วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

FALLSDOWNZ MOVIES AND GAMES AWARD 2012

MOVIE AWARDS OF 2012



นี้คือลิสต์ภาพยนตร์ปีนี้ที่ทางผู้เขียนประทับใจ และอยากจะให้รางวัล ในแต่ละสาขา โดยการตัดสินนั้นมาจากผู้เขียนล้วนๆ คนเรานั้น ชอบ-ไม่ชอบไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อย่าเชื่อผมทั้งหมดครับ ดูด้วยตัวเองดีที่สุด !! และต้องขอบอกว่าในลิสต์นี้ในส่วนของภาพยนตร์ มีหลายๆเรื่องในปี 2012 ที่ผมยังไม่ได้ดูเลย เนื่องจากดูไม่ทันบ้าง และบางเรื่อง ในอเมริกาเข้าไปแล้ว เมืองไทยยังไม่รู้เลยว่าจะฉายเมื่อไรก็มี ทำให้ลิสต์อาจจะตกหล่นไปบ้าง 





MOVIE OF THE YEAR 2012


ผู้เข้าชิง: 
- Argo
- Life of Pi
- Cloud Atlas
- The Avengers
- Prometheus
- Looper
- Dredd 3D
- The Impossible



และผู้ชนะในสาขา ภาพยนตร์แห่งปี 2012 MOVIE OF THE YEAR OF 2012 ได้แก่........




"Cloud Atlas" 


                                                                   ด้วยการแยกในแต่ละส่วนในภาพยนตร์มากมายหลายส่วน แต่ยังคงสามารถที่จะรักษาความสุดยอดในทุกๆส่วนได้อย่างดีเยี่ยม รายละเอียดที่มาก ในแต่ละยุค แต่ละสมัยในภาพยนตร์ตั้งใจทำมาอยากดี โดยที่แม้แต่ฉากเล็กๆก็ยังให้ความสำคัญมาก และคำคมที่เชือดเฉียนคู่แข่งที่น่ากลัวในปีนี้อย่าง Argo ไปได้อย่างหวุดหวิด ยิ่งในส่วนที่หนังนั้น "ไม่ดูถูก" คนดูเลยแม้แต่น้อย ไม่มีฉากใดๆเลยที่ผู้กำกับ จะยั้งมือ หรือ ทำคุณเหมือนเด็กอมมือมานั่งดูหนังเด็กเล่นซ้ำซากๆ นักแสดงในภาพยนตร์แต่ละคนก็เล่นได้อย่างสุดยอด โดยแต่ละคนเล่นไม่ต่ำกว่า 5-6 ตัวละครในภาพยนตร์ 1 เรื่อง !! แถมบางตัวละครนิสัย ท่าทาง ต่างๆ ก็ไปกันคนละโลกแต่ก็ยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์แห่งปีที่เพอร์เฟ็คด้วยความอลังการ แต่ไม่ลืมถึงจุดเล็กๆ ที่ค่อยๆใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนคุณไม่สามารถที่จะหยุดหยั้งมันได้ ถึงแม้ในด้านรายได้จะค่อนข้างร้ายแรง ผมต้องขอบอกว่า ท่านใดที่ไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณพลาดแล้ว !!





WORST MOVIE OF THE YEAR 2012


ผู้เข้าชิง:
- Paranormal Activity 4
- Journey 2 
- Stolen
- Resident Evil 5 
- Snow White and the Hunts man



และผู้ที่ชนะรางวัล ภาพยนตร์สุดห่วยแห่งปี 2012 หรือ WORST MOVIE OF THE YEAR 2012
ได้แก่.....




" Journey 2 : The Mysterious Island "

ภาพยนตร์ห่วยแตกแห่งปี Journey 2 ต้องขอบอกเลยว่าชีวิตนี้เกิดมาไม่เคยเจอหนังเรื่องใดที่ขี้เกียจขนาดนี้ CG 60-70% ในหนังมันไม่ใช่ CG ด้วยซ้ำ !! แต่มันคือเอา Wallpaper มาแปะ !! นี้พวกคุณขี้เกียจกันขนาดนี้เลยหรอ ยิ่งพูดถึงบทยิ่งน่าอนาจ บทหลักๆที่ครึ่งๆกลางๆ แถมยังซ้ำซากน่าเบื่ออยู่แล้ว พอเอาเข้าจริง ยิ่งแย่เข้าไปอีก บทพูดต่างๆ ทำออกมาขัดกันเองไร้ซึ่งเหตุผล และน่าเบื่อเป็นที่สุด CG สัตว์ประหลาดที่ควรจะยิ่งใหญ่น่ากลัว แต่กลับแข็งไร้ซึ่งอารมณ์แถมยังดูน่าตลกอีกต่างหาก ฝีมือการตัดต่อที่เลวร้ายกว่าเด็กมหาลัยด้วยซ้ำ ถึงแม้ในปีนี้จะมีหนังห่วยแตกอย่าง PA4 ที่ห่วยไม่แพ้กัน แต่อย่างน้อย อย่างน้อย !! PA4 ก็ไม่ได้ดูถูกคนดูโดยการเอา Wallpaper มาแปะเช่นนี้ มันช่างน่าทุเรศสิ้นดี ได้โปรดไม่เอาแล้วนะ Journey 3 เลิก เลิก !! (อยากจะบอกว่าได้ยินข่าวแว่วๆมาด้วยว่าจะมี ม่ายยยยยยยยยยยยยยยย)





