วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Wild Card ( 2015 ) Movie Review

Wild Card ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"ผลของความพยายามในภาพยนตร์เรื่อง Wild Card 
ก็คือภาพยนตร์แอ็คชั่นที่กระจัดกระจายและไม่เป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง"


 ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เจสัน สเตทแธม ไม่ว่ายังไงก็คือนักแสดงแอ็คชั่นที่ไว้ใจได้เสมอในด้านของการแสดงฉากต่อสู้บู้ล้างผลาญทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ ที่เขาได้ก้าวไปมีส่วนร่วมในภาพยนตร์อย่าง Fast and Furious ภาค 7 ที่กำลังจะถึงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีทีเดียว 


ถึงกระนั้นก็ตาม ในภาพยนตร์ที่มีเจสัน สเตทแธม นำแสดง ก็มักจะหนีไม่พ้นบทภาพยนตร์อันดาษดื่น ซ้ำซากและไม่มีความน่าสนใจซักเท่าไรนัก ซึ่งดูเหมือนจะได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้เขียนส่วนตัวได้เริ่มเลิกคาดหวังในภาพยนตร์ของเจสัน สเตทแธม ไปเรียบร้อยแล้ว




ซึ่งเป็นที่น่าสนใจ ที่ผู้กำกับ ไซมอน เวส เจ้าของผลงานอย่าง Lara Croft: Tomb Raider (2001) , The Mechanic (2011) และ The Expendables 2 (2012) ได้เลือกตัดสินใจที่จะพยายามจัดเรียงทั้งในด้านของฉากต่อสู้ แอ็คชั่น และบทภาพยนตร์ให้เท่าเทียมกัน


Wild Card เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้คุ้มกันรับจ้างฝีมือฉกาจใน ลาส เวกัส ซึ่งบังเอิญเข้าไปพัวพันเข้ากับแก๊งอันตรายเข้าให้ ท่ามกลางเป้าหมายในชีวิตที่เริ่มเลือนลางของเขา การตัดสินใจครั้งนี้อาจจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเขาก็เป็นได้ ?


ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหลายต่างๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก่อนอื่นต้องขอพูดก่อนเลยว่า เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากพอตัว สำหรับผู้กำกับ ไซมอน เวส ในความพยายามที่จะเล่าเรื่องราวในตัวภาพยนตร์ออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการให้ความสำคัญในการเล่าเรื่องตัวละคร มากกว่าการยัดเยียดฉากต่อสู้ แอ็คชั่นเข้ามาเพียงแต่อย่างเดียว ซึ่งถึงแม้ว่าผลของการกระทำครั้งนี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จดีนัก แต่ความพยายามนี้ก็ถือว่าน่าชื่นชมทีเดียว


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่า Wild Card คือภาพยนตร์ที่สับสน แข็งกระด้าน และกระเด็นกันไปคนละทิศทางหมดเสียจริงๆ




ด้วยบทภาพยนตร์ที่น่าสนใจในด้านของตัวละครที่ล้อเล่นอยู่กับความ"สมบูรณ์แบบ"ในความเป็นชายได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนั้นแล้วยังนำเรื่องของชนชั้นในสังคมมาเสียดสีได้เป็นอย่างดี
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ดันทิ้งช่องว่างซึ่งเต็มไปด้วยเหตุผลและข้ออ้างอันเบาอย่างกับขนนกไว้เต็มไปหมด ตั้งแต่ตัวละครบางตัวที่ไม่อาจทราบได้ว่าไปรู้จักกับตัวละครเอกตั้งแต่เมื่อไร , ที่มาและเหตุผลของความสามารถตัวละครเอกซึ่งถูกให้เหตุผลแบบลวกๆ ไปจนถึงความสัมพันธ์ของตัวละครที่เบาบางจนไม่น่าเชื่อถือ นอกเหนือจากนี้ที่หนีไม่พ้นเลยก็คือความซ้ำซากในบางด้านของบท เช่นปมปัญหาของตัวละครหรือบทพูดที่เราเคยได้ยินมาก่อนแล้วในภาพยนตร์ประเภทเดียวกันเรื่องอื่นๆไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


ที่ย่ำแย่อีกอย่างก็คือตัวละครร้ายของเรื่องที่ไม่มีความสามารถในการต่อกรกับตัวเอกได้เลยแม้แต่น้อยเสมือนพระเอกเจสัน สเตทแฮมของเรา เปิดโหมดพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครที่สามารถจะทำอันตรายหรือแม้กระทั่งมีโอกาสทำอันตรายกับเขาได้เลย ซึ่งทำให้ความน่าตื่นเต้นและความน่าเอาใจช่วยตัวละครเอกในภาพยนตร์ลดลงอย่างมาก เนื่องจากไม่มีเวลาใดที่เราจะรู้สึกว่าเขาตกอยู่ในอันตรายเลย


อีกหนึ่งจุดที่ค่อนข้างจะเป็นเหตุที่ฉุดตัวภาพยนตร์ลงมาอยู่ไม่ใช่น้อย ก็คือการกำกับของ ไซมอน เวส ซึ่งค่อนข้างจะหายนะพอสมควร 
ด้วยการเล่าเรื่องที่แข็งทื่อ ไร้ซึ่งชั้นเชิง และน่าเบื่อ ยิ่งผนวกเข้ากับ การวางมุมกล้องที่พื้นๆ และอารมณ์ของเรื่องที่เชื่องช้า มืดมัวอยู่ตลอดเวลา ก็ทำให้รู้สึกทรมาณอยู่บ้างเป็นครั้งคราว




ยังถือว่าโชคดีที่เมื่อ Wild Card เข้าสู่ฉากต่อสู้ เตะต่อย ก็ทำให้ตัวภาพยนตร์กลับมาน่ามองและน่าติดตามทันที เจสัน สเตทแฮม ยังคงนำแสดงฉากเหล่านี้ได้อย่างน่าเกรงขาม เก่งกาจ และโหดซะใจเช่นเคย ถึงแม้ว่าในด้านการกำกับฉากต่อสู้ของ ไซมอน เวสจะไม่ค่อยน่าประทับใจซักเท่าไรนัก เพราะเขายังคงอาศัยแต่การตัดต่อที่รวดเร็วเป็นหลัก มากกว่าการออกแบบฉากต่อสู้ที่น่าทึ่ง หรือการเลือกใช้เทคนิคอื่นๆที่ดีกว่านี้ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่อาการหนักถึงขั้นตัดทุกครึ่งวินาทีแบบภาพยนตร์บางเรื่อง (Taken 3 (2015) กำลังพูดถึงนายอยู่นะ) ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ทำให้ฉากต่อสู้เหล่านี้ ยังพอสนุก ตื่นเต้นไปด้วยได้ในระดับพอถูๆไถๆและให้อภัยได้บ้าง


สุดท้ายแล้ว เมื่อนำส่วนผสมทุกอย่างมารวมกัน ถึงแม้ว่าความพยายามของผู้กำกับไซมอน เวส จะน่าชื่นชม แต่ในเมื่อตัวบทภาพยนตร์ก็ดันเต็มไปด้วยความซ้ำซากและช่องว่างมากมายที่ไม่มีคำตอบที่น่าเชื่อถือเพียงพอ และแม้กระทั่งการกำกับของตัวเขาเองก็น่าเป็นห่วง ทำให้ผลและบทสรุปของ Wild Card ก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าภาพยนตร์แอ็คชั่นที่กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง และไม่เป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง


Final Score : [ C ] 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น