วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

Sicario ( 2015 ) Movie Review


Sicario (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz




"เด็กน้อยท่ามกลางฝูงหมาป่า"



เดนนิส วิลเลอเนิฟ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับฝีมือระดับหาตัวได้ยากของฮอลลีวูด จากผลงานก่อนๆอย่าง Prisoners และ Enemy ซึ่งภาพยนตร์ของเขา มักจะเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด สถานการณ์อันกดดันจนหายใจลำบากในทุกๆวินาที ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้กำกับน้อยคนนักจะทำได้เป็นเอกลักษณ์อย่างคงเส้นคงว่าเท่า เดนนิส


ซึ่ง Sicario ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นี้ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันตึงเครียด กดดัน และสมจริง ว่าด้วยเรื่องราวของ เคท FBI สาวมือฉกาจที่ถูกส่งไปร่วมช่วยเหลือต่อต้านขบวนการค้ายาและเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายที่ชายแดนระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับแม็กซิโก แต่การมาของเธอครั้งนี้ทำให้เธอได้รู้ซึ้งถึงความอันตรายครั้งใหม่



สาเหตุที่ทำไม Sicario เป็นภาพยนตร์ที่ช่างลุ้นระทึก กดดัน และตึงเครียด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนสำคัญมาจากผู้กำกับ เดนนิส วิลเลอเนิฟ ซึ่งยังคงเล่าเรื่อง และสร้างสถานการณ์ได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะผ่านบทพูด หรือ ภาพบนจอภาพยนตร์ ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเหล่าตัวละครนั่นตกอยู่ในสภาวะที่เป็นภัย และความรู้สึกที่อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อใดก็ได้ตลอดทั้งเรื่อง

ยิ่งผนวกเข้ากับการตัดต่อของ โจ วอล์คเกอร์ เข้าไป ก็ยิ่งทวีคูณความเคร่งเครียดให้กับสถานการณ์ในภาพยนตร์ขึ้นไปอีกขั้น


ในด้านของนักแสดงทั้งหลายในภาพยนตร์ ทุกคนก็ยังคงแสดงพลังผ่านเรื่องราวอันตึงเครียดได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น เอมิลี่ บลันท์ ซึ่งรับบทหญิงแกร่งในต้นเรื่อง สู่หญิงผู้บอบบางอ่อนแอในท้ายเรื่อง หรือ จอช โบรลิน ที่นอกจากจะรับบทจริงจังได้แล้ว ยังเป็นคนที่คอยใส่มุขกวนๆเข้ามาสร้างสีสันในภาพยนตร์ท่ามกลางสถานการณ์อันตึงเครียดได้ตลอดเวลา


แต่บุคคลที่เป็นตัวเอกที่แท้จริงของภาพยนตร์ ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เบนิซิโอ เดล โทโร ซึ่งรับบทเป็นตัวละครอันแสนโหดเหี้ยม น่ากลัว และน่าเกรงขามที่สุดในภาพยนตร์ นอกจากนั้น ความสัมพันธ์เสมือน 'พ่อสั่งสอนลูก' ระหว่างตัวละครของเขา กับ ตัวละครของ เอมิลี่ บลันท์ ก็ช่างน่าสนใจเสียจริงๆ



ถ้าหากจะมีสิ่งหนึ่งที่ Sicario ยังทำได้ไม่โดดเด่นเท่าไรนัก ก็คงจะเป็นพื้นหลังการวางเรื่องราวปมปัญหาระหว่างประเทศอเมริกาและแม็กซิโก ที่ยังคงดูเดิมๆ ไม่น่าจดจำและไม่น่าสนใจเท่าไรนัก 
การสอดแทรกประเด็นศีลธรรมในมนุษย์ก็ค่อนข้างจะโดนส่วนอื่นเบียดจนตกไป แตกต่างจากในผลงานก่อนอย่าง Prisoners ที่ตัว เดนนิส เล่นจุดนี้ได้ดี ได้น่าจดจำกว่ามากซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย


