วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Unbroken ( 2014 ) Movie Review

Unbroken ( 2014 , แองเจลีน่า โจลี ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"Unbroken พิสูจน์ว่าการผูกเรื่องและสร้างตัวละครในต้นเรื่องสำคัญมากแค่ไหน
เพราะนั้นคือสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ล้มเหลวมากที่สุด"


                ย่างที่ผู้อ่านหลายๆท่านน่าจะทราบกันดี ว่าปี 2014 ที่ผ่านมานั้น เป็นปีแห่งภาพยนตร์ชีวประวัติอย่างแท้จริง ตั้งแต่ Selma , The Imitation Game , The Theory of Everything , Foxcatcher และ American Sniper


ถึงแม้ว่าจำนวนภาพยนตร์ชีวประวัติจะเยอะพอสมควร แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าภาพยนตร์ชีวประวัติทุกเรื่องจะประสบความสำเร็จเสมอไป และนั้นก็คือสถานะความเป็นจริงของภาพยนตร์เรื่อง Unbroken อยู่ในตอนนี้



Unbroken เป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากหนังสือของลอรา ฮิลเลนแบรนด์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของลูอิสนักกีฬาโอลิมปิกที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของเขานั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากเกินกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้ และนี้คือบทพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้


สิ่งที่ต้องจดจำเอาไว้เสมอสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้สิ่งแรกเลย ก็คือความจริงที่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกกำกับโดยนักแสดงสาวสวย แองเจลีนา โจลี ซึ่งกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองเท่านั้น ซึ่งถึงแม้ว่าหน้าตาและรูปร่างของเธอจะทำให้คนทั่วโลกหันมามองก็ตาม แต่ฝีมือการกำกับของเธอนั้นยังทำได้ดีไม่ถึงครึ่งของความงามในตัวเธอเลยแม้แต่น้อย


โดยเฉพาะการเปิดเรื่อง การผูกปม สร้างพื้นหลังของตัวละครให้ผู้ชมรู้สึกสนใจ และหลงรักไปในตัวละครในภาพยนตร์ ซึ่งตัว แองเจลีนา โจลี ยังทำได้ไม่ดีนัก ซึ่งสาเหตุหลักๆเลยก็คือเธอพยายามเร่งจังหวะตัวภาพยนตร์เพื่อให้ไปถึงจุดกลางเรื่องที่เป็นจุดสำคัญของเรื่องให้เร็วที่สุดมากจนเกินไป ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อจุดที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์ ก็คือจุดที่ตัวละครเอกตกอยู่ในสภาวะลำบากสุดขีดนั่นเอง


แต่ปัญหาก็คือในช่วงระหว่างที่เธอกำลังเร่งจังหวะเรื่องราวในช่วงต้นเรื่องนี้เอง การเล่าเรื่องของเธอยังไม่ยอดเยี่ยมพอหรือละเอียดพอที่จะสามารถถ่ายทอดตัวละครออกมาได้อย่างเต็มที่ในระยะเวลาอันสั้น ผลก็คือกลายเป็นว่าทุกๆอย่างในช่วง 30 นาทีแรกถูกกดรีโมทเร่งจังหวะหรือ fast forward ซะหมด จนเราไม่สามารถที่จะจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ซักอย่าง ตั้งแต่ตัวละครที่ถูกปูเรื่องอย่างเร่งรีบจนเราไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วม หรือปมปัญหาของตัวละครที่ถูกถ่ายทอดอย่างลวกๆ




ซึ่งความที่เราไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วม และไม่รู้สึกอยากที่จะเอาใจช่วยตัวละครหลักนี้นั่นเอง เป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงมากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะในท้ายที่สุดแล้วต่อให้ตัวละครนี้จะประสบพบเจอกับปัญหาร้ายแรงเท่าใด เราก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านหรือแม้กระทั่งใส่ใจความเป็นตายของตัวละครนี้เลย กลับกันเลยก็คือความจริงที่ว่าเรารู้สึกถึงตัวละครนี้ ในรูปแบบที่ก็เป็นได้แค่อีกหนึ่งตัวละครที่ไม่ได้แตกต่างหรือสำคัญมากไปกว่าตัวละครอื่นๆในเรื่อง


