วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Gravity ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
Gravity ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปี 2013 ?




Movie Name :  Gravity ( 2013 ) , Sci-Fi / Thriller / Drama , Warner Bros.
Director : Alfonso Cuaron ( Harry Potter and the Prisoner of Azkaban , Children of Men ) 
Stars :  Sandra Bullock ( The Blind Side , The Proposal ) , George Clooney ( Ocean's Eleven , Up In The Air )
Rating : PG -13








REVIEW




                                                                              Gravity เป็นภาพยนตร์ที่มีหลายๆคนรอคอยรวมถึงตัวผมเองอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากหลายสาเหตุ สาเหตุแรกก็คงจะเป็นเสียงชมจากนักวิจารณ์ต่างประเทศที่พูดไปทางเดียวกันหมดด้วยคะแนน Metacritic สูงลิ่วชนิดที่แทบจะนับเรื่องได้ถึง 96 คะแนน และ มะเขือเน่า Rotten Tomatoes ที่สูงถึง 98% สาเหตุต่อมาก็คงจะเป็นนักแสดงอย่างเช่น George Clooney ที่เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง และมีคนชื่นชอบอยู่มากเลยทีเดียว ซึ่งเขาคนนี้นั้น ได้รางวัลออสก้ามาแล้วถึง 2 ครั้งเลยทีเดียว ครั้งแรกเขาได้จากภาพยนตร์เรื่อง  Syriana ด้วยสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และ ครั้งที่สองเมื่อปีที่แล้วจากภาพยนตร์เรื่อง Argo ที่เขารับหน้าที่เป็น Producer นั้นเอง อีกคนนั้นก็คือ Sandra Bullock  ซึ่งเธอก็เป็นนักแสดงอีกคนที่มีชื่อเสียงค่อนข้างจะมากเลยทีเดียว นอกจากนั้นเธอยังได้รางวัลออสก้ามาคว้าไว้แล้วตัวนึงอีกด้วย จากภาพยนตร์เรื่อง The Blind Side  ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ก็คงต้องมานั่งคอยดูกันว่า ปีนี้ Gravity จะได้คว้ารางวัลอะไรกลับไปบ้าง



สำหรับผู้กำกับ Gravity นั้น เขาคือ Alfonso Cuaron ซึ่งถ้าพูดถึงผลงานกำกับเขาล่ะก็หลายๆคนก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว นั้นก็คือ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban หรือ Harry Potter ภาคที่ 3 นั้นเอง รวมถึงภาพยนตร์อย่าง Children of Men ที่ค่อนข้างจะเป็นภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว และเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างจะมุ่งมั่นมากๆอีกคนหนึ่งเนื่องจากภาพยนตร์ Gravity เรื่องนี้นั้น ถูกทิ้งเอาไว้โดยไม่มีอะไรคืบหน้าถึง 4 ปี (หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า Development Hell) เนื่องจากความมุ่งมั่นของภาพยนตร์ในด้านภาพ ความสมจริง และการถ่ายทำ ทำให้ผู้กำกับ Alfonso Cuaron ต้องรอจนกว่าที่เขาคิดว่าเทคโนโลยีน่าจะสามารถทำสิ่งที่เขาต้องการได้ จนเขาได้เห็น Avatar ของ James Cameron ในปี 2009 และในเวลาเหล่านี้เองก็มีการเปลี่ยนแปลงนักแสดงมากมายจนกว่าจะมาถึง Sandra Bullock และ George Clooney ในตอนนี้ อย่างเช่นตอนแรกที่ ทาง Universal ทาบทามบทนำแสดงให้กับ Angelina Jolie แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเนื่องจากคิดว่าน่าจะทำให้ภาพยนตร์มีต้นทุนที่สูงเกินไป (รวมไปถึง Angelina Jolie ปฏิเสธถึงสองครั้งในเวลาต่อมาอีกด้วย) และ ในเวลาต่อมา Warner Bros. จึงได้เข้ามารับ Project ต่อไป โดยผู้กำกับ Alfonso Cuaron ได้ Casting นักแสดงเอาไว้นั้นก็คือ Sandra Bullock กับ Robert Downey Jr. แต่เนื่องจาก Robert Downey Jr. ติดปัญหาทางด้านตารางที่ไม่ตรงกัน บทจึงตกไปอยู่ในมือของ George Clooney ในท้ายที่สุด (ยังไม่รวมถึงบทนำแสดงหญิงที่หลังจาก Angelina Jolie ปฏิเสธแล้ว ทำให้ตัวเลือกหลักตกไปอยู่กับ Natalie Portman จนในท้ายที่สุดต้องเปลี่ยนไปเพราะเธอประกาศว่าได้ตั้งครรภ์) ยังไม่รวมถึงการที่ตัวเขาเองนั้นเข้าไปมีส่วนร่วมเขียนบทภาพยนตร์ Gravity ด้วยตัวเองร่วมกับลูกชายของเขา จึงอาจจะพูดได้เลยว่า เขานั้นค่อนข้างที่จะเข้าใจถึงทุกๆส่วนในภาพยนตร์เลยทีเดียว