MOST DISAPPOINTED MOVIE OF THE YEAR 2012



ผู้เข้าชิง:
- The Dark Knight Rises
- Skyfall
- Total Recall
- The Amazing Spider-man
- The Hobbit : Unexpected Journey


และผู้ที่ชนะรางวัล ภาพยนตร์ที่น่าผิดหวังย้ำนะครับน่าผิดหวังนะ ไม่ใช่แย่หรือห่วยนะ !! แห่งปี 2012 หรือ MOST DISAPPOINTED MOVIE OF THE YEAR 2012 ได้แก่...





" The Dark Knight Rises "


                                                               หลายๆคนคงแทบอยากจะฆ่าผมแน่เลยสำหรับรางวัลนี้ ในภาคที่แล้ว The Dark Knight นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ทั้งฉลาด กดดัน และมืดมน ที่แฟนภาพยนตร์ทุกคนต้องเคยดูไปแล้วอย่างต่ำคนละ 3-4 รอบ เพราะมันช่างสุดยอดจริงๆ พอมาภาคนี้ไอ้ผมก็คาดหวังว่ามันจะสุดยอดเช่นภาคที่แล้ว แต่ที่ไหนได้ พอไปดูจริงกลับช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก ความกดดัน ความมืดมน มันหายไปไหนหมด ? ฉาก Action ที่สุดจะธรรมดา.... ฉากไคลแมกซ์ของหนังก็ไม่ได้น่าประทับใจขนาดนั้น รวมถึงบางฉากยังน่าผิดหวังมากๆอีกด้วย จะไปว่าบทไม่เทพก็คงไม่ใช่ แต่เหมือน อารมณ์เดิมๆ ความสุดยอดบางอย่าง มันหายไปแล้วในภาคนี้ ...... หรือนี้จะเป็นผลมาจากที่ตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์ หายไปก็ไม่ทราบ ? 





MOST OVERPOWER MOVIES OF 2012


ผู้เข้าชิง:
- Dredd 3D
- Silent Hill : Revelation 3D
- Life of Pi
- Looper


และผู้ที่ชนะรางวัล ภาพยนตร์ที่ดีเกินคาดแห่งปี 2012 หรือ MOST OVERPOWER MOVIES OF 2012 หนังเหล่านี้จากการคาดเดาดูภายนอกน่าจะเป็นหนังที่ไม่ได้ดีมากมายนัก แต่เมื่อเราดูจริงๆแล้วกลับดีกว่าที่คาด แต่ผู้ชนะมีได้เพียงแค่ เรื่องเดียวเท่านั้น และเรื่องนั้นก็คือ...





" Silent Hill : Revelation 3D "

ต้องขอบอกสำหรับคนที่ไม่รู้ก่อนเลยว่า Silent Hill ทั้งสองภาคนั้นมีต้นแบบมาจากวิดีโอเกม ซึ่งเราคงจะรู้ๆกันดีว่า เกมที่สร้างมาจากหนัง หรือ หนังที่สร้างมาจากเกม มักจะห่วยแตกสุดจะทนสุดๆ... แต่ Silent Hill : Revelation 3D กลับไม่ใช่เลย เพราะผู้สร้างให้ความเคารพต้นแบบและแฟนๆเอามากๆ หลายๆสิ่งที่อยู่ในเกมก็มาอยู่ในหนังด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่างๆใน Silent Hill ในเกมที่ในหนังทำออกมาเหมือนโคตรๆ เช่น ตุ๊กตากระต่ายหลอน มาสค็อตประจำเกม Silent Hill แม้กระทั่งแผนที่ในหนังก็ยังโคตรเหมือนในเกม !! นอกจากนั้นฉากตื่นเต้น ตกใจต่างๆก็ทำได้ดีไม่ใช่เอามุขเดิมๆลอกมาเป็นรอบที่แสนล้านอีกต่อไป พอดูจบผมแทบจะยืนขึ้นตรบมือให้เรื่องนี้ แล้วพูดประมาณว่า "ยินดีด้วย Hollywood ทำสำเร็จแล้วนะ"






