วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

Top 3 Worst Movie Award of 2013 [ รางวัลภาพยนตร์ยอดแย่ประจำปี 2013 ]

Top 3 : Worst Movie Award of 2013
รางวัลภาพยนตร์ยอดแย่ประจำปี 2013






                                        ทุกๆปีนั้น พวกเรานั้นจะได้ชมภาพยนตร์มากมายไม่ว่าจะจากต่างประเทศหรือจากในประเทศไทยเอง ซึ่งมันก็ต้องปนกันไประหว่าง ภาพยนตร์ที่ดี น่าจดจำ น่าชื่นชม ภาพยนตร์ที่ดูเพียงเพื่อสนุก หรือดูผ่านๆไปได้ จนไปถึงภาพยนตร์บางเรื่องที่สร้างออกมาได้น่าชวนโมโห ถึงความห่วยแตกไม่น่าให้อภัยของมัน รวมถึงไปถึงบางครั้ง "ดูถูก" หรือ "ทำร้ายจิตใจ" ของผู้ชม ซึ่งปี 2013 ที่ผ่านมานี้เองก็เช่นกันมีทั้งดี กลาง และแย่ปนกันไป แต่นี้คือ ภาพยนตร์ที่ถูกคัดเลือกจากความเห็นส่วนตัว/ประสบการณ์ของผู้เขียน(คนเดียวเท่านั้น) ว่าช่างไม่น่าให้อภัย และควรถูกจดจำในฐานะภาพยนตร์ที่"ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง" และเป็นบทเรียนให้แก่ผู้สร้างภาพยนตร์ต่อๆไป



3. A Good Day to Die Hard 

Reason : ช่างถือได้ว่าเป็นผลงานที่ "ช๊อค" และ "ทำร้ายจิตใจ" แฟนๆภาพยนตร์ทั่วโลกโดยเฉพาะแฟนเดนตายซีรียส์ "Die Hard" เป็นอย่างมาก ถึงความแย่ของภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกำกับที่มั่วซั่ว ไม่เป็นชิ้นเป็นอันของ John Moore (ที่ก็ไม่เข้าใจว่าทางค่ายเลือกมาได้ยังไงจากผลงานเก่าๆอย่าง Max Payne ที่แฟนๆชิงชัง) เช่นมุมกล้องที่ถ่ายออกมาได้ส่อถึงความไร้ประสบการณ์ของตัวเองจนต้องซูมเข้าออกเพื่อให้ภาพยนตร์มันน่าตื่นเต้นขึ้น บทที่หาความสมเหตุสมผลได้ยาก งงงวย แย่  ที่สำคัญคือ ฉาก Action ที่ "Mindless" ไร้เหตุผล มั่วซั่วเป็นที่สุด ใช่ Die Hard ฉาก Action มันมักจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ในภาคที่ผ่านๆมาจากฝีมือการกำกับที่"ดี"ของผู้กำกับท่านอื่น มันทำให้ผู้ชม"เชื่อ" ได้ว่า เหตุการณ์ในฉากๆนั้นมันเกิดขึ้นได้จริงๆ ไม่ใช่การระเบิดนู้น ระเบิดนี้ พุ่งชนนู้นนี้ แล้วบอกว่ามันคือ Die Hard เพราะมันไม่ใช่ Die Hard เลยแม้แต่น้อย นี้ยังไม่รวมถึงตัวละครหลักที่เปิด God Mode แทบจะไม่มีรอยขีดข่วนในบางฉากและภาพยนตร์ที่ไม่มี "Tension" หรือความตึงเครียดในฉากเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกเหมือนภาพยนตร์ Action ตลกที่หาความสมเหตุสมผลอะไรไม่ได้ ดูไปแล้วนั่งขำอย่างคนบ้าไป จุดสุดท้ายที่ร้ายแรงที่สุดคือ ไม่มีฉากใดเลยที่จะทำให้รู้สึกว่ามันคือ " Die Hard " ไม่มีฉากที่ทำให้ผู้ชมหรืออย่างน้อยก็ผู้เขียน รู้สึกได้ว่า โอ้ว ว้าว ตื่นเต้น ไปกับมัน ทุกๆฉากมันช่างง่าย Copy/Paste ใช้กันมาแล้วสิบล้านรอบ หรือกระทั่งฉาก Climax ที่ใช้การถ่ายภาพแบบ Fore Ground / Back Ground ได้อย่าง"น่าไม่อาย" เสมือนดูถูกคนดูเป็นที่สุด นี้ถือได้ว่าเป็นผลงานอีกผลงานหนึ่งแห่งปี 2013 ที่น่าจดจำในฐานะหนึ่งในภาพยนตร์ที่น่าผิดหวังที่สุดแห่งปี


