Mad Max: Fury Road ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"แสงสว่างที่เล็ดรอดเข้ามาในโลกอันบ้าคลั่ง"
"แสงสว่างที่เล็ดรอดเข้ามาในโลกอันบ้าคลั่ง"
ดูเหมือนว่ากระแสภาพยนตร์ดิสโธเปียโลกแตก สังคมล่มสลาย ก็ยังคงไม่มีท่าทีจะจางหายไปไหน จากสัปดาห์ที่ผ่านมามีภาพยนตร์ประเภทนี้ถึงสองเรื่อง Lost River และ Mad Max: Fury Road
ซึ่ง Mad Max: Fury Road เป็นภาพยนตร์รีบู้ทหรือนำกลับมาสร้างใหม่ จากภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกันเมื่อปี 1979 และมีภาคต่อมาในปี 1981 และภาคสุดท้าย Mad Max: Beyond Thunderdome ในปี 1985 โดยในตอนนั้นมีนักแสดงนำเป็น เมล กิ๊บสัน ทั้งสามภาค
ส่วนในภาครีบู้ทครั้งนี้ ตัวละครเอกอย่างแมดแม็กซ์ก็ได้เปลี่ยนตัวนักแสดงมาเป็น ทอม ฮาร์ดี้ ที่มีผลงานน่าประทับใจหลากหลายเรื่องในช่วงนี้ ตั้งแต่ The Dark Knight Rises (2012) , Warrior (2011) และล่าสุดอย่าง Child 44 (2015)
ซึ่ง Mad Max: Fury Road เป็นภาพยนตร์รีบู้ทหรือนำกลับมาสร้างใหม่ จากภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกันเมื่อปี 1979 และมีภาคต่อมาในปี 1981 และภาคสุดท้าย Mad Max: Beyond Thunderdome ในปี 1985 โดยในตอนนั้นมีนักแสดงนำเป็น เมล กิ๊บสัน ทั้งสามภาค
ส่วนในภาครีบู้ทครั้งนี้ ตัวละครเอกอย่างแมดแม็กซ์ก็ได้เปลี่ยนตัวนักแสดงมาเป็น ทอม ฮาร์ดี้ ที่มีผลงานน่าประทับใจหลากหลายเรื่องในช่วงนี้ ตั้งแต่ The Dark Knight Rises (2012) , Warrior (2011) และล่าสุดอย่าง Child 44 (2015)
Mad Max: Fury Road ว่าด้วยเรื่องราวของ แม็กซ์ ชายผู้ต้องไปเผชิญกับกลุ่มมอเตอร์ไซค์บ้าคลั่ง ในระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้พบกับฟูริโอซ่า นางทหารที่กำลังวางแผนการลับบางอย่างเอาไว้ แม็กซ์จึงตกอยู่ท่ามกลางสงครามระหว่างฟูริโอซ่าและหัวหน้าแก๊งค์จอมโหดอิมเมอร์ตันโจ เขาจะสามารถเอาชีวิตรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้หรือไม่ ?
บุคคลที่ต้องขอซูฮกเลยจริงๆเลย ก็คือผู้กำกับ/เขียนบทร่วม จอร์จ มิลเลอร์ ซึ่งก็อายุอานามก็ไม่ได้น้อยๆแล้ว แต่กลับสามารถสร้างสรรค์ผลงานระดับอัจฉริยะได้เช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นการกำกับฉากแอ็คชั่นไล่ล่า คิวบู้ ที่สุดแสนจะตื่นเต้น ดิบ เถื่อน สะใจ , การเล่าเรื่องที่ลื่นไหล น่าติดตามเต็มไปด้วยพลัง หรือการออกแบบลักษณะของตัวละครที่น่าสนใจ พูดจริงๆเถอะ ใครบ้างละจะไม่ชอบเจ้าตัวละครดีดกีตาร์ร็อคปล่อยไฟได้ ? สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ต้องพูดเลยว่าน่าตกใจมากที่ออกมาจากผู้กำกับอายุ 70 ปีท่านนี้คงต้องพูดว่าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขสำหรับป๋าจอร์จเสียจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นการกำกับฉากแอ็คชั่นไล่ล่า คิวบู้ ที่สุดแสนจะตื่นเต้น ดิบ เถื่อน สะใจ , การเล่าเรื่องที่ลื่นไหล น่าติดตามเต็มไปด้วยพลัง หรือการออกแบบลักษณะของตัวละครที่น่าสนใจ พูดจริงๆเถอะ ใครบ้างละจะไม่ชอบเจ้าตัวละครดีดกีตาร์ร็อคปล่อยไฟได้ ? สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ต้องพูดเลยว่าน่าตกใจมากที่ออกมาจากผู้กำกับอายุ 70 ปีท่านนี้คงต้องพูดว่าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขสำหรับป๋าจอร์จเสียจริงๆ
ในด้านของบทภาพยนตร์แล้ว ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย ภายนอกแล้วดูเหมือนนี้จะเป็นพล็อตอันแสนธรรมดา ตัวร้ายไล่ล่าตัวละครเอก และพวกตัวละครเอกก็ต้องหาทางหนีให้ได้ หากแต่ว่าเมื่อได้ชมจริงๆตัวบทมันดิ่งลงไปมากกว่านั้น เช่น การสอดแทรกปมเบื้องหลังของแต่ตัวละครได้อย่างลึกซึ้งน่าเชื่อถือ และยังเต็มไปด้วยมุขและลูกเล่นอัจฉริยะพลิกเรื่องราวไปมาหลายตลบที่ทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจอยู่ได้ตลอดเวลา
