วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

About Time ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
คุณเคยอยากที่จะย้อนเวลา กลับไปแก้ไขบางสิ่งบางอย่างบ้างไหม ?





Movie Name : About Time ( 2013 ) , Drama / Comedy 
Director : Richard Curtis ( Love Actually )
Stars : Rachel McAdams ( The Vow , Midnight In Paris ) , Domhnall Gleeson ( Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2 , Dredd ) , Bill Nighy ( Underworld , Harry Potter and the Deathly Hallows Part 1 , Love Actually ) 
Rating : น 13 + 








REVIEW


                                                                              วกเราหลายๆคนนั้น น่าจะเคยมีความคิดกันบ้าง ว่า "จะเป็นอย่างไร ? ถ้าหากเราสามารถที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขบางสิ่งบางอย่างในอดีตได้" เช่น กลับไปแก้ไขบางคำพูดที่เราพูดออกไป บางการกระทำ หรือการตัดสินใจบางอย่างที่เราอาจจะทำผิดพลาดไป  ถ้าหากคุณเคยมีคำถามนี้ขึ้นมาล่ะก็ ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงเรื่องราวนี้ได้น่าสนใจสำหรับคุณพอควรเลยทีเดียว (ถึงขนาดที่ IMDB จัดภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในหมวด Sci-fi เฉย ฮ่าๆ)


About Time นั้นผู้กำกับเขามีชื่่อว่า Richard Curtis ซึ่งน่าจะพูดได้เลยว่า เขาเป็นทั้งผู้กำกับและนักเขียนบทภาพยนตร์แนวตลก หรือ โรแมนติก ที่มีความสามารถมากๆอีกคนหนึ่ง ดูจากได้ผลงานที่ผ่านๆมาของเขาอย่างเช่น Love Actually หรือ ภาพยนตร์/คาแรคเตอร์สุดโด่งดังอย่าง Mr.Bean เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับ Rowan Atkinson (Mr.Bean นั้นแหละ) ซึ่งน่าจะพอการันตีหลายๆอย่างในฝีมือการกำกับของเขาได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว



About Time ว่าด้วยเรื่องราวของ ทิม ที่่ค้นพบว่าตัวเขาเองนั้นมีพลังที่จะสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้พลังนี้ในการตามหาคนรักของเขาให้เจอให้จงได้ 



About Time นั้นต้องขอพูดเลยว่า เป็นภาพยนตร์ที่แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่อง Escape Plan อย่างเห็นได้ชัดมาก (ซึ่งมันก็ต้องแตกต่างอยู่แล้ว) นอกจากประเภทของตัวภาพยนตร์ที่แตกต่างกันแล้ว จุดที่แตกต่างกันอย่างมากซึ่งเป็นข้อเสียใน Escape Plan เลยก็คือ ด้าน Characters ใน About Time นั้น ทุกๆตัวละครนั้น เราช่างแคร์หรือใส่ใจพวกเขาเหลือเกิน เนื่องจากการปูตัวละครที่ยอดเยี่ยมของภาพยนตร์ในช่วงแรก ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตัวละครเหล่านี้จริงๆ โดยภาพยนตร์ใช้วิธีเล่าเรื่องที่ทำให้เรารู้สึก(เหมือนว่า)รู้ทุกอย่างในเรื่องราวของตัวละคร เช่น ครอบครัว นิสัย ความคิด ความหวัง อื่นๆอีกมากมาย ที่ผมใช้คำว่าเหมือนว่า ก็เพราะว่า มันคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีเวลาเพียง  2 ชั่วโมงที่จะอธิบายได้หมดทุกซอกทุกมุมของตัวละคร 100% แบบไม่มีข้อกังขาใดๆ แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะตัวภาพยนตร์ได้ทำให้คุณหลงเชื่อได้สำเร็จไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องสงสัย และผลที่ตามมาก็คือ ทำให้เรารักและเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้เหลือเกิน ในทุกๆเหตุการณ์ ทุกๆเหตุการณ์จริงๆ เราอยากที่จะให้เขาผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ลำบากไปได้ เหมือนเราได้แชร์ประสบการณ์นั้นกับตัวละครนั้นจริงๆ ซึ่งคงจะไม่แปลกเลยถ้าหากคุณจะเสียน้ำตาให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย  ยังไม่นับถึงตัวละครเองที่เขียนมาได้อย่างดี ลึก ช่างน่าสนใจ และ เป็นตัวของตัวเอง มีความสำคัญในทุกๆตัวละครในเรื่องจริงๆ ทุกๆตัวละคร ไม่มีตัวละครใดเลย ที่ทำให้รู้สึกว่า มีมาเพื่ออะไร หรือเป็นตัวละครแบบ Reuse ใช้แล้วทิ้งแบบในภาพยนตร์หลายๆเรื่อง