Gravity นั้นว่าด้วยเรื่องราวของ Ryan Stone ซึ่งเป็นวิศวกรแพทย์ กับ Matt Kowalski ซึ่งเป็นนักบินอวกาศ พวกเขาจะต้องเอาชีวิตรอดหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ท่ามกลางอวกาศที่เวิ้งว้าง ไร้ความปราณีนี้ พวกเขาจะเอาชีวิตรอดอย่างไร ?



มาเข้าถึงรีวิวภาพยนตร์กันจริงๆล่ะ Gravity นั้น สำหรับตัวผมแล้ว ต้องขอบอกไว้เลยว่า นี้คือภาพยนตร์ที่พูดถึง สื่อถึง เล่าถึง อวกาศที่"แท้จริง และ สมจริง" อย่างที่สุด เท่าที่เคยได้ดูมาในภาพยนตร์เรื่องไหนๆเลยทีเดียว อวกาศที่ช่างดูสวยงาม งดงาม แต่เต็มไปด้วย ความอันตรายทุกเสี้ยววินาที ความไร้ปราณี ไร้อากาศหายใจ ไร้แรงโน้มถ่วง และ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆที่จะสามารถมีชีวิตได้อยู่ท่ามกลางอวกาศนี้ ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างจากภาพยนตร์ Sci-Fi ในหลายๆช่วงที่ผ่านมาอยู่พอสมควรเลยทีเดียว และ ต่อให้ไม่แตกต่างกันมาก ก็คงไม่สมจริงเท่าใน Gravity อย่างแน่นอน



จุดแรกที่ผมอยากจะขอชมแบบสุดหัวใจเลยนั้นก็คือ CG หรือ ภาพในภาพยนตร์ ที่ช่างสวยงาม อลังการ สมจริง น่าทึ่งเป็นที่สุด ในทุกๆ Shot ทุกๆ Scene นั้น เต็มไปด้วยรายละเอียดที่มากเหลือเกิน มากจนขนาดไม่น่าเชื่อว่า CG ในตอนนี้จะทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นโลกของเราที่มองมาจากอวกาศที่สวยงามอย่างที่สุด และเต็มไปด้วยรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นเมฆ ภูเขา พื้นที่ต่างๆมากมาย ที่เก็บรายละเอียดได้สุดยอดจริงๆ เรียกได้ว่าหลายๆครั้งมากในภาพยนตร์ที่ผมถึงกับขนลุกกับ CG ที่สำคัญเลยก็คือ CG ใน Gravity แทบจะทุกๆสิ่งมันดูจะสำคัญ หรือ อาจจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างเสมอๆ ซึ่งต่างกับภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ใช้ CG เพียงเพื่อความสวยงาม อลังการเท่านั้นแต่ไม่มีความสำคัญและไร้ซึ่งความหมายใดๆซึ่งมันเท่ากับไร้ประโยชน์ 


