วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Now You See Me ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

MOVIE REVIEW
นักมายากล กลลวง ทริค มายากล เวทย์มนตร์ ไม่มีสิ่งใดเลยที่หลอกคุณได้ นอกจาก 
"ตัวของคุณเอง"






Movie Name : Now You See Me ( 2013 ) , Summit Entertainment , Crime / Thriller
Director : Louis Leterrier ( Clash of Titans , Transporter 2 )
Stars : Jesse Eisenberg ( The Social Network ) , Mark Ruffalo ( The Avengers ) , Woody Harrelson ( The Hunger Games ) , Isla Fisher ( Rango ) , Dave Franco ( Fright Night )  , Morgan Freeman ( The Dark Knight ) , Michael Caine ( The Dark Knight ) 
Rating : PG - 13





REVIEW THAI



                                                                                            Now You See Me เป็นภาพยนตร์ที่ต้องขอบอกเลยว่าตอนแรกๆนั้นผมไม่ค่อยจะสนใจซักเท่าไรนัก จนกระทั่งได้มาดูตัวอย่างภาพยนตร์ของหนัง ทำให้ผมสนใจมากๆ และ ตั้งตารอคอยสุดๆ นอกจากเรื่องราวที่น่าสนใจแล้ว ยังมีนักแสดงหลายๆคนที่ผมค่อนข้างจะชอบอยู่ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Michael Caine , Morgan Freeman หรือ Jesse Eisenberg


สิ่งแรกที่ผมคาดหวังว่าจะได้รู้สึกหลังจากที่ผมชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบแล้วนั้นก็คือ " Surprise " เพราะ Now You See Me นั้นว่าด้วยเรื่องราวของ นักมายากล การเล่นกลต่างๆ  ถ้าหากนักมายากลไม่สามารถที่จะหลอกคนดูได้ ไม่สามารถที่จะ Surprise คนดูได้ มันก็คงไม่ต่างอะไรกับนักสู้ที่สู้ไม่ได้นั่นเอง มีคำๆนึงในภาพยนตร์เรื่องนี้ผมถูกใจมากๆ และเป็นคำที่เหมือนกับ "สัญญา" ในภาพยนตร์ เพราะ คำนี้นั้นภาพยนตร์นั้นนำมาใช้ได้อย่าง สุดยอด ยอดเยี่ยม อลังการ และ Surprise เป็นที่สุด นั้นก็คือคำที่ว่า "Come closer , because the more you think you see , the easier it'll be to fool you " " เข้ามาดูใกล้ๆสิ เพราะยิ่งคุณคิดว่าคุณเห็นมันมากเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้คุณถูกหลอกได้ง่ายขึ้นเท่านั้น "



Now You See Me ต้องขอชมจริงๆว่าช่างเป็นภาพยนตร์ที่ช่างสุดยอดจริงๆ อย่างแรกเลยก็คือ บท ที่ช่างทำออกมาได้อย่างดี และเขียนออกมาได้ดี ถึงแม้จะไม่ถึงขนาด The Prestige ของ คริสโตเฟอร์ โนแลนก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ต่างๆ มันช่างสนุก และ น่าตกใจ น่าติดตามเหลือเกิน ถือว่าทำได้ดีในระดับนึงเลยทีเดียว

ด้านความสนุกนั้นก็ไม่แพ้กัน ตัวหนังนั้นให้ความสนุกอย่างมาก ตื่นเต้นตลอดเวลา ทุกๆเหตุการณ์นั้นช่างออกแบบมาได้ดิบดีเหลือเกิน จนคุณอดไม่ได้ที่จะคิดต่อไป และ ลุ้นตลอดเวลาว่างจะเป็นอย่างไรต่อไป 


นักแสดงแต่ละคนนั้นเรียกได้ว่าเหมาะสมจริงๆและแต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดิบดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะนักมายากล 4 คนหลัก ที่เข้าขากันได้ดีจริงๆ ถึงแม้บางคนอาจจะเหมือนถูกลืม ไปบ้างก็ตาม 

ในหลายๆฉากทำออกมาได้ดูอลังการมากๆ สมกับเป็นมายากลระดับยิ่งใหญ่จริงๆ

จุดๆนึงเลยที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่อง Now You See Me และเป็นจุดที่สำหรับตัวผมแล้วหาได้ยากเหลือเกินในภาพยนตร์ในตอนนี้ นั้นก็คือ "Surprise" การที่ไม่สามารถคาดเดาใดๆได้เลย เพราะ เวลาผมดูภาพยนตร์นั้น ผมว่าหลายๆคนก็น่าจะเป็น ที่คุณมักจะคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆต่อไป รวมถึงตอนจบ และถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนั้น ดันเป็นอย่างที่คุณคาดเอาไว้จริงๆ มันก็คงจะผิดหวังกันไปบ้าง ยิ่งถ้าเป็นภาพยนตร์ที่พึ่งกับคำๆนี้อย่างมาก อย่าง Now You See Me แล้ว ถ้าหากเรื่องนี้ทำล้มเหลวก็คงจะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยน่าให้อภัยซักเท่าไรนัก
แต่ภาพยนตร์ Now You See Me กลับไม่ทำให้ผมผิดหวังเลยจริงๆ เพราะ ตัวภาพยนตร์นั้น ช่างถูกวางเอาไว้มาเป็นอย่างดิบดี ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ต่างๆ เรื่องราวต่างๆ ตัวละครต่างๆ และ ในหลายๆช่วง ที่คุณคิดว่า คุณรู้ดีแล้ว คุณรู้แล้วว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และ เรื่องนี้จะจบยังไง เมื่อนั้นแหละ คือจุด Perfect Time ที่คุณได้ถูกหลอกไปเรียบร้อยแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว และ คุณจะไม่มีวันที่จะรู้ตัวได้เลย เช่น เดียวกับมายากล ตัวหนังก็เปรียบเสมือน นักมายากล ที่หลอกคุณ โดยที่คุณพยายามเหลือเกินที่จะจับผิด ให้ได้ว่าเขาทำได้อย่างไร แต่ในตอนท้ายสุด คุณกลับมารู้ตัวทีหลังว่า คุณได้ถูกหลอกไปเรียบร้อยแล้ว 


โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าหากคุณยิ่งเข้าไปมองมันใกล้ๆแล้ว คุณคิดว่าการที่เข้าไปมองกลต่างๆ อย่างใกล้ที่สุด จะสามารถที่จะทำให้คุณจับผิดมันได้อย่างง่ายดาย แต่ ท้ายที่สุดแล้วมันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้คุณ "ถูกหลอก" ได้อย่างง่ายดายขึ้นต่างหาก อย่างเช่นคำกล่าวของภาพยนตร์ "Come closer , because the more you think you see , the easier it'll be to fool you "