GAME OF THE YEAR OF 2012



ผู้เข้าชิง :
- Guild Wars 2
- Journey
- Dragon's Dogma
- Borderlands 2
- Final Fantasy XIII-2
- Walking Dead The Game



และผู้ที่ชนะในสาขา เกมแห่งปี หรือ Game of \the year 2012 ได้แก่...
(ต้องขอบอกก่อนเลยว่าตัวผมเองเล่นเกมไม่เยอะ เพราะฉะนั้นจะว่าลิสต์นี้ค่อนข้างจะความชอบส่วนตัวก็ว่าได้ครับ เพราะยังมีอีกหลายเกมที่เทพๆแต่ผมยังไม่ได้เล่นเลย...)




" Journey "

เกม Exclusive เฉพาเครื่อง PS3 เท่านั้น ที่พาคุณท่องดินแดนใหม่ พอกันทีกับ การฆ่าฟัน ยิงระเบิดตูมตามที่เราต้องยอมรับว่าช่วงนี้หันไปทางไหนก็มีแต่ฆ่าฟันกันทุกเกม แต่เกมนี้ ไม่ใช่เลย แต่ถึงกระนั้น Soundtrack ที่เกินคำว่าสุดยอดไปแล้ว กับเกมเพลย์ ทำให้คุณน้ำตาแตกเอาง่ายๆโดยที่ฉากๆนั้นไม่ได้มีอะไรซึ้งเลย แต่อยู่ดีๆคุณก็น้ำตาไหลออกมาเอง กราฟฟิคที่สวยงามสุดๆ และอยากจะบอกด้วยว่าเกม Journey นี้ในปีนี้ ได้รางวัลเยอะมาก รวมถึง " IGN GAME OF THE YEAR 2012 " และ "GAMESPOT GAME OF THE YEAR 2012 " เช่นกัน
พูดถึงขนาดนี้แล้วคุณรออะไรอยู่ ไปหามาเล่นได้แล้ว !!

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

The Impossible ( 2012 ) Movie Review

Movie Review



Movie Name : The Impossible ( 2012 ) , Drama / Thriller 
Director :  Juan Antonio Bayona ( The Orphanage ) 
Stars : Naomi Watts ( The Ring , King Kong ) , Ewan McGregor ( Stars War , The Ghost Writer ) , Tom Holland 
Rating PG-13 : ( Some Violence )






(THAI)


The Impossible เป็นภาพยนตร์ที่ชาวไทยหลายๆคนคงจับตากันอย่างมาก และอาจจะรอคอยกันมานานมากด้วย เพราะเรื่องราวนั้นทำมาจากเรื่องจริง และเรื่องจริงที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นในประเทศไทยนี้เอง และถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา (อย่างน้อยก็ในชีวิตผมแหละ) นั้นก็คือสึนามินั้นเอง





The Impossible เห็นอย่างนี้หลายๆคนก็คงนึกว่าเป็นภาพยนตร์อเมริกา Hollywood กันใช่ไหมครับ ? แต่ขอแสดงความเสียใจด้วยผิดครับ!! The Impossible เป็นภาพยนตร์ของประเทศ Spain ต่างหาก ซึ่งอย่าได้แปลกใจ หรือ อย่าได้กังวลกันไปเลยครับ เพราะสมัยนี้ไม่ใช่แค่ว่า อเมริกาเท่านั้นจะทำหนังสนุก หนังดีได้ อย่างเดียว ประเทศอื่นๆก็ทำหนังดีไม่แพ้กันเลยครับ (ดีไม่ดีจะดีกว่าด้วย แต่เผอิญ อเมริกามันตลาดใหญ่ที่สุดแค่นั้นเอง)


The Impossible ดูจากชื่อผู้กำกับแล้วค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะไม่รู้เป็นใครมาจากไหน แถมเรื่องที่กำกับแล้วเป็นภาพยนตร์ออกฉายทั่วโลกหรือพอรู้จักกันบ้าง ก็มีอยู่เรื่องเดียวนั้นก็คือ The Orphanage ในปี 2007 แต่ก็เป็นผู้กำกับอีกคนนึงเลยที่ประมาทไม่ได้จาก คะแนน The Orphanage ที่มากถึง 7.5 ซึ่งใน IMDB ถือว่าค่อนข้างที่จะเยอะมากเลยทีเดียว ยิ่งเป็นหนังผียิ่งถือว่าหายากจริงๆที่จะมีหนังแนวผีๆแตะถึง 7 (ส่วนใหญ่จะไปกระจุกๆกันที่ 5-6)


