วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

Captain Phillips ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
อย่าเป็นห่วงไปคุณกัปตัน ทุกอย่างมันจะต้องเป็นไปด้วยดี



Movie Name : Captain Philips ( 2013 )
Director : Paul Greengrass ( The Bourne Supremacy , The Bourne Ultimatum )
Stars : Tom Hanks ( Da Vinci Code , Angels and Demons , Forrest Gump ) , Barkhad Abdi
Rating : น 15+




REVIEW


                           Captain Philips ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งในปี 2013 ที่ผ่านมานี้ ที่เรียกได้ว่า ถูกพูดกันมานักต่อนักถึงความ อลังการ ความเป็น ระทึกขวัญ ของมัน ซึ่งก็คงจะเป็นผลมาจากฝีมือของผู้กำกับ Paul Greengrass จากผลงานอย่าง Bourne Supremacy และ Ultimatum อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะวิธีการใช้มุมกล้องแบบ “Shaky Cam” หรือ การถือกล้องแบบ Handheld ทำให้ภาพเกิดอาการสั่น ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายทำที่มีผู้กำกับบนโลกไม่กี่คนจริงๆเท่านั้นที่ใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริม หรือสื่อความหมายจริงๆ (ส่วนคนอื่นๆก็ใช้มันแบบอย่างมั่วซั่วสร้างความน่ารำคาญ และชวนอ๊วกเสียมากกว่า)


ซึ่งนี้ก็คือหนึ่งในสิ่งนั้นแหละทำให้ Captain Philips นั้น “Work” สุดๆ จากการใช้เทคนิค Shaky Cam ส่งผลให้ตัวภาพยนตร์นั้นดู  ‘Realistic” หรือสมจริงขึ้น ซึ่งการถ่ายทำในแต่ละฉากของเขานั้นก็ส่งเสริมจุดนี้ในการเล่าเรื่องในแต่ละฉากได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นฉากเริ่มเรื่องที่ถ่ายในแต่ละ Shot ได้อย่างยอดเยี่ยม สื่อถึง Background หรือภูมิหลังของตัวละครได้อย่างดี จากองค์ประกอบต่างๆในฉาก เช่น รูปภาพ การจัดวาง หรือ แม้กระทั่งบทพูด Dialog ที่สื่อถึงเบื้องหลังและความคิดของตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมโดยไม่ต้องบอกตรงๆ


และอีกสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้ในภาพยนตร์ของ Paul Greengrass นั้นก็คือ ความตื่นเต้น “  Thrilling ซึ่งจากความเป็น Realistic “Shaky Cam” ของภาพยนตร์ที่มันยิ่งทวีคูณความตื่นเต้นในแต่ละฉากเพราะความสมจริงของมันแล้ว เขายังกำกับในฉาก Thriller ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ต่างๆ การโต้ตอบของตัวละครที่ชาญฉลาดดูเป็นมนุษย์และไม่โง่เง่าน่ารำคาญอย่างภาพยนตร์หลายๆเรื่อง การควบคุม โทน และ “Mood” หรือ อารมณ์ของภาพยนตร์และคนดูได้อย่างอยู่หมัด จากการควบคุมสถานการณ์ขึ้นๆลงๆในแต่ละฉากได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะเขารู้ว่าตอนไหนควรจะจุดและเผามัน และตอนไหนควรจะให้ผู้ชมพักและดับมันลงไปชั่วขณะ ซึ่งหลายๆครั้งที่คุณจะพบว่าตัวเองกำลังแทบจะกลั้นหายใจในหลายๆฉาก ถึงกระนั้นฉากเหล่านี้ก็ไม่ให้ความรู้สึก “Cheap / ถูก จากมุขตื่นเต้น โง่เง่า ลักไก่ ดูถูกผู้ชมเลยแม้แต่น้อย