ภาพยนตร์เรื่อง Now You See Me ช่างเป็นภาพยนตร์ที่ ตื่นเต้น สนุก น่าตกใจ Surprise น่าติดตาม น่าสนใจ และ บทที่ช่างเขียนออกมาอย่างดิบดีจริงๆ และ ผมต้องขอพูดเลยว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่ผมชอบที่สุด รองลงมาจาก Star Trek : Into Darkness เลยทีเดียวสำหรับใน ช่วงต้นปี 2013 นี้


ช่างน่าเสียดายที่ตัวภาพยนตร์ยังมีบางจุดจริงๆที่ยังทำออกมาได้ไม่ดีนัก จุดแรกเลยก็คือ ตัวละครต่างๆ ที่น่าสนใจ น่าติดตามก็จริง แต่ แต่ละตัวละคร ปูมาได้ไม่ค่อยจะดีนัก บางตัวละครไม่น่าสนใจเลยด้วยซ้ำ และจะมีไปทำไมก็ไม่รู้ยังมี

จุดที่สองเลยก็คือตัวละครบางตัวนั้น ถูกทิ้งเอาไว้กลางเรื่องซะอย่างนั้น จนทำให้สงสัยว่า ตัวละครนี้มันเป็นประเภท ใช้แล้วทิ้งหรือเปล่าหว่า ช่างน่าเสียดายนัก

จุดที่สามคือ บางช่วงในเรื่องมุมกล้องปาดไปปาดมา พามึนอยู่บ้าง (แต่นิดเดียวครับ)



Now You See Me เป็นภาพยนตร์ที่ผมขอยกให้เป็นภาพยนตร์ที่ผมชอบเป็นอันดับที่สอง สำหรับในครึ่งปีแรกของ ปี 2013 นี้เลย ด้วยความสนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม บทที่เขียนออกมาได้ดี และ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ช่าง Surprise น่าตกใจเหลือเกิน และ เมื่อใดก็ตามที่คุณคิดว่าคุณรู้ดีแล้ว เมื่อนั้นแหละ คือ ช่วงเวลาที่คุณได้ถูกหลอกไปโดยไม่รู้ตัว โดย นักมายากลที่มีชื่อว่า "ภาพยนตร์" นั้นเอง


The Best Quote from " Now You See Me " 

"Come closer , because the more you think you see , the easier it'll be to fool you " 



+ จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ บทที่เขียนมาได้ดี น่าสนใจ น่าติดตาม 
+ ความสนุก ตื่นเต้น ตลก 
+ ความอลังการของภาพยนตร์ ในหลายๆฉาก
+ การ Setup เหตุการณ์ต่างๆได้อย่างดิบดี 
+ Surprise สุดๆ ยิ่งเมื่อตอนที่คุณคิดว่าคุณรู้แล้ว นั้นคือตอนที่คุณถูกหลอกไปเรียบร้อยแล้ว
+ ใช้พลังของสิ่งที่เรียกว่า ภาพยนตร์ ได้อย่างน่าตื่นเต้น และ สนุก ฉลาด เป็นที่สุด


- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- ตัวละครบางตัวไม่น่าสนใจ เลยด้วยซ้ำจนไม่รู้จะมีมาทำไม
- ตัวละครบางตัวถูกทิ้งเอาไว้กลางเรื่องซะอย่างนั้น
- บางช่วงมุมกล้องปาดไปปาดมาเกินเหตุ พามึน


Final Score : [ A ] & [ I Didn't See It Coming Badge ]


วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Fast and Furious 6 (2013) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
เร็ว แรง ทะลุสวรรค์ !!? 





Movie Name  : Fast and Furious 6 , Action / Crime / Thriller , Universal Pictures
Director : Justin Lin ( Fast Five )
Stars : Vin Diesel ( Fast Five , Riddick ) , Paul Walker ( Fast Five ) , Dwayne Johnson " The Rock "  ( Snitch , Fast Five ) , Jordana Brewster ( Fast Five ) , Michelle Rodriguez ( Machete ) , Tyrese Gibson ( Fast Five ) , Sung Kong ( Fast Five ) , Luke Evans ( The Immortals ) 
Rating : PG-13





REVIEW THAI



                                                                                   The Fast and The Furious นั้นในภาคแรกๆนั้นถือว่าเป็นภาพยนตร์แข่งรถที่มันส์ระดับหนึ่ง และมีชื่อเสียงระดับหนึ่งเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เรารู้จักพี่ล่ำ Vin Diesel เลยทีเดียว แต่หลังจากที่ผู้กำกับ Justin Lin ได้เข้ามากำกับในภาคที่แล้วคือ Fast Five เขาทำให้ทุกๆอย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้เปลี่ยนไป เพราะ เขายกระดับภาพยนตร์ จากแค่ หนังแข่งรถมันส์ๆ เป็น ภาพยนตร์ Action ระดับสุดยอดอีกเรื่องหนึ่งในศตวรรษเลยทีเดียว เพราะ มันไม่ใช่แค่การแข่งรถอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว มันมีอะไรที่มากกว่านั้นมาก รวมไปถึงความลึกของบทที่มีอะไรมากขึ้นกว่าเดิม ตัวละครที่ช่างน่าสนใจ และ แต่ละตัวละคร มีบุคลิก มีความคิดเป็นของตัวเอง จนมาถึงภาค 6 นี้แล้ว พวกเราช่างรู้สึกผูกพันธ์ กับตัวละครเหล่านี้ จนเหมือนเราเป็นหนึ่งในครอบครัว ของตัวละครเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนั้นเขายังไม่ลืมฉาก Action สุดมันส์ ไม่ใช่แค่ขับชนนู้นชนนี้เอามันส์เท่านั้น แต่ทุกๆฉากนั้นถูกออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม น่าตื่นเต้นทุกวินาทีที่เราชมภาพยนตร์ไปเรื่อยๆ


ในภาคที่แล้ว Fast Five นั้น Justin Lin เขาได้ทำเอาไว้ได้ดีมาก จนยากที่จะเชื่อว่า ภาคต่อไป จะทำได้ดีเท่ากันอีก จนทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ภาคที่แล้วทำมาตรฐานเอาไว้สูงเช่นนี้ แล้วภาคต่อไป เขาจะฝีมือตกรึเปล่า ? 


