Movie Review
Movie Name : Les Miserables ( 2012 ) Universal Studios , Musical / Drama / Romance
Director : Tom Hooper ( The King's Speech )
Stars : Hugh Jackman ( Wolverine , X-Men ) , Russell Crowe ( The Gladiator ) , Anne Hathaway ( The Dark Knight Rises ) , Amanda Seyfried ( Mama Mia ! ) , Eddie Redmayne ( My week with Marilyn , The Pillars of the earth (TV-Series) )
Rating : PG -13 ( Some Violence , Language , Sexual Content )
REVIEW (THAI)
Les Miserables นั้นเป็นภาพยนตร์แนวละครเพลง ที่จริงๆแล้วเป็นหนังสือมาก่อน และหลังจากนั้นก็มาทำเป็นละครเพลงเวทีซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกมากๆ (ซึ่งคล้ายๆกับ The Phantom of The Opera ที่จะมาเปิดแสดงในเมืองไทยช่วง พฤษภาคมนี้) จริงๆแล้วผมต้องขอบอกทุกท่านก่อนเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ร้องเพลงประมาณ 80-90% ของทั้งเรื่อง ซึ่งถ้าท่านใดที่ไม่ชิน หรือไม่ชอบ อาจจะพาเซ็งเอาได้ แต่ผมอยากให้ทุกๆท่านลองเปิดใจรับดู และตั้งใจฟังเพลง และความหมายของมันให้ดีๆ เพราะ แต่ละเพลงเนี้ยแหละ เป็นเอกลักษณ์ และ ความสุดยอดของ พวกละครเวทีทั้งหลาย ที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น The Phantom of The Opera (ที่ทำเวอร์ชั่นภาพยนตร์มาแล้ว และค่อนข้างทำออกมาดีซะด้วย) Mama Mia ! (เรื่องนี้บอกตามตรงห่วย......เน้นดาราดังๆมากเกินไป แต่มี Amanda Seyfried ที่ร้องสุดยอดมากๆ และ เธอก็เล่นเรื่อง Les Miserables เช่นกัน) จะว่าไปผมก็ต้องขอบอกก่อนอีกว่า โดยส่วนตัวผมค่อนข้างเป็นแฟนพวกแนวๆ ละครเพลงเวที จึงค่อนข้างชินกับการร้องแบบนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งอาจจะต่างกับหลายๆท่าน ที่ไม่เคย ดูละครเพลงเวที หรือ ภาพยนตร์แนว Musical เลย อาจจะทำใจยากนิดนึง
Les Miserables นั้นถือว่าเป็นละครเวทีที่โชคดี ได้ตัวผู้กำกับระดับเทพ อย่าง Tom Hooper ที่ปี 2010 นั้น ได้เป็นผู้กุมบังเหียน คว้ารางวัลมามากมาย จากหลายเวที จากเรื่อง The King's Speech ซึ่งหลายๆท่านก็คงจะรู้จักดี จึงการันตีความเทพได้ระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมกังวล และหลายๆท่านกังวล ก็คือ The King's Speech เนี้ยมันเกี่ยวกับการพูดเฉยๆ แต่ Les Miserables เนี้ย มันทั้งต้องร้อง ต้องแสดงสีหน้าแบบสุดๆ จะไปรอดไหม ? (ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่าง Fail ๆ มาแล้วจาก Mamma Mia ! ที่แฟนเพลงทุกคนแทบจะเบินหน้าหนี....)
Les Miserables นั้นตอนแรกผมเห็นเวลาแล้วตกใจ 2 ชม. เกือบ 3 ชม. อีกแล้ว !! นี้ตกลงหนังสมัยนี้จะแข่งกันที่เวลารึไง ? (ถ้ามันดีก็แจ่มไป แต่ถ้ามันห่วยล่ะ..... โอ้ว ไม่อยากจะคิด...)
