วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

Fast and Furious 7 ( 2015 ) Movie Review

Fast and Furious 7 ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์ โดย FallsDownz



"ฉีกทุกกฏวิทยาศาสตร์ ฉีกทุกกฏความมันส์"


ถ้าจะพูดถึงภาพยนตร์ประเภทแข่งรถแล้ว อีกหนึ่งภาพยนตร์ซีรียส์ ที่นอกจากจะโด่งดังแล้ว ยังจะสามารถรักษาคุณภาพของตัวเองมาได้โดยตลอด ก็คือซีรียส์ Fast and Furious ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ภาคแรก The Fast and the Furious ในปี 2001 ยาวมาถึงภาคที่ 7 ในปี 2015 นี้

Fast and Furious 7 ว่าด้วยเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้ว โดเมนิก จะต้องตามไล่ล่าผู้ที่สังหารเพื่อน และทำร้ายครอบครัวของเขาให้จงได้



สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยในแทบจะทุกภาคของ Fast and Furious ก็คือความที่มันละเมิดแทบจะทุกกฏและทฤษฏีวิทยาศาสตร์ทั้งหลายแหล่ รวมถึงความโอเวอร์และความบ้าบอที่เริ่มที่จะมากขึ้นเข้าไปทุกภาคๆ โดยเฉพาะตัวละครเอกทั้งหลาย ที่ไม่รู้ว่าไปสักยันต์หรือไปทำบุญวัดไหนมา เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาประสบกับประสบการณ์เฉียดตาย พวกเขาก็มักจะรอดมาได้เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นรถตกหน้าผาตีลังกาไม่รู้กี่สิบตลบ หรือรอดจากการถูกเฮลิคอปเตอร์ไล่ล่าได้อย่างฉิวเฉียด เรียกได้ว่าถ้าวันไหนพวกเขาเกิดดวงซวยขึ้นมา วันนั้นก็คงจะทำให้พวกเขากลายเป็นโก้โก้ครันช์อย่างแน่นอน

นอกเหนือจากนั้นแล้ว บทภาพยนตร์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยจะเป็นจุดโดดเด่นของภาพยนตร์ซีรียส์นี้ โดยเฉพาะพล็อต ที่ก็ยังคงใช้พล็อตที่เข้าใจง่าย และธรรมดาอยู่เช่นเคย ซึ่งภาคนี้ก็ยังคงไม่แตกต่าง เพียงคุณรู้แค่ว่า นี้คือภาพยนตร์ล้างแค้น คุณก็แทบจะรู้เรื่องราวทั้งหมดในเรื่องแล้ว


ถึงกระนั้นก็ตาม Fast and Furious ก็เป็นภาพยนตร์ซีรียส์ ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านำพามาซึ่งความสนุก ตื่นเต้น และอะดรีนาลีนพลุ่งพลานได้เป็นอย่างดี และในภาค 7 นี้ก็เช่นเดียวกัน 

ใช่ฉากแอ็คชั่นโลดโผนเหล่านี้มันสุดจะโอเวอร์เหนือจริง แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ว่า มันโคตรจะ"มันส์"เลยเช่นกัน เพราะเนื่องจากความเหนือจริงของมันนี้แหละ จึงทำให้ฉากแอ็คชั่นเหล่านี้สามารถแทบที่จะทำอะไรก็ได้ หลุดโลกเท่าไรก็ได้ ในด้านของความตระการตา ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงแทบที่จะได้เต็มไปเลยทีเดียว นี้ยังไม่นับถึงการมาร่วมงานของ เจสัน สเตทแธม และ จา พนม ที่สร้างความสมน้ำสมเนื้อระหว่างตัวละครเอก และ ตัวร้ายได้อย่างน่าติดตามทีเดียว



อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ Fast and Furious ภาคนี้กำกับโดย เจมส์ วาน ซึ่งเคยมีผลงานโด่งดังเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญอย่าง Saw ( 2004 ) , Insidious ( 2010 ) และ The Conjuring ( 2013 ) นี้ถือได้ว่าแทบจะเป็นการพลิกบทบาทการกำกับเลยทีเดียว จากเจ้าพ่อภาพยนตร์สยองขวัญ มากำกับภาพยนตร์แอ็คชั่น 

ซึ่งโดยรวมการกำกับของ เจมส์ วาน ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องเชื่อมต่อระหว่างฉากแอ็คชั่นและฉากพูดคุยของตัวละคร หรือ การปูจุดขัดแย้งของเรื่อง ถึงแม้ว่าการกำกับฉากแอ็คชั่น และการเล่าเรื่องต่างๆอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบและค่อนข้างจะธรรมดาพื้นๆไปบ้างก็ตาม

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยว่าซีรียส์ Fast and Furious ทำได้ยอดเยี่ยมเหนือภาพยนตร์แข่งรถ / แอ็คชั่นอื่นๆ ก็คือความผูกพันธ์ระหว่างผู้ชมกับตัวละคร ที่เราแทบจะรู้สึกเหมือนตัวละครเหล่านี้เป็นเพื่อนหรืออาจจะเป็นครอบครัวของเราขึ้นมาจริงๆ เหมือนกับประเด็นที่ตัวภาพยนตร์มักจะพยายามตอกย้ำ ซึ่งพูดถึงความสำคัญของครอบครัวอยู่เสมอๆ ซึ่งเราในฐานะผู้ชมก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งสาเหตุนี้นอกจากจะมาจากจำนวนภาคที่มากถึง 7 ภาคแล้ว ยังจะมาจากตัวละครเหล่านี้ ที่มีความเป็นมนุษย์ซึ่งน่าติดตาม น่าคอยเอาใจช่วย และการเข้าไปรู้จักกับพวกเขา ก็ยังทำให้เราผูกพันธ์ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

ซึ่งด้วยสาเหตุนี้เอง ข่าวการจากไปของนักแสดงหลักอย่าง พอล วอล์กเกอร์ ก็ทำให้แฟนๆหลายคนสะเทือนใจไม่ใช่น้อย และมันก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ทางทีมเขียนบทและผู้กำกับ เจมส์ วาน จะเขียนบทสรุปให้กับตัวละครของพอลอย่างไร และก็ต้องขอชมในส่วนนี้เสียจริงๆ กับฉากบทสรุปของพอลที่นอกจากจะสมบูรณ์แบบแล้ว ยังจะฉลาดมากอีกด้วย



ในท้ายที่สุดแล้ว Fast and Furious 7 ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เรารู้จักกันดี ด้วยฉากแอ็คชั่นสุดโอเวอร์ และพล็อตที่สุดแสนจะธรรมดา แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกและความบันเทิงของภาพยนตร์ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ที่น่าประทับใจมากที่สุดเลย ก็คือบทสรุปของตัวละคร พอล วอล์กเกอร์ ที่น่าจดจำและอาจที่จะทำให้คุณเสียน้ำตาอย่างง่ายดาย


Final Score : 7.5 / 10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น