Fast Six ขอเริ่มจากจุดที่ดีๆกันก่อน จุดแรกเลยก็คือ ความสนุกของภาพยนตร์ ซึ่งก็นะเหตุผลของคนที่มาดูเรื่องนี้ 99% ก็ต้องเข้ามาดูฉาก Action อย่างแน่นอน ซึ่งขอบอกไว้เลยว่า ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ฉาก Action ที่สนุก มันส์ ตื่นเต้น ถ้าท่านใดที่กำลังชม Fast Six อยู่แล้วเกิดซวยปวดห้องน้ำล่ะก็ สงสัยผมว่าคงจะต้องทนไปจนจบหนังอย่างแน่นอน เพราะ คุณไม่อยากจะพลาดแม้แต่วินาทีเดียวเลย ฉาก Action ต่างๆมันช่างน่าตะลึง และเป็นอะไรที่ทำให้คุณ "ว้าว" ได้ ต่อให้คุณชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งที่สอง คุณก็คงจะรู้สึกไม่แตกต่างกันเลย 

จุดที่สองที่ผมชอบมากๆเลยก็คือ เรื่องการเชื่อมโยงภาคนี้ ไปสู่ภาคเก่าๆที่ผ่านมาแล้ว ช่างเชื่อมโยงได้อย่างชาญฉลาดเป็นที่สุด ถึงแม้จะดูจงใจไปหน่อย แต่ผมก็สนุกไปกับมันมากๆ และ อดที่จะตื่นเต้นไปกับมันไม่ได้ ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป 

สิ่งที่ผมชอบที่สุดในภาพยนตร์ Fast ตอนนี้ก็คือ ตัวละคร ความคิดต่างๆ มันช่างสุดยอด และน่าทึ่ง ถ้าคุณดู Fast มาตั้งแต่ภาคแรกๆ คุณจะรู้จักนิสัย และ ความคิด ของตัวละครเหล่านี้ได้อย่างดีเยี่ยม และ คุณก็จะรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นครอบครัวๆหนึ่งของคุณไปเลยทีเดียว ซึ่งนั้นทำให้คุณรู้สึกร่วมไปกับตัวละครเหล่านี้อย่างมาก การสูญเสียของเขา คือการสูญเสียของคุณ ความสำเร็จของเขาก็เท่ากับคุณสำเร็จไปด้วยเลยทีเดียว ยิ่งมากภาคขึ้น ก็ยิ่งทำให้คุณผูกพันธ์มากขึ้น นี้เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดที่แสนฉลาดจุดใหญ่ๆของภาพยนตร์ Fast เลยก็ว่าได้

นอกจากนี้ตัวหนังก็แทบจะไม่ทำให้คุณเบื่อเลยเพราะ นอกจากฉาก Action แล้วตัวหนังก็ยังคงมีมุขตลกมาให้ขำได้เป็นระยะๆตลอดเวลา ทำให้คุณไม่เบื่อ


แต่ช่างน่าเสียดาย Fast Six นั้นช่างมาได้อย่างรวดเร็ว และ รุนแรงหยั่งกับเปิดไนตรัสสิบถังพร้อมกันเหลือเกิน แต่เหมือนแก๊ซบางถังอาจจะหมดก่อนกลางคันเสียแล้ว เพราะ ยังมีบางจุดในภาพยนตร์ ที่ยังทำได้ไม่ดีพอนัก สำหรับภาพยนตร์ Action ที่ผมไม่ถือว่า ซีรียส์ The Fast ตอนนี้เป็นแค่ภาพยนตร์ชุดที่เป็นแค่ภาพยนตร์ Action ธรรมดาๆทั่วไปอีกแล้ว มันคือภาพยนตร์ Action ระดับใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในตอนนี้ 

อย่างแรกเลยก็คือ ความสมเหตุสมผลของภาพยนตร์ ที่หลายๆจุดไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าใดนัก 

อย่างที่สองเลยก็คือ  เนื้อเรื่องหลักๆในภาพรวมของภาคนี้ก็ยังคงไม่มีอะไรมากมายนักอยู่ดี นอกจากตัวเอกไล่ล่าตัวร้าย และ บทที่ไม่ค่อยจะเซอร์ไพรซ์ซักเท่าไรนัก





Fast And Furious 6 เป็นภาพยนตร์ Action ที่บรรลุเป้าหมายของมันได้อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆก็คือความสนุก ความมันส์ ที่คุณจะได้จากมัน ถึงแม้ตัวหนังจะยังคงไปไม่ถึงจุดที่เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่จะขึ้นหิ้งก็ตาม แต่มันก็ทำให้คุณสามารถละลายเวลา 2 ชม ไปได้อย่างง่ายดาย ภาพยนตร์ซีรียส์ Fast and Furious  ตอนนี้นั้นออกตัว และกดบูสไนตรัสอย่างแรงและรวดเร็วแล้ว แต่ ณ ตอนนี้ คงจะยากนักที่จะไปถึง ยาน Enterprise ที่อยู่นอกโลกไปแล้วในตอนนี้


The Best Quote from " Fast And Furious 6 " 

"You don't turn your back on family, even when they do." - Dom



+ จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ Action สุดมันส์ ตื่นเต้น
+ ตัวละครเอกที่ยังคงน่าสนใจ น่าติดตาม 
+ การเชื่อมโยงไปสู่ภาคเก่าๆได้อย่างชาญฉลาด และน่าตื่นเต้น
+ ไม่มีช่วงใดเลยที่ทำให้คุณรู้สึกเบื่อ เพราะ ตัวหนังมักจะมี Action หรือ มุขตลกที่ทำให้คุณสนุกไปกับมันได้ตลอดเวลา

- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- บางจุดไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก
- บทในภาพรวมตัวภาพยนตร์นั้นเป็นได้แค่ ตัวดีไล่ล่าตัวร้าย เท่านั้น



Final Score : [ B + ] 




Thank you to : Fast and Furious 6 ( 2013 ) , IMDB for information

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Evil Dead ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
สับสับ เฉือนเฉือน เลือดกระฉูด... !?






Movie Name : Evil Dead ( 2013 ) , Horror / Thriller 
Director : Fede Alvarez 
Stars : Jane Levy , Shiloh Fernandez , Lou Taylor Pucci , Elizabeth Blackmore 
Rating : R 






REVIEW THAI



                                                                                 ย่างแรกเลยที่คุณควรจะรู้ก่อนที่คุณจะเข้าไปชมเรื่อง Evil Dead คือ ถ้าคุณเป็นคนกลัวเลือด ฉากโหดมากๆ ซาดิสๆ รวมไปถึงเด็กๆ กรุณาอย่าแม้แต่ที่จะคิดไปชม Evil Dead เพราะ ความโหดของมันนั้นแทบจะทำให้หนังเรื่อง Saw กลายเป็นหนังเล่นตุ๊กตาเด็กเล่น เด็กปั่นจักรยานไปซื้อน้ำแฟนต้าสีแดงหน้าปากซอยเลยทีเดียว
อย่างที่สองคือ หนังเรื่องนี้ไม่ได้สร้างมาให้คุณเซอรไพรซ์แปลกใจ แบบแหวกไปเลย (แต่มันมีเซอร์ไพรซ์นะ แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับ Cabin In the Woods ) เพราะ ฉะนั้นหากคุณเข้าไปดูอะไรแหวกแนว เลิกซะ เพราะ Evil Dead จุดขายของมันคือ ความโหด เลือด เนื้อ สับๆๆๆๆ เท่านั้น
อย่างที่สามคือ Evil Dead ไม่ใช่ภาพยนตร์ใหม่แต่อย่างใด แต่มันคือภาพยนตร์ Remake จากปี 1981 ของผู้กำกับสุดดัง Sam Raimi จาก Spider-Man นั้นเอง (แหมทำไปได้จากหนังโหดขนาดนี้ไปทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่) อย่างที่สี่ ถ้าคุณตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปชม Evil Dead 2013 ผมแนะนำให้ซื้อแฟนต้าน้ำแดง หรือ ซอสมะเขือเทศได้ยิ่งดี ไปนั่งบีบนั่งดูดกันในเรื่องเลย โดยเฉพาะ หลังจาก 20 นาทีแรกไปแล้ว อร่อย(?)เหาะ น่าจะมีเพียงเท่านี้ เอาล่ะ คุณพร้อมรึยัง ???