สำหรับตัวผมนั้น ต้องขอบอกเลยว่าผมไม่ชอบหรือไม่ถูกใจการใช้ Music หรือ Soundtrack ในภาพยนตร์บางเรื่องอยู่บ้าง เพราะ ภาพยนตร์นั้น Music หรือ Soundtrack ควรจะเป็นฉากหลังเท่านั้น ส่วนฉากหน้าควรจะเป็นภาพ แต่ภาพยนตร์บ้างเรื่องกลับใช้ Music หรือ Soundtrack มากจนเกินไปจนบัดบังในส่วนของภาพไปจนหมด ซึ่งแบบนั้นเขาจะไม่เรียกว่า ภาพยนตร์ แต่เขาจะเรียกว่า "Music Video (MV)" แทน สำหรับในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มีบางส่วนในภาพยนตร์ที่ผมรู้สึกว่าใช้ Music มาบดบังตัวภาพอยู่บ้าง แต่ในบางส่วนก็ใช้ Music นี้ช่วยในการเล่าเรื่องได้อย่างดี โดยไม่บดบังตัวภาพและเรื่องราวที่แท้จริงได้อย่างฉลาดไม่น้อยเลยทีเดียว


สำหรับในด้านนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น นักแสดงทุกๆคนถือว่าเล่นได้ดีเลยทีเดียว ทุกๆคนในเรื่องแสดงได้ดีจนให้ความรู้สึกที่เราเชื่อไปซะทุกๆอย่างในแต่ละการกระทำของพวกเขาโดยเฉพาะ Bill Nighy กับ Domhnall Gleeson ที่เคมีเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อในทุกๆฉาก


สำหรับภาพยนตร์เรื่อง About Time ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ สนุก น่าสนใจ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาใดเลยที่คุณจะไม่สนใจถึงการกระทำต่อๆไปของตัวละคร (ซึงเป็นอีกจุดที่มาจาก Characters ที่ดี) การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ และ น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังมีอารมณ์ขันอยู่ในหลายๆเวลาที่ทำให้คุณหัวเราะได้อย่างง่ายดาย จึงไม่แปลกเลยที่คุณจะรู้สึกเหมือนเป็น 2 ชั่วโมงที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้นั้นก็คือ Plot หรือ บทในภาพยนตร์ ซึ่งต้องขอยอมรับเลยว่า เป็นอีกบทภาพยนตร์หนึ่งที่น่าสนใจเอามากๆ เพราะ อย่างที่ผมกล่าวไปในข้างต้นแล้ว พวกเราหลายๆคน น่าจะเคยคิดกันบ้างล่ะ ว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปได้บ้าง ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็นำประเด็นหรือไอเดียในจุดนี้มาใช้ได้อย่างน่าสนใจเหลือเกิน และยังใช้จุดๆนี้มาบีบหัวใจผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยมในบางฉากอีกด้วย ในท้ายที่สุดแล้วถึงแม้ข้อความที่ภาพยนตร์ต้องการจะบอกกับผู้ชมจะไม่ค่อยแปลกใหม่อะไรมากนัก แต่ก็เป็นข้อความที่เต็มไปด้วยพลังพอสมควร ที่น่าจะทำให้หลายๆคนย้อนกลับไปดูชีวิตในแต่ละวันของตัวเอง และ ได้แรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง แรงผลักดันอะไรบางอย่างกลับมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เช่นเดียวกับตัวผมเอง อย่างแน่นอน