The Impossible เล่าด้วยเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งที่มาเที่ยวเมืองไทยในวันหยุดพักร้อน โดยพวกเขาหารู้ไม่ว่า พวกเขากำลังจะเจอสิ่งที่เลวร้ายมากเสียจนจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล... ซึ่งให้พูดกันง่ายๆก็คือ ใน The Impossible เล่าเกี่ยวกับสึนามีปี 2004 ในไทยนี้แหละครับ


The Impossible นั้นเป็นภาพยนตร์ที่แปลกนิดนึงคือได้ เรท PG-13 แต่ผมต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่า เราต้องรู้ก่อนว่า มันเป็นเกี่ยวกับภัยธรรมชาติ และค่อนข้างจะมีหลายๆฉากที่ค่อนข้างจะรุนแรงนิดนึง อย่างที่คุณพอจะคาดเดากันได้เมื่อเจอกับสึนามิ (จริงๆยังถือว่าในหนังยังเวอร์ที่ยังโดนแค่นั้น ของจริงยิ่งกว่านี้อีก) ทั้งเลือด ทั้งแผลเหวอะ อะไรต่างๆนาๆ 




The Impossible นั้นจะเรียกได้ว่าเป็นหนัง Drama ที่ฉลาดเอามากๆ เพราะถึงแม้ในบางจุดมันน่าจะไม่มีอะไรแล้ว แต่หนังก็ยังสามารถทำให้คุณลุ้น ได้ ด้วยการเอาเหตุการณ์ต่างๆมาเชื่อมโยงกันอย่างชาญฉลาด และสิ่งที่เราจะไม่พูดเลยไม่ได้เด็ดขาดสำหรับหนังเรื่องนี้ คือ "ฉากสึนามิเข้าถล่ม" ซึ่งมันทั้ง อลังการ น่ากลัว อย่างบอกไม่ถูก แถมฉากนั้นเรียกได้ว่าสุดยอดมากๆต้องขอปรบมือให้กับทีมงานจริงๆ เพราะตอนคุณดู คุณมองไม่ออกเลยจริงๆว่านี้เป็นการเซ็ตฉากขึ้น แถมฉากๆนั้นเรียกได้ว่าเป็นฉากที่แทบจะทำร้ายจิตใจคนดูเป็นที่สุด ไม่ได้หมายความว่ามันแย่นะครับ แต่มันสมจริงจนเรารู้สึกร่วมไปกับตัวละคร ยิ่งคนไทย ยิ่งแล้วใหญ่ โดยในฉากนี้เชื่อไหมว่า เขาใช้เวลาถ่ายกันถึงหลายสัปดาห์เลยทีเดียว ! (คิดดูแช่ในน้ำหลายๆชม.ต่อวัน เป็นสัปดาห์คิดเอาเองแล้วกันครับ ไหนจะต้องแสดงอีก)


การแสดงใน The Impossible นั้นสุดยอดมากๆนักแสดงแต่ละคนเลือกมาได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Naomi Watts ที่เราคงคุ้นหน้าคุ้นตาเธอจาก The Ring โทรศัพท์สุดสยองนั้นเอง เธอเล่นได้อย่างทุ่มเทเอามากๆ โดยเฉพาะในฉากตอนเธอกำลังเอาชีวิตรอดจากคลื่น ดูสมจริงสุดๆ และในหลายๆฉากเธอก็ลงทุนเล่นมากๆต้องนับถือจริงๆ นอกจากนั้น ม้ามืดจริงๆสำหรับ Tom Holland ที่เรียกได้ว่าเล่นหนังเรื่อง The Impossible เป็นการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเลยก็ว่าได้ แต่กลับเล่นได้ดีเกินหน้าเกินตานักแสดงหลายๆคนในเรื่อง ทั้งที่ยังอายุไม่เยอะเลย แต่ฉากแสดงก็เยอะ ไหนจะฉากสึนามิอีก เรียกได้ว่าเก่งเกินเด็กจริงๆ ไม่ว่าจะฉากดีใจ ฉากซึ้ง ฉากเศร้า ฉากกลางสึนามิ เขาก็ทำได้ดีทั้งหมด จนผมตกใจตอนมาเปิดดูข้อมูลว่าเพิ่งเล่นหนังเต็มๆครั้งแรก นึกว่าเล่นหนังมา 100เรื่องแล้วซะอีก เล่นดีขนาดนี้ ที่น่าเสียดายคือ Ewan McGregor ซึ่งบทบาทถือว่าไม่น้อยแต่ก็ไม่มากเท่าไรนัก แต่ก็ยังเล่นได้ดีในระดับหนึ่ง เสียดายที่ Naomi กับ Tom ขโมย Scene ไปซะหมดแล้ว