Evil Dead ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปในกระท่อม เจอปีศาจและก็ตายๆๆๆ จบ นี้คือสิ่งที่ควรจะต้องรู้ (หรือไม่รู้ยังได้) 



ผมต้องขอถามแฟนๆหนังผีก่อนว่า คุณเบื่อไหมกับหนังผีที่พอถึงฉากโหดๆหลบมุมกล้องทั้งปี คุณเบื่อไหมกับหนังผีที่กั๊กทุกทีไม่ให้ตูเห็นว่ามันโดนอะไร คุณเบื่อไหมกับหนังผีที่ทำคุณเป็นเด็กเล็กอมมือ ? ถ้าคุณทีคำถามเหล่านี้ ผมขอใช้ 20นิ้ว ทั้งมือ ทั้งเท้า ชี้ไปทาง Evil Dead 2013 คุณไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด


เพราะอะไรนะหรือ ?? ก็เพราะจุดเด่นของ Evil Dead ก็คือความโหด โหดชนิดที่อย่างที่บอกไปแล้วว่า ทำให้คนที่ดู Saw มาแล้วทุกภาคอย่างคนที่ไปดูด้วยกับผมถึงกับพูดออกมาว่า "หนังเรื่องนี้ พอเทียบกับ Saw (ที่ว่าโคตรโหดแล้ว) ทำให้ Saw กลายเป็นหนังเด็กเล่นปั่นจักรยานไปเลย" เพราะ อะไรน่ะหรอ ? หนังผีปกตินั้นเวลาถึงฉากโหดๆต่างๆเช่น กรีดคอ เผา กรีดปาก ตัดแขน บลาๆๆ ทุกๆทีมันจะต้องหามุมกล้องที่ไม่เห็นอะไรเลยทุกที อย่างมากก็เห็นแค่หน้าอะ แต่เรื่อง Evil Dead 2013 ไม่ทำอย่างนั้นครับ จะๆ ตรงๆ ไม่มีหลบอะไรทั้งนั้น หั่นอะไร ก็หั่นอย่างนั้น แหวะอะไรก็แหวะแบบนั้น ตัดอะไรก็ตัดอย่างนั้น จะๆตรงๆ ไม่มีหลบ ใช้มุมกล้อง ทั้งนั้น เห็นกันแบบเต็มที่เลยทีเดียว ซึ่ง Evil Dead นั้นหลังจาก 20 นาที เท่านั้นแหละ ไอ้เหล่าเนี้ย เพียบ มีมาให้เห็นกันจนแหวะเลยทีเดียว และ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำไม ภาพยนตร์เรื่อง Evil Dead 2013 ใช้เลือดมากถึง 8 สระว่ายน้ำ รวมกันในเรื่องๆเดียว 


และอีกจุดๆหนึ่งที่ทำไม Evil Dead ถึงเป็นภาพยนตร์ที่คอแฟนๆหนังผีชอบนักชอบหนา คือ อย่าแรกเลย หนังผีสมัยนี้มักจะใช้ CGI เยอะมาก จนมันไม่น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว แต่ใน Evil Dead สิ่งที่คุณเห็นนั้นไม่ใช้ CGI เลย 99% ในเรื่องมีโคตรน้อย ถึงโคตรๆๆๆๆน้อยที่ใช้ CGI จริงๆ ทางผู้ทำหนังถึงกับบอกว่าจะใช้ CGI ต่อเมื่อมันจำเป็นแบบหาวิธีอื่นไม่ได้แล้วจริงๆเท่านั้น เพราะฉะนั้น เลือด เนื้อ อะไรหลายๆอย่างที่คุณเห็น คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนถ่าย ไม่ใช่ CGI แต่อย่างใด (แต่นักแสดงไม่ได้หั่นตัวเองจริงๆนะ - -* )


สาเหตุที่ทำไมผมถึงให้คุณเอาน้ำแฟนต้าสีแดง หรือ ซอสมะเขือเทศไปกินนั้นก็เพราะ หลังจากคุณชม Evil Dead 2013 จบ บอกตามตรงคุณแทบจะไม่อยากเห็นอะไรเหล่านี้ในช่วงเวลานั้น... หรือ ยิ่งถ้าคุณกินอะไรตอนที่กำลังดูอยู่ล่ะก็ โดยเฉพาะ พวกเนื้อทั้งหลาย รับรองครับ อร่อย อย่าบอกใคร.... พอคุณเห็นอะไรเหล่านี้ในช่วงเวลานั้นคุณจะนึกถึงหนังเรื่อง Evil Dead ตลอด เพราะ มันเต็มไปด้วยอะไรเหล่านี้ทั้งเรื่อง


การแสดง ผมต้องขอชมนักแสดงที่เล่นเป็นน้องผีจริงๆ เล่นได้ซะใจ ซาดิส โหด เถื่อน บ้าดีจริงๆ
รวมถึงนักแสดงหลายๆคนอีกด้วยที่เล่นได้ น่าเหลือเชื่อจริงๆ (ในแบบหนังผีอะนะ)

จุดเสียที่ผมเห็นชัดๆเลยในหนังคือ การที่หนังพยายามแล้วนะที่จะแหวก แต่ถ้าคุณเป็นแฟนหนังผีจริงๆ คุณเดาออกเลยว่าจะเป็นยังไงต่อไป แต่ก็นะ เราไม่ได้เข้ามาดู Evil Dead เพื่อหนังผีแหวกแนว ถ้าคุณอยากดูหนังผีแหวกแนว กรุณาเชิญ Cabin in the woods ครับ แหวกแบบหลุดโลกไปเลย การันตี !! 

อย่างที่สองเลยคือตัวหนังมีหลายจุดที่เอ่อ...ไม่ค่อยจะ Make Sense ซักเท่าไร ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเหมือนกันหมดแหละสำหรับหนังผีทุกเรื่อง ซึ่งในจุดนี้ก็อีกแหละ เราไม่ได้มาดูหนังผี Make Sense กันนะ !!