ถึงแม้ว่าในช่วงปัจจุบันเราจะได้เห็นและได้ชมการยอมรับพลัง สิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียมระหว่างเพศชาย กับเพศหญิงที่มากขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะนอกหรือในโลกภาพยนตร์ แต่ช่างน่าแปลกใจที่ Sicario กลับเป็นภาพยนตร์ที่ตอกย้ำถึงพื้นที่หรือโลกบางส่วนที่มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ และเป็นที่ๆเพศหญิงหรือผู้อ่อนแอไม่อาจมีชีวิตรอด ซึ่งในภาพยนตร์เปรียบเปรยโลกๆนี้ว่าเป็น 'โลกแห่งหมาป่า' ที่ๆซึ่งเหยื่อผู้อ่อนแอจะถูกกำจัดอย่างง่ายดาย


ซึ่งตัวละครของ เอมิลี่ บลันท์ ก็เปรียบเสมือนตัวแทนความแข็งแกร่งของเพศหญิง ที่เข้ามาถูก บดบี้ ขยี้ และถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในโลกของผู้ชายหรือโลกของหมาป่าแห่งนี้ เสมือนเป็น เด็กน้อยท่ามกลางฝูงหมาป่า อย่างแท้จริง



สุดท้ายแล้ว Sicario ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่น่าจับตามองมากที่สุดในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกำกับ เล่าเรื่อง ตัดต่อ หรือการแสดง ต่างก็อยู่ในระดับที่น่าทึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น การสอดแทรกความคิดที่มีโลกหรือพื้นที่บางส่วนซึ่งผู้หญิง หรือ ผู้อ่อนแอไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว และเป็นโลกของผู้ชาย ฝูงหมาป่าอันแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ก็เป็นแนวความคิดที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย Sicario อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบ แต่นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงด้านที่ดีงามของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปซักเท่าไรนัก


Final Score : [ 8 / 10 ]

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

Maze Runner: The Scorch Trials ( 2015 ) Movie Review




Maze Runner: The Scorch Trials ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"รสชาติเดิมๆ"


   ท่ามกลางกระแสภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือขายดีทั้งหลาย ต้องพูดตามตรงเลยว่า Maze Runner เป็นแฟรนไชส์ที่ผู้เขียนประทับใจน้อยที่สุดเรื่องหนึ่ง จากภาคแรกที่ไม่มีความน่าจดจำเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม The Scorch Trials ก็มาถึง ด้วยขนาดตัวภาพยนตร์ที่ใหญ่ขึ้น ไม่แน่นี้อาจจะเป็นการแก้ตัวที่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้ !?


Maze Runner: The Scorch Trials ว่าด้วยเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้วของกลุ่มผู้รอดชีวิตจากเขาวงกตที่พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าเดิม ท่ามกลางการไล่ล่าของกลุ่มผู้ไม่หวังดี และสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายไม่แพ้กัน พวกเขาจะหาทางเอาชีวิตรอดได้หรือไม่ ?




The Scorch Trials โดยรวมก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีการพัฒนาใดๆจากภาคแรก นี้ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือขายดีที่หาความโดดเด่น ความแตกต่าง และความน่าจดจำไม่ได้เลย ทุกๆสิ่งยังคงเต็มไปด้วยความซ้ำซาก นำเสนอเรื่องเดิมๆที่ภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นทำมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แถมบางเรื่องยังทำได้ดีกว่าอีกด้วย เฉกเช่น The Hunger Games ที่อย่างน้อยก็สอดแทรกเรื่องราวการเมืองเข้ามาได้อย่างเป็นเอกลักษณ์