แต่เหมือนหนังเรื่องนี้จะโชคดีหรือเพราะ Casting เทพก็ไม่แน่ใจ เพราะ นักแสดงแต่ละคน ค่อนข้างจะน่าวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็น Amanda Seyfried ที่ผมบอกตามตรง ในเรื่อง Mamma Mia ! ถ้าไม่มีเธอคนนี้ผมคงเลิกดูไปตั้งแต่ครึ่งเรื่องแล้ว เพราะ เธอเสียงดีแบบมากๆ ร้องไพเราะสุดๆ นอกจากนั้นยังมี Anne Hathaway ที่ตอนตัวอย่างที่เธอร้องเพลงออกมา ทำเอาผมแบบ เห้ย!! บ้าไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีคนร้องไพเราะอีก แถมยังมีดาราแม่เหล็กที่ขอยืนใบลากับทีม X-Men แปป แล้วโดดมาร้องเพลง อย่าง Hugh Jackman (ซึ่งในปีนี้เรายังจะได้ชมภาคต่อของ Wolverine อีกต่างหาก) และ Russell Crowe ที่ด้านการแสดงไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว
Les Miserables นั้นตอนแรกผมค่อนข้างห่วงเรื่องเพลงมาก เพราะถ้าร้องไม่ได้เรื่อง และ หน้าไม่ไปก็เฟลแบบ Mamma Mia ! แน่นอน แต่ที่ไหนได้ ทุกคนกลับร้องได้ดีเยี่ยมมาก โดยเฉพาะ Anne Hathaway ที่ร้องดีแล้วแสดงยังโคตรสุดยอด ไม่แปลกเลยที่จะคว้ารางวัลจากหลายๆเวทีได้ง่ายๆ หรือ Amanda Seyfried ที่ยังคงร้องได้สุดยอดเหมือนเดิม Huge Jackman ที่ถึงแม้จะร้องแปลกๆไปบ้าง แต่การแสดงนี้สุดยอดไม่แพ้กัน หรือ เฮีย Russell Crowe ที่มาแนวเท่ห์ๆ จริงๆจังและแม้แต่เสียงร้องก็ยังคงจริงจังไปด้วยซึ่งสมกับบทบาทมาก ถึงแม้ส่วนตัวจะคิดว่ามันแข็งไปนิดก็ตาม แต่ที่ผมแปลกใจที่สุดเลยก็คือ Eddie Redmayne ซึ่งจริงๆผมเคยดูหนังของเขาหลายเรื่องเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าพี่แกจะมีเสียงไพเราะแบบนี้แอบซ่อนไว้อยู่ แม้กระทั่งจะเรียกว่าตัวประกอบอีกตัว ? ดีไหม(แฟนๆ Les กรุณาอย่าฆ่าผมนะ >< ) Samantha Barks ที่แม้จะไม่ได้เล่นเป็นตัวหลักซักเท่าไร แต่เสียงอันไพเราะของเธอ เรียกได้ว่า ขโมย ฉากไปหลายฉากมาก โดยเฉพาะผมที่ชอบเสียงของเธอมากๆ จนคิดว่าเพลงของเธอที่เธอร้องเนี้ยแหละ เพราะมากกว่า คนอื่นๆเสียอีก นอกจากนี้ยังแอบมีเซอร์ไพรซ์ เล็กๆน้อยๆให้แฟนๆ โดยการให้นักร้องชื่อดังอย่าง Colm Wilkinson มารับบทเป็น บิชอบ ซึ่งหลายๆคนคง งง มันเป็นคราย ? Colm Wilkinson นั้นเขาเป็นนักร้องพวกแนวๆละครเวทีเยอะมากครับ เช่น เขาเป็น Original Cast London เมื่อนานมาแล้วของ ละครเพลงที่อังกฤษ อย่าง The Phantom of The Opera ซึ่งในตอน ครบ 25ปี ของ Phantom เขาก็ไป และในตอน ครบ 25ปีของ Les Miserables เขาก็ไปแสดงอีกเช่นกัน จะเรียกได้ว่าเป็นตำนานก็ว่าได้นั้นแหละ ซึ่งแฟนๆหลายคนที่รู้จักเขาดี ดูแล้วคงแบบ เห้ย!!มาได้ไง (แบบผม) + กับ แอบฟินเล็กน้อยถึงปานกลาง ต้องขอบอกอีกอย่างว่าส่วนตัวชอบ Russell Crowne ในบทนี้มาก เพราะในหลายๆฉากนี้หามุมถ่ายได้ดีสุดๆ จนทำให้เขาดูเหมือนหยั่งกะคนคุมประเภทอย่างนั้นแหละ และดูเท่ห์โคตร (จริงๆยศไม่ได้เยอะขนาดนั้น = =)
