วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

Frankenweenie ( 2012 ) Movie Review

Movie  Review





Movie Name : Frankenweenie ( 2012 ) Walt Disney , Animation / Comedy / Horror
Director : Tim Burton ( Sweeny Todd , Alice in Wonderland )
Stars : Catherine O'Hara ( Home Alone ) , Martin Short ( Mardacascar ) 
Rating : PG






Movie Review (THAI)


                                      Frankenweenie ภาพยนตร์อนิเมชั่นอีกเรื่องของปี 2012 ด้วยฝีมือของผู้กำกับ Tim Burton ที่เรารู้ๆกันดีว่าเขานั้นชอบทำหนังแนวดาร์คๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น Sweeny Todd ที่เป็นละครเพลงแต่ดันโคตรโหดซะอย่างนั้น หรือ Alice in Wonderland ที่ไม่ได้รู้สึกถึงความสดใสน่ารักบ็องแบ๊วเลยแม้แต่น้อย (น่าจะจับไปทำ Alice in Wonderland ฉบับหลังจากที่ Alice โดนส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า ถ้าใครเป็นคอเกมน่าจะรู้จักดี คงมันส์เลือดเต็มจอแน่นอน)
หนังของป๋าแกช่วงนี้ต้องบอกตรงๆว่าค่อนข้างจะไม่ได้รับความนิยมซักเท่าไร (หรือตั้งแต่แรกแล้วฟะ ?) + กับ คะแนนก็ไม่ได้ดีซักเท่าไร ไม่ว่าจะเป็น Dark Shadows ที่ตัวหนังก็ได้รับคำวิจารณ์ไม่ค่อยจะดีนักตั้งแต่แรก แถมยังดวงซวยดันไปเข้าฉายในโรงใกล้ๆกับหนังยักษ์ใหญ่อย่าง The Avengers ไม่เจ๊งก็ให้มันรู้ไปสิครับ จะมีก็เพียงแค่ Alice in Wonderland ที่รายได้ถล่มทลาย (ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเองต้องขอบอกก่อนเลยว่า ไม่ประทับใจกับ Alice ผจญภัยของป๋า Tim Burton ซักเท่าไร)


พูดมาถึงขนาดนี้แล้วหลายๆท่านอย่าเพิ่งตกอกตกใจไป อ่าวเห้ยงี้หนังเรื่องนี้ก็ไม่ดีสิ ? เปล่าเลยครับ ผมหมายถึงหนังแกไม่นิยม และอยู่ในระดับกลางๆเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าแย่นะ และหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ดาร์คจนแบบเด็กดูไม่ได้อย่าง Sweeny Todd (แต่เคสนั้นก็บ้าจริงนึกว่าดูละครเพลงมืดๆนิดหน่อย มันไปซะมืดแบบสุดติ่ง 18+ ไปเลย  = = ) จะออกแนวเป็นแบบ ชาร์ลี กับโรงงานช็อคโกแลตมากกว่าครับ น่ารักๆ ดูได้ทุกวัย แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องที่ ทรมาณจิตใจคนรักสัตว์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสุนัข (ตัวผู้เขียนเองเลี้ยงสุนัขเหมือนกัน และค่อนข้างรักสัตว์มากๆ อันนี้ไม่ได้โม้นะ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เลยความอิง +10)




โม้กันมานานละอูยย เขาถึงรีวิวกันซักที Frankenweenie นั้นจริงๆแล้วต้นกำเนิดมันมาจาก ภาพยนตร์สัตว์ของป๋าแกในตอนปี 1984 (โหวโคตรนาน....) ในชื่อเดียวกัน จากนั้นวันนี้ก็เลยได้โอกาสสานต่อ เป็นภาพยนตร์ใหญ่ๆไปเลย