ที่สำคัญเลยคือการที่ได้ดู The Impossible นั้นมีประโยชน์เอามากๆ พวกเราเองคนที่ไม่ได้ไปอยู่ในสถานการณ์นั้น คงสงสัยว่าตอนนั้นมันเป็นยังไง ลำบากขนาดไหน พอดูเรื่องนี้แหละครับคุณจะเข้าใจในทันที เพราะทางทีมงานทำเรื่องบรรยากาศได้ดีมาก คุณจะทั้งตื่นเต้น และมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครตลอด ยิ่งถ้าคุณเป็นคนบ่อน้ำตาแตกง่ายกรุณาเตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ 3-4กล่องเป็นอย่างต่ำ


ถ้าจะให้พูดถึงจุดด้อยของ The Impossible นั้นก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังออกจะเวอร์ไปซักนิดนึง ถ้าหากไม่ติดที่ว่าเป็นหนังแนว Hollywood ไปซักหน่อยก็คงจะดีกว่านี้ แต่บอกตามตรงข้ออ้างนี้มันไม่เพียงพอสำหรับผมที่จะเรียกว่าเป็นจุดด้อยได้เลย


The Impossible ผมไม่อาจจะพูดอะไรได้เลยนอกจากคำว่า "สุดยอด" อยากให้คนไทยทุกคนไปดูกันเยอะๆจริงๆ เป็นหนังที่ดีมาก จนไม่อาจจะสรรหาคำพูดมาอธิบายได้ให้มันหมด
เอาเป็นว่าไปดูกันเยอะๆเถอะครับ คุณจะไม่เสียดายเงินสักบาทนึงเลยที่ได้ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และหวังหว่าปีนี้ Oscar The Impossible คงได้ไปลุ้นๆกับเขาบ้าง



The Selected Quote  from " The Impossible " 

"เมื่อผมตื่นขึ้นมา ผมพบว่าตัวเองอยู่คนเดียว ผมกลัวมาก แต่ พอผมมองขึ้นไปบนต้นไม้ เห็นครอบครัวของผมเกาะอยู่ ผมไม่กลัวอีกต่อไป เพราะผมรู้แล้วว่า ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว"
"ดูตัวเองบ้างสิ แม่ เราช่วยใครไม่ได้หรอก !" 
"ต่อให้เราต้องตาย เราก็ต้องไปช่วย"





Final Score : [ A + ] + [ MUST SEE BADGE ]




Thankyou to : The Impossible ( 2012 ) , IMDB.com For Information

The Hobbit: An Unexpected Journey ( 2012 ) Movie Review

Movie Review





Movie Name : The Hobbit : An Unexpected Journey ( 2012 ) Adventure / Fantasy
Director : Peter Jackson ( The Lord Of The Rings Trilogy)
Stars: Ian McKellen ( X-Men ) , Martin Freeman ( Sherlock TV Series ) , Richard Armitage ( Captain America : The First Avenger ) 
Rating : PG - 13 ( Some Violence ) 






(THAI)

The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นทางผมผู้เขียนนั้นต้องขอบอกก่อนเลยว่า ไม่เคย ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนเลย ทั้ง Lord Of The Rings ทั้ง Hobbit รวมถึงบอกตามตรงเลยว่าส่วนตัวไม่ได้เป็นแฟน Lord of The Rings ซักเท่าไร (ขนาด 3 ภาคแรกยังจำได้ลางๆแล้วเพราะดูตั้งแต่ยังเด็ก) เพราะฉะนั้น อาจมีบางความเห็นที่อาจจะไม่ตรงกับหลายๆท่านที่อ่านหนังสือมา หรือ ข้อมูลใดผิดพลาด ก็ต้องขอกราบขออภัยมาล่วงหน้า ณ ที่นี้ครับ


ต้องเท้าความกันก่อนว่า The Lord Of The Rings นั้นเป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ่อลังการมาก ผู้เขียนจำถึงฉากในภาคสุดท้าย ที่เลโกลัสปีนขึ้นไปบ้นช้างขนาดใหญ่ ในภาคสาม หรือ แกนดาฟสู้กับมังกรในภาคแรกได้อย่างดี รวมถึงความทรงจำที่ ภาคสามหาที่นั่งในโรงภาพยนตร์แทบไม่มี ต้องมานั่งแถวหน้าสุดชนิดที่แทบจะเอาหน้าไปชนกับจอโรงอยู่แล้ว รวมถึงระยะเวลาของภาพยนตร์ในภาค สามที่ใครที่ไปดูในโรงด้วยตัวเองจะทราบว่า มันโคตรยาว ส่วนตัวผมเองนั่งหน้าสุดก็นั่งคอหักกันไปเพราะต้องแหงนหน้ามองจอโรงภาพยนตร์ เรียกได้ว่าจบภาคสามมาคอแทบหักกันเลยทีเดียว