Evil Dead 2013 สำหรับผมแล้ว คือหนังผีแนวโหดเลือดสาด ที่แท้จริง โหดจริง อะไรจริง และกล้าจริง ไม่ใช่มานั่งหลบมุมกล้องอะไรแบบนั้น น่าเบื่อ !! นี้คือหนังที่ถ้าคุณชอบอะไรแนวนี้ คุณต้องไม่พลาดโดยเด็ดขาด ด้วยความตื่นเต้น ลุ้นระทึก ความโหดเหนือคำบรรยายที่ทำเอาหนังตำนาน Saw กลายเป็นหนังเด็กปั่นจักรยานไปซื้อ แฟนต้าน้ำแดงหน้าปากซอย รวมไปถึงการที่ตัวหนังเรียกได้ว่าไม่ใช้ CGI   เลย ถึงแม้ตัวหนังจะเดาได้ค่อนข้างง่าย แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คุณมาชม Evil Dead แต่เพราะ สิ่งที่ผมกล่าวมาข้างต้นต่างหาก ที่ทำให้ตัวหนังมันช่าง สนุกเหลือเกินที่จะนั่งดู และ เห็นคนเหล่านี้ โดนสับเป็นชิ้นๆ 


The Best Quote from " Evil Dead 2013 "

"Please Please YOU HAVE TO GET ME OUT OF HERE ,  No! You don't understand. There was something in the woods... and I think it's in here with us... now. "
- Mia 



+จุดที่ทำได้ดี :
+ ความโหดเหนือคำบรรยาย ที่ถึงแม้คุณรู้ว่าหนังมันโหดนะ แต่พอคุณดูจริงคุณกลับรู้สึกว่า เห้ย โหดขนาดนี้เลยหรอ ??? (ทำเอาผมสงสัยได้เรท 18+ ได้ไง 555+)
+ มุมกล้องที่ไม่ใส่ใจคนดู ตัดเป็นตัด สับเป็นสับ หั่นเป็นหั่น เลื่อยเป็นเลื่อย
+ การแสดงของน้องปีศาจที่โหดได้ใจ
+ ความตื่นเต้น และ สนุกในระดับสุดยอด
+ คุณรู้สึกอยากติดตามตลอด ไม่ใช่เพราะ บทมันแหวกแนวนะ เพราะคุณอยากจะรู้ว่าคนต่อไปจะตายยังไง โหดขนาดไหนต่างหาก !!


- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- บทที่พยายามจะแหวกแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยแหวกเท่าไร และพอจะเดาออกได้
- คุณสามารถที่จะเดาตอนจบได้ และ เดาวิธีการโหดๆบางฉากได้บ้าง
- มีหลายจุดที่หนังไม่ค่อยจะ Make Sense 


Final Score : [ B+ ] + [ MUST SEE BADGE (สำหรับคอซาดิสที่เหลือไม่ค่อยแนะนำ) ] 

Star Trek : Into Darkness ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
ท่ามกลางความมืดมิด จะมีความยิ่งใหญ่รอคอยอยู่ภายหน้า





Movie Name : Star Trek : Into Darkness , Action / Sci-Fi / Adventure
Director : J.J. Abrams ( Star Trek , Super 8 )
Stars : Chris Pine ( Star Trek ) , Benedict Cumberbatch ( Sherlock TV.Series , War Horse ) , Zachary Quinto ( Margin Call , Star Trek ) , Zoe Saldana ( Star Trek ,  Avatar ) , Karl Urban ( Dredd , Star Trek ) , Simon Pegg ( Mission Impossible : Ghost Protocol , Star Trek )
Rating : PG -13






REVIEW THAI



                                                                                    Star Trek  เป็นชื่่ออีกชื่อนึงเลยถ้าหากเราๆจะพูดถึง ภาพยนตร์ Sc-Fi หรือ TV.Series Sci-Fi ที่เยี่ยมยอดตลอดกาลอีกชื่อนึงเลยทีเดียว โดย Star Trek นั้นถูกกลับมาทำรีเมคในปี 2009 โดยฝีมือของ J.J. Abrams ที่ตอนนี้เขากลายเป็น ผู้กำกับระดับโลกและอันดับต้นๆไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากจะกำกับ Into Darkness ในภาคนี้ซึ่งเป็นภาคต่อจากในปี 2009 เขายังถูกทาบทาม ให้กำกับภาพยนตร์ Sc-Fi ห้วงอวกาศที่สุดยอดอีกเรื่องนึงก็คือ Star Wars ภาคต่อไปนั้นเอง ซึ่งหลายๆคนอาจจะเป็นห่วงบ้างว่าเอ๋ โดดมาขนาดนี้จะไหวหรอ ?? ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราต้องมาดูกัน



Star Trek : Into Darkness ต้องขอเริ่มที่จุดแย่ก่อน อย่างแรกเลยก็คือ ถ้าคุณหวังว่าจะมาดู Star Trek : Into Darkness เพื่อความมันส์ แหมมันจะต้องมีฉากระเบิดตูมตาม ยิงกันหูดับตับไหม้ ระเบิดกาแลกซี่ จริงๆมันก็มีนะครับ แต่จุดเด่นของ Star Trek สำหรับผมแล้ว อย่างน้อยก็ภาคนี้ ไม่ได้อยู่ในตรงนั้นเลย ซึ่ง ฉาก Action ถ้าคุณหวังอะไรแบบนั้นละก็ คุณอาจจะหามันไม่เจอเลยก็เป็นได้ และถ้าคุณไม่ได้สนใจใน Content ของตัวหนังเลยแม้แต่น้อย รับรองเข้าไปหลับอย่างเดียวแน่นอน

และแฟนๆ Star Trek หลายๆคนอาจจะผิดหวัง เพราะ Star Trek ภาคนี้นั้นไม่ค่อยจะมีความเป็น Adventure ซักเท่าไรนัก ถ้าคุณหวังว่าภาคนี้จะไปตูมตามกันดาวอื่นทั้งเรื่อง ก็เลิกหวังได้เลยครับ ภาคนี้โฟกัสไปที่ตัวละคร ความสัมพันธ์ ของตัวละครต่างๆ เสียมากกว่า


ครับ...บอกตามตรงผมพยายามมานั่งนึกข้อเสียของ Star Trek : Into Darkness นั่งคิดได้เกือบ ชม. แต่....ผมก็นึกไม่ออก มันมีแค่นี้จริงๆสำหรับผมแล้ว ผมไม่สามารถที่จะนึกอะไรออกได้อีกแล้ว คราวนี้มาถึงตาขอชมบ้าง