อีกจุดหนึ่งที่สำคัญของละครเวทีนั้นก็คือ "ฉาก" ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากฉบับภาพยนตร์ปีนี้เลย แต่เลิกห่วงไปได้เลย เพราะในหนังนั้น แต่ละฉากค่อนข้างอลังการมาก และดีไซน์ออกมาเป็นอย่างดี แถมแอบๆให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งชมละครเวทีอยู่จริงๆอีกด้วย ในส่วนของด้านบทก็ทำออกมาได้น่าสนใจ เพราะ ตัวหนังจะพาเราเข้าไปในชีวิตของแต่ละตัวละคร ซึ่งในแต่ละตัวละครเนี้ย มีจุดหมายที่แตกต่างกัน หรือ บางคนอาจจะเหมือนกันก็ได้ ซึ่งก็อารมณ์ประมาณว่า สู้กับโชคชะตานั้นแหละครับ ซึ่งทำให้เราเหมือนดูหนังใหญ่ๆที่มีอะไรย่อยๆอยู่ข้างในอีกต่างหาก ซึ่งไอ้ย่อยๆที่ว่าเนี้ย ตัวหนังค่อนข้างให้ความสำคัญในทุกๆตัวละครมาก ทำให้จุดมุ่งหมายของตัวละครทุกๆตัวดูสำคัญ และไม่ด้อยไปกว่ากันเลย อารมณ์ประมาณ เค้กก้อนหนึ่งที่ภายนอกก็น่ากินอยู่แล้วพอกัดลงไปยังจะเจอไส้ในหลายๆอย่างที่สุดยอดอีกต่างหาก ประมาณนั้นเลยครับ
แต่ แต่ อย่างที่ผมพูดไปแล้วในครั้งที่แล้วนั้นก็คือ ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดที่เพอร์เฟ็ค ไม่มีจุดด้อย แต่ใน Les Miserables เนี้ยโชคร้ายที่มีค่อนข้างไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างแรกเลย ทุกๆท่านได้สังเกตุไหมครับว่ารีวิวนี้ผมไม่ได้เขียนเนื้อเรื่้องย่อของ Les Miserables เลย สาเหตุหรอ? ก็เพราะ หลังจากที่ผมดูจบ ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเอง สรุป เนื้อเรื่องหลักๆของหนังมันคืออะไรกันแน่ ? พระเอกหนีชะตากรรม ? ความหวัง ? สู้เพื่ออิสระ ? ตามหารักแท้ ? หรืออะไรกันแน่ ซึ่งผมก็หาคำตอบไม่ได้สักที ซึ่งมันก็เป็นดาบสองคมมาจาก การที่มีเรื่องหลายๆเรื่อง และยังให้ความสำคัญพอๆกัน ทำให้ผมงงว่า สรุปแล้ว ไอ้เนื้อเรื่องหลักๆ หรือ เส้นที่ใหญ่ที่สุดเนี้ย มันอยู่ตรงไหนกันแน่ ทำให้หนังดูเหมือนจะหลงทางไปเลย ต่างจาก The Avengers ที่ให้ความสำคัญของทุกๆตัวละครเท่าๆกัน แต่เรารู้ดีว่าทุกตัวละครนั้นมีเป้าหมายเดียวกันก็คือ ช่วยโลก แต่ใน Les Miserables มันไม่ใช่แบบนั้นเลย แต่ละคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง ซึ่งมันทำให้หนังถูกสับออกเป็นหลายๆส่วนเท่าๆกัน พอเราดูจบ เรามานั่งดูผลงานที่เหลือที่มี ผลงานหลายๆส่วนเท่าๆกัน มันทำให้ผมงงว่า เออ แล้วมันเท่ากัน แล้วตกลง อันไหนสำคัญสุด ? หรืออันไหนคือเป้าหมายของหนัง ? นั้นเป็นสาเหตุที่ทำไมผมถึงไม่สามารถที่จะเขียนเนื้อเรื่อง ย่อของมันได้เลย เพราะผมไม่เข้าใจ ว่าตกลงอันไหนมันสำคัญที่สุดกันแน่
นอกจากนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมต้องขอบอกตรงๆว่าไม่ชอบมากถึงมากที่สุด คือตัวละครของ Helena Bonham Carter กับ Sacha Baron Cohen ที่พอเข้าใจว่าใส่เข้ามาเพื่อตลก ไม่ให้โทนของหนังมันเครียดเกินไป แต่ในบางฉากนั้น ตัวโทนของหนังกำลังบีบหัวใจคนดูได้อย่างดีอยู่แล้วกำลังจะทำลายหัวใจคุณได้แล้ว แต่กลับมีไอ้ตัวละครเหล่านี้ โผล่หน้ามา ทำให้บรรยากาศมันเสียหมดเลย จากการที่คุณซึ้งๆ หรือ กำลังลุ้นอยู่ หายวับไปหมด มันทำให้เสียอารมณ์ในการดูเป็นอย่างมาก แถมเท่าที่ดูจากบทของสองตัวละครนี้แล้ว สามารถตัดออกไปได้เลยด้วยซ้ำไป หรือ จะหาตัวละครอื่นมาแทนก็ยังได้ เพราะไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่กลับมากระทบถึงตัวหนังอย่างมากขนาดนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าให้อภัย ก็พอจะเข้าใจว่าไม่อยากให้โทนหนังมันมืดเกินไป แต่การที่ใส่มาผิดที่ผิดทาง ผิดฉากที่ไม่ควรจะใส่ มันช่างน่าผิดหวัง และ ไม่น่าให้อภัยเป็นที่สุด