บทภาพยนตร์ของ The Scorch Trials ก็ยังคงเต็มไปด้วยปัญหา ความจืดชืด เหมือนคัดลอกชาวบ้านเขามายังไงก็เอามาลงแบบนั้นทุกขั้นตอน แทบจะไม่เห็นซึ่งความพยายามในการปรับเปลี่ยน หรือการสร้างเอกลักษณ์ใดๆ ทำให้ทุกๆสิ่งในภาพยนตร์ช่างน่าเบื่อหน่าย เดาได้อย่างง่ายดายว่าใครจะตายหรือใครจะอยู่ สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ซึ่งความซ้ำซากมันยังพอให้อภัยได้ถ้าหากมันน่าจดจำ มันถ่ายทอดอารมณ์ออกมายอดเยี่ยมพอ แต่อารมณ์ที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้คือความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่ภาพยนตร์ทำอะไรซ้ำๆว่า "อีกแล้วหรอ"



ในด้านของตัวละครต่างๆก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดีไปกว่ากันเท่าไรนัก ทุกตัวละครยังคงเป็นชนิดตัดแปะมาจากแม่แบบ เดิมๆ ขาดมิติ ตัวละครเอกอย่างโทมัสก็ยังคงเป็นมหาเทพ รู้ดีมันซะทุกอย่างทั้งๆที่คนอื่นก็หนีรอดมาจากเขาวงกตได้เหมือนๆกัน  แต่ดูเหมือนจะมีแค่ โทมัส ที่สามารถจะต่อกรกับเหล่าร้ายได้ รู้ว่าควรจะหลบ ควรจะซ่อนตอนไหน หลบหลีกได้ทันเวลาอันน้อยนิดตลอด ด้วยสาเหตุที่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร เขาอาจจะเป็นพระเจ้าก็เป็นได้


ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายเรื่องค่อนข้างจะเข้มข้นชดเชยความน่าเบื่อจืดชืดของภาพยนตร์ช่วงแรกถึงกลางเรื่องไปได้บ้าง แต่นี้ก็ดูเหมือนจะคล้ายภาพยนตร์อย่าง Transformers เข้าไปทุกที ที่แทบจะทุกช่วงในภาพยนตร์ชวนหลับแต่สุดท้ายก็ทิ้งอะไรไว้เหมือนเป็นความหวังให้แก่ผู้ชมประมาณว่า "ภาคต่อไปมันจะต้องสุดยอดมากแน่ๆ" ซึ่งมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่มากกว่า 70% ของทั้งเรื่องนั้นชวนหลับแค่ไหน



สุดท้ายแล้ว Maze Runner: The Scorch Trials ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์สร้างจากหนังสือขายดีที่เดินย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน แทบจะทุกสรรพสิ่งในภาพยนตร์ก็ยังคงออกมาจืดชืดน่าเบื่อ ขาดเอกลักษณ์หรือความโดดเด่น ถึงแม้ว่าในภาคนี้จะมีจำนวนฉากแอ็คชั่นที่เยอะขึ้น แต่นั้นก็ยังคงทำได้แค่ให้เราไม่หลับซะก่อนที่ภาพยนตร์จะจบลง ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่ไม่น่าให้อภัยสำหรับภาพยนตร์ที่ดำเนินมาถึงภาคที่สองแล้ว


Final Score : [ 5 / 10 ]

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ฟรีแลนซ์ ( 2015 ) Movie Review



ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ส่วนผสมที่ลงตัว"


 ถือได้ว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับวงการภาพยนตร์ไทยเสียจริง กับการเข้ามาร่วมงานในค่ายภาพยนตร์กระแสหลัก GTH ของผู้กำกับอินดี้ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่พาเอาแฟนๆและคอหนังหลายคนตื่นเต้น ว่านี้อาจจะเป็นความหวังสำหรับภาพยนตร์ไทยที่กำลังค่อนข้างจะซบเซาช่วงนี้ก็เป็นได้ !?


ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ว่าด้วยเรื่องราวของ ยุ่น ชายอายุ 30 ที่รับงานฟรีแลนซ์อย่างดุเดือดชนิดไม่หลับไม่นอน จนทำให้วันหนึ่งเกิดผื่นขึ้นที่ตามตัวของเขา แต่เมื่อเข้าไปโรงพยาบาลเขาก็ได้เจอกับหมออิมที่ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ท่ามกลางงานที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด และการทำลายสถิติไม่นอนติดต่อกันหลายวัน เขาจะสามารถหายจากโรคนี้และเข้าใกล้หมออิมไปอีกได้หรือไม่



ฟรีแลนซ์ คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างภาพยนตร์นอกกระแส และกระแสหลักที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะในด้านรูปแบบหรือเนื้อหา ที่ยังคงความเป็นผู้กำกับ เต๋อ นวพล คนเดิม เช่นเทคนิคการถ่ายทำแบบต่อเนื่อง Long Take , การใช้กล้องแบบถือเดินติดตามตัวละคร หรือเรื่องราวที่สอดแทรกปัญหาที่เข้ามารุมเร้าตัวละครหลัก 


แต่ที่จะมีโดดเด่นขึ้นมามากกว่าปกติ ก็คือการสอดแทรกเสียงพูดในหัวของตัวละครเอก ยุ่น เข้ามา ซึ่งเสียงในหัวนี้เป็นตัวเพิ่มสีสัน เพิ่มความฉูดฉาดให้กับสถานการณ์ต่างๆในภาพยนตร์มากขึ้น ซึ่งในอีกด้านหนึ่งเสียงพูดนี้ก็เปรียบเสมือนความพยายามในการปรับภาพยนตร์ให้เข้ากับกระแสหลักและผู้ชมทั่วไปมากขึ้น เพราะเสียงในหัวส่วนใหญ่ของเรื่องก็ค่อนข้างมาเป็นจังหวะ สร้างมุขตลกชวนหัวเราะได้ดี แต่ในบางส่วนก็รู้สึกว่ามันมาขยายเรื่องราวในเรื่องให้ใหญ่ ตรงไปตรงมามากจนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่องที่มีส่วนอารมณ์ค่อนข้างจะจริงจังอยู่มาก ซึ่งฉากเหล่านี้น่าจะทรงพลังมากกว่านี้ถ้าหากปราศจากเสียงพูดในหัวของตัวละครเอกที่คอยแทรกเข้ามาอยู่หลายครั้ง



สำหรับในด้านของนักแสดง แทบจะทุกคนในเรื่องต่างก็แสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ซันนี่ ที่รับบทตัวละครหลักอย่างยุ่น ก็ถ่ายทอดตัวละครที่ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้ดี หรือ ดาวิกา ผู้รับบทเป็นหมออิม ก็ยังคงสาวสวย และสะท้อนถึงความยากลำบากในวิชาชีพหมอได้น่าสนใจ เป็นธรรมชาติ อีกคนก็คือ วิโอเลต วอเทียร์ ที่รับบทเป็นเพื่อนของยุ่นในเรื่อง ก็เป็นอีกตัวละครที่น่าสนใจไม่แพ้สองตัวละครหลัก และยังแสดงได้น่าประทับใจไม่แพ้สองนักแสดงหลักเลยทีเดียว


ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงปัญหาของคนทำงานได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เฉพาะอาชีพฟรีแลนซ์เหมือนตัวละครเอก เฉกเช่น การทำงานที่สุดแสนจะลำบาก ลากเลือด เพื่อนร่วมงานที่บางครั้งเห็นงานสำคัญกว่าชีวิตของเรา หรือ ความกดดันจากสังคมการทำงานที่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่มันก็กลับเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครๆก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือสิ่งจำเป็นเพื่อการมีชีวิตรอด



ซึ่งสิ่งที่ภาพยนตร์สอนให้กับผู้ชม ก็คือการที่เราต้องไม่ลืมถึงคุณค่าของชีวิตตัวเราเอง การทุ่มเทในการทำงาน หรือ ทำสิ่งบางสิ่ง มันเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหากมันทำร้ายชีวิตหรือร่างกายของเรา มันก็อาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมซักเท่าไรนักเลย เพราะถึงแม้ว่างานชิ้นนั้นเราอาจจะรอคอยมาทั้งชีวิต แต่สุดท้ายแล้วถ้าหากเราไม่มีแม้แต่ชีวิตให้เหลือใช้ การรอคอยนั้นก็ยิ่งกว่าสูญเปล่า นี้คือสิ่งที่ ฟรีแลนซ์ ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม


สุดท้ายแล้ว ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ก็กลายเป็นผลงานส่วนผสมระหว่างภาพยนตร์นอกกระแส กับ ภาพยนตร์กระแสหลักที่เรารอคอยและคาดหวัง นี้เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น น่าสนใจ สอดแทรกเนื้อหาที่หนักแน่น แต่กลับเป็นภาพยนตร์ที่ผู้ชมทั่วไปก็สามารถเดินเข้าไปชมได้โดยไม่รู้สึกถูกทิ้งไว้กลางทาง ถ้าหากจะมีสิ่งหนึ่งที่ ฟรีแลนซ์ อาจจะพลาดไปบ้าง ก็คือจำนวนเสียงพูดในหัวที่ดูจะเยอะและเข้ามาแทรกในส่วนสำคัญมากๆของเรื่องมากเกินไป แต่นั้นก็ดูจะเป็นเพียงจุดผิดพลาดเล็กน้อยในภาพยนตร์ที่น่าทึ่งเช่นนี้

Final Score : [ 8 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

The Shamer's Daughter ( 2015 ) Movie Review



The Shamer's Daughter ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"Game of Mediocre"



จริงๆถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก สำหรับภาพยนตร์แนวนี้ที่มาจากประเทศอื่นนอกจากฮอลีวูด โดยคราวนี้มาจากประเทศอย่างเดนมาร์ก ซึ่งในทางทฤษฏีก็น่าจะสร้างความสดใหม่ได้มากกว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูด ถึงแม้อาจจะสู้ในด้านเงินทุนไม่ได้ก็ตาม 


The Shamer's Daughter ว่าด้วยเรื่องราวของ เชเมอร์สกับลูกสาวของเธอ ดีน่า ที่มีพลังพิเศษบางอย่าง ซึ่งด้วยพลังนี้เองทำให้ตัวเธอกับลูกสาวต้องเข้าไปพัวพันกับอันตรายที่คาดไม่ถึง



สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงเป้าหมายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือความพยายามในการสร้างชื่อเสียง สร้างเป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดัง ให้อารมณ์คล้ายคลึงกับ ภาพยนตร์อย่าง Lord of the rings หรือซีรีส์ Game of Thrones ด้วยความใหญ่ของหนังโดยเฉพาะเส้นเรื่องที่พยายามลากไปให้มีหลายๆภาค



น่าเสียดาย ที่สิ่งที่ตัวภาพยนตร์ไม่ได้หันกลับมามองเลย ก็คือตัวมันเอง ไม่ต้องไปพูดถึงหรือไปเทียบกับภาพยนตร์อย่าง Lord of the Rings แม้แต่ความเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวโดดๆก็แทบจะเอาตัวไม่รอด ไม่ต้องพูดถึงการสร้างเป็นไตรภาคหรือจะกี่ภาคก็แล้วแต่ เสมือนตัวเองมีน้ำมันที่ขับรถไปถึงแค่จตุจักร แต่ดันตั้งเป้าหมายว่าจะขับไปถึงสยามพารากอนให้ได้



จริงๆตัวภาพยนตร์เอง ก็ใช่ว่าจะปราศจากเรื่องพื้นหลังอันน่าสนใจ The Shamer's Daughter มีเรื่องราวอันยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้อยู่มากมาย เช่น การตีความเรื่องพลังของตัวละครเอก ที่ไม่ได้ปล่อยพลังตูมตามแบบใน Lord of the Rings , มังกรในมุมมองของชาวเดนมาร์ก หรือการแก่งแย่งชิงบัลลังก์กันในภาพยนตร์ ที่ให้อารมณ์คล้ายคลึงกับ Game of Thrones อยู่นิดๆ