จุดแรกเลยก็คือ ตัวละคร ซึ่งส่วนตัวแล้วผมว่ามันคือจุดเด่นที่แท้จริงและจุดที่แข็งที่สุด(ถ้าทำออกมาดีอะนะ) ของ Star Trek ซึ่ง....ถ้าทำออกมาห่วย...คงน่าเศร้าใจ แต่ไม่ใช่เลยสำหรับ Into Darkness ทุกๆตัวละคร(หลัก)มีหน้าที่เป็นของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่กลับกันพวกเขาเป็นเพียงมากกว่าเพื่อนร่วมงานไปแล้ว พวกเขาคือ "ครอบครัว" พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยครอบครัวของเขา และจุดที่ผมชอบมากๆในภาคนี้เลยคือ ตัวละครเอกอย่าง เคิรก์ ที่เป็นกัปตัน ตัวเขานั้นจะต้องเผชิญกับอะไรที่ท้าทายมากๆในภาคนี้ และ ตัวละครของเขามันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน เขาคือกัปตันแห่งยาน เอนเตอร์ไพรซ์ ถ้าหากเขาเป็นแค่คนอื่นๆเขาอาจจะไม่คิดอะไรมากมายนัก แต่เขาคือกัปตัน เขาจะต้องรับผิดชอบในทุกๆชีวิต ทุกๆการกระทำตัดสินใจของตัวเขาเอง แม้กระทั่งนั้นจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และมันอาจจะทำให้เขาถูกฆ่า หรือแย่กว่านั้น เพื่อนๆและครอบครัวของเขาถูกฆ่า เขาจึงยอมทำทุกวิถีทาง และอีกจุดหนึ่งเลยที่ทำให้ตัวละครของ เคิรก์ยิ่งสุดยอดเข้าไปอีกเลยก็คือ ตัวละครตัวร้ายของเรื่องซึ่งผมจะไม่บอกว่าเป็นใคร(เพราะได้ยินมาว่าถ้าบอกชื่อนี้คือแฟนๆ สตาร์เทรคจะรู้ทันทีว่าใครและเดาเรื่องออก) แต่ตัวละครนี้มันช่างร้ายกาจเหลือเกิน สมกับเป็นตัวร้ายอย่างมาก แต่ความร้ายกาจนั้น ท่ามกลางความ สับสน ความโกรธแค้น เกลียดชังนั้นกลับเป็นตัวละครที่ช่างน่าสนใจ เพราะเขามีแรงจูงใจและเหตุผลที่เขาทำไมถึงทำเช่นนี้อย่างมาก และเหตุผลนั้นมันช่างประจวบเหมาะกับ เคริก์ เสียเหลือเกิน ทั้งคู่เป็นเหมือนจักรวาลคู่ขนานที่ทุกๆอย่างเกือบจะเหมือนกัน แต่แตกต่างกันเพื่ยงนิดเดียวทำให้ชีวิตของพวกเขานั้นแทบจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะจุดแตกต่างกันเพียงจุดเดียวเท่านั้น แหมจะว่าไปมุข จักรวาลคู่ขนานนี้ก็เยอะเหลือเกินช่วงนี้ ไหนจะ Fringe TV Series แถมยังมีเกมที่ผมเพิ่งจะเล่นจบไปหมาดๆพูดเรื่องเดียวกันอีกต่างหาก 



และตัวละครเหล่านี้นั้นช่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างน่าทึ่ง เปรียบเสมือนชิ้นส่วนของยานถ้าหากคุณไม่มีคนขับ ยานก็บินไม่ได้ ถ้าหากคุณไม่มีเครื่องยนตร์ยานก็บินไม่ได้ ถ้าหากคุณไม่มีคนคอยตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ยานคุณก็จะไม่พร้อม ชิ้นส่วนเหล่านี้แต่ละส่วนมันช่างสำคัญและพอมารวมกันมันช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจ และ สุดยอดมากๆ



บทในภาค Into Darkness สิ่งนึงเลยที่ผมอยากจะชมจริงๆเลยก็คือ การวางเรื่องราวเอาไว้ในจุดต่างๆ และพอถึงจุดนึงมันมารวมกันได้อย่างน่าทึ่งและนั้นทำให้ตัวหนังดูช่างน่าสนใจ และทุกๆวินาทีในภาพยนตร์มันดูมีค่าและมีความหมายขึ้นมาทันที แถมการวางมันช่างเป็นการวางที่แสนฉลาดจนคุณอาจจะคาดเดามันไม่ถึงเลยทีเดียว อีกจุดนึงเลยที่ผมชอบมากๆในบทภาคนี้เลยก็คือ เรื่องราวและสิ่งต่างๆที่ตัวละครหลักอย่าง กัปตัน เคิรก์ต้องเจอและสิ่งที่เขาจะต้องเรียนรู้ ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ มันช่างน่าสนใจ และน่าติดตาม ว่าจะลงเอยอย่างไร 


นักแสดงการ Acting โอ้...บร๊ะเจ้า อย่างแรกเลยคือตัวร้ายของเรื่อง Benedict Cumberbatch ที่คุณอาจจะเคยเห็นเขาใน War Horse มาก่อนหรืออาจจะเป็นซีรียส์ Sherlock ผมไม่รู้นะผมเคยดูเขาแค่สองเรื่องเท่านั้นเองก็คือ War Horse และ Tinker Tailor Soldier Spy ซึ่งก็ไม่ได้เตะตาอะไรเท่าไร แต่เรื่องนี้การแสดงตัวร้ายของเขานั้นมันช่างสุดยอดเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อรวมเข้ากับบทของตัวละครของเขาแล้ว คุณแทบจะตกอยู่ในภายใต้การควบคุมของเขาเลยทีเดียว คุณแทบจะเชื่อในทุกๆสิ่งที่เขาพูด และหลายๆครั้งที่ผมนั้นรู้สึกสงสารและเศร้าใจแทนตัวละครร้าย ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ Chris Pine กับ Zachary Quinto ก็ช่างแสดงเป็นแต่ละบทบาทได้อย่างดิบดี แม้กระทั่งบทของพวกเขานั้นช่างดูยากนักโดยเฉพาะ Chris Pine ที่เขาจะต้องแสดงเป็นตัวละครที่มีความกดดันในหลายๆด้านมาก เขาจะต้องเผชิญกับหลากหลายอารมณ์มากๆในภาคนี้ ซึ่งเขาก็ทำมันออกมาได้ดีมากๆ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับขโมยซีนซักเท่าไร (อาจจะเป็นเพราะบทไม่ได้สนับสนุนขนาดนั้น) ไม่เหมือนกับ Christoph Waltz ใน Django Unchained ที่โขมยไปเสียทุก Scene 



Star Trek : Into Darkness ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วในตอนนี้สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากคำว่า "Epic" ซึ่งคงเหมาะสมแล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกๆอย่างมันช่างถูกสร้างออกมาอย่างดีที่สุด และทุกๆสิ่งที่ตัวของมันเองดีอยู่แล้ว พอนำสุดยอด มารวมกับสุดยอดหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน มันกลับทำให้ภาพยนตร์สุดยอดขึ้นมาอีกขั้น ผมแทบจะอดทนรอไม่ไหวสำหรับ Star Trek ภาคต่อไป หรือ Star Wars ในฝีมือการกำกับของ J.J. Abrams ที่ดูเหมือนเขาจะพิสูจน์แล้วว่าเขาทำอะไรได้บ้าง 





The Best Quote from " Star Trek : Into Darkness "

"You think that you can't make mistakes, but there's going to come a moment when you realize you're wrong about that, and you're going to get yourself and everyone under your command killed. " - Christopher Pike 


"You have no idea what you've done. I will walk over your cold corpses."
- ?