The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นยังคงได้ผู้กำกับคนเดิมที่หลายๆคนคงอาจจะเริ่มเบื่อๆกันแล้วกับลุง Peter Jackson ผู้สร้างภาพยนตร์ Lord Of The Rings ทั้งสามภาคที่ผ่านมา รวมถึง The Hobbit เองด้วย ซึ่งวีรกรรมของลุงแกคงไม่ต้องพูดถึงชาวหนังคงรู้กันอยู่ดี


The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นเล่าเรื่องราวย้อนไปก่อนเหตุการณ์ศึกแย่งแหวนทอง Made in China เอ้ย !! ไม่ใช่ ศึกแย่งแหวน โดยย้อนเรื่องราวไป 60 ปี ซึ่งตัวเอกใน The Hobbit ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคุณลุงของ Frodo นั้นเอง โดยเขาได้รับเชิญจากแกนดาฟให้ไปผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล....



The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นต้องขอบอกก่อนเลยสำหรับหลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าภาพยตร์ The Hobbit นั้นสร้างเป็น 3 ภาคนะครับ ซึ่งภาคต่อไปนั้นน่าจะฉายในปีหน้า 2013 ถ้าหากไม่ผิดพลาดอะไร โดยในภาค An Unexpected Journey นั้นก็เปรียบเสมือนเป็นจุดเริ่มต้นของ The Hobbit นั้นเอง โดยในรีวิวถัดไปนี้ ผู้เขียนจะขอวิจารณ์ในฐานะของ "คนดูทั่วไป" นะครับ ไม่ใช่วิจารณ์ในฐานะ "คนที่อ่านมาแล้ว" เพราะ ฉะนั้นเหตุผลในหลายๆส่วนมันอาจจะไม่เหมือนกัน ยังไงอยากให้หลายๆท่านที่อ่านมาแล้วช่วยเปิดใจนิดนึงนะครับ




The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นหากพูดกันแล้วคงจะไม่มีใครกล้าพูดว่านี้เป็นภาพยนตร์ที่ภาพนั้นงดงามเสียจริง ขนาดผู้เขียนชมในโรงธรรมดาก็ยังรู้สึกได้ว่า โอ้วแม่เจ้าทำไมภาพมันช่างสวยขนาดนี้ รวมไปถึง Soundtrack ที่อลังการงานสร้าง และเข้ากับใน Scene นั้นๆอย่างมาก ถ้าท่านใดกลัวว่าจะไม่ได้ฟัง Soundtrack เก่าๆล่ะก็ เลิกกลัวได้เลยครับ เพราะในบางจุดท่านจะได้ฟัง Soundtrack ที่ท่านคุ้นเคยและคิดถึงกันมากๆเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแฟนพันธุ์แท้อาจมีน้ำตาไหลพรากๆก็เป็นได้ 


นอกจากนั้นตัวละครเก่าๆหลายตัวก็กลับมาให้หายคิดถึงกันเช่น Frodo Gandalf  และอีกหลายๆคนจาก Lord Of The Rings  (ได้ยินแว่วๆมาว่าภาคต่อไปจะมีตัวละครเก่ามาให้เห็นอีกหลายคน!) ที่สำคัญต้องขอบอกเลยว่านี้จะเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นหลักๆของ Lord Of The Rings หรือ The Hobbit เลยก็ว่าได้นั้นก็คือ เรื่องราวที่อลังการ ยิ่งใหญ่ แต่ไม่เด็กๆ ดูจริงจัง และแฝงไปด้วยอารมณ์มากมาย ใน The Hobbit ก็เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเรื่องหลัก แค่การเกริ่นเรื่องราวมันก็ช่างอลังการงานสร้าง และทำให้คุณขนลุกกันแบบง่ายๆเลยทีเดียว ฉากต่อสู้หรอ ? ไม่ต้องห่วงเพราะแต่ละฉากของ The Hobbit นั้นอลังการเอามากๆ ตั้งแต่สู้กับก็อบลินตัวกระจิ๋ว ยันยักษ์โทรลล์ตัวมหึมา (พูดแล้วนึกถึง โทรลล์จาก Harry Potter ภาค 2 = = ) การต่อสู้เล็กๆอย่างการใช้สมอง ยัน สงครามกันเป็นกองทัพ เพราะฉะนั้นหากท่านกังวลว่า The Hobbit มันจะอลังการสู้ The Lord of The Rings ได้ไหม ? เลิกห่วงได้เลยครับ



