจะสามารถหาวิธีพิสูจน์ได้หรือไม่ ? แล้วพวกเขาจะทำลายกระจกที่แสนน่ากลัวนี้ได้หรือไม่ ?!
Oculus เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ เคย์ลีย์กับทิม สองคู่พี่น้องที่พยายามจะพิสูจน์ว่าพ่อของตัวเองไม่ได้ฆ่าแม่ของเธอ แต่เขาถูกผีสิ่งหรืออะไรบางอย่างบังคับให้ทำต่างหาก ซึ่งสิ่งๆนั้นแฝงอยู่ในกระจกที่มีประวัติการตายมามากมาย พวกเขาจะสามารถหาวิธีพิสูจน์ได้หรือไม่ ? แล้วพวกเขาจะทำลายกระจกที่แสนน่ากลัวนี้ได้หรือไม่ ?!
สิงที่เรียกได้ว่าโดดเด่นมากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือการตัดต่อและวิธีการเล่าเรื่องของมันนั้นเอง แทนที่จะเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง มันกลับเล่าเรื่องโดยการตัดสลับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านระหว่าง อดีตในวัยเด็กของพวกเขา กับ ปัจจุบันที่โตแล้ว
ซึ่งสิ่งที่น่าทึ่งมากเลยก็คือมันไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกงงหรือสับสนเลยแม้แต่น้อย โดยจุดหลักที่จะแสดงว่าตอนไหนคืออดีต และตอนไหนคือปัจจุบันก็คือตัวละครเอกนั้นเอง ซึ่งมันทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะนอกจากมันจะทำให้เราสงสัยและอยากรู้ตอนจบว่าพวกเขาจะทำลายกระจกนี้ได้หรือไม่แล้ว
มันยังทำให้เราสงสัยและอยากรู้ด้วยอีกว่า พ่อของพวกเขา ฆ่าแม่จริงหรือ ?
แล้วถูกผีสิงจริงหรือ ?
การตัดของตัวภาพยนตร์เองก็มีการใช้วิธีการเชื่อมอดีตกับปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่งและลื่นไหล ไม่ติดขัดอีกด้วย เช่นการตัดโดยใช้ไฟเป็นตัวส่งผ่าน หรือการใช้บางสิ่งบางอย่างในฉากเป็นตัวส่งผ่านระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ซึ่งในส่วนนี้ต้องขอชมผู้กำกับและตัดต่ออย่าง ไมค์ ฟลาเนแกน เสียจริงๆที่นอกจากจะเล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ยังจะตัดต่อได้อย่างยอดเยี่ยมลงตัวด้วยกันเสียอีก
อีกจุดหนึ่งของภาพยนตร์ที่ผู้เขียนประทับใจมากๆเลยก็คือด้านสัญญะหรือสัญญลักษณ์ของมัน โดยเห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มต้นของเรื่องเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ประเด็นหลักของมันจริงๆแล้วไม่ใช่การหาข้อพิสูจน์หรือการล้างแค้นเลย แต่มันเป็นประเด็นของการปะทะระหว่าง ความเชื่อ กับ วิทยาศาสตร์ต่างหาก ในขณะที่ความเชื่อ ก็เชื่อว่าสิ่งๆนี้มีอะไรบางอย่างที่ให้คำอธิบายไม่ได้ ขณะที่วิทยาศาสตร์เองก็พยายามจะหาข้ออธิบายสิ่งๆที่ความเชื่อนั้นอธิบายไม่ได้นั้นเอง
ซึ่งมันทำให้ตัวละครในภาพยนตร์และผู้ชมอย่างเราเองตั้งคำถามตลอดทั้งเรื่องว่า
พวกเขานั้นโดนผีหลอกจริงหรือ ? หรือว่าเป็นสิ่งที่จิตใจของพวกเขาสร้างขึ้นมาเองแล้วพวกเขายอมรับกับความจริงไม่ได้ จนจิตใจของพวกเขาต้องสร้างอะไรบางสิ่งเพื่อเป็นข้อแก้ตัว ?