สำหรับตัวผู้กำกับ Alfonso Cuaron นั้นเรียกได้ว่าเขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม และทำการบ้านมาดีสุดๆจริงๆ หลายๆฉากที่เขาใช้เทคนิค Long Shot ที่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงห่วงอวกาศอันเวิ้งว้างได้อย่างน่าทึ่ง สมจริง เหมือนเราไปอยู่บนอวกาศจริงๆ และในหลายๆฉากที่ตัวละครตกอยู่ในสถานการลำบาก เขาก็ถ่ายแต่ละ Shot และใช้เทคนิคได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น บางฉากเขาใช้มุมมองแบบ First Person ที่เหมือนคุณเป็นตัวละครนั้นๆ คือใช้มุมมองที่ตัวละครนั้นเห็นอยู่จริงๆ แถมในฉากๆนั้นๆยังเต็มไปด้วย รายละเอียดอีกต่างหาก ถ้าหากเขาใช้มุมมองแบบ First Person นอกจากคุณจะเห็นเหมือนที่ตัวละครเห็นแล้ว เสียงพูด และ เสียงต่างๆที่คุณได้ยินจะเหมือนเสียงที่ตัวละครได้ยินในชุดจริงๆ ซึ่งแตกต่างจากเสียงแบบมุมมองแบบปกติอย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งแสดงได้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดในแต่ละฉากอย่างแท้จริงซึ่งเนื่องจากการใช้เทคนิคที่ยอดเยี่ยมของเขาเนี้ยแหละ ทำให้หลายๆส่วนในภาพยนตร์นั้นสมบูรณ์ไปด้วยอย่างง่ายดายเลยทีเดียว ยังไม่รวมถึงบาง Shot และ การเล่าเรื่องที่สื่อความหมายบางอย่างที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลาในภาพยนตร์



Gravity นั้นเป็นภาพยนตร์ที่สนุก และที่สำคัญ ตื่นเต้นที่สุดอีกเรื่องในปีนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจากหลายๆสาเหตุเช่น เทคนิคของผู้กำกับ CG ที่สวยงาม สมจริง ชวนให้เชื่อ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือตัวละคร ที่ทั้งเรื่องนั้นเอาเข้าจริงเราจะได้เจออยู่จริงๆก็แค่ 2 ตัวละครเท่านั้น แต่ 2 ตัวละครนี้นั้นช่างน่าสนใจ ลึก น่าเชื่อถือเหลือเกิน และช่างเป็น 2 ตัวละครที่คุมทั้งเรื่องได้อย่างไร้ข้อกังขาใดๆเลย นอกจากนั้นยังสมจริงอย่างที่สุดในทุกๆการกระทำที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ทั้งเรื่องอีกด้วย โดยเฉพาะตัวละครอย่าง ดร.สโตน ที่ภาพยนตร์ทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอดในการให้เธอกับผู้ชมผูกพันธ์กันอย่างโดยไม่รู้ตัว ทุกครั้งและทุกครั้งจริงๆ ที่ตัวละครนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก คุณมักจะเอาใจช่วยเธออย่างสุดใจทุกๆครั้งให้ผ่านเหตุการณ์นั้นๆไปให้ได้ เนื่องจากตัวละครนี้ช่างน่าเชื่อถือ สมจริง และเหมือนมนุษย์จริงๆเป็นที่สุด ยังไม่รวมถึงเทคนิคการถ่ายทำของภาพยนตร์อย่างเทคนิค First Person ที่ทำให้เราเห็นเหมือนที่เธอเห็น ยิ่งทำให้คุณซึ่งเป็นผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเธอ และเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครนี้ ง่ายเข้าไปอีกซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งเป็นที่สุด นี้ยังไม่นับถึงนักแสดงทั้งสองคนในภาพยนตร์ที่แสดงได้อย่างสมจริงเป็นที่สุด โดยเฉพาะ Sandra Bullock ที่นำผลงานการแสดงระดับสุดยอดมาอีกครั้ง