แต่ !! แต่ !! อีกแล้วถึงกระนั้น The Hobbit : An Unexpected Journey สำหรับตัวผมที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนนั้นมีหลายๆจุดมากที่รู้สึกว่า อืม ยังทำมาไม่ดีพอ หรือ อาจจะไม่ได้ทำมาสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านมาก่อนก็ไม่ทราบ (ซึ่งถ้าใช่มันคงจะน่าอนาจมาก จะบอกว่า ถ้าเอ็ง งงก็ไปซื้อหนังสือตูอ่านเอาสิ งั้นหรอ ?) อย่างแรกเลยที่เลวร้ายที่สุดสำหรับตัวผม คือ ประมาณ 20-30 นาทีแรก หรือองค์แรก ของภาพยนตร์ มันช่างอืดดดดดเสียเหลือเกิน อืดดดดด จนผมนี้สติหลุดลอยไปมองลำโพงโรงภาพยนตร์ไปแทนแล้ว และต้องขอบอกเลยว่าถ้าเรื่องไหนมันไม่น่าเบื่อจริงผมไม่เคยทำเช่นนี้เลย (อย่าง Cloud Atlas ผมนั่งจ้องแทบไม่กระพริบตา ป็อบคงป็อบคอรน์ไม่กงไม่กินมันละ น้ำไม่กงไม่กินมันละตูจะตั้งใจดู) ที่แย่ไปกว่านั้นคือในช่วงแรกนั้น หลายๆจุดนั้นไม่ได้จำเป็นที่จะต้องใส่เข้ามาเลย ซึ่งส่วนตัวผมก็พอจะเข้าใจดีว่าใส่มาเอาใจแฟนๆ Lord Of The Rings แต่การที่คนดูทั่วไปจะต้องมานั่งทนอืดอย่างกับมาม่าค้างปีแบบนี้ มันก็สุดจะทนเช่นกัน... โดยในจุดนี้มันกระทบผู้เขียนอย่างมาก เพราะหากองค์แรกของภาพยนตร์มันไม่สามารถที่จะตรึงผมเอาไว้กับภาพยนตร์ได้ จุดที่เหลือมันก็แทบจะไร้ความหมายไปครึ่งนึงแล้ว ซึ่งมันก็จริงเพราะหลังจากเหตุผลแรกนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็ตั้งใจดูนะครับ แต่ แต่ละสิ่งที่ต่อมาจากนั้นมันดูจะไร้ความหมายไปแล้วสำหรับผม เพราะเริ่มต้นได้แย่ เหมือนกับการแข่งรถที่คนอื่นเขาสตารท์กันอย่างรวดเร็วและพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ The Hobbit : An Unexpected Journey กลับมัวแต่หาปุ่มกดสตารท์เครื่องหรืออย่างไรไม่ทราบ



อีกจุดหนึ่งเลยที่ทำให้ผมรู้สึกว่าค่อนข้างจะผิดหวังเล็กน้อย(ส่วนตัวเรื่องนี้ผมไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้เลยยังผิดหวังถ้าผมตั้งความหวังคงแย่อะครับ = = ) ในภาพยนตร์ The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นก็คือ ทั้งเรื่องในความยาว 169 นาทีหรือเกือบจะ 3 ชม. นี้นั้น ไม่มีจุดใดเลย ย้ำว่าไม่มีจุดใดเลย ในหนังที่ทำให้ผมคิดหรือกล้าที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า "โอ้วจอรช์ , โอ้ว มาย ก็อด , เห้ย เมพโคตร!!" ได้เลย หรือจะให้พูดง่ายๆเลยก็คือ ไม่มีจุดใดเลยในหนังเกือบ 3 ชม. เรื่องนี้ที่มันสามารถที่จะ กระแทก หรือ ระเบิดใส่ผม ได้เลยซักจุด ทำให้เป็นอีกเหตุผลว่าผมนั้นค่อนข้างที่จะเฉยๆออกไปทางแย่เล็กน้อยหลังจากดูจบ เพราะผมเหมือนมานั่งดูหนังดราม่าที่อืดๆเอื่อยๆเรื่อยๆซะอย่างนั้น ซึ่งมันค่อนข้างจะผิดวิสัยหนัง Adventure / Fantasy อย่างมาก นอกจากนั้นจุดที่ผมสามารถพูดได้จริงๆว่ามันเป็นจุดพีคของหนังหรือจุด "Climax" ของหนัง นั้นผมไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงไหนจริงๆ เพราะกราฟของ The Hobbit : An Unexpected Journey นั้นออกแนวจะต่ำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วจากนั้นค่อยขึ้นทีละนิด ทีละนิดแล้วก็หยุดราบเรียบไปยันจบ ตกลงจุดที่มันควรจะทำให้ผมรู้สึก "เห้ย มันเจ๋งหวะ อยากดูอีก !!" หรือ "โอ้ยอยากดูภาคต่อไปแล้ว !!" มันหายไปไหนหมด ? ไม่แน่ใจว่าตกลงมันไม่มีเพราะมันเป็นแค่ภาคเริ่มของ The Hobbit หรือ มันมีแต่ทำออกมาห่วยแตกเกินกันแน่ !? (ซึ่งมันคงมีแหละ....)