ซึ่งการปะทะนี้มันช่างน่าสนใจ และน่าติดตามเหลือเกิน เพราะมันเต็มไปด้วยความพยายามในการจะอธิบาย ท้าทาย และลบล้างความคิดของอีกฝ่าย น่าเสียดายที่ในกลางถึงเกือบท้ายๆเรื่อง ตัวภาพยนตร์ดูจะให้ความสำคัญกับประเด็นนี้น้อยลงไปบ้าง
อีกคำถามหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยในภาพยนตร์สยองขวัญก็คือ "มันน่ากลัวไหม ?" หรือในช่วงนี้ก็คงจะเป็น "มันคือผีตุ้งแช่หรือประเภททำให้ตกใจหรือเปล่า" สำหรับในข้อแรกนั้นต้องพูดเลยว่า Oculus เป็นภาพยนตร์ที่น่ากลัวพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ใช่จากเหตุการณ์ประเภทผีตุ้งแช่ หรือตกใจ แต่เป็นแรงกดดันที่เต็มเปี่ยมทุกอณูวินาทีของภาพยนตร์เสียจริงๆ ซึ่งเป็นเหตุมาจากการสร้างสถานการณ์บีบบังคับต่างๆของภาพยนตร์ที่ฉลาด น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา เสมือนกับการที่ตัวเรายืนอยู่ท่ามกลางความมืดและตัวภาพยนตร์ให้ไม้ขีดไฟเรามาหนึ่งอันและท้าให้เราจุดไฟซะ แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าจุดไฟแล้วจะต้องพบอะไร
ในส่วนของคำถามที่ว่ามันคือผีตุ้งแช่หรือประเภท Jump Scare รึเปล่า ต้องบอกเลยว่าพอมีอยู่บ้างในบางฉากแต่ก็น้อยพอสมควร ฉากส่วนใหญ่จะมาจากความกลัวในเหตุการณ์ตรงหน้าจริงๆ ไม่ใช่มาจากเพราะตกใจเฉยๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมากเลยทีเดียว แต่ถ้าหากไม่มีเลยก็คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย เพราะมันทำให้รู้สึกว่าตัวภาพยนตร์กำลังโกงผู้ชมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ในด้านของตัวละครแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวโดยเฉพาะ 3 ตัวละครหลักอย่าง เคย์ลีย์ ทิม สองพี่น้องหลักของเรื่อง และมารีย์ แม่ของพวกเขา ซึ่งแต่ละตัวละครนั้นมีมุมต่างๆที่น่าสนใจ น่าติดตาม และพวกเขาพอที่จะมีมันสมองเอาไว้ใช้คิดอยู่บ้าง ไม่ใช่ประเภทน่าตั้งคำถามทุกการกระทำแบบภาพยนตร์สยองขวัญหลายๆเรื่อง ถึงแม้ว่าตัวละครพ่ออย่างอลันจะดาษๆไปบ้างก็ถือว่ายังอยู่ในจุดที่พอรับได้ แต่บุคคลที่ดูเหมือนจะแสดงผลงานได้อย่างโดดเด่นมากที่สุดก็คงจะเป็น
เคธี่ แซ็คฮอฟฟ์ ที่เติมมิติให้กับตัวละครมารีย์ได้อย่างน่าทึ่งมากๆเลยทีเดียว
ในด้านของบทภาพยนตร์นั้นจริงๆแล้วต้องพูดเลยว่าน่าสนใจมากๆเลยทีเดียว กับการพิสูจน์ความจริงครั้งนี้ของสองตัวละครหลัก และความขัดแย้งทางความคิดของทั้งคู่ แต่น่าเสียดายที่หลายๆจุดนั้นยังเต็มไปด้วยจุดบกพร่องหรือจุดโต้แย้งได้ว่าทำไมตัวละครถึงทำเช่นนั้นอยู่บ้าง หรืออะไรหลายๆสิ่งที่ยัง Cliche ซ้ำซาก เดาง่ายอยู่บ้าง เช่นตำรวจในหนังผีที่มักจะมาสายตลอดเวลา หรือ ตัวละครที่จะหนีก็ทำได้ง่ายๆแต่กลับยังจะเข้าไปเผชิญปัญหาอีก เป็นต้น
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ตัวภาพยนตร์ Oculus ทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุดก็คือการตั้งคำถามให้กับผู้ชมตอบ ว่าตกลงมันมีผีจริงหรือไม่ หรือจิตใจของพวกเขาสร้างขึ้นมาเองซึ่งเป็นจุดทีตัวละครในภาพยนตร์กำลังเผชิญอยู่ แต่เนื่องจากการเล่าเรื่องที่แสนจะยอดเยี่ยมและติดหนึบของมันทำให้เราเสมือนเข้าไปเป็นหนึ่งในตัวละครจนส่งผลมาถึงผู้ชมอย่างเราๆที่ก็ตั้งคำถามไปพร้อมๆกับตัวละครอย่างไม่ทันรู้ตัวว่าตกลงมันคืออะไรกันแน่ นี้ยังไม่รวมถึงความกดดันที่เต็มเปี่ยม กับ ตัวละครที่น่าทึ่งในภาพยนตร์อีกด้วย ถึงแม้ว่าบทสรุปของภาพยนตร์จะออกแนว ขี้โกงและหาทางออกได้ก่ำๆกึ่งๆอยู่บ้างอย่างน่าเสียดาย แต่นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สยองขวัญที่น่าทึ่งเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
และเมื่อคุณได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วอย่าลืมตอบคำถามที่ว่า คุณเชื่ออย่างไหน ระหว่าง ความเชื่อว่าผีมีจริง และเป็นเหตุที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมด หรือ ทุกอย่างเป็นเพียงแค่สิ่งที่จิตใจของพวกเขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นข้อแก้ตัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันแน่ คำตอบที่แท้จริงน่ะหรือ ? ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว !!
Final Score : [ A - ] & [ Must See Badge ]
สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .
สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น