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องขอชมอีก ก็คือในด้านของโปรดัคชั่นดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเสื้อผ้าหน้าผม ฉาก และอุปกรณ์รวมถึงซีจีคอมพิวเตอร์ต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สวยงาม สร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับโลก Mad Max ได้เป็นอย่างดี
แต่บุคคลที่ต้องยกเครดิตและความดีความชอบให้ในฐานะที่ทำให้ตัวภาพยนตร์ Mad Max: Fury Road เป็นที่น่าประทับใจมากจริงๆเลย ก็คือ ชาร์ลิซ เธอรอน ผู้รับบทฟูริโอซ่าในเรื่อง ที่ถ่ายทอดการแสดงระดับเข้าชิงเวทีรางวัลให้เราได้ชมกัน ทำให้เรารู้สึกหลงรักในตัวละครของเธอ โดยเฉพาะฉากที่เธอทรุดตัวลงไปกรื้ดร้องท่ามกลางทะเลทรายอันแสนโหดร้ายที่พาเอาขนลุกขนพองกันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีนักแสดงหลายคนที่น่าชมไม่ใช่น้อยเช่น นิโคลัส ฮอลท์ หรือ ทอม ฮาร์ดี้ แต่ยังไง ชาร์ลิซ เธอรอนก็คงจะได้มงกุฎไปอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตัวละครฟูริโอซ่าของเธอ ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นตัวเอกที่โดดเด่นมากกว่าตัวละครที่มีชื่อแปะอยู่ในโปสเตอร์ภาพยนตร์อย่าง แมดแม็กซ์ เสียอีก ด้วยการใช้ตัวละครฟูริโอซ่าเป็นจุดขัดแย้งหลักของเรื่อง และใช้แมดแม็กซ์เป็นตัวช่วยเหลือในการดำเนินเรื่อง(หรือในบางครั้งอาจจะเป็นตัวแทนผู้ชมก็เป็นได้) ถ้าหากจะเปรียบเทียบก็เสมือน ตัวละครแมดแม็กซ์เป็นกระบอกปืน ในขณะที่ตัวละครฟูริโอซ่าเป็นลูกกระสุน ทั้งคู่ต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้ถ้าหากต้องการจะบรรลุเป้าหมายนั้นเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วนี้ก็เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดมากทีเดียว
ถึงแม้ว่าภายนอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูจะเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นล้างผลาญ บ้าๆ บอๆ ก็ตาม แต่ภายในของมันก็กลับเต็มไปด้วยการสอดแทรกประเด็นและแนวคิดต่างๆที่น่าสนใจทีเดียว เช่น การลุกขึ้นมาต่อสู้ของเพศสตรีที่ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือหรือถูกกดขี่โดยเพศชายเพียงฝ่ายเดียว
แต่ประเด็นที่น่านำมาครุ่นคิดจริงๆ เชียวเลย ก็คือสอดแทรกความเชื่อเรื่องความตายอันมีเกียรติจะนำไปสู่ 'วัลฮาล่า'(Valhalla)ซึ่งหมายถึงแดนสรวงสวรรค์ ของภาพยนตร์ หลายๆ ตัวละครในภาพยนตร์อยากตายจากในโลกอันแสนเลวร้ายที่พวกเขาอยู่ 'โลกดิสโธเปีย' เพื่อไปสู่วัลฮาล่า โลกซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง อุดมสมบูรณ์ 'โลกยูโธเปีย' นั้นเอง ซึ่งนอกจากนี้จะแสดงถึงความฉลาดของภาพยนตร์ที่สามารถสอดแทรกความคิดขั้วตรงกันข้ามอย่างยูโธเปีย เข้าไปในภาพยนตร์ดิสโธเปียได้อย่างยอดเยี่ยม พอเหมาะพอเจาะ ไม่บังคับหรือยัดเยียดมากไปแล้ว ยังสะท้อนถึงความหวังของมนุษย์ที่อยากจะอยู่ในสถานะที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ จุดสูงสุด ไม่ต้องเป็นกังวลอะไร และยังอยากให้ผู้อื่นได้รับรู้ว่าตนเองกำลังจะถึงจุดนั้น เฉกเช่นที่เราเห็นหลายๆตัวละครในภาพยนตร์ตะโกนก่อนจะทำอะไรบ้าๆว่า "จงดูฉันนะ" ซึ่งแสดงถึงความเชื่อใน 'American Dream' ได้ดีอีกด้วย
สุดท้ายแล้ว Mad Max: Fury Road ก็ไม่ได้เป็นแค่เพียงสุดยอดแห่งภาพยนตร์แอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยความมันส์ที่ทำเอานั่งเก้าอี้ไม่ติด ปวดฉี่ก็ต้องนั่งอั้นทั้งเรื่องเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่สอดแทรกประเด็นเนื้อหาอันซับซ้อนต่างๆที่แสดงถึงเนื้อแท้ที่เต็มไปด้วยคุณภาพทั้งภายนอกและภายในได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย นี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เพรชเนื้อดีหายากของฮอลลีวูดที่นานๆทีจะมีโอกาสเกิดขึ้น และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่คอภาพยนตร์ทุกคนไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด
Final Score : [ 8.5 / 10 ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น