นอกจากนั้นเลยจุดนี้ต้องขอเสริมนิดนึงเป็นความเห็นที่ผมได้ไปฟังมาอีกทีจากนักวิจารณ์คนนึงซึ่งผมค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับเขามากๆ นั้นก็คือ ตัวละคร"ใหม่" ของ The Hobbit นั้น นอกจากตัวเอกอย่าง บิลโบแล้ว ตัวที่เหลือเช่น คนแคระ หรือแม้กระทั่ง ธอริน นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกประทับใจ หรือ ไม่ได้โดดเด่นพอเลย ให้พูดตรงๆเลยคือ ในกลุ่มของคนแคระ ให้ผมพูดชื่อมาซักคน ผมยังจำไม่ได้ซักคน นอกจากธอริน ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ธอรินนั้นก็ไม่ได้มีบทบาทที่จะทำให้ผมจำได้ไปอีกยาวนานซักเท่าใดนัก เอาง่ายๆคือตัวละครกลุ่มๆนึงโผล่มา 90% ของทั้งเรื่องมารวมกัน ยังไม่สามารถที่จะเทียบกับตัวละครเพียงตัวๆเดียวที่โผล่มา 10-20% หรือไม่เกิน ครึ่งชม. อย่าง กอลลัมได้เลย ซึ่งส่วนนึงก็คงมาจากการที่นี้เป็นแค่ภาคเริ่มต้น ในจุดนี้เราคงต้องรอดูภาคต่อๆไปกัน


อีกจุดนึงเลยคือบทที่ในบางจุดเหมือนจะยังเขียนมาได้ไม่ค่อยดีนัก และในหลายๆจุดมันเหมือนจะไร้ความหมาย เช่น นกที่มารับพวกพระเอกตอนสุดท้าย ทำให้เกิดคำถามอย่างเช่น ทำไมไม่เรียกมาตั้งแต่แรก ? หรือการที่ชอบเขียนให้ แกนดาฟโผล่มาเป็นพระเอกเป็นตอนสุดท้ายถึง 2-3 ครั้ง มันทำให้ความสนุกของหนังลดลงไปบ้าง เพราะอย่างไรก็ตามเราก็คงเดาออกหมด ซึ่งคำถามเหล่านี้นั้นสามารถที่จะตอบได้จากข้อมูลในหนังสือ ซึ่งคนที่อ่านมาแล้วก็คงเข้าใจ แต่คำถามคือ ผมไม่ได้อ่านหนังสือมาเนี้ย ผมจำเป็นจะต้องไปนั่งหาหนังสือมาอ่านเพื่อที่จะเข้าใจตรงกับคนที่อ่าน หรือ ผู้สร้างงั้นหรอ ? มันค่อนข้างที่จะดูไม่แฟร์ และเป็นมาร์เก็ตติง ที่ค่อนข้างน่าเกลียดไปบ้าง ทั้งๆที่ภาพยนตร์ มันควรจะเป็นสิ่งที่ดูทีเดียวเข้าใจได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะอ่านหนังสือมาหรือไม่ก็ตาม หรือจะเพิ่ม คำพูดอธิบายเข้าไปในหนังก็ยังได้ แต่กลับไม่ทำซะอย่างนั้น ซึ่งหวังว่าข้อเสียในหลายๆจุดนี้ จะหายไปบ้างในภาคต่อๆไป (ไม่งั้นผู้เขียนคงนั่งอืดเป็นมาม่าต้มค้างปีในโรงแน่นอน) 


The Hobbit : An Unexpected Journey เป็นภาพยนตร์ Adventure / Fantasy แห่งปีที่สำหรับท่านที่อ่านหนังสือหรือเป็นแฟนอยู่แล้วคงจะถูกอกถูกใจกันอย่างมากเลยทีเดียวจึงไม่ต้องลังเลเลยที่จะไปชม แต่ !! ถ้าหากคุณไม่ใช่แฟนตัวยงหรือคุณไม่ได้รู้สึกพิเศษไปกับภาพยนตร์ Lord Of The Rings ยิ่งไปกว่านั้นคุณไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน คุณอาจะต้องคิดหนักสำหรับการที่จะไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ด้วยข้อเสียที่ค่อนข้างหนักเอาการพอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่า นี้เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่คุณควรจะไปชมด้วยตาของคุณเอง !!




The Selected Quote from " The Hobbit : An Unexpected Journey " 

And if he looses? What then? Well, if he looses, precious, then we eats it! If Baggins looses, we eats it whole!
" Gollum "



Final Score :  [ C + ] 




Thankyou to : The Hobbit : An Unexpected Journey ( 2012 ) , IMDB.com for information.