Frankenweenie นั้นพูดถึงเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรักสุนัขของเขามาก แต่วันหนึ่งเขาได้สูญเสีย สุนัขของเขาไปจากอุบัติเหตุ ทำให้เขาหาทุกวิถีทางที่จะเอาสุนัขกลับมา และเขาก็ทำสำเร็จจนได้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าเพราะการกระทำของเขาเนี้ยแหละทำให้เรื่องราวเริ่มวุ่นวาย


Frankenweenie นั้นในด้านบทนั้นก็ถือว่าไม่ได้แปลกมากมายอะไร จริงๆออกแนวจะแทบไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ต้องชมจริงๆนั้นก็คือการสื่ออารมณ์กับคนดู ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติของหนังของป๋า Tim Burton อยู่แล้ว ด้วยการใช้ดินน้ำมันในการสื่อความหมาย + กับโทนมืดทั้งเรื่อง ทำเอาคุณน้ำตาไหลได้ง่ายๆ พร้อมกับ ยังทำให้คุณรู้สึกสยองเล็กๆน้อยๆ ในบางฉากอีกด้วย (ซึ่งต่างลิบลับกับสิ่งที่หนังอนิเมชั่นควรจะเป็น) การสื่ออารมณ์ของแต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น วิคเตอร์ หรือ น้องหมาสปาร์คกี้เอง ก็ทำได้ดีเยี่ยม บทDialog ต้องขอพูดว่าเรียบเรียงออกมาได้น่าสนใจ ในหลายๆจุดมาก  รวมถึงในหลายๆจุดที่บีบหัวใจคนดูสุดๆ (ยิ่งคนรักสุนัขกรุณา X ความรุนแรงไป 10เท่า ผมดูแล้วแทบอยากจะปิดตา ) แต่ไม่ได้หมายความว่ามันรุนแรงนะครับแต่มัน เศร้าสุดๆไปเลย  Event เรื่องราวเล็กๆต่างในเรื่องก็ออกแบบออกมาได้แนวตามสไตล์ป๋าแกเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น ปลาล่องหน , เต่ายักษ์ , ปีศาจในหนองน้ำ และ ค้างคาวปีศาจ ? (รึเปล่าฟะ!!) ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถหาได้เลยจากหนังอนิเมชั่นเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะ ของดิสนีย์ ที่จริงๆจะออกไปแนวสดใสน่ารัก บ๊องแบ๊ว แต่ไม่ใช่สำหรับ Tim Burton
เพราะฉะนั้น เรื่องการกระฉากอารมณ์คนดูนั้นผมค่อนข้างชอบเอามากๆ และทำให้ผมรู้สึกอยากดูอีก อยากดูอีกรอบ  ต่างจาก ภาพยนตร์อนิเมชั่นปีเดียวกันของ Sony อย่าง Hotel Transylvania ที่ช่วงแรกค่อนข้างทำได้ดีแต่กลางกับจบเรื่องแผ่ว รวมไปถึงการใช้รูปแบบเดิมๆทั้งเรื่อง จนไม่รู้สึกที่อยากจะดูอีกเลย