แต่ทุกสรรพสิ่งที่ดูดีบนเนื้อผ้า กลับมาล้มครืนไม่เป็นท่าในขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือการถ่ายทอดมันออกมา ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้กำกับที่ดูช่างคับแคบ ทำให้การนำเสนอเรื่องราวต่างๆออกมาจืดชืด ซ้ำซาก น่าเบื่อ หาความโดดเด่นหรือความอลังการที่ควรจะเป็นจุดเด่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย



เหล่าตัวละครต่างๆก็ถูกปูมาอย่างแบนๆ เหมือนไปยืมแม่แบบตัวละคร จากชาวบ้านเขามาตัดแปะใส่ลงไปในภาพยนตร์ตัวเอง ซ้ำร้ายเหล่าตัวละครก็ช่างแบนราบขาดมิติ เหล่าคนดีก็ช่างแสนดี ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ไม่รู้ทำไมเหมือนกันก็เขาดีอะ ส่วนเหล่าวายร้ายก็ช่างแสน 'สารเลว' น่ารังเกียจ ด้วยเหตุผลอันบางเบา และพื้นหลังตัวละครที่ภาพยนตร์ปูมาแบบลวกๆ ลวกชนิดที่โผล่มาเป็นแวบๆดูแทบไม่รู้เรื่อง ไม่กี่วินาที ปราศจากซึ่งชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง 



จะว่าไปแล้ว มุมมองทัศนคติของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ดูช่างแปลกประหลาด ทั้งๆที่พื้นหลังเต็มไปด้วยโทนเรื่องอันจริงจัง การเมือง เข่นฆ่ากันอย่างไร้ความปรานี ความเชื่อของชาวเมืองที่น่าตั้งคำถาม ตัวภาพยนตร์กลับนำเสนอมุมมองที่ไร้เดียงสา แทบจะทุกสรรพสิ่งถูกบรรยายด้วย 'ดี' หรือ 'เลว' เท่านั้น ซึ่งเป็นอะไรที่น่าผิดหวังสำหรับภาพยนตร์ที่มีเบื้องหลังน่าสนใจเช่นนี้



สุดท้ายแล้ว The Shamer's Daughter ก็กลายเป็นอีกหนึ่งความพยายามที่ล้มเหลวในหลายๆด้าน ตั้งแต่ความจืดชืดของบทภาพยนตร์ ตัวละคร และการเล่าเรื่องที่ชวนหลับ ซ้ำมุมมองของผู้กำกับก็ดูจะสวนทางกับบริบทและพื้นหลังภาพยนตร์อยู่มิใช่น้อย ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ขาดความน่าจดจำไปในที่สุด ถึงแม้ว่าตัวหัวใจแกนหลักของภาพยนตร์จะไม่ได้ถึงขั้นเลวร้ายอะไรมากมายก็ตาม


Final Score : 5 / 10 

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

The Transporter Refueled (2015) Movie Review


The Transporter Refueled (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"อยากกลับมาซิ่ง"


 ต้องขอปรบมือให้กับความพยายามของเจ้าของแฟรนไชส์ The Transporter นี้เสียจริง ทั้งๆที่ทิศทางของภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้ ดูจะจบลงด้วยรายได้และเสียงตอบรับที่ไม่น่าประทับใจตั้งแต่ Transporter 3 ในปี 2008 แต่ก็ยังอุสาห์เข็น  Transporter: The Series ที่เป็นฉบับทีวีซีรีส์ตามชื่อ ออกมาในปี 2012 มาได้อีก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จซักเท่าไรก็เถอะ

แล้วมาถึงปี 2015 นี้ ตัวผู้สร้างก็เข็น The Transporter Refueled ออกมาอีกจนได้ ด้วยเรื่องราวสดใหม่ และพระเอกคนใหม่ ซึ่งต่างก็พยายามที่จะชุบชีวิตแฟรนไชส์นี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง



The Transporter Refueled ยังคงว่าด้วยเรื่องราวของ แฟรงค์ มาร์ติน อดีตทหารรับจ้างหน่วยพิเศษ ที่เข้าไปพัวพันกับกลุ่มอันตรายโดยไม่ตั้งใจเข้าให้ ทำให้ตัวเขาและคนใกล้ตัวของเขาตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง


ถึงแม้ว่าภาพยนตร์ภาคต่างๆของแฟรนไชส์นี้จะไม่ได้ถึงขั้นดีเลิศ เข้าชิงรางวัลเวทีต่างๆอะไรมากมาย แต่เรียกได้ว่าทุกภาคที่ผ่านๆมา สิ่งหนึ่งที่ตัวภาพยนตร์ค่อนข้างจะทำได้ดี ก็คือความสนุก ความบันเทิงที่ได้ ซึ่ง Refueled ก็ยังคงเป็นภาคต่อที่ดำเนินตามความคิดนั้น นี้ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่สนุก  ลุ้นระทึกได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ลุ้นขนาดนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่ก็แทบจะไม่รู้สึกเบื่อแต่อย่างใด


ส่วนทางด้านของบทภาพยนตร์ รวมๆแล้วก็ถือว่าพอไปวัดไปวาได้ มีจุดหักมุมที่ค่อนข้างลื่นไหล ไม่รู้สึกเหมือนถูกหลอก หรือหักดิบแบบไร้เหตุผล แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ตะลึง เอาเข้าจริงมันยังคงคาดเดาได้ง่ายอยู่มาก และเรื่องราวส่วนใหญ่ก็ยังคงเดิมๆ ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่ง อย่างน้อยความพยายามก็ยังดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย



โชคยังดีที่เหล่าตัวละครทั้งหลายพอที่จะเพิ่มความน่าสนใจให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น เอ็ด สไครน์ พระเอกมาดเท่ห์คนใหม่ที่รับบท แฟรงค์ มาร์ติน ได้ดีทีเดียว , เหล่ากลุ่มสาวสวยซึ่งแอบแฝงไปด้วยพื้นหลังที่น่าสนใจ หรือ พ่อพระเอก รับบทโดย เรย์ สตีเวนสัน ซึ่งกลายเป็นตัวละครโปกฮา แต่กลับน่าสนใจ ผูกพันธ์ได้อย่างรวดเร็วที่สุดในเรื่อง


น่าเสียดายที่ฝั่งเหล่าตัวละครร้าย ก็ยังคงเป็นได้แค่ตัวละครแบนๆจืดๆเหมือนเดิม ไม่มีความน่าสนใจ หรือ สเน่ห์ เอาเสียเลย ซ้ำดูจะดีแต่คำพูดเสียอีก 



แต่แน่ล่ะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของ  The Transporter Refueled  ก็คงจะหนีไม่พ้นฉากแอ็คชั่นทั้งหลาย ซึ่งรวมๆก็ทำได้โอเคทีเดียว ถึงแม้ว่าบางฉากแอ็คชั่นมันจะดูอภิมหาเวอร์ไปบ้าง ซึ่งก็ดูบันเทิงดี ที่น่าผิดหวังที่สุดดูจะเป็นการตัดต่อในฉากแอ็คชั่นเสียมากกว่า บางช็อตตัดกันซะแทบจะมองไม่รู้เรื่องว่าใครต่อยใคร ประเภทเสี้ยววินาทีตัด อีกเสี้ยววินาทีตัดอีกรอบ ซึ่งเป็นอะไรที่ภาพยนตร์แอ็คชั่นควรจะเลิกทำได้แล้ว



ในท้ายที่สุดแล้ว The Transporter Refueled ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกได้ในระดับหนึ่งถ้าหากไม่คาดหวังอะไรมาก เหล่าตัวละครอาจจะพอดึงความสนใจให้กับผู้ชมได้บ้าง แต่บทภาพยนตร์ที่เดิมๆ ตัวละครร้ายที่จืดชืด และการตัดต่อที่บางครั้งดูไม่รู้เรื่อง อาจจะทำให้รู้สึกเบื่อได้เช่นเดียวกัน 


Final Score : [ 6 / 10 ]