นอกจากนั้นอีก สิ่งที่น่าผิดหวังอีกอย่างก็คือ หลายๆนักแสดงที่ร้องได้ไพเราะมากๆ อย่างเช่น หนูน้อย โคเซ็ตต์ ตอนเด็ก หรือ Anne Hathaway กลับมีบทบาทอยู่กระติ๊ดนึงในเรื่อง โดยเฉพาะหนูน้อย โคเซ็ตต์ ที่โผล่มารวมๆไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำมั้ง ทั้งๆที่ร้องไพเราะมาก ซึ่งมันค่อนข้างน่าผิดหวังมาก ยิ่งไปกว่านั้นฉากหลายๆฉากระหว่าง Hugh Jackman กับ Russell Crowne ที่ปะทะกันนั้น น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ซึ่งอันนี้ไม่น่าจะมาจากตัว นักแสดง แต่มาจาก Location และ หลายๆสิ่งเช่นมุมกล้องมากกว่า เพราะมันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเป็นอีกแค่เหตุการณ์เล็กๆนึง ซึ่งมันดูไม่อลังการเอาเสียเลย พูดตรงๆคือ อย่าง Russell Crowne ตอนไปร้องเดี่ยว ยังดูอลังการกว่าเลย ซึ่งอันนี้ไม่ทราบว่าเป็นมาตั้งแต่ละครเวทีแล้ว หรือว่า เป็นเฉพาะตัวหนัง
พูดถึงความอลังการในหนังแล้ว หลายๆท่านที่ดูตัวอย่างของหนังมาก่อน ก็คงนึกว่าฉากต่อสู้มันอลังการใช่ไหมล่ะครับ แต่ไม่เลย !!! ขอบอกว่าฉากต่อสู้แทบทุกฉากล้วนแต่น่าผิดหวังทั้งนั้น ก็เข้าใจในบทของมันนะ แต่มันมีอีกตั้งหลายวิธีให้มันอลังการแต่กลับมาลดสเกลของฉากลง ให้เหลือนิดเดียว ซึ่งมันไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบในเทรลเลอร์เลย ซึ่งมันดูเหมือนเป็นการตบหน้าคนดูแล้วพูดประมาณว่า "เย้ ผมหลอกสำเร็จแล้วนะ !" (ซึ่งจริงๆฉากที่อยู่ในตัวอย่างมันมีครับ !! แต่มันไม่ใช่แบบที่คุณคิด !! เอาเป็นว่าไปดูเองละกัน)
Les Miserables เป็นภาพยนตร์ มิวสิคอล ที่มีจุดที่น่าไม่ให้อภัยอย่างมากในหลายๆจุด ไม่ว่าจะเป็น การโฆษณาหลอกๆในบางจุด บทที่หลงทาง และ ฉากต่อสู้ที่สุดจะน่าผิดหวัง แต่ ด้วยความตั้งใจของนักแสดงแต่ละคน ในการฝึกร้องเพลงอย่างหนักหน่วง แถมผลที่ออกมาก็สุดยอดจนคาดไม่ถึง การร้องเพลง + การแสดงที่สุดยอด จนไม่อาจที่จะเอ่ยคำพูดใดๆได้ เพียงแค่นี้ก็ทำให้คุณแทบจะลืมข้อเสีย(ที่พอดูจบแล้วลืมยาก...)นั้นไปเลย เพราะ คุณมาดูภาพยนตร์ มิวสิคอล คุณจะหวังอะไรไปมากกว่า น้ำเสียงอันไพเราะ กับ บทเพลงที่ไม่อาจที่จะลืมได้ลงอีก ?
The Best SONG from " Les Miserables ( 2012 ) "
" I Dreamed A Dream " - Anne Hathaway
(ENGLISH)
The Good :
- Great Acting and Singing with the work hard Acting & Actress
- Amazing Music
- Interesting Storyline
- Lots of Beautiful Shot
The Bad :
- Helena & Sacha Character are so annoying and this 2 character just come in the wrong scene and ruined your entire emotion in that scene
- confusing screenplay i mean there's so much storyline and character in here but which one is the main line ? huh ? I have no idea and no clue which one is...