+ จุดที่ทำได้ดี :
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม และวางจุดต่างๆเอาไว้เป็นอย่างดีจุดคุณคาดไม่ถึงเมื่อมันมาถึง
+ ตัวละครเอกที่น่าสนใจ การต่อสู้ และการเผชิญกับสิ่งต่างๆของพวกเขามันช่างสุดยอด
+ ตัวละครร้ายที่ร้ายกาจเป็นที่สุด แต่ภายใต้ความร้ายกาจนั้นแฝงไปด้วยบางสิ่งที่เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงต้องทำเช่นนั้น และ เป็นตัวละครร้ายที่น่าสนใจ น่ากลัว น่างเกรงขาม แต่กลับ ช่างน่าสงสาร น่าเห็นใจไปในพร้อมๆกัน
+ การแสดงของตัวละครเอกทำได้อย่างดีเยี่ยมแม้บทจะยาก รวมไปถึง Benedict Cumberbatch ที่แสดงเป็นตัวร้ายได้อย่างสุดยอดเป็นที่สุด จนคุณแทบจะเชื่อทุกๆคำพูดของเขาที่เขาพูดออกมาทั้งๆที่เขาเล่นเป็นตัวร้าย ซึ่งเป็นบุคคลที่คุณไม่ควรจะเชื่อมากที่สุด
+ ชิ้นเล็กๆน้อยๆของทุกๆสิ่งในภาพยนตร์ถูกเอามาใช้อย่างดิบดี ทำให้ทุกๆนาทีของภาพยนตร์ดูมีค่าอย่างมาก และ เมื่อเอาทุกๆสิ่งมารวมกันแล้วมันช่างสุดยอดเกินคำบรรยายเหลือเกิน
+ ทุกๆสิ่งมันช่างดูสมเหตุสมผลไปหมด ไม่ใช่แค่เอาไอ้นี้นะ ไอ้นู้นนะ จบ แต่ทุกๆสิ่งถูกเลือก และ จัดวางมาเป็นอย่างดิบดีแล้ว


- จุดที่เหมือนจะไปไม่รอด ? :
- ถ้าหากคุณหวังว่าจะมาดู Star Trek : Into Darkness เพื่อฉากยิงตูมตามระเบิดตูมตาม ทุก 5วินาที หรือ ฉากเอายานยิงกันหูตับดับไหม้ ระเบิดกาแลกซี่ เตรียมตัวผิดหวังได้เลย เพราะ ถึงยังไงจุดนี้ผมก็ว่าตัวผู้กำกับเองนั้นคงไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ฉาก Action น่ะมันมีนะ แต่ไม่ได้มีมาเพื่อให้มันส์อย่างเดียวเท่านั้น
- ถ้าหากคุณหวังว่าภาคนี้จะมีการผจญภัยทั้งเรื่อง แบบไปดาวอื่นกันทั้งเรื่อง ค้นหานู้นนี้ ก็คงจะผิดหวังกันไปบ้าง 


Final Score :  [ A+ ]  &  [ MUST SEE BADGE ]

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Iron Man 3 ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
มนุษย์เตารีดกลับมาแว้วววว 3



Movie Name : Iron Man 3 , Action / Sci-Fi
Director : Shane Black 
Stars : Robert Downey Jr. ( Iron Man 1-2 , The Avengers ) , Gwyneth Paltrow ( Iron Man 1-2 )
Ben Kingsley ( The Prince of Persia : Sands of Time ) , Guy Pearce ( Prometheus ) , Don Cheadle ( Flight , Iron Man 2 )
Rating :  PG-13



**** อาจมี Spoil บางส่วน ****


REVIEW THAI



                                                                                       งจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการ์ตูน Marvel หรือ ภาพยนตร์ Marvel ตอนนี้เป็นภาพยนตร์ฮีโร่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ เนื่องจากแฟนๆพื้นฐานการ์ตูนก็เยอะอยู่แล้ว ตัวภาพยนตร์ก็มักจะทำออกมาได้ดีเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็น Thor ที่กำลังจะมีภาค 2 Dark World ที่จะฉายปลายปีนี้แล้ว หรือ Captain America : The First Avengers ที่มีข่าวมาว่าจะมีภาค 2 เช่นกัน หรือ แม้กระทั่ง Antman ! ก็มีข่าวมาว่ากำลังทำอยู่เช่นกัน ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า สำหรับผู้เขียนแล้วภาพยนตร์รวมฮีโร่ The Avengers นั้นผู้เขียนส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่แบบเป็นทีมที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมา ซึ่งแน่นอนหนึ่งในตัวละครที่เราพูดถึงกันมากที่สุดนั้นก็คือ ไอ้เตารีด เอ้ย.... Iron Man นั้นเอง ซึ่งคราวนี้เขากลับมาอีกครั้งแล้ว !!



Iron Man 3 ต้องขอบอกว่าค่อนข้างน่ากลัวอยู่เรื่องนึงเลยก็คือ ผู้กำกับ ที่จะไม่ใช่  Jon Favreau อีกต่อไปแล้ว เพราะเขานั้นขอถอยมาเป็นแค่ Executive Producer กับแสดงในเรื่องแค่นั้นพอ และผู้กำกับคนใหม่ที่ได้มาก็ดันเป็น Shane Black ที่ต้องขอบอกเลยว่าผมไม่รู้จักเขาเลย ซึ่ง Shane Black นั้นส่วนใหญ่จะทำงานด้านเขียนบทซะมากกว่า แต่ก็เคยมีผลงานกำกับมาบ้าง แต่มีเพียงแค่เรื่องเดียว !! นั้นก็คือ  Kiss Kiss Bang Bang  ก็เลยอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าอยู่ดีๆกระโดดมากำกับหนังใหญ่ขนาดนี้ จะคุมอยู่รึเปล่า ?



ต้องขอเริ่มจากข้อดีก่อนละกัน จุดแรกที่ผมชอบมากๆในภาคนี้เลยก็คือ ความลื่นไหลของฉาก Action ที่สุดยอดมากๆ เนียนสุดๆ และไม่สะดุดเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่ฉาก Action โดยเฉพาะ ฉาก Climax นั้นเร็วมากๆ แต่กลับทำออกมาได้ไม่รู้สึกติดขัดเลยแม้แต่น้อย
ด้านการเล่นกับอุปกรณ์ใหม่ของ Tony ต่างๆก็ทำออกมาได้น่าสนใจไม่น้อย อย่างเช่นการเรียกชุดมาประกอบร่างเอง หรือ มุขต่างๆที่ใส่เข้าไปในภาพยนตร์ ก็ทำให้ดูเพลินไม่ใช่น้อย


อีกจุดหนึ่งเลยคือการแสดง ที่ต้องขอบอกเลยว่า เรื่องนี้ไปดู Ben Kingsley ก็คุ้มแล้ว.... เพราะ แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ สมกับเป็นตัวร้ายอย่างแท้จริง ในด้านนักแสดงคนอื่นๆก็ไม่แพ้กันเลยทีเดียว อย่าง Guy Pearce ถึงแม้จะรู้สึกว่าเขาพยายามมากไปหน่อย จนแปลกๆ แต่ก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี


ในด้านฉาก Action ต่างๆคงจะถูกใจขา Action แน่นอนโดยเฉพาะฉาก Climax ที่มีรายละเอียดค่อนข้างน่าสนใจ และจัดเต็มมากกว่าภาคก่อนๆ 