แต่...มีหลายๆจุดในเรื่อง Frankenweenie ที่ทำออกมาได้ไม่ค่อยจะดีนัก โดยเฉพาะเรื่องราวย่อยๆของตัวละครประกอบอื่นๆ ที่ทำเสียเวลาไปซะเยอะ แถมพอเอาเข้าจริงมารวมกันในตอนจบ มันค่อนข้างไร้ความหมายมากๆ จนทำให้รู้สึกว่า ไม่ดีก็ได้มั้ง ? แถมเอาเข้าจริง ในเมื่อคุณจ่ายเงินเข้ามาดูเรื่องนี้ ไม่มีใครอยากจะมาดูตัวละครประกอบที่สติไม่สมประกอบ (พอๆกับตัวเอก  - - ) หรอก คุณเข้ามาดู สปารค์กี้ กับ วิคเตอร์ ต่างหาก อีกเรื่องที่สำคัญเลยคือตั้งแต่ต้นจนจบ ผมยังไม่เข้าใจเลยว่า ประเด็นที่ Tim Burton หรือ หนังเรื่องนี้กำลังจะสื่อคืออะไรกันแน่ ? ให้รักสัตว์ ? ให้ทำใจเมื่อสูญเสียสิ่งสำคัญไป ? ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ? อย่าทำอะไรที่ไม่สมควรทำ ? ซึ่งมันค่อนข้างมีผลอย่างมากกับคนดู คือเรารู้สึกร่วมไปกับหนังเพราะว่า อารมณ์ของมันที่พาเราไปเฉยๆ ไม่ได้มาจากตัวคุณภาพของหนังเลย เมื่อเทียบกับหนังอนิเมชั่นอันดับต้นๆของผมอีกเรื่องนึงเลยคือ Coraline ( 2009 )  ที่ใช้ดินน้ำมันเหมือนกัน โทนค่อนข้างคล้ายๆกัน ถึงแม้เนื้่อเรื่องจะต่างกันก็จริง แต่เรื่อง Coraline กลับใช้ความแปลกของตัวเองสื่อความหมายประเด็นหลักๆ ที่หนังต้องการจะพูดออกมาได้อย่างครบถ้วนและดีเยี่ยม แถมยังสามารถฉกเอาหัวใจของคุณไปได้อีก ทำให้คุณแทบจะรู้สึก Fin ทันทีที่ดูจบ และอยากจะดูซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะความสุดยอดของมัน  ซึ่งแตกต่างจาก Frankenweenie ที่เอาความสามารถมาใช้กับตัวละครประกอบที่ปกติพวกเราก็แทบจะไม่ได้สนใจอยู่แล้วซึ่งทำให้มันไร้ความหมาย และยังหยุดอยู่แค่นั้นอีกต่างหาก ซึ่งมันค่อนข้างน่าผิดหวังอยู่ไม่ใช่น้อย เมื่อเทียบกับผลงานเก่าของป๋าเอง อย่าง ชาร์ลีกับโรงงานช็อคโกแลต ที่ไม่หลงทิศทางเลยแม้แต่น้อย และทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม


ประเด็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะชมป๋า Tim Burton มากก็คือ การแอบ(ไม่แอบแล้วมั้ง ?) ด่าสังคม เกี่ยวกับ วัฒนธรรมสมัยเก่า และวัฒนธรรมสมัยใหม่ (เช่นการไม่ควรชุบชีวิตคนตายขึ้นมา) หรือง่ายๆก็คือ ความเชื่อ กับ วิทยาศาสตร์นั้นแหละ ซึ่งบทสรุปมันค่อนข้างคิดออกมาได้ดีพอสมควร   ยังไม่นับถึงมุขตลกฮาๆ ในหนังอีกมากมายที่ไม่เยอะจนไปกลบความเศร้าของตัวหนังเลยแม้แต่น้อย รวมถึงการดีไซน์ตัวละครออกมาได้ ทั้งฮา และน่ากลัวไปพร้อมกัน ก็ถือเป็นอีกจุดแข็งของ Tim Burton เช่นกัน



Frankenweenie เป็นภาพยนตร์ที่มีจุดหลายๆจุดที่ไม่น่าจะพลาด...แต่ก็ดันพลาดไปซะนี้...แต่ถึงกระนั้น ความสามารถในการกระฉากอารมณ์คนดู รวมถึง การดีไซน์แปลกใหม่ ก็เป็นอีกเหตุผลใหญ่ๆที่ทำไมควรถึงไม่ควรจะพลาดที่จะลองสัมผัสมันดูสักครั้ง




The Best Quote from " Frankenweenie ( 2012 ) "

" I don't want him in my heart , I want him with me " - Victor


Final Score : B





Thank you to : Frankenweenie ( 2012 ) Disney Pictures , IMDB for information

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น