- the war / action scene are just so disappointed....
Suggestion : If you love Musical movies you have to see Les Miserables ( if you're already fan of Les miserables the musical you may be already saw it ) but if you're not you have to think a little bit because 80 - 90% of this movie is Singing so may be you don't like it.... But even so the music and the actor / actress in this movie is amazing you just feel like you're in a dream just like that
Totally Score : B
Les Miserables นั้นถือว่าเป็นละครเวทีที่โชคดี ได้ตัวผู้กำกับระดับเทพ อย่าง Tom Hooper ที่ปี 2010 นั้น ได้เป็นผู้กุมบังเหียน คว้ารางวัลมามากมาย จากหลายเวที จากเรื่อง The King's Speech ซึ่งหลายๆท่านก็คงจะรู้จักดี จึงการันตีความเทพได้ระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมกังวล และหลายๆท่านกังวล ก็คือ The King's Speech เนี้ยมันเกี่ยวกับการพูดเฉยๆ แต่ Les Miserables เนี้ย มันทั้งต้องร้อง ต้องแสดงสีหน้าแบบสุดๆ จะไปรอดไหม ? (ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่าง Fail ๆ มาแล้วจาก Mamma Mia ! ที่แฟนเพลงทุกคนแทบจะเบินหน้าหนี....)
Les Miserables นั้นตอนแรกผมเห็นเวลาแล้วตกใจ 2 ชม. เกือบ 3 ชม. อีกแล้ว !! นี้ตกลงหนังสมัยนี้จะแข่งกันที่เวลารึไง ? (ถ้ามันดีก็แจ่มไป แต่ถ้ามันห่วยล่ะ..... โอ้ว ไม่อยากจะคิด...)
แต่เหมือนหนังเรื่องนี้จะโชคดีหรือเพราะ Casting เทพก็ไม่แน่ใจ เพราะ นักแสดงแต่ละคน ค่อนข้างจะน่าวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็น Amanda Seyfried ที่ผมบอกตามตรง ในเรื่อง Mamma Mia ! ถ้าไม่มีเธอคนนี้ผมคงเลิกดูไปตั้งแต่ครึ่งเรื่องแล้ว เพราะ เธอเสียงดีแบบมากๆ ร้องไพเราะสุดๆ นอกจากนั้นยังมี Anne Hathaway ที่ตอนตัวอย่างที่เธอร้องเพลงออกมา ทำเอาผมแบบ เห้ย!! บ้าไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีคนร้องไพเราะอีก แถมยังมีดาราแม่เหล็กที่ขอยืนใบลากับทีม X-Men แปป แล้วโดดมาร้องเพลง อย่าง Hugh Jackman (ซึ่งในปีนี้เรายังจะได้ชมภาคต่อของ Wolverine อีกต่างหาก) และ Russell Crowe ที่ด้านการแสดงไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว
Les Miserables นั้นตอนแรกผมค่อนข้างห่วงเรื่องเพลงมาก เพราะถ้าร้องไม่ได้เรื่อง และ หน้าไม่ไปก็เฟลแบบ Mamma Mia ! แน่นอน แต่ที่ไหนได้ ทุกคนกลับร้องได้ดีเยี่ยมมาก โดยเฉพาะ Anne Hathaway ที่ร้องดีแล้วแสดงยังโคตรสุดยอด ไม่แปลกเลยที่จะคว้ารางวัลจากหลายๆเวทีได้ง่ายๆ หรือ Amanda Seyfried ที่ยังคงร้องได้สุดยอดเหมือนเดิม Huge Jackman ที่ถึงแม้จะร้องแปลกๆไปบ้าง แต่การแสดงนี้สุดยอดไม่แพ้กัน หรือ เฮีย Russell Crowe ที่มาแนวเท่ห์ๆ จริงๆจังและแม้แต่เสียงร้องก็ยังคงจริงจังไปด้วยซึ่งสมกับบทบาทมาก ถึงแม้ส่วนตัวจะคิดว่ามันแข็งไปนิดก็ตาม แต่ที่ผมแปลกใจที่สุดเลยก็คือ Eddie Redmayne ซึ่งจริงๆผมเคยดูหนังของเขาหลายเรื่องเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าพี่แกจะมีเสียงไพเราะแบบนี้แอบซ่อนไว้อยู่ แม้กระทั่งจะเรียกว่าตัวประกอบอีกตัว ? ดีไหม(แฟนๆ Les กรุณาอย่าฆ่าผมนะ >< ) Samantha Barks