ในด้านบทถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจอยู่บ้างถึงแม้บอกตามตรงว่าค่อนข้างจะหมดมุขแล้วจริงๆ แต่ผมค่อนข้างชอบที่เขาหยิบยกเอาเรื่องราวต่อมาจาก The Avengers ทำให้เรารู้สึกว่ามันต่อเนื่องมาก (แต่ถ้าใครไม่ได้ดูภาคก่อนๆหรือ The Avengers อาจจะงงบ้าง)



มาถึงจุดที่ผมไม่ค่อยประทับใจซักเท่าไรในภาคนี้กัน อย่างแรกเลยก็คือบท ที่บอกตามตรง ตอนแรกที่ผมดูตัวอย่างมันดูน่าสนใจมากๆ มันช่างดู Epic อลังการ และ ดูเคร่งเครียดมากขึ้น เหมือนคราวนี้ พี่เตารีดเราจะเจอศึกหนักกว่าครั้งก่อนๆแล้ว !! แต่เมื่อเอาเข้าจริง ตัวหนังบทส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็แค่หนังฮีโร่ปราบผู้ร้ายแค่นั้นเองหลักๆแล้ว ไม่ได้มีอะไรลึกไปกว่านั้นซักเท่าไรนัก ซึ่งแตกต่างกับ The Avengers ถึงแม้สเกลหนังเอามาเทียบกันอาจจะดูไม่แฟร์ไปบ้าง แต่ The Avengers มันมีอะไรที่มากกว่าแค่ปราบผู้ร้าย เพราะ แต่ละตัวละครในนั้นแต่ละคนก็มีจุดหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกเขามีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่แค่เพียงสู้กับตัวร้ายเท่านั้นแล้ว แต่พวกเขาจะต้องสู้กับตัวเองและคนรอบๆข้างด้วย รวมไปถึงบทเรียนที่พวกเขาได้รับหลังจากที่พวกเขาทำผิดพลาดลงไป (จากฉากที่ Loki หนีไปได้ทั้งๆที่ถูกจับอยู่ และแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากยืนเฉยๆ และรอให้ เหล่าฮีโร่ทะเลาะและสู้กันเอง จนทำให้พ่ายแพ้ยับเยิน) ซึ่งอะไรเหล่านี้นั้น แทบจะไม่มีเลย ใน Iron Man 3
หรือจะให้เทียบใกล้เคียงที่สุดก็คือ Iron Man ภาคแรกที่ Tony จะต้องเปลี่ยนตัวเองจากนักค้าอาวุธที่ไม่ได้แคร์ใครอะไร แต่เมื่อเขาได้รับบทเรียนในสิ่งที่เขาทำลงไป เขาจึงเปลี่ยนแปลงตัวเองและหันมาต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งอะไรเหล่านี้ ไม่มีเลยใน Iron Man 3


กับหลังจากที่ผมดูจบแล้ว ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไร ออกแนว "อืม ก็สนุกดี" ซะมากกว่า ซึ่งมันค่อนข้างน่าผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ สเกลหนังที่ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็คงมาจาก หลายๆสิ่งที่เราได้เห็นในภาคนี้ เราเคยเห็นมาก่อนแล้วใน Iron Man 1-2 หรือ The Avengers มาหมดแล้ว พอเรามาเห็นสิ่งเดิมๆที่แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นซักเท่าไร


ในตัวอย่างหนังอีกจุดหนึ่งที่ผมชอบมากๆเลยก็คือ Character ของ แมนดารินตัวร้ายภาคนี้ ที่ช่างดูน่ากลัวสุดๆ และคำพูดที่ว่า "ฮีโร่ มันไม่มีหรอกไอ้ของแบบนั้นน่ะ" มันช่างทรงพลังเหลือเกิน แต่เมื่อเอาเข้าจริง ตัวหนังกลับแอบหักหลังคนดูเล็กน้อย..... ผมหวังว่าภาคนี้เราจะได้เจอกับตัวร้ายสุดแสนฉลาด และสู้ด้วยแผนการอันน่ากลัวและไม่มีใครหยุดยั้งมันได้แม้กระทั่ง Iron Man แต่เอาเข้าจริง ตัวหนังกลับเน้นไปที่ Action เตะต่อย ระเบิดตูมตาม เสียมากกว่าจนลืม Potential หรือ โอกาสที่ช่างน่าสนใจเช่นนี้ไปเสียนั้น ในจุดนี้ทำให้ผมนึกถึง " Joker " ใน The Dark Knight มากๆ เพราะ Joker ใน TDK นั้นไร้คำบรรยายจริงๆ เพราะคงหาคำอะไรมาอธิบายตัวร้าย และ การแสดงที่ระดับสุดยอดสุดๆ และ ความกดดันแบบไร้ขีดจำกัดแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว และมันทำให้ Joker กลายเป็นตัวละครที่ช่างน่ากลัวเหลือเกินไปเลย ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้มีพลังอะไรเลย และ ไม่ได้ใส่ชุดเกราะมหาประลัย เทคโนโลยีกว้างไกล แบบ Batman หรือ Iron Man 



Iron Man 3 เป็นภาพยนตร์ ฮีโร่อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะถูกใจคอ Action เป็นแน่แท้ และคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า Iron Man คงจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่อีกคนที่เราจะจดจำไปอีกนาน แต่ถ้าหาก Iron Man ภาคต่อๆไปยังคงกินแต่ของเก่าไปเรื่อยๆแบบนี้ และ ไม่มีอะไรใหม่ๆเลยทั้งๆที่นี้ก็ภาค 3 แล้วอาจจะทำให้ภาคต่อๆไป คุณอาจจะต้องหนักใจกว่าเก่าว่า "ควร" หรือไม่ที่จะเสียเงินเข้าไปชมอีก


The Best Quote from " Iron Man 3 "


" Lesson Number One : Heroes, there is no such a thing. " - Mandarin



+ จุดที่ชอบในภาพยนตร์ :
+ บทที่น่าสนใจในตอนแรก
+ ฉาก Action ที่ลื่นไหลไม่สะดุด แม้กระทั่งความเร็วที่มากๆ
+ ฉาก Climax ระดับสุดยอด
+ การแสดงของ Ben Kingsley 
+ มุขตลกที่เข้ามาตลอดทำให้ไม่รู้สึกเบื่อ
+ บทที่ต่อเนื่องมาจาก The Avengers ทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์มันต่อเนื่องกัน
+ เซอร์ไพรซ์



- จุดที่ไม่ชอบในภาพยนตร์ :
- บทที่เมื่อเอาเข้าจริงโดยรวมก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย
- ลูกไม้ ลูกเล่น เดิมๆที่เห็นมาก่อนหน้านี้แล้วใน Iron Man 1-2 , The Avengers
- ตัวร้ายที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง 



Final Score : [ B ] 



Thank You to : Iron Man 3 , IMDB for information