และนั่นถือได้ว่าเป็นอารมณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้ในภาพยนตร์ชีวประวัติซึ่งเราควรจะรู้สึกร่วมไปกับตัวละครหลักที่ถูกเลือกและคัดสรรมาแล้ว ว่าบุคคลนี้ เป็นบุคคลที่น่าสนใจ น่าจดจำ หรือสามารถที่จะสอนและให้ข้อคิดอะไรบางอย่างให้กับผู้ชมได้ แต่ถ้าหากในท้ายที่สุดพอเราชมภาพยนตร์แล้วเรากลับรู้สึกว่าเขาก็เป็นแค่คนๆหนึ่งที่ก็ไม่ได้พิเศษอะไรนั้นก็แสดงได้ถึงความล้วเหลวอย่างร้ายแรงอะไรบางอย่างในภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ซึ่งในกรณีของ Unbroken ก็คือช่วงต้นเรื่องที่ล้มครืนอย่างไม่เป็นท่า และในเมื่อตัวละครที่ควรจะเป็นศูนย์กลางทั้งหมดของเรื่องกลับไม่น่าสนใจ ปัญหาอื่นๆก็จะเริ่มตามมาทีละเล็กทีละน้อย 


อย่างเช่นตัวละครร้ายในภาพยนตร์ซึ่งก็หนีไม่พ้นตัวละครฝั่งญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งการสอดแทรกเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักกับตัวละครญี่ปุ่นนี้ถือได้ว่าน่าสนใจทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ตัวละครร้ายในภาพยนตร์ยังถูกเขียนมาได้ไม่ลึกและน่าสนใจพอเท่าไรนักที่จะทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวละครนี้ได้ ถึงแม้ว่าจะมีการสอดแทรกทัศนะคติของผู้ที่กำลังจะพ่ายแพ้ในสงคราม และสร้างพื้นหลังของตัวละครก็ตาม แต่ในเมื่อการเล่าถึงเบื้องลึก เบื้องหลังและเหตุผลของตัวละครนี้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างจืดชืด ซ้ำซาก และย่ำอยู่กับที่นี้แล้ว  ผลสุดท้ายตัวละครญี่ปุ่นนี้ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอะไรไปได้มากกว่าอีกหนึ่งตัวละครร้ายที่แทบจะไม่สามารถหาเหตุและผลของความยโสโอหังได้เลย เสมือนเป็นแค่อีกหนึ่งตัวละครที่มีเอาไว้เพียงแค่ให้ตัวละครเอกที่สุดแสนจะน่าเบื่อ ก้าวข้ามไปสู่จุดถัดไปก็เท่านั้น


นี้ยังไม่นับถึงการคลี่คลายปมปัญหาและบทสรุปของเรื่องที่ให้ความรู้สึกง่ายและสะดวกสบายเกินไป เสมือนอยู่ดีๆอยากจะตัดจบก็จบเลย โดยปราศจากเหตุผลที่น่าเชื่อถือหรือหนักแน่นใดๆ ที่น่าอนาถเข้าไปอีกก็คือข้อความในตอนจบเรื่อง ที่พยายามตอกย้ำถึงความน่ายกย่องของบุคคลนี้ ตัวละครนี้ น่าเสียดายที่เราไม่อาจที่จะมีอารมณ์ร่วมไปกับข้อความเหล่านี้ได้ เนื่องจากเราไม่เคยแม้แต่ที่จะใส่ใจความอยู่รอดหรือเห็นถึงความพิเศษของตัวละครนี้เลย




ที่น่าเสียดายเลย ก็คือการเล่าเรื่องในช่วงกลางเรื่องของแองเจลีนา โจลี ซึ่งกลับทำได้ดีอย่างน่าตกใจ ตั้งแต่การผสมผสานฉากระทึกขวัญเข้าไปเพื่อไม่ให้ภาพยนตร์น่าเบื่อจนเกินไป หรือการถ่ายทอดตัวละครที่ตกอยู่ในสภาวะจนมุมก็ทำได้ดีทีเดียว หรือการถ่ายภาพรวมถึงเพลงประกอบในภาพยนตร์ก็ทำออกมาได้อย่างน่าทึ่งและทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจขึ้นมาบ้าง


แต่ในเมื่อทุกอย่างมันได้ล้มกองระเนระนาดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในต้นเรื่อง สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออีกในภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากอารมณ์ระทึกขวัญซึ่งนำมาสู่บทสรุปที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง



Unbroken คือภาพยนตร์ที่พิสูจน์ว่าการผูกเรื่องและสร้างตัวละครในต้นเรื่องสำคัญมากแค่ไหน ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ล้มเหลวในจุดนี้อย่างไม่เป็นท่า จนพาเอาจุดอื่นๆที่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้แย่นักล่มจมไปด้วย ผลสรุปทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้ในท้ายที่สุด ก็คือภาพยนตร์ชีวประวัติที่ไม่สามารถจะสร้างความแตกต่างหรือความน่าจดจำให้กับผู้ชมได้เลยแม้แต่น้อย

Final Score : [ C  ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น