ที่แม้จะไม่ได้เล่นเป็นตัวหลักซักเท่าไร แต่เสียงอันไพเราะของเธอ เรียกได้ว่า ขโมย ฉากไปหลายฉากมาก โดยเฉพาะผมที่ชอบเสียงของเธอมากๆ จนคิดว่าเพลงของเธอที่เธอร้องเนี้ยแหละ เพราะมากกว่า คนอื่นๆเสียอีก นอกจากนี้ยังแอบมีเซอร์ไพรซ์ เล็กๆน้อยๆให้แฟนๆ โดยการให้นักร้องชื่อดังอย่าง Colm Wilkinson มารับบทเป็น บิชอบ ซึ่งหลายๆคนคง งง มันเป็นคราย ? Colm Wilkinson นั้นเขาเป็นนักร้องพวกแนวๆละครเวทีเยอะมากครับ เช่น เขาเป็น Original Cast London เมื่อนานมาแล้วของ ละครเพลงที่อังกฤษ อย่าง The Phantom of The Opera ซึ่งในตอน ครบ 25ปี ของ Phantom เขาก็ไป และในตอน ครบ 25ปีของ Les Miserables เขาก็ไปแสดงอีกเช่นกัน จะเรียกได้ว่าเป็นตำนานก็ว่าได้นั้นแหละ ซึ่งแฟนๆหลายคนที่รู้จักเขาดี ดูแล้วคงแบบ เห้ย!!มาได้ไง (แบบผม) + กับ แอบฟินเล็กน้อยถึงปานกลาง ต้องขอบอกอีกอย่างว่าส่วนตัวชอบ Russell Crowne ในบทนี้มาก เพราะในหลายๆฉากนี้หามุมถ่ายได้ดีสุดๆ จนทำให้เขาดูเหมือนหยั่งกะคนคุมประเภทอย่างนั้นแหละ และดูเท่ห์โคตร (จริงๆยศไม่ได้เยอะขนาดนั้น = =)
อีกจุดหนึ่งที่สำคัญของละครเวทีนั้นก็คือ "ฉาก" ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากฉบับภาพยนตร์ปีนี้เลย แต่เลิกห่วงไปได้เลย เพราะในหนังนั้น แต่ละฉากค่อนข้างอลังการมาก และดีไซน์ออกมาเป็นอย่างดี แถมแอบๆให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งชมละครเวทีอยู่จริงๆอีกด้วย ในส่วนของด้านบทก็ทำออกมาได้น่าสนใจ เพราะ ตัวหนังจะพาเราเข้าไปในชีวิตของแต่ละตัวละคร ซึ่งในแต่ละตัวละครเนี้ย มีจุดหมายที่แตกต่างกัน หรือ บางคนอาจจะเหมือนกันก็ได้ ซึ่งก็อารมณ์ประมาณว่า สู้กับโชคชะตานั้นแหละครับ ซึ่งทำให้เราเหมือนดูหนังใหญ่ๆที่มีอะไรย่อยๆอยู่ข้างในอีกต่างหาก ซึ่งไอ้ย่อยๆที่ว่าเนี้ย ตัวหนังค่อนข้างให้ความสำคัญในทุกๆตัวละครมาก ทำให้จุดมุ่งหมายของตัวละครทุกๆตัวดูสำคัญ และไม่ด้อยไปกว่ากันเลย อารมณ์ประมาณ เค้กก้อนหนึ่งที่ภายนอกก็น่ากินอยู่แล้วพอกัดลงไปยังจะเจอไส้ในหลายๆอย่างที่สุดยอดอีกต่างหาก ประมาณนั้นเลยครับ
แต่ แต่ อย่างที่ผมพูดไปแล้วในครั้งที่แล้วนั้นก็คือ ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดที่เพอร์เฟ็ค ไม่มีจุดด้อย แต่ใน Les Miserables เนี้ยโชคร้ายที่มีค่อนข้างไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างแรกเลย ทุกๆท่านได้สังเกตุไหมครับว่ารีวิวนี้ผมไม่ได้เขียนเนื้อเรื่้องย่อของ Les Miserables เลย สาเหตุหรอ? ก็เพราะ หลังจากที่ผมดูจบ ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเอง สรุป เนื้อเรื่องหลักๆของหนังมันคืออะไรกันแน่ ? พระเอกหนีชะตากรรม ? ความหวัง ? สู้เพื่ออิสระ ? ตามหารักแท้ ? หรืออะไรกันแน่ ซึ่งผมก็หาคำตอบไม่ได้สักที ซึ่งมันก็เป็นดาบสองคมมาจาก การที่มีเรื่องหลายๆเรื่อง และยังให้ความสำคัญพอๆกัน ทำให้ผมงงว่า สรุปแล้ว ไอ้เนื้อเรื่องหลักๆ หรือ เส้นที่ใหญ่ที่สุดเนี้ย มันอยู่ตรงไหนกันแน่ ทำให้หนังดูเหมือนจะหลงทางไปเลย ต่างจาก The Avengers ที่ให้ความสำคัญของทุกๆตัวละครเท่าๆกัน แต่เรารู้ดีว่าทุกตัวละครนั้นมีเป้าหมายเดียวกันก็คือ ช่วยโลก แต่ใน Les Miserables มันไม่ใช่แบบนั้นเลย แต่ละคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง ซึ่งมันทำให้หนังถูกสับออกเป็นหลายๆส่วนเท่าๆกัน พอเราดูจบ เรามานั่งดูผลงานที่เหลือที่มี ผลงานหลายๆส่วนเท่าๆกัน มันทำให้ผมงงว่า เออ แล้วมันเท่ากัน แล้วตกลง อันไหนสำคัญสุด ? หรืออันไหนคือเป้าหมายของหนัง ? นั้นเป็นสาเหตุที่ทำไมผมถึงไม่สามารถที่จะเขียนเนื้อเรื่อง ย่อของมันได้เลย เพราะผมไม่เข้าใจ ว่าตกลงอันไหนมันสำคัญที่สุดกันแน่
นอกจากนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมต้องขอบอกตรงๆว่าไม่ชอบมากถึงมากที่สุด คือตัวละครของ Helena Bonham Carter กับ Sacha Baron Cohen ที่พอเข้าใจว่าใส่เข้ามาเพื่อตลก ไม่ให้โทนของหนังมันเครียดเกินไป แต่ในบางฉากนั้น ตัวโทนของหนังกำลังบีบหัวใจคนดูได้อย่างดีอยู่แล้วกำลังจะทำลายหัวใจคุณได้แล้ว แต่กลับมีไอ้ตัวละครเหล่านี้ โผล่หน้ามา ทำให้บรรยากาศมันเสียหมดเลย จากการที่คุณซึ้งๆ หรือ กำลังลุ้นอยู่ หายวับไปหมด มันทำให้เสียอารมณ์ในการดูเป็นอย่างมาก แถมเท่าที่ดูจากบทของสองตัวละครนี้แล้ว สามารถตัดออกไปได้เลยด้วยซ้ำไป หรือ จะหาตัวละครอื่นมาแทนก็ยังได้ เพราะไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่กลับมากระทบถึงตัวหนังอย่างมากขนาดนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าให้อภัย ก็พอจะเข้าใจว่าไม่อยากให้โทนหนังมันมืดเกินไป แต่การที่ใส่มาผิดที่ผิดทาง ผิดฉากที่ไม่ควรจะใส่ มันช่างน่าผิดหวัง และ ไม่น่าให้อภัยเป็นที่สุด
นอกจากนั้นอีก สิ่งที่น่าผิดหวังอีกอย่างก็คือ หลายๆนักแสดงที่ร้องได้ไพเราะมากๆ อย่างเช่น หนูน้อย โคเซ็ตต์ ตอนเด็ก หรือ Anne Hathaway กลับมีบทบาทอยู่กระติ๊ดนึงในเรื่อง โดยเฉพาะหนูน้อย โคเซ็ตต์ ที่โผล่มารวมๆไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำมั้ง ทั้งๆที่ร้องไพเราะมาก ซึ่งมันค่อนข้างน่าผิดหวังมาก ยิ่งไปกว่านั้นฉากหลายๆฉากระหว่าง Hugh Jackman กับ Russell Crowne ที่ปะทะกันนั้น น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ซึ่งอันนี้ไม่น่าจะมาจากตัว นักแสดง แต่มาจาก Location และ หลายๆสิ่งเช่นมุมกล้องมากกว่า เพราะมันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเป็นอีกแค่เหตุการณ์เล็กๆนึง ซึ่งมันดูไม่อลังการเอาเสียเลย พูดตรงๆคือ อย่าง Russell Crowne ตอนไปร้องเดี่ยว ยังดูอลังการกว่าเลย ซึ่งอันนี้ไม่ทราบว่าเป็นมาตั้งแต่ละครเวทีแล้ว หรือว่า เป็นเฉพาะตัวหนัง
พูดถึงความอลังการในหนังแล้ว หลายๆท่านที่ดูตัวอย่างของหนังมาก่อน ก็คงนึกว่าฉากต่อสู้มันอลังการใช่ไหมล่ะครับ แต่ไม่เลย !!! ขอบอกว่าฉากต่อสู้แทบทุกฉากล้วนแต่น่าผิดหวังทั้งนั้น ก็เข้าใจในบทของมันนะ แต่มันมีอีกตั้งหลายวิธีให้มันอลังการแต่กลับมาลดสเกลของฉากลง ให้เหลือนิดเดียว ซึ่งมันไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบในเทรลเลอร์เลย ซึ่งมันดูเหมือนเป็นการตบหน้าคนดูแล้วพูดประมาณว่า "เย้ ผมหลอกสำเร็จแล้วนะ !" (ซึ่งจริงๆฉากที่อยู่ในตัวอย่างมันมีครับ !! แต่มันไม่ใช่แบบที่คุณคิด !! เอาเป็นว่าไปดูเองละกัน)