2.After Earth 

Reason : อีกหนึ่งผลงานที่น่าผิดหวังที่สุดของปี 2013 โดยเฉพาะของคู่พ่อลูก Will Smith และ Jaden ที่เหมือนคุณพ่อพยายามจะดันลูกตัวเอง แต่ไม่แน่ใจนักว่าการเลือกครั้งนี้จะเป็นการดันหรือการดับกันแน่ สิ่งที่เรียกได้ว่ายิ่งสร้างความผิดหวังเข้าไปอีกนั้นก็คือผู้กำกับ M.Night Shyamalan ที่ยังคงกำกับได้แย่และน่าผิดหวังเช่นเดิม (จนแฟนๆเริ่มตั้งคำถามว่าภาพยนตร์เรื่องแรกๆของเขามันเป็นการฟลุ๊คหรือไม่)  จากตัวละครที่ทั้งเรื่องเอาเข้าจริงมีแค่ 2 ตัวละคร การกำกับฉากต่างๆโดยเฉพาะฉาก Thriller ที่แย่ชวนขำเสียมากกว่าน่าตื่นเต้น ไปจนถึงการแสดงของ Will Smith ที่ย่ำแย่ และการแสดงของ Jaden Smith ที่ขึ้นๆลงๆเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทั้งๆที่ตัวภาพยนตร์เรียกได้ว่า มี Potential หรือ โอกาศที่จะเป็นภาพยนตร์ที่ดีได้ จาก CG ที่สวยงาม Element หรือ องค์ประกอบต่างๆโดยเฉพาะบางส่วนในบท ที่น่าจะทำให้มันดีกว่านี้ได้ แต่การกำกับที่ผิดที่ผิดทาง ทำให้ทุกอย่างมันช่างดูเละเทะ ไร้เหตุผลไปเสียหมด อย่างน่าเสียดาย......




1. R.I.P.D.

Reason : ภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องขอสารภาพเลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกแย่ทุกครั้งที่นึกถึงมันและถือได้เลยว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยได้ดูมา ไม่ว่าจะในด้านใดๆก็ตามมันช่างดูเลวร้ายไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็น CG ที่ย่ำแย่ เลวร้าย เสมือนกับภาพยนตร์นั้นถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มุขตลกและความพยายามที่จะตลกของภาพยนตร์ที่มันไม่ได้ตลกเอาเลย แต่กลับพยายามยัดเยียดมันเข้ามาอีก ที่เลวร้ายที่สุดคือบทที่หาความสมเหตุสมผลไม่ได้เสียเลย และเมื่อภาพยนตร์ดำเนินไปเรื่อยๆ แทนที่ตัวภาพยนตร์จะอธิบายในจุดนั้นๆแก้ความไม่สมเหตุสมผล กลับยิ่งเพิ่มจุดความไม่สมเหตุสมผลขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ภาพยนตร์นั้นไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่าเป็น "บทภาพยนตร์" อีกต่อไปแล้ว มันคือการเอาผลงานที่มั่วๆซั่วๆหลายๆชิ้นมาขยำๆรวมกันแล้วโยนใส่หน้าผู้ชมอย่างน่าไม่อาย สิ่งที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดอีกจุดเลยก็คือ ความที่ตัวภาพยนตร์นั้นไม่มีอะไรเลยที่เป็นของตัวเอง ไม่มีจริงๆ ใช่ภาพยนตร์ในสมัยนี้นั้นไม่มีเรื่องใดหรอกที่จะมีความเป็น "Originality" หรือ กล้าพูดว่าตัวเองไม่ได้เลียนแบบหรือได้รับแรงบันดาลใจมาจากใคร แต่ในภาพยนตร์หลายๆเรื่องมันมักจะมีอะไรที่"แตกต่าง" ออกไปเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นการตีความ การแสดงทัศนะคติ / ความคิดเห็น แต่ใน R.I.P.D. นอกจากที่มันจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างไปจากภาพยนตร์ที่ตัวมันเองลอกมาอย่าง Men In Black (M.I.B.) แล้ว มันยังเหมือนแทบจะทุกซอกมุมอย่างกับ Copy/Paste ไม่ว่าจะเป็น Gimmick คู่หู , องค์กร , บทที่เหมือนกันแทบจะเปะๆ หรือแม้กระทั่งการออกแบบฉากที่แทบจะเหมือนกันอีก ผลก็คือมันทำให้ภาพยนตร์นั้นไร้ความสร้างสรรค์สุดๆไม่ว่าจะในฉากใดๆ นี้ยังไม่นับถึงการกำกับของผู้กำกับ Robert Schwentke ที่กำกับแต่ละฉากออกมาได้น่าขำ โดยเฉพาะฉากจบที่ชวนสับสนและขำถึงความน่าอนาจของมัน เมื่อนำองค์ประกอบของความเละเทะและเหลวแหลกของภาพยนตร์เรื่องนี้มารวมกัน มันจึงไม่เหลือความบันเทิงใดๆอีก และเหลือแต่ความทรมาณเสมือนนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเป็นว่า 1 ชั่วโมง กับอีก 36 นาที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น