ถึงกระนั้นก็ตาม...ผมก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ว่า มีเพียงจุดเดียวในภาพยนตร์จริงๆที่ยังคงทำได้ไม่ดีนัก และถือเป็นจุดที่ใหญ่ และร้ายแรงที่สุดของภาพยนตร์เลยก็ได้ นั้นก็คือ บทของภาพยนตร์ ใช่มันน่าสนใจ แต่มันก็ไม่ได้"ดี"ขนาดที่จะกลบจุดด้อยของภาพยนตร์จนหมด นั้นก็คือบทในส่วนของ พลังการข้ามเวลาของตัวละครในภาพยนตร์ ที่เอาเข้าจริง ตัวภาพยนตร์แทบจะไม่ได้บอกอะไรคุณมากหรือเจาะลึกลงในส่วนนี้มากเท่าไรเลย เช่น ทำไมครอบครัวนี้ถึงได้พลังนี้มาแต่แรก ? แล้วพลังนี้มันเป็นไปได้อย่างไร ?  จนถ้าหากคุณมานั่งคิดไปคิดมาจริงๆ ตัวภาพยนตร์ในจุดนี้ดูเหมือนจะโกงผู้ชมด้วยซ้ำไป ในการใช้มันกับผู้ชมในหลายๆจุด แต่กลับแทบไม่ได้บอกอะไรมากมายกับมันเลย ถึงแม้ในจุดนี้ตัวภาพยนตร์จะเล่นได้ดี ทำได้ดี ถูกใจผู้ชมได้ดีเท่าไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าในส่วนนี้จะดีเลย เหมือนกับการที่คุณ ทำข้อสอบได้เต็ม 100 คะแนน และคุณเขียนออกมาได้ดีจนทุกคนถูกใจ แต่ในท้ายที่สุดถ้าหากการที่คุณทำข้อสอบนั้น จริงๆแล้วคุณทำมันได้เพราะคุณ"โกง" ใช้ความสามารถของตัวคุณเองจริงๆเพียงบางส่วน หรือ พูดความจริงไม่หมด มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่คุณแทบไม่ได้ทำอะไรมันเลย เพียงแค่คุณทำออกมาถูกใจหรือได้ใจผู้ชมก็เพียงเท่านั้น เพราะถ้าหากไม่มีจุดนี้มาตั้งแต่แรก เรื่องราวหรือภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว 



About Time น่าเสียดายที่เกือบจะไปถึงเส้นชัยอยู่แล้วเชียว แต่กลับมาพลาดจุดที่สำคัญและร้ายแรงเสียก่อน แต่ถึงแม้ตัวภาพยนตร์นั้นจะพลาดในจุดนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยจริงๆ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กุมหัวใจของผู้ชมไปเรียบร้อยแล้ว ตัวละครแต่ละตัวที่ช่างเขียนมาได้น่าสนใจ น่าติดตาม การเล่าเรื่องที่ดี รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้เราเข้าถึงตัวละครเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันได้ผลอย่างไม่ต้องสงสัย การนำไอเดียที่หลายๆคนเคยคิดถึง ฝันถึงพูดถึง มาเล่าในภาพยนตร์ได้น่าสนใจ นักแสดงทุกๆคนที่แสดงได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนั้นยังเป็นภาพยนตร์ที่ให้อะไรกับผู้ชมได้กลับไปคิด ได้เป็นแรงบันดาลใจติดไม้ติดมือไปอีกด้วย About Time ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ Comedy / Drama ที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจในทุกๆช่วงวินาทีได้อย่างไม่ต้องสงสัย 




Final Score [ B + ] & [ Must See Badge ] 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น