Les Miserables เป็นภาพยนตร์ มิวสิคอล ที่มีจุดที่น่าไม่ให้อภัยอย่างมากในหลายๆจุด ไม่ว่าจะเป็น การโฆษณาหลอกๆในบางจุด บทที่หลงทาง และ ฉากต่อสู้ที่สุดจะน่าผิดหวัง แต่ ด้วยความตั้งใจของนักแสดงแต่ละคน ในการฝึกร้องเพลงอย่างหนักหน่วง แถมผลที่ออกมาก็สุดยอดจนคาดไม่ถึง การร้องเพลง + การแสดงที่สุดยอด จนไม่อาจที่จะเอ่ยคำพูดใดๆได้ เพียงแค่นี้ก็ทำให้คุณแทบจะลืมข้อเสีย(ที่พอดูจบแล้วลืมยาก...)นั้นไปเลย เพราะ คุณมาดูภาพยนตร์ มิวสิคอล คุณจะหวังอะไรไปมากกว่า น้ำเสียงอันไพเราะ กับ บทเพลงที่ไม่อาจที่จะลืมได้ลงอีก ?
The Best SONG from " Les Miserables ( 2012 ) "
" I Dreamed A Dream " - Anne Hathaway
There was a time when men were kind,
And their voices were soft,
And their words inviting.
There was a time when love was blind,
And the world was a song,
And the song was exciting.
There was a time when it all went wrong...
I dreamed a dream in time gone by,
When hope was high and life, worth living.
I dreamed that love would never die,
I dreamed that God would be forgiving.
Then I was young and unafraid,
And dreams were made and used and wasted.
There was no ransom to be paid,
No song unsung, no wine, untasted.
But the tigers come at night,
With their voices soft as thunder,
As they tear your hope apart,
And they turn your dream to shame.
He slept a summer by my side,
He filled my days with endless wonder...
He took my childhood in his stride,
But he was gone when autumn came!
And still I dream he'll come to me,
That we will live the years together,
But there are dreams that cannot be,
And there are storms we cannot weather!
I had a dream my life would be
So different from this hell I'm living,
So different now from what it seemed...
Now life has killed the dream I dreamed...
Final Score : B (แอบปวดใจ ใจจริงอยากให้ B+ มาก แต่มันทำไม่ได้จริงๆ เมื่อผมมานั่งคิดๆถึงข้อเสียที่ว่ามา)
(ENGLISH)
The Good :
- Great Acting and Singing with the work hard Acting & Actress
- Amazing Music
- Interesting Storyline
- Lots of Beautiful Shot
The Bad :
- Helena & Sacha Character are so annoying and this 2 character just come in the wrong scene and ruined your entire emotion in that scene
- confusing screenplay i mean there's so much storyline and character in here but which one is the main line ? huh ? I have no idea and no clue which one is...
- the war / action scene are just so disappointed....
Suggestion : If you love Musical movies you have to see Les Miserables ( if you're already fan of Les miserables the musical you may be already saw it ) but if you're not you have to think a little bit because 80 - 90% of this movie is Singing so may be you don't like it.... But even so the music and the actor / actress in this movie is amazing you just feel like you're in a dream just like that
Totally Score : B
Thank You to : Les Miserables ( 2012 ) Universal Studios , IMDB for information .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น