อีกจุดหนึ่งที่ถือได้ว่าน่าประทับใจอย่างมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ นั้นก็คือ ถึงแม้ตัวภาพยนตร์เองนั้นจะเชิดชูความเป็น อเมริกัน อย่างออกหน้าออกตา แต่ก็ไม่เหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่องในจุดๆหนึ่ง ซึ่งจุดๆนั้นก็คือ ตัวละครร้าย ที่ สมเหตุสมผล และมีมิติ มากเลยทีเดียว ซึ่งในตัวละครร้ายเหล่านี้นั้นมีเหตุผล มีตรรกะในการกระทำของพวกเขา อย่างน่าเชื่อถือ รวมไปถึงเหตุผลเหล่านี้ ก็มีการจิกกัดและเสียดสีโลกภายนอกถึงความ ไม่ยุติธรรม / โหดร้าย และ ไร้ทางเลือก ของโลก  โดยเฉพาะประโยคคำพูดที่ว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดี นั้นยิ่งช่างเสียดสีความอยุติธรรมของโลกได้อย่างดิบดี


ยังไม่นับถึงการแสดงของ Tom Hanks ที่แสดงในฉากที่ตัวละครต้องรับภาระหนักได้อย่างน่าทึ่งโดยเฉพาะในช่วงท้ายของภาพยนตร์ที่เหมือนเป็นการระเบิดอารมณ์และความกดดันออกมาได้อย่างน่าทึ่ง น่าขนลุกเลยทีเดียว รวมไปถึงนักแสดงหน้าใหม่อย่าง Barkhad Abdi ที่เล่นหนังเรื่องแรกก็ต้องมาปะทะดาราใหญ่ที่คว้ารางวัลออสก้ามาแล้วถึง 2 ครั้งติดต่อกันอย่าง Tom Hanks ก็รับบทในการปะทะกับ Tom Hanks ได้อย่างน่าทึ่งโดยไม่เกรงกลัวรังสีออร่ากันเลยทีเดียว


แต่ถ้าหากจะให้เปรียบเทียบกับภาพยนตร์แนวเดียวกันอย่าง “Rush” ในปี 2013 นี้แล้ว น่าเสียดายที่ยังมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ Rush ไปถึง แต่ Captain Philips นั้นเรียกได้ว่า ยังไปไม่ถึง สิ่งๆนั้นก็คือ การเข้าไปมีส่วนร่วมหรือแชร์อารมณ์ของตัวละครหรือฉากต่างๆในภาพยนตร์ ซึ่งใน Captain Philips นั้น มี แต่กลับทำได้ไม่สุดเท่าใดนัก เพราะจากการปูตัวละครหลักอย่าง Captain Philips ที่ กั๊ก มากจนเกินไป และไม่ได้น่าสนใจเทียบเท่า ตัวละครหลักอย่างในภาพยนตร์อีกเรื่องอย่าง Rush เลย ซึ่งมันส่งผลถึงในฉากการบีบคั้นอารมณ์คนดูที่แตกต่างกันอย่างแทบจะเห็นได้ชัดเลยทีเดียว ซึ่งในจุดนี้ๆนั้นต้องขอยกให้กับ Rush หรือ ภาพยนตร์อีกเรื่องอย่าง Prisoners ที่ทำได้ดีกว่ามากไป


ถึงกระนั้นก็ตาม Captain Philips นั้นยังคงถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่งจากการกำกับของ Paul Greengrass ที่สร้างให้ภาพยนตร์มีความ Realistic จากการใช้เทคนิค Shaky Cam อย่างชาญฉลาดและรู้จริง รวมไปถึงการกำกับฉาก Thriller ต่างๆที่ทำได้น่าทึ่ง ตื่นเต้น เร้าใจ และความฉลาดของบทที่ยังคงไม่ลืมมิติของตัวละครอื่นๆโดยเฉพาะ ตัวร้าย ในภาพยนตร์ที่มีความเป็นอเมริกันและเชิดชูความเป็นอเมริกันแบบออกหน้าออกตาเช่นนี้ ถึงแม้จะน่าเสียดายไปบ้างในจุดของการปูตัวละครที่ยังไม่น่าสนใจเท่าใดนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ห้ามพลาดเลยทีเดียว

Final Score : [ B+ ] & [ Must See Badge ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น