สำหรับตัวผมนั้นได้โอกาสชม Gravity ในระบบ 3D (Third Dimension) หรือ สามมิติ เพราะ ฉะนั้นไม่พูดถึงไม่ได้เลยทีเดียว สำหรับระบบ 3D ใน Gravity นั้นเรียกได้ว่าสร้างมาได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ ไม่เหมือนภาพยนตร์ 3D 90% ของสมัยนี้ที่ โยนๆอะไรเข้าใส่คนดูหน่อยก็เรียกว่า 3D แล้ว แต่ 3D ใน Gravity นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ในทุกๆฉากคุณจะรู้สึกถึง Depth of Field หรือ ความลึก ความติ้นอยู่ตลอดเวลา ในฉากหลายๆฉากก็ทำได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจรวมไปถึงเรื่องราวจากตัวภาพยนตร์ที่พูดถึงอวกาศเองด้วยก็ทำให้เหมาะสมแล้วกับการเป็น 3D  อย่างที่สุด


ถึงแม้ว่าภายนอกตัวภาพยนตร์เหมือนจะมีบทที่พื้นๆทั่วไปก็ตาม แต่นั้นไร้ความหมายไปเลย ถ้าหากผู้กำกับนั้น เข้าใจบทอย่างแท้จริง และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะสื่อมันออกมา จึงสามารถดึงศักยภาพของมันออกมาได้ 100% หรือ เกิน 100% เก็บได้ทุกรายละเอียด สื่อมันออกมาได้อย่างถูกต้องและแท้จริงเป็นที่สุด มันกลับกลายเป็นทำให้บทที่ดูพื้นๆนั้น ช่างดูยิ่งใหญ่ อลังการ น่าเชื่อถือ สมจริงไปในทันที 



Gravity เป็นภาพยนตร์ Sc-Fi แห่งปีหรืออาจจะพูดได้ว่า แห่งทศวรรษเลยอีกเรื่องหนึ่งก็คงจะไม่เกินจริงเท่าไรนักด้วยการใช้ CG อย่างชาญฉลาด สร้างออกมาได้อย่าง น่าทึ่ง สวยงาม อลังการ สมจริง ในแต่ละฉากที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่มากจนเหลื่อเชื่ออย่างที่สุด การถ่ายทำและการใช้เทคนิคที่เหมาะสมอย่างสุดยอดเป็นที่สุด ส่งเสริมให้ส่วนอื่นดีตามไปด้วย การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม ลุ้นระทึกและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ตัวละครที่ช่างน่าสนใจรวมไปถึงนักแสดงทั้งสองคนที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ระบบ 3D หรือ สามมิติ ที่ทำออกมาได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน ใช้คุณภาพของสามมิติได้เต็มศักยภาพและเหมาะสมเป็นที่สุด นี้คือเหตุผลที่ทำไม Gravity คือภาพยนตร์ที่สุดยอดที่สุดอีกเรื่องหนึ่งแห่งปี และ แห่งทศวรรษนี้



 + จุดที่ทำได้ดี :
+ CG ที่สวยงาม อลังการ สมจริง และน่าทึ่งเป็นที่สุด 
+ ภาพในภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่มากจนน่าทึ่ง
+ การกำกับและการใช้เทคนิคในการถ่ายทำอย่างยอดเยี่ยมในการถ่ายทอดเรื่องราว
+ สนุก ตื่นเต้น ระทึก ตลอดเวลา
+ ตัวละครที่ช่างน่าสนใจ สมจริง และดูเป็นมนุษย์จริงๆอย่างที่สุด ทำให้ผู้ชมเอาใจช่วยอยู่ตลอดเวลา
+ ระบบ 3D ที่ทำศักยภาพของ 3D เอามาใช้ได้อย่างเต็มที่ 
+ บทที่นำมาใช้ได้อย่างเต็มที่่ ดึงศักยภาพของบทออกมาได้ทุกส่วน 


- จุดที่ไปไม่รอด :


Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ] 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น